ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Age Of Offline] ปิดระบบ โค่นโลกออนไลน์

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 :: จำไว้สามข้อ

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ค. 57















              สำหรับมนุษย์เรา บางครั้ง สิ่งที่เรียกว่า หายนะ ฟังดูจะเป็นสิ่งไกลตัวเสมอ อย่างดีที่สุด เราก็รับรู้แค่ว่า ในตอนนี้ เวลานี้ คงจะมีใครสักคนในที่ที่ห่างไกลออกไป กำลังกระเสือกกระสน ทนทุกข์กับอะไรบางอย่างที่ไร้สาระอยู่ เราไม่สนใจความเจ็บปวดของคนอื่นนักหรอก นั่นคือความจริง เราจะไม่สนใจจนกระทั่ง หายนะ นั่นเข้ามาเคาะประตูอยู่หน้าบ้านคุณ




              แล้วตอนนั้นแหละที่คุณจะเริ่มรู้ตัวว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้เปราะบางแค่ไหน มันง่ายขนาดไหนที่หัวใจคุณจะหยุดเต้น เราฝังตัวเองไว้กับความคิดตลกๆ ที่ว่า ความสุขที่เรากำลังเสวยอยู่จะคงทนไปชั่วกาลปวสาน




    และนั่นคือเหตุผลที่หายนะกลืนกินคนเราได้ง่ายๆ




    เพราะเราจะไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งมันได้อุบัติขึ้นแล้ว




    เหมือนที่ผมไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งหายนะของจริงได้อุบัติขึ้นตรงหน้า









     

             “ผู้เก็บเกี่ยว!! พวกมันบุกเข้ามา! มันรู้ที่ซ่อนของเรา” ลุงโจพูดย้ำให้ฟังอีกครั้งเมื่อเห็นว่าทุกคนในห้องไม่มีปฎิกิริยาตอบโต้ อันที่จริงเรากำลังประมวลผลในสมองอยู่ เขาหมายความว่ายังไง ที่ว่ามีผู้เก็บเกี่ยว เป็นสิบ น่ะ? อาจจะเป็นได้ว่าลุงฝันร้ายเพิ่งตื่น หรือพืชป่าที่ลุงเด็ดมาทำอาหารอาจทำพิษ แต่ถ้าเขาพูดเรื่องจริงล่ะ? ถ้าผู้เก็บเกี่ยวรู้ที่อยู่ของเราจริงๆ ล่ะ




              ต้องเป็นเพราะผมแน่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า การเผชิญหน้ากับผู้เก็บเกี่ยวคนนั้น พวกมันอาจไม่ได้มีคนเดียวแต่แรก คนที่เหลืออาจจะซ่อนตัวคอยดูผมต่อสู้กับมันอยู่ และมันอาจจะแอบตามผมมาตอนที่ผมวิ่งกลับฐาน โถ่เอ้ย อาคินทร์ โง่ชะมัด! ผมคิด โง่จริงๆ ผมน่าจะรู้ตัว น่าจะระแวดระวังภัยให้มากกว่านี้ เพราะผมมัวแต่ดีใจที่จัดการผู้เก็บเกี่ยวไปได้แค่คนเดียว แล้วตอนนี้พวกมันก็ยกโขยงเข้ามา มันรู้ที่อยู่ของเราแล้ว!




              “ได้โปรดเถอะ อย่ายืนนิ่งสิ ทำอะไรซักอย่าง! พวกมันรวมกลุ่มกันอยู่หน้าทางเข้าฐานแล้ว เราต้องหาทางหนี!” ลุงโจอ้อนวอน สีหน้าเขาดูตื่นกลัวกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา ผมไม่เคยเห็นลุงโจทำท่าทางแบบนั้น ลุกลี้ลุกลนเหมือนไฟลนเท้า และแค่นั้นก็เป็นเครื่องยืนยันถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ครั้งนี้ได้ดี




              พ่อออกตัวทันที ก้าวฉับๆ ตามลุงโจออกไปจากห้องปฎิบัติการ ผมทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรต้องทำอะไร หรือมีอะไรที่เราทำได้บ้าง ผมหมายถึง ผู้เก็บเกี่ยว เป็นสิบ คนนะ! คุณจำที่ผมเสี่ยงชีวิตจนเกือบตายเมื่อเช้าได้หรือเปล่า เห็นผ้าพันแผลที่พันอยู่เต็มตัวผมนี่ไหม? คูณมันเข้าไปสิบเท่าดูสิ! เราสู้มันไม่ได้แน่ๆ ไม่ใช่ตอนนี้ เราต้องหาทางหนีอย่างเดียวเท่านั้น




               “แม่ รีบหนีกันเถอะ!” ผมกล่าวเสียงดัง หันไปมองแม่ แล้วก็พบว่าแม่กำลังบิดไขควงอยู่บนสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนอะไรทั้งสิ้น “แม่ทำอะไรน่ะ! หนีออกจากฐานเดียวนี้!




