คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 :: โทเทมกับเครื่องขนส่งมวลสารแบบย้อนกลับ
ความมืดทวีขึ้นทุกขณะ ผมเขย่งขาไปเรื่อยๆ ตามถนนร้างอย่างเชื่องช้า ไม่ทันใจเอาเสียเลย ผมจะต้องกลับไปให้ถึงฐานใต้ดินก่อนตะวันจะลาจาก มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นในเมืองเสมอยามที่มันเข้าสู่ตอนกลางคืน ผมไม่เคยอยู่ในเมืองจนดึกดื่นขนาดนี้ ทุกอย่างต่างจากตอนกลางวันมาก ความน่ากลัวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อเรามองอะไรไม่เห็น ตึกรอบข้างอาจเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ประหลาดเมื่อไหร่ก็ได้
มีเสียงเห่าหอนของหมาป่า
ผมจะบอกให้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหมาป่าเจ้าถิ่นเจอเหยื่ออย่างคุณ มันจะกรูกันเข้ามาด้วยความว่องไวปราดเปรียวอย่างน่าพิศวง แล้วมันจะตีวงรายล้อมรอบตัวคุณ ดาหน้าเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ขู่แฮ่ๆ น้ำลายไหลหยดลงพื้น จากนั้นตัวจ่าฝูงก็จะเป็นคนเปิดงาน มันจะเข้ามากัดหว่างขาคุณ… ใช่ หมาป่าชอบกัดตรงนั้นของมนุษย์เสมอแหละ หรือบางทีส่วนนั้นของมนุษย์อาจจะอร่อยที่สุดก็เป็นได้ คงจะเป็นการตายที่น่าสรรเสริญอย่างยิ่ง… ลองนึกถึงงานศพของคุณ ที่มีป้ายสีดำติดอักษรตัวใหญ่ๆ หน้าทางเข้างานว่า ‘โดนกัดหว่างขาตายจ้า!’ ดูสิ
รู้ไหม… ผมมีลางสังหรณ์มาตั้งแต่แรกแล้วว่าวันนี้ผมไม่ควรขึ้นมาข้างบนเลย เหมือนที่คนโบราณเคยว่าไว้
“หากแคะขี้มูกสามครั้ง แล้วเลือดไม่ไหล อย่าออกจากบ้าน โบราณท่านสอน”
โอเค ผมโกหก คนโบราณไม่พูดเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นหรอก แต่ผมก็มีลางสังหรณ์จริงๆ นะ ตอนที่ลุกจากเตียงผมรู้สึกมวนๆ ท้องแปลกๆ อารมณ์เหมือนในวันที่มีเมฆครึ้ม ฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วจู่ๆ หญิงสาวที่สวมชุดกันฝนถือร่มครบเซ็ตมาทักทายคุณว่า ‘สวัสดีค่ะ วันนี้อากาศดี๊ดีเนอะ’ นั่นแหละ คือตอนที่คุณรู้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
แต่ในท่ามกลางความโชคร้าย ยังมีรางวัลปลอบใจประหนึ่งจะตบหัวแล้วลูบหลัง
ผมได้ชิปมาแล้ว! ใช่ ชิปจากหมวกโพรงกระต่ายของแท้และแน่นอน ผมตามหาไอ้สิ่งนี้มาเป็นปีๆ ค้นทั่วเมืองทุกซอกทุกมุม แล้วสุดท้ายผมก็ต้องเกือบแลกชีวิตเพื่อให้ได้มันมา แต่มันก็คุ้มค่า เพราะมันคือตั๋วที่จะพาพวกเราหลุดพ้นจากหายนะทั้งปวง มันคือชิ้นส่วนสุดท้ายสำหรับสิ่งประดิษฐ์กู้โลก ผมสัมผัสได้ในทันทีเลยว่าชะตากรรมของมนุษยชาติกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว เรามีความหวังแล้ว!
