คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 : ไปโรงเรียน ด้วยรอยยิ้ม..
คุณเคยถูกผู้คนมองแบบแปลกๆ บ้างไหม? ประเภทที่ว่าขนาดเราอยู่ห่างจากคนเหล่านั้นไปสองสามช่วงตึก ก็ยังรู้ตัวว่ากำลังเป็นที่เพ่งเล็งอยู่ แน่นอนผมเคยถูกมองแปลกๆ ครั้งนึง ตอนที่ผมดันแต่งตัวแฟนซีในวันฮาโลวีนเป็น ‘มอธแมน’ ปิศาจพื้นเมืองตามเรื่องเล่าของรัฐเวสท์เวอร์จิเนีย ซึ่งปรากฏตัวอยู่ในหนังสยองขวัญชื่อเดียวกัน ปี 1994 ที่แย่ก็คือทุกคนไม่รู้ว่าผมกำลังแต่งตัวเป็นอะไรอยู่ และเจ้า ‘มอธแมน’ ก็มีรูปร่างเหมือนผีเสื้อ ดังนั้น ผมจึงดูเหมือนเกย์ที่แต่งตัวจะไปโชว์คาบาเร่ในคอนเซ็ปผีเสื้อราตรีอะไรเทือกนั้น
แต่ทว่า ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน เวลาที่เราถูกมอง อย่างน้อยๆ เราก็จะสามารถรู้จากคนรอบข้างได้บ้างว่าเราผิดปกติตรงไหน เช่น ถ้าพวกเขากำลังมองเรา แล้วแอบหัวเราะ บวกกับสายตาจ้องลงมาที่กางเกง นั่นก็แสดงว่าเราลืมรูดซิป หรือไม่ก็เราลืมเปลี่ยนกางเกงนอนมา แต่ครั้งนี้ ทุกคนได้แค่… มอง มองเฉยๆ นิ่งๆ และไม่ใช่แค่คนหรือสองคน แต่เป็นทั่วทั้งบริเวณ โลกนี้จะมีอะไรแปลกกว่านี้ได้อีกมั้ยเนี่ย?
- - - - - - - - - - - - - - -
ในขณะที่ผมกำลังกึ่งเดิน กึ่งวิ่งเข้าเขตโรงเรียน โดยเมื่อคืน ผมยอมนอนที่โซฟาตรงห้องนั่งเล่น (ซึ่งก็ยังหลับสบายกว่าเตียงเก่าอยู่ดี) และเดินทางมาโดยใช้แค่ใบบอกทางที่เฮนรี่เขียนไว้เท่านั้น ผมก็ต้องพบกับความแปลกประหลาดอย่างสุดซึ้ง เพราะทันทีที่ผมย่างเข้ามา นักเรียนเกือบทุกคนก็ค่อยๆ หันมามองผมเป็นตาเดียว จะบอกว่าเพราะผมเป็นเด็กใหม่ก็ไม่ใช่ เพราะเด็กนักเรียนในเมืองใหญ่ แทบจะรู้จักเพื่อนร่วมรุ่นตัวเองได้ไม่หมดเลยด้วยซ้ำ ไม่ช้าพวกเขาก็เริ่มซุบซิบกัน แต่สีหน้าของพวกเขาก็ไม่ได้บอกเลยว่ากำลังพูดถึงผมไงแง่ดี หรือไม่ดี?
อันที่จริง ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ทุกคนก็หันมาหรอกนะ แต่ก่อนหน้านี้เพียงแปบเดียว ก็เกิดเหตุการณ์บางอย่าง ที่น่าจะเป็นสาเหตุของการมองแปลกๆนี้ขึ้น ตอนที่ผมเดินอย่างโดดเดี่ยวมาจนถึงลานหญ้าซึ่งคงจะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของนักเรียน ตั้งอยู่ตรงหน้าอาคารเรียน ผมก็สะดุดตาเข้ากับรถตู้สีเทาคันหนึ่งที่มีเสาอากาศและจานดาวเทียมตรงหลังคา และมีตราสถานีโทรทัศน์แปะอยู่
“นี่คือการรายงานข่าวสด กับดิฉัน อลิสัน มาริน ผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์ช่อง OUB ค่ะ ขณะนี้ เรากำลังยืนอยู่ที่หน้าโรงเรียนมัธยม แบล็กวู๊ด ไฮสคูล” หญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งกล่าวในขณะที่ถือไมค์ที่มีสัญลักษ์ช่องอยู่บนมือ และมีตากล้องตัวอ้วนกำลังจับภาพไว้ตลอดเวลา
“เมื่อคืนวาน ได้เกิดเหตุคดีที่สะเทือนขวัญไปทั่วทั้งเมือง ศพทั้งแปดของเด็กนักเรียนมัธยมถูกฆาตกรรมอย่างสยดสยองในอพาทเม้นต์สุดหรูใจกลางเมือง เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และถกเถียงอย่างหนักของชาวเมืองที่กำลังอกสั่นขวัญแขวน บ้างก็ว่าเป็นการบูชายัญเพื่อลัทธิซาตาน บ้างก็ว่าเป็นฝีมือของเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพล บ้างก็ว่าเป็นฝีมือของคนโรคจิต บ้างก็ว่าเป็นสัญญาณของวันสิ้นโลก วันนี้ดิฉันจะมาตามหาความจริงกันที่โรงเรียนมัธยมแห่งนี้ เพื่อสัมภาษณ์ถึงความคิดเห็นของเพื่อนร่วมชั้นดูค่ะ” พูดจบ นักข่าวสาวก็มุ่งเดินอย่างตั้งใจไปหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอายุประมาณพอๆ กับผม เธอตกใจมากที่ถูกนักข่าวคนนั้นจู่โจมและตั้งคำถามแบบสายฟ้าแลบ “คุณคิดยังไงที่เพื่อนๆคุณเพิ่งถูกฆ่าตายอย่างสยดสยองคะ?” เด็กสาวอึ้งกับคำถามเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “คิดว่า…. ไปลงนรกซะ” ก่อนจะชูนิ้วกลางใส่กล้อง เด็กคนต่อไปเป็นเด็กผู้ชายที่ตัวโตมากเลยทีเดียว แต่ทว่าเด็กคนนั้นกลับเอาแต่พูดว่า “เย้ นี่ผมได้ออกทีวีเหรอเนี่ย?” แล้วเขาก็เรียกเพื่อนๆ มารุมทำท่าตลกๆ แล้วก็เต้นท่าโรล บอดี้ใส่กล้องจนกระทั้งนักข่าวดูเหนื่อยใจ และพอเธอเงยหน้าขึ้นมา… ก็เป็นผมพอดีที่เดินตัดผ่านเธอไป ผมถูกสะกิดเล็กน้อย ก่อนจะถูกยิงคำถาม
“คุณเคยมีความแค้นอะไรส่วนตัวกับผู้ตายหรือเปล่าคะ?”