    “ไม่!” แม่ยืนกรานเสียงแข็ง ท่าทางเธอหนักแน่น แต่ก็ลนลานจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก “ต้องรีบทำให้เสร็จ”




    “โถ่เอ้ยแม่! เราไม่มีเวลา” ผมขึ้นเสียง จะก้มลงไปคว้าแขนแม่ แต่เธอสะบัดออกทันที




              “เรามีเวลาเสมอและนี่ก็เป็นเวลาสุดท้าย เป็นโอกาสสุดท้ายของเรา” แม่บอก เธอก่ายผมสีดำของตัวเองไปข้างหลังเพื่อไม่ให้มีอะไรบดบังใบหน้า ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าครั้งนี้แม่เอาจริงกว่าครั้งไหนๆ แต่แม่จะอยู่ตรงนี้ไม่ได้ เราต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน ไอ้เครื่องนี่ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว ผู้เก็บเกี่ยวมาแล้ว ไม่ถึงวินาทีมันก็จะกลายเป็นแค่เศษเหล็ก




              แล้วจู่ๆ ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ ผมเห็นของทุกอย่างสั่นไหวไปมา ร้องอุทานด้วยความตกใจ ตัวเอียงจนล้มไปกับพื้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร มันทรงพลังเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ แม้ทุกอย่างจะหยุดสั่นแล้วแต่หัวใจผมยังเด้งขึ้นลงไม่หยุด รู้สึกเหมือนลางร้ายเดินเข้าผ่านทะลุร่างผมเพื่อเป็นการเตือน พวกพ่อกับลุงโจที่ออกไปข้างนอก เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่!




              ผมรีบวิ่งออกไป หายใจได้ไม่ทั่วท้อง มุ่งตัวไปตามอุโมงค์มืด มีเพียงหลอดไฟเล็กๆ ที่ห้อยสายลงมาจากผนังที่ส่องให้เห็นทาง สายเหล่านั้นห้อยโตงเตงแกว่งไกวไปมาตามแรงสะเทือนจนผมเวียนหัว บางอันออกอาการติดๆ ดับๆ เสริมบรรยากาศให้น่าสะพรึงกลัว แล้วไฟก็ค่อยๆ เริ่มดับไปทีละดวง เริ่มจากดวงที่ผมยืนอยู่ ดับไปข้างหน้าเรื่อยๆ ผมรีบวิ่งแซงมันก่อนที่ตัวเองจะถูกทิ้งอยู่ในความมืด ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่




              เกิดแรงสั่นสะเทือนอีกครั้ง คราวนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อน รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถูกเขย่าไปมา ผมเซไปข้างๆ รีบเอามือยันผนังอุโมงค์ไว้ ฝุ่นที่จับตัวอยู่บนเพดานร่วงลงมาตลบอบอวลไปทั่ว ก่อให้เกิดกลุ่มควันสีน้ำตาล ก่อนที่จะยั้งปากตัวเองทัน ผมตะโกนร้องเรียกพ่อเสียงดังก้องไปทั่ว ผมรีบเอามือปิดปากของตัวเองทันที ผมทำพลาดอีกแล้ว ถ้าหากผู้เก็บเกี่ยวอยู่แถวนี้ล่ะ?




              สิ่งแรกที่ผมคิดได้คือต้องไปให้ถึงชานชาลาอย่างเงียบเชียบที่สุด หยิบสไนเปอร์ไรเฟิลที่วางไว้ตรงนั้น แล้วหาตัวพ่อกับคนอื่นๆ จากนั้นก็กลับไปรับแม่ แล้วเราทุกคนก็จะรีบหนีออกไปยังทางออกฉุกเฉิน เราเตรียมการไว้เสมอสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุด เรามีอุโมงค์ช่องหนึ่งที่เชื่อมต่อกับท่อระบายน้ำ จากตรงนั้นเราจะปีนหนีขึ้นไปบนเมืองได้ แล้วเราจะรีบออกไปนอกเมือง หนีเข้าป่า ที่นั่นผู้เก็บเกี่ยวจะหาเราไม่เจอ




              ผมได้ยินเสียงกรีดร้อง! เป็นของคนในกลุ่มเรา เป็นเสียงกรีดร้องสั้นๆ ที่ฟังดูเหมือนถูกทำให้หยุดลงกระทันหัน ผมไม่กล้าจินตนาการว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ในใจจะรู้ว่าคงจะมีชีวิตหนึ่งที่ดับสูญไปแล้ว ยังมีอีกเสียงหนึ่ง เสียงปืน เกิดการต่อสู้กัน พวกมันบุกเข้ามาได้เหรอ? ผมจะได้รู้แน่ ผมอยู่ห่างกับชานชาลาเพียงนิดเดียว ผมมองเห็นมันแล้วด้วยซ้ำ




              แรงสั่นสะเทือนครั้งที่สามมาพร้อมกับแสงไฟสีฟ้าที่ว่างวาบไปทั่วบริเวณ ผมหยุดอยู่ตรงชานชาลา มองไปทั่ว แล้วเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย โต๊ะตัวใหญ่ที่เราเคยใช้รวมตัวกันล้มเอนลงไปข้างๆ เก้าอี้กระจัดกระจาย ของทุกอย่างหล่นลงบนพื้นระเกะระกะ ผมวิ่งไปยังจุดที่เคยวางสไนเปอร์ไรเฟิลไว้ มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ซวยแล้ว!