ผมไม่รีรอ รีบเร่งรุดตรงไปยังฐานของตัวเอง ผมเห็นทางเข้าอยู่ไม่ไกล มันอยู่ตรงนั้นเพียงแค่เอื้อม ระยะห่างระหว่างเราลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งผมก้มลง ยกซากปูนก้อนนึงออก เผยให้เห็นโพรงใหญ่ๆ สามารถลอดเข้าไปได้ ผมก้มหัว คลานสี่ขาเข้าไปอย่างผู้ชนะ ผมกลับถึงฐานได้สำเร็จด้วยสภาพที่ดูจะสะบักสะบอม
มีปืนสองกระบอกจ่อหัวผมอยู่เป็นการต้อนรับ ผมเงยหน้าช้าๆ พบกับลุงสองคนที่เฝ้าเวรยาม ทันทีที่พวกเขารู้ว่าเป็นผม ทั้งคู่ลดระดับปืนลง แล้วรีบช่วยให้ผมทรงตัวลุกขึ้นยืน
“อาคินทร์!! เธอนี่เอง เธอยังไม่ตาย!!” ลุงคนหนึ่งกล่าว “กะแล้วว่าไอ้หนุ่มอย่างเธอน่ะมันหนังเหนียว ฉันพนันไว้กับน้องชาย หมอนั่นต้องหน้าหงายแน่ๆ รีบลงไปรายงานตัวข้างล่างเดี๋ยวนี้เลย ทุกคนรวมตัวอยู่ที่ชานชาลา พวกเขานึกว่าเธอเสร็จมันแล้ว กะว่าจะจัดงานศพให้เธออยู่เลยด้วยซ้ำ”
ผมพยักหน้า แค่นยิ้มแห้งๆ คิดอยู่ว่าควรให้พวกเขาจัดงานศพผมให้เสร็จก่อนดีหรือเปล่า จะได้ไม่เป็นการเสียน้ำใจ ผมปัดเศษฝุ่นเศษทรายออกจากตัว ลุงทั้งสองตบหลังตบไหล่ผมเบาๆ เพื่อแสดงความยินดี จากนั้นผมก็เดินลงบันไดไปข้างล่าง เอามือจับราวเพราะขายังเจ็บ
เป็นอย่างที่พวกเขาว่าจริงๆ ทุกคนในกลุ่มกำลังยืนล้อมกันเป็นวงอยู่ที่ชานชาลา ต่างคนต่างจับมือกัน มีเทียนไขหลายเล่มตามจำนวนคนที่ยังเหลือตั้งอยู่กลางวง พวกเขาดับไฟแล้วปล่อยให้แสงเทียนส่องสว่างไปทั่วใต้ดิน จากนั้นแต่ละคนก็จะสวดภาวนาส่งให้ผมไปสู่สุขติ มันให้ความรู้สึกแปลกๆ ที่ผมกำลังยืนมองงานศพของตัวเอง ลุงโจดูจะโศกเศร้ากว่าใครเพื่อน เขาก้มหน้าลงต่ำอย่างเซื่องซึม
“ฮัลโหล…“ ผมตัดสินใจกล่าวออกไปเบาๆ ยังอุตส่าห์จะมีคนทำท่าถลึงตาใส่เพื่อบอกว่าผมเสียมารยาทที่มาขัดจังหวะพิธีสำคัญ ใช้เวลาสักพักกว่าที่ทุกคนจะเริ่มรู้ตัว ปฎิกิริยาแรกคือพวกเขาแสดงสีหน้าเหมือนกำลังเห็นผี ต่อมาคือแปลกใจ ส่งเสียง ‘อ้าว’ แล้วจากนั้นวงก็แตก ต่างคนต่างกรูกันเข้ามาส่งเสียงร้องเฮโล ทุกๆ คนยิ้มได้ในที่สุด
“อาคินทร์!!” ลุงโจวิ่งนำ อ้าแขนสองข้างออก ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไร ผมจะถอยหนี แต่เขาตระครุบผมไว้ได้ทัน ผมกลายเป็นเหยื่อที่ติดเบ็ด ลุงโจใช้แขนล่ำๆ สองข้างกอดรัดผมแน่นจนหายใจไม่ออก เอาเคราแหลมๆ มาถูหน้าผมอย่างเอ็นดู “โถ่ ใจหายหมดเลย ไอ้ตัวเล็ก นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว ฉันขอโทษ ฉันผิดเองที่ทิ้งเธอไป”