“หะ?” ผมอุทานสั้นๆ นักข่าวประเภทไหนกันที่ถามอะไรแบบนี้? จะให้ผมบอกว่า “มี แต่ฉันได้ล้างแค้นไปแล้ว วะฮะฮ่า!” เหรอ? ผมค้างไประยะนึง หญิงสาวทำท่ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ผมจึงตอบไปตามตรง “ไม่ทราบครับ เผอิญผมเพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่วันแรก” กล่าวจบ นักข่าวก็มีทีท่าผิดหวัง เธอจึงถามชื่อผมต่อ ผมคิดแวบนึงว่า ซวยล่ะสิ ผมจำเป็นต้องปกปิดเรื่องย้ายที่อยู่ไม่ใช่หรือไง ถ้าข่าวออกไปทั่วประเทศแบบนี้แล้ว ย้ายเมืองมาจะมีประโยชน์อะไรเนี่ย? แต่ก็ช่างเถอะ.. เบื้องบนไม่ได้สั่งมาซะหน่อย ว่าให้ไม่ให้เราออกสัมภาษณ์กับรายการข่าวใดๆ”
“ผมชื่อ… แมต ฟิตซ์ ครับ”
จังหวะนั้นแหละ ที่ทุกคนต่างพากันหันมามองผม แล้วตั้งแต่ตรงนั้น ผมก็ถูกมองแบบแปลกๆมาตลอด ทั้งนักเรียนชาย หญิง หล่อ สวย แนว เฉิ่ม ทุกคนทำอย่างกับว่ามีอะไรผิดปกติกับชื่อผมงั้นเหละ แน่นอนว่า อยู่ดีๆจะให้ไปถามว่า “เฮ้ นาย มีปัญหาไรป๊ะ” ก็คงจะไม่ควร ผมจึงยอมบากหน้า ฝ่าฝูงสายตาเข้าตึกเรียน
โรงเรียน มัธยมปลาย แบล็กวู๊ด คือโรงเรียนใหญ่ ประจำเมือง ที่ผมไม่ทราบว่าเฮนรี่ไปคุยกับครูใหญ่ยังไง ผมถึงฟลุ๊ค ได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนชื่อดังแห่งนี้ ในขณะที่สำรวจอาคารเรียนทุกอาคารด้วยตา ผมก็พบสัจธรรมที่แท้จริงว่า ยิ่งอยู่ในเมืองที่พัฒนา ทันสมัย และมีของใหม่ๆ มากเท่าใด เมืองนั้นก็ยิ่งอนุรักษ์ของเก่าๆ โทรมๆ มากยิ่งขึ้นเท่านั้น โรงเรียนนี้เป็นข้อพิสูจน์อย่างดี อาคารก่อด้วยอิฐที่แดงดูผุๆเล็กน้อย ตกแต่งด้วยเสาโรมัน และมีเถาว์ไม้ประดับโดยรอบ ตรงยอดสุดของอาคารมีหอนาฬิกาเรือนใหญ่ และที่สูงไปกว่านั้น มีระฆังที่คล้ายๆ ระฆังโบสถ์แขวนอยู่ ดูเป็นสไตล์การตกแต่งสักเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนเห็นจะได้ ถึงกระนั้นที่นี่ก็ดูมีมนต์ขลังและไม่ได้ดูสกปรกแต่อย่างได ตรงกันข้าม อาคาร และบรรยากาศโดยรอบสะอาด และหรูหราพอสมควร
เมื่อผมเข้าไปข้างใน ก็พบกับบรรยากาศอันแสนวุ่นวาย ที่ผม(ไม่ค่อย)คิดถึงอย่างมาก นักเรียนเดินกันขวักไขว่ แต่ก็นั่นเหละ เหมือนข่าวลืออะไรสักอย่างเกี่ยวกับผม เริ่มจะแพร่กระจายแล้ว บางคนถึงได้แอบซุบซิบแล้วชี้มา ให้ตายสิ? มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย? ผมเดินอย่างสงสัย เอาเหอะ… ผมชินกับการเป็นตัวประหลาดในโรงเรียนเสียแล้ว และสิ่งแรกที่ผมต้องทำในฐานะนักเรียนใหม่คือลงทะเบียนเรียน ผมตรงไปยังห้องวิชาการ โดยถามทางไปจากเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เมื่อไปถึงก็พบกับเจ้าหน้าที่หญิงแก่ ซึ่งดูท่าทางไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ เธอกำลังทำหน้าบูด มีโทรศัพท์แนบตรงหู