              มีเสียงของบางอย่างกระแทกลงมาตามขั้นบันไดจากข้างบน จากทางเข้าฐาน ผมหันขวับไปมองพร้อมรีบกระโจนหาที่ซ่อน สิ่งที่ร่วงลงมาจากบันไดทีละขั้นคือร่างของลุงอดีตทหารที่เป็นเวรยามให้ในคืนนี้ เขากลิ้งมาหยุดอยู่ตรงบันไดขั้นล่างสุด แล้วแน่นิ่งไปตรงนั้น เขาไม่ขยับ ไม่ไหวติง ดวงตาเบิกโพลง เขาตายแล้ว ผมรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีอากาศให้หายใจ เขาตายแล้วจริงๆ! ต่อหน้าผม! ดวงตาคู่นั้นเหมือนกำลังมองมาทางผม ส่งเสียงกระซิบมาทางอากาศว่า ช่วยด้วย




              ผมมือสั่น เอามือทาบหน้าอก หัวใจจะวาย มันช่างโหดร้ายสำหรับคนอายุมากอย่างเขา ไม่ควรเลยที่จะต้องมาจบชีวิตแบบนี้  แต่ผมจะหยุดอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ผมรู้ว่าต้องรีบตามหาพ่อ เขาจะอยู่ที่ไหนในตอนนี้ อาจจะเป็นห้องบางห้องที่ใหญ่พอที่จะใช้เป็นที่ซ่อนสำหรับทุกคนได้ ห้องครัวหรือเปล่านะ?




              มีบางอย่างเกิดขึ้น อุณหภูมิรอบตัวๆ เปลี่ยนไปเร็วอย่างน่าประหลาด ผมเริ่มสังเกตุไอเย็นที่ออกมาทางลมหายใจตัวเอง เหมือนจู่ๆ เราก็ถูกฝังอยู่ในหิมะ มันเย็นเจี๊ยบ เย็นจนผมต้องกอดอกตัวเองแน่นเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ผมคิดว่ามันแผ่มาจากข้างบน มาตามบันได มีพลังอะไรสักอย่างที่เรามองไม่เห็นปล่อยมาจากตรงนั้น สิ่งต่อมาที่ผมได้ประจักษ์เป็นอะไรที่มากกว่าแค่ความเย็น เกล็ดน้ำแข็งก่อตัวจากบันไดลงมาทีละขั้น จากนั้นมันก็เริ่มแผ่กระจายไปรอบๆ ผนังถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งสีขาวโพลน  มันกำลังแปรเปลี่ยนให้ทั้งชานชาลากลายเป็นขั้วโลกเหนือ น้ำแข็งกระจายตัวไปโอบร่างของคุณลุงคนนั้นด้วย เขากลายเป็นเพียงก้อนใสๆ ที่มีร่างไร้วิญญาณอยู่ภายใน




              ผมรู้ทันทีว่านั่นจะเป็นชะตากรรมของตัวเองเช่นกันถ้าผมยังยืนอยู่ที่นี่ ผมรีบวิ่งออกจากที่ซ่อน กระโจนลงรางรถไฟ วิ่งต่อไปตามอุโมงค์ ก่อนจาก ผมได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวยาวๆ ลงมาตามบันไดน้ำแข็ง หันไปเห็นแค่ปลายผ้าคลุมก็รู้ได้ทันที นี่คือฝีมือของผู้เก็บเกี่ยว




              เป้าหมายต่อไปของผมคือห้องครัว มันอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ ห้องครัวเป็นห้องเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างอุโมงค์ สมัยก่อนเคยเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวสำหรับคนงานขุดอุโมงค์ มันถูกปล่อยทิ้งร้างไว้จนกระทั่งพวกเราไปพบมัน แล้วยกเอาอุปกรณ์เครื่องครัวไปตั้งไว้ตรงนั้น เราก่อไฟตามแบบวิธีโบราณ เอาไม้มาถูๆ กันให้เกิดเพลิง แล้วเอามาประยุกต์ใช้กับเครื่องครัวต่างๆ เรามอบหน้าที่นั้นให้ลุงโจ




              ถ้าเป็นลุงโจล่ะก็ เขาจะต้องหลบอยู่ที่นั่น ห้องครัวเป็นเหมือนบ้านของเขา และบางทีเขาอาจจะพาคนอื่นไปหลบในห้องนั้นด้วย ห้องพักคนงานถูกสร้างเพื่อป้องกันภัยหลายๆ อย่างไว้อยู่แล้ว น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเขา ผมไม่แน่ใจในข้อสันนิษฐานของตัวเองนัก แต่ก็เป็นเรื่องที่ผมต้องลองเสี่ยงดู




    เสียงปืนนั่นอีกแล้ว




              คราวนี้เป็นในห้องครัวไม่ผิดแน่ มีการต่อสู้เกิดขึ้น และนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย พวกเขาควรจะหลบอยู่ในนั้นอย่างปลอดภัย ไม่ใช่รัวกระสุนอยู่ในห้องแคบๆ ผมต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมมาถึงหน้าประตู กระชากมันออก มองดูสถานการณ์ภายใน ห้องครัวมืดมิดไม่มีไฟ แต่แสงจากการยิงกระสุนแต่ละนัดทำให้เกิดแสงวาบสลับกันเร็วๆ แบบฟ้าแลบ มีคนหลายคนอยู่ในห้องนั้น ผู้ที่ถือปืนลั่นไกยิงอยู่คือลุงโจ ส่วนสมาชิกคนที่เหลือกำลังนั่งย่อเข่าอัดกันอยู่ตรงมุมห้องตัวสั่นงันงก ก้มหัวและอุดหูเพื่อไม่ให้โดนลูกหลง ผมพยายามเพ่งมองว่าเขายิงอะไร จนกระทั่งมองเห็นชายคนหนึ่งยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน เขาคือผู้เก็บเกี่ยวในชุดสีน้ำเงิน มือทั้งสองข้างถือของมีคมคล้ายๆ ดาบมีลวดลาย