“ไม่เป็นไรครับลุง” ผมพูดตอนที่เขาปล่อยผมลง เอามือข้างนึงลูบแก้มข้างที่แดงเพราะโดนเสียดสี พยายามจะไม่ทำลายบรรยากาศอันแสนจะปลื้มปีติน่ายินดี หลายคนเดินเข้ามากอดผมต่อ ต้อนรับการกลับมาของผมอย่างอบอุ่น “ผมฆ่ามันได้ด้วยนะ ผมฆ่าผู้เก็บเกี่ยวได้ ผมใช้ปืนไรเฟิลยิงทะลุหน้าผากของมัน แล้วมันก็ตาย ผมถึงรอดมาได้”
“ว่าไงนะ!” มีเสียงหลายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ผมคิดไว้แล้วว่าพวกเขาต้องแปลกใจ บอกว่าไดโนเสาร์คืนชีพยังน่าเชื่อกว่าอีก
จากนั้นผมก็ถูกจับตัวให้นั่งลง หมอประจำกลุ่มรีบทำการปฐมพยาบาลให้ในขณะที่ผมกำลังเล่าถึงวีรกรรมที่ประสบมา ทุกคนยืนอยู่ตรงนั้นตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็เกือบจะกลายเป็นมัมมี่ที่มีผ้าพันแผลอยู่รอบตัว ผมบรรยายอย่างละเอียดทีละฉาก ตั้งแต่ตอนที่ถูกต้อนจนมุมด้วยเพลิง จนถึงตอนที่พลิกสถานการณ์ยิงปืนเข้าหน้าผากผู้เก็บเกี่ยว ผมโชว์ของที่เก็บมาได้จากร่างของเขา มีสมุดจดบันทึกอะไรสักอย่าง คนนึงในกลุ่มอาสาเอามันไปถอดความ คนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ดูจะถูกใจคฑาที่ผมหยิบติดมือมามาก จนกระทั่งของอย่างสุดท้ายที่น่าเรียกเสียงฮือฮาที่สุดคงจะหนีไม่พ้นชิป
ชิปหาย!!
ผมรีบค้นกระเป๋ากางเกงของตัวเอง และมันไม่อยู่ตรงนั้น! ผมจำได้ว่าผมเก็บมันใส่กางเกงของตัวเองอย่างดี มันจะหายไปได้ยังไง? ผมผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินหามันไปทั่วชานชาลา ทุกคนสงสัย ไม่แน่ใจว่าผมทำอะไรอยู่ สภาพผมคงเหมือนแมวโดนน้ำร้อนลวกแล้วดิ้นแด่วๆ ผมก้มมองพื้น ควานหาชิปอย่างลุกลี้ลุกลน จนกระทั่งเจอมันตกอยู่ที่ขั้นบันไดแรก ตอนผมลงเดินมาใต้ดินคงเผลอทำตก ผมถอนหายใจเอามือทาบอก กำชิปแน่นไว้ในมือ เลิกล้มความคิดที่จะเอามันไปโม้ให้คนอื่นฟังแล้ว ผมอยากให้แม่เห็นของชิ้นนี้เป็นคนแรกมากกว่า
ผมเดินไปเรื่อยๆ จนหยุดอยู่หน้าห้องปฎิบัติการ มันเคยถูกใช้เป็นห้องควบคุมรถไฟฟ้าใต้ดินในสมัยก่อน ผมลองเคาะประตูสองสามที แล้วจากนั้นก็ตัดสินใจถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ปรากฎให้เห็นสภาพห้องที่เกินกว่าใครจะจินตนาการออก บางทีห้องนี้อาจได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมเทคโนโลยีที่ยังใช้งานได้มากที่สุดในโลกยุคนี้