มือสองข้างวุ่นอยู่กับการใช้ตะไบขัดเล็บมือ ที่สำคัญเนื้อหาที่เธอพูดค่อนข้างติดเรท ออกไปในทางแบบที่เด็กอายุสิบห้าลงไปควรอุดหู ผมยืนนิ่งรอเธออยู่สักพัก ก่อนจะพยายามบอกเธอว่ามาขอลงทะเบียนวิชาเรียน แต่เธอไม่ได้ยิน แล้วเปลี่ยนกลับมาหัวเราะใส่โทรศัพท์ ความพยายามครั้งที่สิบเพื่อจะพยายามเรียกร้องความสนใจ ช่างไร้ผล ผมจึงยืนนิ่งๆ อย่างเบื่อหน่าย พอรอไปสักพักก็ไม่มีอะไรทำ และอะไรดลใจก็ไม่รู้ ทำให้ผมเหลือบไปเห็นปุ่มสีแดงๆบนโต๊ะ สีแดงๆนั่นช่างน่าเย้ายวนใจเสียเหลือเกิน ผมจึงเอามือไปลูบๆ แต่สงสัยคงมือหนักไปหน่อย เลยกลายเป็นกดปุ่มนั้นอย่างแรง แล้วไม่ช้า ลำโพงทั่วโรงเรียนก็มีเสียง ที่ประกอบไปด้วยเนื้อหาติดเรท และ วิธีล่อลวงผู้ชายในบาร์ ดังก้อง
ผมตกใจจึงรีบคลำหาปุ่มปิด แต่ไปไงมาไงไม่รู้ยิ่งกลายเป็นเร่งเสียง กว่าป้าคนนั้นจะรู้ตัว ก็เล่นเอาเธอหน้าแดงด้วยความโกรธและอาย ผมทำอะไรไม่ถูกจึงพูดกลบเกลื่อน
“ผม แมต ฟิตซ์ เพิ่งย้ายมา ขอติดต่อขอลงทะเบียนวิชาเรียนครับ” เสียงนั้นดังไปทั่ว เพราะลำโพงยังไม่ได้ปิด และอีกครั้ง ที่ผมพูดจบ ก็เริ่มมีเสียงฮือฮาผิดปกติ ดังเข้ามาถึงในห้อง จากนั้นก็มีนักเรียนผ่านหน้าห้องนี้เยอะเกินไปจนผิดสังเกต บางคนแอบมองเข้ามาด้วย เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนแสดงท่าทีไร้เยื่อใยและมีน้ำเสียงขาดห้วนแบบเห็นได้ชัด ผมได้แต่กล่าวขอโทษในขณะกรอกวิชา ซึ่งนั้นทำให้ผมกรอกวิชาผิดไปตั้งสามวิชา วิชานึงคือวิชาการละคร (ผมเกลียดวิชานี้) วิชาการเขียนโปรแกรมด้วยหลักอัลกอริทึมอะไรสักอย่าง วิชาสุดท้ายคือวิชาการให้คำปรึกษาแบบมืออาชีพ โอ๊ย แถมป้าคนนี้ยังไม่ยอมให้ผมแก้อีก เลยต้องจำใจเดินออกมา
“สวัสดี!” จู่ๆ หนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาดักผมที่หน้าประตูห้อง เขาตัวสูงประมาณพอดี ท่าทางเรียบร้อย สังเกตได้จากการแต่งกาย ใส่เสื้อเชิ้ต เก็บชายผ้าไว้ในกางเกงสแลค ผมสั้นสีดำถูกหวีปัดข้างอย่างเรียบร้อย แนวกระดุมเสื้อตรงกับหัวเข็มขัดแบบเป๊ะๆ เขาเป็นคนผิวขาว ล่ำนิดหน่อย หน้าใส ตาสีฟ้า และกำลังยิ้มให้ผมอยู่ มองผ่านหลังของเขาไป ก็มีเด็กหลายคนหยุดยืนแล้วมามาทางนี้ “ฉันชื่อ เนธาน ไบรอน คริสโตเฟอร์ ฟิตซ์ เรียกสั้นๆว่า เนธาน ฉันคือประธานนักเรียนรุ่นที่ 78 ประจำโรงเรียนมัธยม แบล็กวู๊ดไฮสคูล ซึ่งเป็นเลิศทางด้านวิชาการ และกีฬา ถูกจัดอันดับให้เป็นโรงเรียนดีเด่นอันดับหนึ่งของรัฐ และอันดับสิบของประเทศ และยังเป็นประธานชมรมอัจฉริยะหลายประการรุ่นที่แปด ซึ่งสร้างชื่อเสียงเกียรติคุณให้โรงเรียนเป็นอย่างมาก โดยวันนี้ฉันมีหน้าที่ดูแล และแนะนำทุกอย่างที่เกี่ยวกับโรงเรียนแห่งนี้ หากนายไม่รังเกียจฉันจะขอเรียกนายว่าแมตธิว เอาล่ะ ตามฉันมาได้เลย…..”