              “ระวัง!! ผมร้องเสียงหลง กระโจนเอาตัวโถมเข้าใส่ลุงโจเพื่อให้เขาเซไปข้างๆ ผมเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ผู้เก็บเกี่ยวคนนั้นพุ่งตัวเข้ามาด้วยความเร็วเป็นทางตรง หมายจะปักดาบลงบนหัวเรา โชคดีที่ผมช่วยไว้ทัน มันพลาด ปลายดาบทั้งสองเล่มปักโดนผนังห้องแทน มันเกิดร้อยร้าว ปลายดาบฝังเข้าไปในเนื้อปูนเลยด้วยซ้ำ มันเอี้ยวคอหันกลับมามองเราสองคนที่ล้มอยู่ข้างๆ ผมรีบดันตัวให้ลุกขึ้นทันที




              ผู้เก็บเกี่ยวคนนั้นไม่ยอมดึงมันออก ปล่อยดาบไว้กับผนัง มันล้วงกระเป๋า หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมา เป็นคล้ายๆ หินก้อนเล็กๆ รูปร่างสามเหลี่ยมเหมือนพีระมิด สีดำประกายฟ้า มันกำของสิ่งนั้นไว้ จากนั้นก็เริ่มมีแสงสีน้ำเงินส่องสว่างขึ้นบนมือ เกิดอะไรบางอย่างกับดาบ เกิดเสียงดังแปรี๊ยะๆ จากนั้นก็รู้สึกเหมือนมีพลังงานส่งผ่านจากดาบสู่ผนังแล้วแผ่ไปทั่ว คำตอบกระจ่างชัดทันทีเมื่อสมาชิกสองคนของกลุ่มเราที่ยืนชิดผนังอยู่ล้มลงไปดิ้นชักงอ อวัยวะส่วนที่โดนผนังรวมทั้งเสื้อผ้าไหม้เกรียม แล้วลามไปทั่วทั้งตัว คนที่เหลือกรีดร้องแล้วรีบถอยห่างมาอยู่กลางห้องทันที




              มันคือโทเทม! หินก้อนนั้น ผมคิดว่ามันทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าจากปลายดาบ แล้วส่งต่อไปตามผนัง นี่ต้องเป็นหนึ่งในความสามารถแปลกๆ แบบเดียวกับเกล็ดน้ำแข็งที่ชานชาลาแน่ๆ




              “ถอยออกมาจากผนัง!!” ผมตะโกน ลุงโจที่ตั้งท่ายืนขึ้นได้แล้ว รัวกระสุนใส่ผู้เก็บเกี่ยวอีกรอบ มันหลบด้วยความเร็วที่ผมแทบจะมองไม่ทัน ตั้งท่าจะฟาดฟันดาบเข้าใส่ ลุงโจกับผมกระโดดแยกกันไปคนละทิศ เราอยู่ใกล้ดาบของมันไม่ได้เลย ผมรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าจี้ที่ผิวหนังเล็กๆ จนกล้ามเนื้อกระตุก ทั้งๆ ที่ตัวเองก็กระโดดหนีมาไกลพอสมควร




              “หนีไป อาคินทร์!” ลุงโจกระชากเสียง ยืนจังก้าเผชิญหน้าสองต่อสองกับผู้เก็บเกี่ยวโดยตรง “ทุกคนด้วย หนีออกไปก่อน” เขาว่าพลางจ้องเขม็งไปยังหน้ากากขาว ไม่เลื่อนสายตาไปไหน เหมือนเป็นสัญญาณของการท้าสู้แบบตัวต่อตัว เปิดโอกาสให้คนอื่นๆ รีบวิ่งออกผ่านประตูไป เหลือแต่ผมที่ยังยืนลังเล ต้องการจะช่วยเขา แต่ลุงโจหันหลังกลับมา พยักหน้าให้เบาๆ




              ผมกลั้นใจ หลับตาวิ่งตรงไปยังประตู เป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้เก็บเกี่ยวกระโดดสูง เงื้อดาบขึ้น ลุงโจเงยหน้า ยกเอาปืนของตัวเองกันไว้ ดาบสองเล่มนั้นฟาดผ่าปืนออกเป็นสองท่อนพร้อมๆ กับเกิดประกายสีน้ำเงินของกระแสไฟฟ้า ลุงโจกระเด็นออกอย่างแรง ตัวลอยติดผนัง แล้วหล่นลงพื้น




    ปัง!