ห้องทั้งห้องเป็นสีขาวสะอาดเพราะได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ด้านซ้ายมีคอมพิวเตอร์สี่ห้าเครื่อง แต่ละเครื่องมีตัวเลข เส้นกราฟและตัวอักษรวิ่งไปมาบนหน้าจอ ด้านขวาเป็นโต๊ะใหญ่ๆ ที่มีอุปกรณ์งานช่างครบชุด ค้อน ไขควง น็อต สว่าน เศษเหล็กที่ถูกตีเป็นรูปร่างต่างๆ มีกลุ่มสายไฟกลุ่มนึงระโยงระยางไปทั่วเพดานแล้วแผ่ไปรอบห้อง
สิ่งที่เด่นที่สุดคืออุปกรณ์ที่อยู่ตรงใจกลางห้อง กระบอกแก้วหลอดใหญ่ๆ มีแท่นให้เข้าไปยืนได้อยู่ข้างใน สายไฟจำนวนหนึ่งไปหยุดอยู่ที่หัวกระบอก ข้างๆ มีเครื่องประดิษฐ์แปลกๆ รูปร่างสี่เหลี่ยม มีหน้าจอและแป้นพิมพ์ให้กด ของทุกอย่างเป็นผลงานของแม่และนักวิศวกรอีกคน พ่อรับผิดชอบเรื่องการใส่โปรแกรมเข้าไป ส่วนเรื่องวัสดุผมเป็นคนหาเองเกือบหมด
ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งคุยกันอยู่ตรงมุมห้อง แน่ล่ะ… ต้องเป็นพ่อกับแม่ของผมเอง ทั้งคู่ไม่ได้เข้าร่วมงานศพ(ปลอมๆ) ของผม แม่กำลังร้องไห้หรือเปล่านะ? หรือแค่เศร้า ผมเห็นไม่ชัดเพราะแม่หันหลังให้ แม่เป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนใคร ผมตรงของเธอสีดำยาว แม่เป็นคนตัวเล็ก และอาจเป็นต้นเหตุเรื่องความสูงของผม แม่มักจะสวมชุดหมีสีน้ำตาลแบบนายช่าง กระเป๋าเสื้อมักจะพกอุปกรณ์เล็กๆ อย่างไขควง แม่ดูเป็นคนลุยๆ ไม่พูดจากับใครเท่าไหร่นอกจากพ่อ ผม และนักวิศวกรที่ช่วยเธอประดิษฐ์สิ่งของอีกคน
ส่วนพ่อเป็นคนตัวสูง เป็นชาวต่างชาติ ผิวขาว สีผมกับสีตาของเขาออกน้ำตาลอ่อนๆ นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมได้จากพ่อ เทียบกับแม่แล้วพ่อดูจะเป็นคนปกติ บางทีอาจจะง่วนอยู่กับหน้าจอคอมมากไปหน่อย แต่พ่อเป็นคนอัจฉริยะ และเป็นต้นแบบของผม เขาคือคนที่สอนให้ผมรู้เรื่องระบบของโลกออนไลน์ สอนวีธีใช้เทคโนโลยีหลายอย่าง สิ่งนึงที่พ่อชอบคือการเล่ามุกตลกที่ไม่ค่อยขำ แต่ห้ามบอกพ่อผมเด็ดขาดนะว่ามันไม่ขำ เขาจะรู้สึกเสียศูนย์ไปเป็นวันเลย
“เขาจะต้องปลอดภัย” พ่อกระซิบพลางลูบหลังแม่ ผมคิดว่าทั้งคู่กำลังกังวล น่าจะเป็นเรื่องของผม
“ลูกเป็นคนเก่ง ลูกต้องรอด” แผ่นหลังแม่กำลังสั่น แม่ร้องไห้จริงๆ ผมไม่รีรอเลยที่จะส่งเสียง ไม่อยากให้แม่เศร้าไปมากกว่านี้ อยากให้แม่รู้ว่าผมไม่เป็นไร พ่อเหลือบตาหันมาเห็นผม เขาเบิกตาโต จากนั้นรีบสะกิดแม่แรงๆ ทั้งคู่เห็นผมที่ยืนยิ้มอยู่หน้าประตู เราโผเข้ากอดกัน ค้างอยู่อย่างนั้นนานหนึ่งนาที แม่เช็ดน้ำตาแต่ยังไม่ยอมปล่อย ส่วนพ่อรีบซักถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“ผมฆ่ามันได้ พ่อ…” ผมหันไปบอก “ผมฆ่าผู้เก็บเกี่ยวได้”