“ห๊ะ?” ผมค่อนข้างจะตามไม่ทันกับคำพูดมากมายที่พรั่งพรูมาในคราวเดียวราวกับท่องบทมา “เอ่อ… ยังไงก็ตามเรียกฉันว่า แมต เธอ แล้วเมื้อกี้นายบอกว่า…”
“ใช่.. นามสกุลฉันคือฟิตซ์ เราเป็นญาติกัน แต่ฉันคิดว่า เราคงเป็นญาติที่ห่างกันมากๆ เพราะจากแผนผังตระกูลไม่มีชื่อนายอยู่เลย แต่ไม่เป็นไร เพราะเกียรติภูมิของตระกูลเรานั่นสร้างชื่อเสียงมานักต่อนัก พ่อฉันเป็นนักการเมืองที่มีอิทธิพล ส่วนแม่ฉันเป็นศาสตราจารย์ทางด้านประสาทและสมอง ลุงฉันเป็นหมอชื่อดัง พี่ชายฉันเป็นทนาย และฉันจะเป็นผู้พิพากษาในเร็ววัน ฉันแน่ใจว่านายเองก็จะต้องเก่งพอๆกับฉัน เผลอๆอาจจะเก่งกว่าก็ได้” พูดจบเนธานก็ยิ้มให้
“อืม…. เราคงเป็นญาติที่ห่างกันจริงๆนั่นเหละ” ผมยิ้มเเหยๆตอบ แล้วเดินตามเขาผ่านโถงอาคาร ระหว่างทางนักเรียนก็ซุบซิบมากยิ่งขึ้น คราวนี้ผมได้ยินเขากระซิบแว่วๆว่า “นี่เหรอ ฟิตซ์อีกคน” “ตัวเล็กเนอะ” “เป็นเด็กประถมมาดูงานหรือเปล่า” “โห เก่งแต่เด็กเลย”
เนธานพาผมเดินไปดูรอบๆ ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม โรงเรียนทั้งหมดมีสามชั้น แต่กว้างสุดๆทุกชั้น ส่วนชั้นสี่เป็นพื้นที่ของครูใหญ่ และห้องเก็บข้อมูลเอกสารต่างๆ นักเรียนจึงห้ามขึ้น ยกเว้นเนธานที่เป็นประธานนักเรียน จึงมีอภิสิทธิ์ขึ้นไปได้ ระหว่างทางเขาก็พล่ามเรื่องประวัติโรงเรียน ประมาณว่าโรงเรียนมีผลงานอะไรบ้าง น่าภาคภูมิใจอย่างไร และที่ผ่านมามีคนตระกูลฟิตซ์กี่คนที่ทำชื่อเสียงให้โรงเรียนแห่งนี้ ดูๆไป เนธานก็เป็นพวกเด็กเรียนคนหนึ่ง แต่เป็นเด็กเรียนประเภทพูดมาก พูดไม่หยุด พูดจนผมตามไม่ทัน แต่ก็ไม่ใช่พวกขี้โม้หรอกนะ เขาดูเหมือนจะพูดถามบทมากกว่า อีกอย่างเขาก็ดูร่าเริงมากกว่าหยิ่ง ดูเป็นกันเองอีกต่างหาก เสียอย่างเดียวที่ผมไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาพูด
หลังพาทัวร์จบ ก็ใกล้จะถึงเวลาเรียนวิชาแรกพอดี วิชาแรกของผมตามตารางคือแคลคูลัส เขาจึงพาผมกลับมาที่โถงอาคารเรียน นักเรียนเรียนส่วนใหญ่กำลังหยิบหนังสือจากล็อคเกอร์กัน เนธานพาผมไปยังล็อคเกอร์ของตัวเองซึ่งอยู่ถัดจากตู้ท้ายสุด ก่อนจะให้กุญแจล็อคเกอร์มา ผมเหม่อมองเหล่านักเรียนที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน และคิดว่าตัวเองจะเริ่มต้นที่นี่ได้ดีหรือเปล่า
“ก่อนที่ฉันจะไป ขอแนะนำนายอะไรสักอย่าง” เนธานกล่าว “ที่โรงเรียนแห่งนี้ไม่ค่อยเหมือนโรงเรียนทั่วไปที่นายเคยอยู่ นายต้องปรับตัวมากเลยทีเดียวล่ะ อย่างแรกก็คือที่นี่ให้ความสำคัญกับกลุ่มของตัวเอง..”
“กลุ่มเหรอ?... กลุ่มอะไร?”
“ก็.. ความสัมพันธ์ของนักเรียนส่วนใหญ่ จะคบกันตามกลุ่มหรือลักษณะนิสัยที่พวกเขาเป็น ยกตัวอย่างง่ายๆ เรามีกลุ่มเด็กอาร์ต กลุ่มเด็กพังค์ กลุ่มเด็กร็อค กลุ่มเด็กบาสเก็ตบอล กลุ่มเด็กสเก็ต กลุ่มเชียร์หลีดเดอร์ กลุ่มเด็กไฮโซ กลุ่มหนุ่มฮ็อต กลุ่มเด็กซิ่งรถ กลุ่มเด็กว่ายน้ำ กลุ่มเด็กเรียบร้อย กลุ่มเด็กเฉิ่ม กลุ่มเด็กขี้ยา กลุ่มเด็กบ้า กลุ่มเด็กขี้แพ้ กลุ่มเด็กการละคร และท้ายที่สุด…” เนธานเว้นระยะหายใจสักสักพักก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ดังกว่ากลุ่มก่อนอย่างจงใจ “กลุ่มผู้ซึ่งใฝ่รู้ทางด้านการเรียนรู้ และวิชาการ” ซึ่งผมแน่ใจว่าเขาอยู่กลุ่มสุดท้ายที่ว่านี้
“เหมือนชมรมน่ะเหรอ?