              เสียงปืนดังขึ้นตรงหน้าผม ใกล้มากจนหูผมแทบอื้อ  ใครบางคนยืนขวางประตูไว้ ถือปืนไรเฟิลกระบอกยาวรูปร่างคุ้นตา ยิงข้ามไหล่ผมไปแบบฉิวเฉียด ผมหันหลังไปดู เห็นผู้เก็บเกี่ยวคนนั้นล้มลง มีรอยโบ๋เล็กๆ อยู่บนขมับ ขนาดพอดีกับลูกกระสุน ยิงแม่นมาก เข้าเป้าตั้งแต่นัดแรก ไม่จำเป็นต้องมองให้ชัดก็รู้ว่าเป็นฝีมือใคร พ่อของผมนั่นเอง




    “พ่อ! ไปอยู่ไหนมา! ผมมองไปข้างตัวเขา แล้วรู้ว่าพ่อไม่ได้มาคนเดียว มีอีกคนยืนอยู่ข้างๆ “แม่!




    “ลูกต้องมากับเรา” แม่จับแขนผม “เดี๋ยวนี้!




    “แล้วลุงโจล่ะ” ผมได้ยินเสียงลุงโจร้องโอดโอยเล็กน้อย เขาขยับตัว เขายังไม่ตาย




              “เขาจะไม่เป็นไร เขาดูแลตัวเองได้ แต่ลูกต้องมากับเราก่อน!” พ่อพูดรัวจนแทบจะฟังไม่เข้าใจ น้ำเสียงดูเร่งรีบมาก ไม่ทันที่จะได้ทำอะไร แม่ก็กระชากผมออกไปอย่างแรง ไม่ยอมฟังเสียงคัดค้าน ทั้งพ่อและแม่ออกตัววิ่ง บังคับให้ผมต้องวิ่งตาม ผมถามพวกเขาอยู่หลายทีว่าเราจะไปไหน แต่ไม่มีโอกาสดีๆ ให้พวกเขาตอบ แผ่นดินไหวอีกครั้ง ทั่วทั้งฐานใต้ดินโคลงเคลง เริ่มมีชิ้นส่วนก้อนปูนเล็กๆ หลุดลงมาจากเพดาน มันกำลังจะถล่ม !




              “วิ่งเร็วเข้า!” พ่อเร่ง วิ่งรั้งท้าย คอยระวังหลังให้ในระหว่างที่เรากำลังหนี สอดส่องปืนไปมาอย่างรวดเร็ว  เขาถือสไนเปอร์ไรเฟิลของผม เราทั้งสามคนเนื้อตัวเลอะเทอะมอมแมมไปด้วยเศษดินและฝุ่น สภาพย่ำแย่เต็มทนโดยเฉพาะผมที่ยังบาดเจ็บอยู่ เราวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมมองเห็นเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะผนัง จากนั้นก็เห็นชานชาลา เดี๋ยวสิ! ทำไมเรากลับมาตรงนี้ล่ะ?




              “เรามาผิดทาง! แม่ ทางหนีอยู่อีกด้าน” ผมร้องบอก มือชี้ไปข้างหลัง แต่ไม่มีใครตอบโต้ เหมือนว่าพวกเขารู้อยู่แล้ว ผมสำลักฝุ่น ในแต่ละครั้งที่ไอ รู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาเป็นก้อน ผมแสบทั้งคอและจมูก ปวดหัวจะระเบิด




    “ทางออกถูกปิด” พ่อกล่าวสั้นๆ ในขณะที่เราวิ่งเลยผ่านชานชาลาไป




    “หมายความว่ายังไง!




              “อุโมงค์ถล่มลงมา ตอนที่คนที่เหลือกำลังจะหนีออกไปได้ จู่ๆ มันก็ถล่มลงมาทับทุกคน เป็นฝีมือของพวกมัน ผู้เก็บเกี่ยว” พ่อตอบ ในตอนนั้นเองที่ผมแทบจะเสียศูนย์ รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีน้ำหนัก สองขายังคงวิ่งแต่ไม่ตระหนักว่าตัวเองทำอะไรอยู่ กลายเป็นหุ่นกระบอกที่พูดอะไรไม่ออก ทุกคนตายหมด! ทุกคนเลยเหรอ!




              เหมือนมีคำตอบจากนรกที่ส่งขึ้นมาซ้ำเติมเรา เกิดเสียงโครมครามอึกทึกมาจากข้างหลัง เหมือนโลกทั้งใบกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อุโมงค์ข้างหลังถล่มตามเรามา ไล่มาเรื่อยๆ เหมือนต้องการให้เราจมอยู่ใต้ซากกองดิน ผมร้องตะโกนเสียงดัง แม่กับพ่อเร่งความเร็วขึ้นไปอีก แล้วลุงโจล่ะ? ลุงโจที่อยู่ในห้องครัวก่อนหน้านี้ล่ะ?




              แม้แต่ชานชาลาอันแสนกว้างขวางก็ค่อยๆ ยุบตัวลง เพดานหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ ปูนแตกออก พื้นกระเบื้องบีบอัดกันเอง สร้างเสียงแห่งภัยพิบัติที่เสียดแทงแก้วหู บัดนี้ เราไม่มีทางหนีไปไหนได้อีกแล้ว เรากลายเป็นหนูติดกับ ทำได้เพียงแค่วิ่งจนกว่าจะเจอทางตัน แล้วก็ยอมโดนฝังอยู่ข้างใต้นี่ซะ






    ตู้ม!






              ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีระเบิดอีก ระเบิดเพลิงแบบเดียวกับที่ผมเคยโดนเมื่อเช้า มันประทุขึ้นจากพื้นตรงเกือบๆ ที่เราจะไปถึงพอดี แม่ล้มลง พ่อกับผมรีบไปช่วยพยุงขึ้น มันถ่วงเวลาให้เราหนีได้ช้าลง ในขณะที่อุโมงค์ถล่มตามจี้เราใกล้ทุกที ทุกที และนั่นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น มีระเบิดเกิดขึ้นตรงพื้นอีกสองสามครั้งตลอดทางที่เราหนี ไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจ เราต้องวิ่งซิกแซกไปมาฉวัดเฉวียนเพื่อหลบระเบิดราวกับอยู่ในสงคราม แต่ผมคิดว่านี่มันแย่กว่า




    “เราจะไปไหนกัน” ผมตะโกนถาม ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของตัวเอง แน่นอนว่าจึงไม่มีใครตอบ





              มีเพียงทางเดียวที่จะรู้ได้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร รอเวลา เพราะผมรู้ว่าจุดจบของผมอยู่อีกไม่ไกลแล้ว ผมตระหนักว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ยังพอมีความหวัง หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งบ้าน ฐานของเรา ทั้งลุงโจ และสมาชิกคนอื่นๆ พวกเขาหายไปหมดแล้ว และตอนนี้เสียงเพรียกแห่งความตายยังต้องการอีกหนึ่งอย่างเพื่อให้ของสะสมแห่งความเวทนาครบชุด สิ่งนั้นคือ เรา




              แล้วผมก็เห็นมัน เห็นประตูบานตรงหน้าเข้าใกล้มาเรื่อยๆ แวบแรกผมคิดว่าพวกเขาล้อเล่น แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกเขาพาผมมาที่นี่ ที่ห้องปฎิบัติการ เพื่ออะไรกัน?




              “จะทำอะไร?” ผมถาม แต่แม่ไม่ตอบ แม่ผลักประตูห้องนั้นออก ลากผมเข้าไป ผมยังทรงตัวไม่ค่อยได้ หงายหลังลงพื้นทันทีที่ถึงห้อง เรากลับมาที่นี่อีกครั้ง กลับมาที่ห้องปฎิบัติการ ห้องสุดท้ายที่ผมคงจะต้องจำติดตาไว้ก่อนตาย ไม่แน่ใจว่าพอเราตายแล้วจะยังมีความทรงจำหลงเหลือหรือเปล่า แต่ถ้ามี นี่คงจะเป็นความทรงจำที่จะหลอกหลอนให้ผมผวาไปตลอดกาลแม้ว่าผมจะกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว




              น่าแปลกมากที่อุโมงค์หยุดถล่มไปเสียดื้อๆ เหลือพื้นที่หน้าห้องปฎิบัติการไว้เพียงหน่อยเดียว แผ่นดินหยุดสั่นแล้ว ราวกับว่าเป็นความจงใจของใครบางคน ผมหอบหายใจอย่างหนัก รู้สึกถึงรสชาติของดินที่ติดอยู่ทั่วลิ้น แม้แต่ตอนหายใจก็ยังมีเศษดินหลุดออกมาจากโพรงจมูก พ่อเข้ามาในห้องเป็นคนสุดท้าย เขากำลังจะปิดประตู แต่แล้วก็หันหลังกลับ เหมือนมีใครยืนอยู่ตรงนั้น ข้างนอกนั่น แล้วพ่อก็เดินกลับออกไปข้างนอก มีบางอย่างเกิดขึ้น




              “พ่อ! ผมรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี จะลุกขึ้นไปช่วย แต่แผลเก่าทำพิษ มีเลือดซึมออกมาทางผ้าพันแผล ผมขยับตัวมากเกินไปแล้ว ปากแผลผมฉีก และมันเจ็บมาก แม่ก้มลงมาห้าม บอกให้ผมอยู่นิ่งๆ จากนั้นก็เดินออกไปนอกห้อง ตามไปสบทบพ่ออีกคน ทิ้งไว้ให้ผมอยู่ในห้องคนเดียว ก่อนแม่จะไป แม่ปิดประตูขังผมไว้




              ผมมองไปรอบๆ กาย เห็นเพียงแต่สิ่งประดิษฐ์ยังคงทำงานได้อย่างน่าประหลาดใจ บางทีสายไฟอาจจะต่อตรงจากที่ไหนสักแห่งที่ยังไม่เกิดการถล่ม ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผู้เก็บเกี่ยวถึงต้องการฆ่าเรา ปกติ ตามที่ได้ยินมา ผู้เก็บเกี่ยวจะมีหน้าที่ค้นหามนุษย์ที่เหลืออยู่ แล้วพาไปที่บาสตีลนี่นา พวกนั้นต้องการให้เราสวมหมวกโพรงกระต่าย เพื่อที่จะได้เข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ที่พวกนั้นควบคุม แต่สิ่งที่พวกมันกำลังทำอยู่ตอนนี้คือการสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยม ทำไม?