พ่อนิ่งไประยะหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเขารู้สึกอย่างไร คงอารมณ์ประมาณแปลกใจปนโล่งใจ ผมพยายามเอามือของแม่ที่รัดตัวอยู่ออก จากนั้นก็รีบอธิบายส่วนที่เหลือ แบบเดียวกับที่ผมเล่าให้พวกข้างนอกฟัง แม่ดูไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เอาแต่ขัดผมหลังพูดจบทุกประโยคว่า ‘เห็นมั้ย ข้างนอกมันอันตราย’ จนกระทั่งถึงตอนเด็ดที่สุดที่ผมภูมิใจนำเสนอ ผมชูแผ่นชิปเล็กๆ ขึ้นมาตรงหน้า แล้วรอดูปฎิกิริยาของทั้งคู่ พ่อเอียงคอ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ในแทบจะทันที ส่วนแม่เฉยๆ แต่พอผมหันกลับมามอง ชิปก็ไม่อยู่บนมือผมแล้ว แม่คว้ามันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สิ่งที่ตามมาจากนั้นคือแม่ที่กำลังระเบิดเสียงกรีดร้องด้วยความดีใจ
แม่คุมอาการตัวเองไม่ได้ อยู่ไม่ติดที่ เดินไปรอบๆ แบบไม่มีจุดประสงค์ ถามพ่อย้ำซ้ำๆ ว่า ‘คุณเห็นใช่ไหม? เห็นเหมือนฉันใช่ไหม?’ ผมไม่เคยเห็นแม่ร่าเริงขนาดนี้มาก่อน เรื่องที่ผมเกือบตายเมื่อครู่ถูกลืมราวกับไม่เคยเกิดขึ้น แม่กระวีกระวาดเอาชิปอันนั่นไปทำอะไรสักอย่างตรงเครื่องประดิษฐ์ข้างหลอดแก้ว แม่เรียกนักวิศวกรอีกคนเข้ามา แล้วทั้งคู่ก็หมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้น ราวกับว่าบนโลกนี้ไม่มีใครอื่นอยู่อีกนอกจากพวกเขา
“ลูกไปเจออะไรมาอีก จากผู้เก็บเกี่ยวคนนั้น” พ่อลากผมไปนั่งตรงหน้าโต๊ะคอมของพ่อเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่น ผมนั่งนึก แล้วจำได้ว่ายังเหลือของอีกอย่าง จี้ห้อยคอรูปเปลวไฟ ผมหยิบมันขึ้นมา และมันยังร้อนอยู่เลย ตอนแรกผมนึกว่ามันร้อนเพราะโดนไฟของผู้เก็บเกี่ยวคนนั้น แต่ว่านี่มันเหมือนกับ… อัญมนีปล่อยความร้อนมาจากข้างในตัวมันเอง พ่อรับมามันดู อึดใจเดียว พ่อก็อุทานเบาๆ
“นี่คือโทเทม!”
“มันคืออะไรเหรอพ่อ? “ผมถาม พ่อทำเหมือนว่ามันสำคัญมาก
“ลูกจำเรื่องที่พ่อเล่าเกี่ยวกับโลกออนไลน์ได้ไหม?”
ผมส่ายหน้า ไม่แน่ใจว่าพ่อหมายถึงเรื่องไหน มันมีเป็นล้านๆ เรื่องที่พ่อเล่าให้ฟัง ผมมองจี้ไฟอันนั้นซ้ำ แล้วมีความรู้สึกเหมือนเห็นเพลิงที่ลุกโชติช่วงเป็นประกายอยู่ภายใน แสงของมันต้องตาผม เหมือนเข้าไปกระตุ้นให้ผมนึกถึงเรื่องของสิ่งที่เรียกว่า ‘โทเทม’ (Totem) “เดี๋ยวก่อน… มัน… เอ่อ คล้ายๆ กับ… ไอเทมประจำโลกออนไลน์… ทุกๆ คนจะมีโทเทมเป็นของตัวเองเมื่อเข้าสู่โลกนั้น… ใช่ไหม?”