“เปล่า ไม่ใช่ชมรมหรอก นั่นนายต้องไปเลือกเอาเองตามที่หน่วยกิตกำหนด แต่กลุ่มที่ว่านี้เป็นเหมือนการเลือกคบเพื่อนมากกว่า ซึ่งเป็นหน้าที่ของเด็กใหม่อย่างนาย ที่จะเลือกคบใคร กลุ่มไหน และฉันหวังอย่างยิ่งว่า นายจะสนใจมาเป็นเพื่อนกับฉัน.. ฉันหมายถึง เราเป็นญาติกันใช่ไหมล่ะ? มันอยู่ในสายเลือด เอาล่ะ ถ้านายสนใจ กลุ่มของเราจะชอบมาอ่านหนังสือกันทุกๆเย็นในห้องสมุดเพื่อเพิ่มพูนความรู้และถกเถียงเรื่องวิชาการต่างๆ ฉันมีลางสังหรณ์แน่ๆว่านายจะมา ใช่ไหม?....”
“เอ่อ…” ผมไม่อยากจะพูดไปตรงว่า กลุ่มของเขาน่ะ น่าเบื่อตั้งแต่ชื่อแล้ว… และในขณะที่ผมกำลังคิดหาคำตอบ บางอย่างก็เกิดขึ้น จู่ๆเหล่านักเรียนตามทางเดินก็พร้อมใจกันถอยหลังติดกำแพงเพื่อให้เกิดช่องว่างตรงทางเดิน ราวกับจะมีการรับเสด็จเจ้าชายหรือเจ้าหญิงยังไงอย่างนั้น และไม่ทันที่ผมจะดูอะไรให้ชัด แสงสว่างก็เปร่งประกายมาแต่ไกล เป็นนักเรียนหญิงสามคน ที่หลับตาก็ยังพูดได้เลยว่าพวกเธอสวยมาก ทั้งสามคนเดินเรียงแบบหน้ากระดาน เดินช้า แบบมั่นใจสุดๆ ราวกับทางเดินนี่เป็นแคทวอร์ค (ผมรู้สึกว่าพวกเธอจะเดินสโลโมชั่นหน่อยๆด้วยนะ) ทุกที่ที่พวกเธอเดินผ่าน เหล่านักเรียนก็จะยิ้มให้ ทั้งสามแต่งตัวเปรี้ยว และบอกได้เลยว่า แค่ต่างหูที่พวกเธอสวมยังแพงกว่าชุดที่ผมใส่รวมกันเสียอีก
“กลุ่มนางพญา” เนธานกล่าวสั้นๆ “กลุ่มที่มีอิทธิพลที่สุดของโรงเรียน ฉันขอเตือนไว้เลยนะ ว่าอย่าไปยุ่งกับพวกเธอดีกว่า พวกเราต่างราวฟ้ากับเหว” เนธานพูดพลางมองเด็กสาวกลุ่มนั้นอย่างเหม่อลอย ไม่ใครคนใดคนหนึ่งนี่เหละ ที่เนธานคงแอบชอบอยุ่ พอสาวๆ พวกนั้นเดินเข้าห้องเรียนไป ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติสุข เนธานกล่าวลาแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เขาคงลืมเรื่องที่เขาถามผมไปแล้ว ก็ดีเหมือนกัน ผมถอนหายใจยาว ก่อนจะหยิบกุญเจขึ้นมาใขล็อคเกอร์ แล้วเปิดตู้ แต่ทว่า… เปิดไม่ออก? ผมพยายามอีกครั้ง แต่ตู้ก็ติด หรือว่าต้องใช้ระบบสแกนดวงตาอะไรหรือเปล่า? ผมพยายามมองหาคนช่วย แต่นอกจากสายตาที่มองมาแล้ว ก็ไม่มีใครมาช่วยสักคน เริ่มมาวันแรกก็ซวยซะแล้ว ไหงเป็นงี้ตลอ….
“ปัง!!”