         เพราะสิ่งนี้หรือ? ผมมองไปยังเครื่องประดิษฐ์ของแม่ มันเสร็จสมบูรณ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะไอ้สิ่งนี้ ที่ทำให้มันไล่ล่าเราจนถึงขั้นถล่มฐานใต้ดินไปทั้งฐาน มันอาจจะรู้เรื่องแผนที่พวกเราทำ มันอาจจะสืบเรื่องนี้จากขบวนการในความมืดกลุ่มอื่นๆ เรามักจะส่งข่าวหากันตลอด และไม่นานมานี้เราก็เริ่มติดต่อผู้รอดชีวิตจากเมืองอื่นๆ ได้น้อยลงทุกที มันเริ่มจะเข้าเค้า พวกมันต้องรู้แล้วแน่ เพราะแบบนี้ถึงส่งผู้เก็บเกี่ยวมาจำนวนมาก เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเครื่องมือใดที่จะหยุดยั้งแผนการของมันได้




    มีเสียงดังโครมครามจากข้างนอก! เหมือนเสียงคนถูกกระแทกเข้ากับประตู แล้วก็มีเสียงปืน มีเสียงกรีดร้องของคน




              “พ่อ!! แม่!!ผมตะโกนเรียกสุดเสียงจนคอแหบแห้ง รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ ผมได้แต่นั่งรออยู่อย่างนั้นด้วยความทรมาน จนกระทั่งแม่พรวดพราดเปิดประตูเข้ามา ผมโล่งใจไปได้ครึ่งหนึ่ง




    แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ครึ่งเดียวที่ต่อไม่เต็ม




    แม่ปิดประตูทันที เอาหลังดันมันไว้ ก่อนจะจัดการล็อกมัน ลงกลอนทุกดอกอย่างแน่นหนา แล้วเดินเข้ามา




    “แม่ พ่อล่ะ?”




              แม่ไม่ตอบ เธอเดินตัวสั่น พยายามควบคุมตัวเองให้นิ่ง ใช้นิ้วข้างหนึ่งกดแป้มพิมพ์หน้าจอคอมทั้งๆ ที่ไม่ใช่เวลา มืออีกข้างถือสไนเปอร์ไรเฟิลของผม กระบอกที่พ่อใช้เมื่อครู่




              “แม่!! พ่ออยู่ไหน” ผมถามซ้ำ เสียงดังกว่าเดิม แม่ยังคงความเงียบไว้ ยิ่งบ่มเพาะภูเขาไฟในใจให้สุกเต็มที่ ผมหายใจเข้าออกเร็วเกินไป อย่างกับจะเป็นลมบ้าหมู ในหัวปฎิเสธภาพจินตนาการนั้น จินตนาการที่เห็นร่างไร้วิญญาณของพ่อนอนอยู่ ไม่ขยับไปไหน ผมกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาจริงๆ ผมต้องการคำตอบที่บอกว่า เขาสบายดีอยู่ข้างนอก หรือไม่ก็อยากเห็นพ่อเปิดประตูตามเข้ามา แต่ปาฎิหาริย์มักไม่เกิดกับคนที่ร้องขอ




              “ฟังนะลูก” แม่หันมาพูดกับผมในที่สุด เสียงแม่สั่น “มีมีสามเรื่องที่แม่อยากจะให้ลูกจำไว้ ข้อแรก อย่าให้พวกมันรู้ว่าลูกเป็นใครเด็ดขาด ลูกจะต้องปกปิดเรื่องที่ตัวเองไม่ใช่ผู้เล่น หากมันถามหาโทเทม ให้เอาโทเทมไฟที่ลูกได้มาให้มันดู ทุกอย่างจะต้องเป็นความลับ สัญญากับแม่สิ”




    “แม่พูดเรื่องอะไร? พ่ออยู่ไหน?” ผมเร่งเร้า แต่แม่ทำหน้าเหมือนจะสะอื้น มือทั้งสองข้างบีบไหล่ผมแน่น




    “ข้อที่สอง ต้องตามหาสถานที่ที่มีชื่อว่า มอรินทร์ จำไว้นะ จำให้ขึ้นใจ มอรินทร์ พูดตามแม่สิ”




    “แม่!! พ่ออยู่ไหนกันแน่” ผมขึ้นเสียง




             แม่ดันหลังผมให้ติดเข้ากับกำแพง น้ำตาซึมอยู่ในเบ้า เหมือนกำลังจะร้องไห้ แต่พยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะกลั้นมันไว้ “สติอาคินทร์ ลูกต้องมีสติ ได้โปรด ทำเพื่อแม่ ลูกจะต้องไปเดี๋ยวนี้”




    “ผม




              “พ่อของลูกเป็นคนกล้าหาญ เป็นคนเก่ง เขาปกป้องเราทุกคน ได้โปรด อย่าทำให้มันสูญเปล่า เขาเชื่อมั่นในตัวลูกนะ อาคินทร์ เขาเชื่อว่าลูกเป็นคนกล้าหาญ ได้โปรด พูดตามแม่ ต้องตามหา มอรินทร์”




              ผมเงียบไปพักหนึ่ง พยายามบังคับไม่ให้คางตัวเองสั่น มองลึกลงไปในตาแม่ ผมเห็นความกลัว และความเศร้า “จะต้จะต้องตามหา มอรินทร์ จะต้องตามหา มอรินทร์”




              “เก่งมากลูก” แม่ฝืนยิ้ม ใช้มือข้างหนึ่งลูบแก้มเบาๆ “ข้อที่สาม ใช้ไอ้นี่ซะ มันคือสิ่งสุดท้ายที่พ่อเหลือไว้ให้เพื่อลูก” แม่ยื่นของสิ่งหนึ่งให้ เป็นของสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือ พื้นผิวเรียบ ใส เป็นกระจก มันคือโทรศัพท์หรืออะไรก็ตามที่รูปร่างคล้ายโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่า ไม่มีแป้นกด มีเพียงหน้าจอแบบสัมผัส ผมไม่เข้าใจ แม่จะให้มันมาทำไม?