“ลูกยังรู้น้อยมาก” พ่อบอก “มันคือสัญลักษณ์ประจำบุคคล คล้ายบัตรประจำตัวประชาชน ทุกๆ คนจะต้องมีมันหนึ่งอัน แต่ละคนจะมีไม่ซ้ำกัน โทเทมเป็นแหล่งพลังงาน หากอยู่ในเกม มันสามารถใช้เป็นอาวุธได้ โทเทมจะมีเอกลักษณ์ มีพลังที่ไม่เหมือนกัน มีความสามารถที่ไม่เหมือนกัน มันเป็นจุดเด่นของเกมที่สร้างความหลากหลายให้กับผู้เล่น”
“เดี๋ยวก่อน” ผมขัด นั่งตัวตรงขึ้นเล็กน้อย “พ่อหมายถึงทุกคนจะมีไอ้… นี่ ไม่เหมือนกัน แต่โลกออนไลน์มีคนเป็นล้านคนเลยนะ พ่อโปรแกรมมันยังไงให้มีไอ้นี่ตั้งล้านกว่าแบบ?”
“ลูกถามคำถามเดิมอีกแล้ว” พ่อยีหัวผมแรงๆ หนึ่งที “โทเทมจะอยู่ในรูปร่างของสิ่งของเล็กๆ บางครั้งก็เป็นสิ่งของที่สำคัญต่อจิตใจผู้เล่น เป็นของแทนใจที่สื่อความหมายบางอย่าง ความสามารถของมันจะถูกสุ่มโดยโปรแกรมอัตโนมัติเมื่อเราเข้าไปในเกมครั้งแรก พูดง่ายๆ คือโปรแกรมจะคิดความสามารถของมันขึ้นมาเอง พ่อไม่จำเป็นต้องคิดให้ โปรแกรมจะประมวลจากลักษณะนิสัยหรือบางครั้งก็แอบเจาะเข้าไปดูความทรงจำของผู้เล่นเพื่อสร้างมันขึ้นมา”
“พอก่อน” ผมบอก ยกมือห้ามไม่ให้พ่อพูดต่อ ผมรู้สึกปวดหัวกับข้อมูลจำนวนมากที่พ่อจะชอบอัดใส่หัวให้ผมประจำ ผมเบือนหน้าไปสักพักเพื่อขอเวลาทำความเข้าใจ กลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก “เอาล่ะ… ผมมีสองคำถาม ถ้าโปรแกรมคิดโทเทมขึ้นเอง แล้วขอบเขตอยู่ตรงไหน? ถ้าโทเทมของคนหนึ่งเก่งกว่าของอีกคนล่ะ… มันจะไม่ยุติธรรมเหรอ? อีกคำถามหนึ่ง ผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม ที่พ่อบอกว่าเกมสามารถเจาะเอาข้อมูลในสมองของเราได้!”
พ่อเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังคิดว่าจะอธิบายให้ผมฟังอย่างไรดี “เอาเรื่องโทเทมก่อน”
“โอเค”
“ความสามารถของโทเทมไม่มีขอบเขต มีสิทธิ์ที่โทเทมของคนหนึ่งจะดีกว่าของอีกคน ขึ้นอยู่กับบุคลิกเจ้าของ ถ้าเป็นคนไม่เอาไหน โทเทมก็อาจจะเป็นพลังที่พึ่งพาไม่ค่อยได้ ถ้าโดยรวม คนๆ นั้นมีบุคลิกที่น่ายกย่อง โทเทมก็จะดีขึ้นตามลำดับ ข้อเสียคือคนที่มีบุคลิกในทางลบ อย่างฉลาดแกมโกง ก็อาจมีโทเทมที่มีความสามารถในการช่วยอำนวยพฤติกรรมที่ไม่ดี”
“นั่นมันโกงชัดๆ ทุกอย่างจะต้องโกลาหลแน่ คนทนอยู่ในโลกออนไลน์ได้ยังไง?”