จู่ๆก็มีมือปริศนาพุ่งเข้ามา กระแทกใส่ล็อคเกอร์ของผมอย่างแรง ผมตกใจสะดุ้งโหยง พอเงยหน้ามองก็พบกับชายคนหนึ่ง อายุเท่ากัน แต่เขาตัวสูงมาก ตัวใหญ่มากด้วย กำลังจ้องมาที่ผมแบบไม่วางตา กล้ามงี้เป็นมัดๆ สวมเสื้อโค๊ทที่พวกนักกีฬาเขาใส่กัน อย่าบอกนะว่าโรงเรียนนี้ก็มีพวกนักกีฬาขี้แกล้งด้วยนะ โอยย นึกว่ามันจะจบแล้วเสียอีก
“เฮ้! ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ” เขาเปลี่ยนจากหน้าตาหน้ากลัว กลายเป็นยิ้มแบบเป็นมิตร ผมมองสักพักจึงผ่อนคลายลง ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่คนไม่ดีนะ หมอนี่มีผมสีดำสั้น ถูกจัดทรงแบบชี้เท่ๆ หน้าตาหล่อเหลาแบบเข้มๆ ผิวคล้ำ ๆไว้หนวดสั้นๆ ตาสีฟ้าแบบเดียวกับเนธาน แล้วก็ผมด้วย…
“ฉันชื่อ คริสเตียน ฟิตซ์ เรียกฉันว่า คริส ก็แล้วกัน” เดี๋ยวนะ? หมอนี่ก็เป็นคนในตระกูลฟิตซ์เหรอ? “ เอ่อ ฉันชื่อ แม…”
“ฉันรู้ นายคือ แมต ฟิตซ์ ป่านนี้คงรู้กันทั่วทั้งโรงเรียนแล้วล่ะ” เขาเอามือมาวางบนบ่าผมราวกับสนิทกัน “ล็อคเกอร์ตู้นี้น่ะ ต้องทุบแรงๆ สักรอบนึงก่อนถึงจะเปิดได้นะ”เขายิ้มให้อีก หมอนี่ดูจะท่าทางเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเล็กๆ ไม่แปลกใจเลย ที่จะมีสายตาหลงใหลจากสาวๆ แผ่มาทางด้านหลัง ผมขอบคุณเขาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถามต่อ
“ฝีมือบาสของนายเป็นไงบ้าง”
“อะไรนะ?... บาสเหรอ?” เหอะๆ ไม่ต้องถามเรื่องกีฬาผมหรอก ห่วยแตกชนิดที่ว่า เด็กขี้แพ้เรียกพี่ ผมเงียบไปสักพัก เขาจึงเสริมว่า “ฉันเป็นกัปตันทีมบาสเก็ตบอลของโรงเรียนน่ะ เราเป็นที่หนึ่งในระดับรัฐติดต่อกันมาตลอดสิบสมัยแล้ว และปีนี้เราจะเป็นปีที่สิบเอ็ดแน่ๆ ถ้าได้นายเข้าร่วมทีม ฉันมั่นใจเลยล่ะ!”
“ฉันว่า… นายกำลังเข้าใจอะไรผิดนะ คริส..” เอาแค่รูปร่าง เตี้ยขนาดที่เขาต้องก้มหน้าคุยก็ไม่ผ่านแล้ว ผมคงจะกลายเป็นตัวซวยของทีมล่ะสิไม่ว่า “ไม่ผิดหรอกน่า คนตระกูลฟิตซ์น่ะ ได้เป็นกัปตันทีมบาสทุกปี เราถึงได้ชนะทุกปีไง ฉันรู้ว่านายมีพรสวรรค์ เพื่อน! มาอยู่กับทีมบาสของพวกเราสิ พวกเราเฮฮา เป็นกันเอง แถมสาวๆกรี๊ดตรึมเชียวนะ อย่าลืมมาคัดตัวล่ะ ฉันเชื่อใจนาย มันอยู่ในสายเลือด!”
ดูท่าผมคงจะได้เลือดนั่น มาแบบเจือจางมากๆเลย นี่เป็นเหตุบังเอิญรึเปล่า ที่มีคนสกุล ฟิตซ์ ตั้งสองคน คนหนึ่งก็เป็นประธานนักเรียน อีกคนก็เป็นถึงกัปตันชมรมทีมบาส! ผมหมายถึง กัปตันชมรมทีมบาส เป็นอะไรที่เด็กอย่างเราๆรู้กันทั่วไปดีว่า มันคือตำแหน่ง สำหรับหนุ่มที่ฮ็อตที่สุดของโรงเรียนเท่านั่น! ผมว่า นี่เหละ คงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้คนอื่นมองผมแปลกๆ พวกเขาคาดหวังว่า ‘ฟิตซ์’ อีกคนที่จะเข้ามา คงจะเจ๋งแบบสองคนนี้แน่ แต่โทษที ที่ความหวังของพวกเขาคงพังทลาย