              “ตอนแรกเรากะว่าจะสอนวิธีใช้ให้ แต่คงไม่มีเวลาแล้วอย่างที่ลูกบอก เวลาเราหมดแล้ว” แม่จูงมือผม พาผมไปยืนอยู่ข้างๆหลอดแก้วใหญ่ใจกลางห้อง จากนั้นก็ก้มลงไปกดปุ่มอะไรสักอย่างจากสิ่งประดิษฐ์ข้างๆ  




              “แม่ อย่าทำแบบนี้” ผมส่ายหน้า ผมยังไม่พร้อม ยังไม่พร้อมเลย ไม่ใช่ตอนนี้ได้ไหม อยากน้อยก็ขอให้ได้บอกลา ได้นั่งจับเข่าคุยกันก่อนสักชั่วโมง ให้ผมได้เตรียมใจบ้าง แต่แม่ก็ยิ้มกลับมา เป็นยิ้มที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด บอกเป็นนัยๆ ว่าไม่มีใครต้องการให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผม โดยเฉพาะตัวแม่เอง




              เกิดเสียงเครื่องยนต์กลไกของอะไรสักอย่างทำงาน มันดังกระหึ่มไปทั่ว มีแสงส่องมาจากหลอดแก้ว สว่างวาบจนแสบตา แม่เดินตรงไปที่โต๊ะวางของ หยิบของสองสามสิ่งขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นมันทีละอย่างให้ผม แม่ยื่นสไนเปอร์ไรเฟิลที่พ่อใช้ให้ ผมรับมันมา ปัดคราบดินช้าๆ พร้อมกับใจที่เต้นดั่งรัวกลอง อย่างต่อมาคือแจ๊กเก็ตสีน้ำตาลตัวโปรดของผม แม่บอกผมในขณะที่สวมมันให้ มันดูเหมาะกับลูกมาก ของอย่างสุดท้ายคือกระเป๋าเป้เดินทาง สีน้ำตาลเช่นกัน แม่บอกว่าในนั้นมีเสบียง มีของกิน มีอาวุธและของหลายอย่างที่ผมจำเป็นต้องใช้ แม่เพิ่งเตรียมมันตอนที่เกิดเรื่องจึงอาจได้ของไม่ครบ แต่ก็ทำเท่าที่จะทำได้แล้ว




    “แม่” ผมครางในลำคอ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ แม่จับปกคอเสื้อ กระชับมันให้เขาที่ จากนั้นก็กอดผมเป็นครั้งสุดท้าย




              กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็ถูกแม่ผลักให้เข้าไปในอยู่ในหลอดแก้ว มันปิดตัวลงในแทบจะทันที ขังให้ผมอยู่ในนั้น แม่เดินไปกดปุ่มอะไรสักอย่างข้างๆ จากนั้นมันก็เริ่มทำงาน ผมรู้สึกได้ แต่ผมกลัว ผมเอามือสองข้างทาบอยู่หน้ากระจกใส แม่ยิ้มให้แล้วทาบมือของตัวเองตรงกับตำแหน่งมือของผม แม่ร้องไห้ในที่สุด




              ทั่วทั้งห้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง มันรุนแรงมากเสียจนเพดานยุบลงมา ห้องปฎิบัติการกำลังจะถล่ม ผมตะโกนไม่เป็นภาษา แต่ก็รู้ว่ามันสายไปเสียแล้ว แม่ยังยืนยิ้มอยู่ข้างหน้า ไม่คิดหนีไปไหน ผมมองเศษดินที่หล่นลงมาทับถมทั้งห้องเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดอะไรบางอย่างขึ้น มือผมที่ทาบกระจกอยู่กำลังหายไป เริ่มจากปลายนิ้ว มันหายไปทีละนิด เหมือนแตกสลายไปในอากาศ กลายเป็นก้อนข้อมูลสี่เหลี่ยมเล็กๆ มันลามไปเรื่อยจนผมมองไม่เห็นมือของตัวเอง ลามต่อไปจนกระทั่งถึงลำตัว แล้วขาผมก็หายไป ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือดินถล่มลงมาทับถมทั้งห้องจนแม่จมอยู่ในนั้นต่อหน้า จากนั้นดวงตาของผมก็หายไป ทั้งตัวผมสลายกลายเป็นก้อนข้อมูล กลายเป็นโปรแกรม






    แล้วทุกอย่างก็ดำมืด






    มีเสียงแปลกๆ ดังอยู่ในหัวผมว่า







    ยินดีต้อนรับสู่โลกออนไลน์

     

     


     


     


    = = = = = = = = = = = = = =

    โปรด ติด ตาม ตอน ต่อ ไป



     

    ขอขอบคุณธีมอันแสนจะโคตรเลอค่าจาก
     
    themy butter



     
                                                          © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×