“มันเป็นแค่เกม ไม่มีใครตายในเกมจริงๆ เราเคยมีทีมคอยคุมควบคุมเหตุการณ์ทุกอย่างไม่ให้เกิดความวุ่นวาย ใครที่ทำอะไรผิดกฎจะโดนผู้ควบคุมบังคับให้ออกจากระบบ… แต่นั่นมันก็สมัยก่อน ตอนนี้พวกภาคียูนิตี้เป็นคนควบคุมทุกอย่าง ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“ใช่… เริ่มจะจำได้หน่อยๆ แล้ว” ผมพยักหน้า “แล้วอีกเรื่องล่ะ?”
“เรื่องนั้นสำคัญมากนะ ลืมได้ยังไง?” พ่อค้อนใส่ “เอาล่ะ… ในสมัยที่พ่อยังทำงานคุมโปรแกรมโลกออนไลน์อยู่ เรามีปัญหาเล็กๆ เกี่ยวกับเรื่องความสามารถในการเข้าถึงสมองของผู้เล่น เราเคยโดนกระแสต่อต้านในช่วงแรกๆ แต่สุดท้ายคนที่อยากเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์มีมากกว่า เราทำการแจ้งเตือนและขอคำยินยอมทุกครั้งจากผู้เล่นในเรื่องการเข้าถึงความคิด แต่สิ่งที่พวกเราไม่เคยบอกให้พวกเขารู้คือ… ความสามารถของมันไม่ได้มีแค่เข้าถึงสมอง มันทำได้มากกว่านั้น เราสามารถดึงความทรงจำออก ใส่ความทรงจำใหม่ ทำลายข้อมูลในสมอง หรือควบคุมพฤติกรรมของผู้เล่นได้ ถ้าเราอยากทำ”
“ว่าไงนะ!” ผมอุทาน
“ถ้า-เรา-อยาก-ทำ” พ่อย้ำอีกครั้งเสียงดัง “พ่อไม่ได้เป็นคนต้นคิด โปรแกรมแค่บังเอิญสามารถทำได้ เพราะแบบนี้พ่อถึงลาออกจากการเป็นผู้คุมเกมไม่ได้ทั้งๆ ที่พ่อก็อยาก เพราะหากมันตกไปอยู่ในมือของคนไม่ดีล่ะก็ โลกออนไลน์จะกลายเป็นอาวุธที่ทำลายล้างมนุษยชาติภายในพริบตา”
“แล้วตอนนี้มันก็ไปตกอยู่ในมือของพวกยูนิตี้… เป็นนิทานก่อนนอนที่กล่อมให้ผมอยากจะหลับไปตลอดกาลเสียจริงๆ” ผมกล่าว เป็นอีกครั้งที่ผมตระหนักได้ว่ามนุษย์อยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่เพียงใด พวกเขายอมเอาเจ้าเครื่องบ้านั่นมาสวมอยู่บนหัวได้ยังไง?
พ่อยื่นโทเทมอันนั้นให้ผมกลับ ผมรับมาแล้วพินิจพิเคราะห์มันอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าของชิ้นเล็กๆ เพียงชิ้นเดียวจะสามารถสร้างพลังมากมายแบบที่ผมเห็นเมื่อเช้าได้ บางที… ถ้ามันใช้เป็นอาวุธได้จริงๆ เราอาจใช้มันต่อกรกับผู้เก็บเกี่ยวครั้งต่อไปได้ ผมตั้งท่าจะเอ่ยปากถาม แต่พ่อชิงตอบขึ้นมาก่อนเหมือนรู้อยู่แล้วว่าผมจะพูดอะไร
“ไม่… ลูกใช้มันไม่ได้ โทเทมเป็นของประจำตัว ในโลกออนไลน์ โทเทมจะแสดงความสามารถต่อเมื่ออยู่กับเจ้าของ ถ้ากฎในโลกนั้นเป็นยังไง พอออกมาในโลกแห่งความจริง กฎก็น่าจะยังคงอยู่”
“ใช่… กะแล้วเชียว” ผมถอนหายใจ สุดท้ายแล้วก็คงทำได้แค่ใส่ไว้ประดับให้ดูสวยงาม เป็นเครื่องเตือนใจว่าเราเคยเอาชนะมันได้ ทั้งๆ ที่พอไปอยู่กับผู้เก็บเกี่ยวคนนั้น มันทำเอาผมบาดเจ็บแทบปางตาย “แล้วไอ้สร้อยนี่มีความสามารถอะไร?”