“เราเรียนวิชาเดียวกันนี่ มาสิ เดินเข้าห้องเรียนกับฉัน” คริสว่า แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ นามสกุลเดียวกัน ก็เลยสนิทกันได้ง่ายๆ ยังไม่ทันเข้าเรียนก็มีเพื่อนสองคนแล้ว บางที ชีวิตในโรงเรียนใหม่คงจะไม่แย่เท่าที่คิด ผมเดินตามเขาเข้าห้องเรียนวิชาแคลคูลัส และไม่รู้เป็นเหตุบังเอิญอีกหรือเปล่า ที่เหลือเก้าอี้แถวสุดท้ายอยู่ตัวเดียวเท่านั้น ห้องเรียนที่นี่เล็กพอสมควร มีหกแถวหน้ากระดาน แถวละสี่ตัว ยังไม่ทันที่ผมจะไปนั่ง ก็มีเด็กจากกลุ่มต่างๆ มาทาบทามให้ผมไปอยู่ด้วย อาทิเช่น กลุ่มนักถ่ายรูป(ผมมือสั่น ถ่ายเบลอตลอด) กลุ่มเด็กอาร์ต(ศิลปะผมห่วยแตก) กลุ่มเด็กขี้ยา(ก็น่าสนนะ) กลุ่มไสยศาตร์วูดู(เอาไว้โลกหน้าเหอะ) กลุ่มเด็กขี้แพ้(สวัสดี สหาย!) และอีกคนที่เข้ามาคือ
“โอ้ นั่นไง แมต ฟิตซ์ คนดังมาแล้ว” จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงออร่าสว่างจ้ามาแต่ไกล หนุ่มอีกคนเดินเข้ามาในห้อง ผมไม่ใช่เกย์หรอกนะ แต่ต้องยอมรับว่าหมอนี่มันหล่อมาก แต่คราวนี้ผมรู้สึกคุ้นหน้าเขาแบบแปลกๆ เขาสูงพอๆ กับคริส แต่ผิวขาวอย่างกับตุ๊กตา ในขณะที่คริสผิวคล้ำหน่อยๆ ตัวก็ล่ำ แต่ล่ำแบบพอดี และหมอนี่ก็ไว้ผมสีดำ แต่ย้อมทอง ยาวประบ่า ผูกหางมาแบบเดียวกับผม ไม่ต้องพูดถึงตาสีฟ้าด้วย อย่าบอกนะว่า…
“ฉันชื่อ อเล็กซ์ ฟิตซ์ แต่โปรดเรียกฉันว่า อเล็กแซนเดอร์ ไมเยอร์ ฟิตซ์ นะ”
“หา?... ในโรงเรียนนี้ยังมีคนตระกูลฟิตซ์อีกกี่คนเนี่ย?” ไม่เข้าใจเลยจริงๆ หรือตระกูลผมจะมาตั้งรกรากไว้ที่เมืองนี้ก็ไม่รู้สิ แล้วอีกอย่าง ไหงชื่อเล่นของหมอนี่ ถึงยาวกว่าชื่อจริงล่ะเนี่ย?
“อันที่จริงก็มีนะ… คนที่มีนามสกุลฟิตซ์อีกคน ครูใหญ่โรงเรียนนี้ไง นายไม่รู้เหรอ? ซาลลัสซา คราวด์ ฟิตซ์”
พระเจ้า นี่มันโรงเรียนของพวก ฟิตซ์จริงๆ แล้วก็เป็นฟิตซ์ที่เจ๋งสุดๆด้วย มิน่าล่ะ ฟิตซ์อีกคนอย่างผมถึงตกเป็นที่ต้องการ สรุปคือผมดังเพราะนามสกุลสินะ.. คิดแล้วมันอยากจะร้องให้จริงๆ….
“ฉันได้ข่าวมาว่า นายลงเรียนวิชาการละครใช่ไหม? ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีอะไรแบบนี้! ในที่สุด ก็มีคนเห็นความสำคัญของวิชาการละคร ฉันมองเห็นเลยว่าดาวดวงใหม่กำลังรอวันเจิดจรัสบนฟ้า! แต่เอ่อ… ถึงนายจะดู…. เตี้.. ตัวเล็ก นิดหน่อย เราก็คงจะหาบทเด่นๆให้นายได้แน่นอน อ๊ะ! ฉันรู้แล้ว เราจะแสดงเรื่อง สโนไวท์ กับคนแคระทั้ง 7 กัน!”
“ให้ฉันเป็นคนแคระเหรอ?”
“เปล่า ให้นายเป็นสโนไวท์….”
“เฮ้ย!! จะบ้าเรอะ” ผมตาโต ตกลงชมรมของนายคือชมรมมิสติฟฟานี่ คาบาเร่โชว์ อะไรประมาณนั้นรึไง? “งั้น…เอ่อ เอาไว้ฉันจะคิดดูอีกทีก็แล้วกันนะ เอ้อ ว่าแต่ ทำไมฉันคุ้นหน้านายจังเลยนะ?” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไม่แปลกหรอก นายคงจะเห็นฉันจากป้ายนั้นหรือเปล่าล่ะ?” อเล็กซ์ ชี้นิ้วออกไปนอนหน้าต่าง ผมมองต่าง ก็เห็นแต่วิวของตึกราบ้านช่อง แต่พอมองดูดีๆ ก็เจอกับป้ายโฆษนาน้ำหอมอันใหญ่ยักษ์ ซึ่งแน่นอนว่า นายแบบที่ทำหน้าตานิ่งๆ เท่ๆ แล้วก็มีสาวๆมาคลอเคลียรอบรอบในรูปนั้นก็คือ…..
“ฉันรับจ๊อบเป็นนายแบบน่ะ ช่วงนี้มีคนมาทาบทามให้ไปเล่นละครซีรีย์ด้วยนะ” ผมฟังแล้วนั่งตัวแข็ง สรุปว่า ฟิตซ์คนนี้ เป็นนายแบบสินะ ให้ตายสิ ไหงผมถึงไม่มีอะไรเด่นๆกับเขามั่งเนี่ย? อเล็กซ์ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ฉันหวังอย่างยิ่งว่า นายจะสนใจ มาเข้ากลุ่มนักแสดงมากฝีมือกับพวกเรา ฉันรู้วิธีที่จะทำให้นายดูดีขึ้นได้ ดูสิ นายมีบางอย่างเปล่งประกายมาจากภายใน วันนี้ ตอนเย็นๆ ถ้านายว่าง ก็มาคุยเล่นกับพวกเราที่โรงละครนะ” ผมฟังแล้วก็พยักหน้าเบาๆ เพื่อที่เขาจะได้ไปเสียที ทำไมเด็กที่นี้ถึงได้บ้ากลุ่มอะไรกันขนาดนี้ ทำไมต้องแยกกลุ่ม ทำไมคนเราที่มีความชอบไม่เหมือนกันจะคบกันไม่ได้ จะเป็นเพื่อนกันไม่ได้ ที่นี่แปลกชะมัด… ขอย้ำอีกที แปลกจริงๆ…
ในขณะที่ผมกำลังนั่งครุ่นคิดอยู่ มือเล็กๆก็สะกิดผมเบาๆ จากด้านข้าง
“แมต ฟิตซ์ ใช่ไหม?” เด็กสาวคนนึงกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวล ผมหันควับไปดู โอ้ พวกสาวๆ กลุ่มนางพญานี่นา! นั่งพร้อมหน้ากันสามคนเลยด้วย มิน่าล่ะ ตรงนี้ถึงเป็นที่นั่งเดียวที่ว่าง คงเพราะไม่มีใครกล้านั่งกับพวกเธอสักคน ไม่ใช่ว่าพวกเธอจะดูดุหรืออะไรหรอกนะ แต่คงเข้าใจใช่ไหมล่ะ? คนที่นั่งกับสาวๆพวกนี้ คงจะดูหมองลงไปแบบมากพิกล
“เอิ่ม… ใช่ อย่าบอกนะว่า.. มีใครคนใดคนนึงในกลุ่มเธอ มีนามสกุลฟิตซ์ และอย่าบอกนะว่า เธอจะชวนฉันเข้ากลุ่มนางพญานะ?” หญิงสาวฟังจบก็ขมวดคิ้ว ราวกับความคิดของผม เป็นความคิดที่แย่ที่สุดในโลก ซึ่งมันก็จริง
“ไม่… และ ไม่” เธอยิ้ม แต่ยิ้มแบบแหยๆ “ฉันรู้ และเข้าใจว่านายเป็นคนดังคนใหม่ล่าสุดของโรงเรียนนี้ นายเองก็คงจะเห็นแล้ว พวกฟิตซ์ที่นี่น่ะ แทบจะคุมโรงเรียนแทนพวกเราอยู่แล้ว ยังดีที่เราคอยคานอำนาจไว้ได้บ้าง แต่ก็ช่างเถอะ” ยังไม่ทันที่เธอจะพูดต่อ ผมและเธอก็สังเกตได้ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของเด็กทั้งห้อง (และนอกห้องด้วย) หญิงสาวกรอกตาทีนึงแล้วส่งสัญญาณให้สาวๆเพื่อนเธอ จากนั้นทั้งสามคนก็ลุกจากที่นั่ง แล้วเดินเข้ามารุมล้อมที่โต๊ะผมคนเดียว แบบใกล้ชิดมาก มากจริงๆ
“เอาล่ะ” เธอพูดเสียงเบาจนแทบกระซิบ “ที่ฉันจะบอกกับเธอก็คือ… “ หญิงสาวหันหน้าหันหลังด้วยความระแวง.. “เราอยากให้นายช่วยอะไรเราหน่อย…”
“ช่วย… เหรอ? ฉันเนี่ยนะ จะช่วยอะไรพวกเธอได้?”
“แน่นอนเลยล่ะ ทั้งสามขยับตัวเข้ามาใกล้อีก จนผมเริ่มอึดอัด “ฉันอยากให้นายช่วยสืบ… สืบความลับ”
ความลับเหรอ? ฟังคำนี้แล้วมันตื่นเต้นพิกล หวังว่าคงไม่ใช่ความลับ จำพวก สาวคนนั้นมีแฟนเป็นใคร หรือเธอคนนั้นใช้น้ำหอมกลิ่นอะไร กระเป๋าของยัยนั่นของเก๊หรือของจริง หรอกนะ ถ้าแบบนั้นเตรียมตัวชิ่งได้เลย
เด็กสายถอนหายใจยาว ราวกับกำลังชั่งใจว่าจะพูดหรือไม่พูดดี เพื่อนที่เหลืออีกสองคนของเธอก็พยายามพยักหน้าให้เป็นสัญญาณว่าพูดต่อเถอะ “ฉันรู้……… ว่าศพทั้งแปดที่ถูกฆาตกรรมในข่าวน่ะ ตายเพราะอะไร” เธอกล่าว ผมสะดุ้งเล็กน้อย ภาพของศพทั้งแปดกลับมาวนเวียนในหัวอีกครั้ง คราวนี้ผมจึงยืดหันไปฟังพวกเธออย่างตั้งใจ ตั้งใจมากๆ ทั้งสามดูมีท่าทางที่เครียดลง บรรยากาศเปลี่ยนเข้าไปสู่โหมดซีเรียส และนอกจากเสียงลมแล้ว ผมก็ไม่ได้ยินเสียงใครอื่นพูดอยู่อีก ขนนั้นลุกไปเองกับเรื่องที่พวกเธอกำลังจะบอก
“ความลับ…. ความลับของ ‘รอยยิ้ม’...” แล้วสาวทั้งสามก็มองกันและกัน ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ บนผนังในห้องนั้น อักษรที่เขียนด้วยเลือด… ใช่แล้ว มันเขียนว่า จาก ‘รอยยิ้ม’
ในวินาทีนั้นเอง ที่ผมตระหนักว่า เรื่องอันแสนโหดร้ายได้รับผมเข้าไปอยู่ในอ้อมอกแห่งความสะพรึงเสียแล้ว…
ความคิดเห็น