“ต้องลองค้นฐานข้อมูลดู” พ่อหันไปพิมพ์อะไรบางอย่างบนแป้นทันที อันที่จริงผมแค่พูดไปอย่างนั้น ไม่ต้องการรู้จริงๆ หรอก แต่พ่อก็รอโอกาสที่จะได้ใช้ประโยชน์จากโปรแกรมที่พ่อเก็บไว้อยู่นานแล้ว พ่อมีข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับโลกแห่งเกมก่อนที่จะถึงวันสิ้นโลกจริง พูดง่ายๆ คือเราไม่สามารถรู้ข้อมูลในเกมที่เกิดขึ้นหลังจากที่โลกเราโดนยึด แต่ถ้าเป็นข้อมูลก่อนหน้านั้นละก็ จะถามอะไร พ่อตอบได้หมด
“เจอแล้ว” พ่อว่า ซึ่งนั่นก็หมายถึงผู้เก็บเกี่ยวที่ผมเจอ อยู่ในโลกออนไลน์ตั้งแต่ก่อนที่จะถึงวันสิ้นโลกจริง “จากรูปร่างลักษณะ โทเทมอันนี้มีความสามารถธาตุอัคคี… หรือถ้าลูกไม่รู้ อัคคีแปลว่าไฟ”
“ผมอ่านนิยายเหมือนกันนะพ่อ”
“สรุป ความสามารถของโทเทมอันนี้คือการสร้างกำแพงไฟ หรือการบังคับให้ไฟก่อตัวเป็นรูปร่างเหมือนกำแพงเพื่อกั้นไม่ให้ศัตรูไปไหนได้ เป็นโทเทมที่มีความสามารถสูงพอดู ฟังดูคุ้นๆ ไหม ใช่แบบนี้หรือเปล่าที่ลูกเจอ?”
ใช่…” ผมจำได้ ผมจำกำแพงไฟที่ผู้เก็บเกี่ยวสร้างขึ้นได้ มันทำให้ผมกับลุงโจต้องแยกกัน “แต่ผมนึกว่ามันเป็นไอ้… เวทมนต์บ้าบอที่ออกมาจากคฑาเสียอีก”
“มันถือคฑาด้วยเหรอ?” พ่อถาม ผมพยักหน้า “ถ้างั้นก็มีเหตุผล โทเทมสามารถใช้ร่วมกับอาวุธประจำอาชีพได้ อย่างคฑาอันนั้นคงมีความสามารถยิงลูกไฟได้อยู่แล้ว แต่โทเทมธาตุไฟจะช่วยเสริมให้มันแข็งแกร่ง”
“ว้าว โลกออนไลน์ เต็มไปด้วยจินตนาการ ช่างน่าทึ่งเสียนี่กระไร” ผมทำสำเนียงล้อเลียน รู้สึกว่าไอ้เรื่องธาตุ โทเทม พลังเวทมนต์ หรืออะไรต่างๆ ช่างเป็นเรื่องที่น่าขัน เหมือนผมกับพ่อเป็นแค่เด็กบ้าการ์ตูนที่กำลังพูดเรื่องนิยายแฟนตาซีที่เราเคยอ่าน ที่แย่ก็คือนิยายแฟนตาซีเลิกผลิตไปตั้งแต่สามสิบปีที่แล้ว เสริมบรรยากาศให้ดูไร้สาระมากขึ้นไปอีก
“จะชอบหรือไม่ เราก็ติดอยู่ในโลกที่มีคนพวกนั้นปกครอง” พ่อย้ำเตือนอีกครั้ง “ลูกน่าจะรู้ดีกว่าใครเพื่อน”
“ใช่” ผมมองผ้าพันแผลตามร่างกายของตัวเอง “รู้ดีแบบแจ่มแจ้งแดงเจ๋เลยล่ะ”
“หิวแล้วยังล่ะ?” พ่อลุกจากที่นั่ง เดินมากอดคอผม “ไปกินข้าวเย็นกันไหม? ต้องเลี้ยงฉลองให้เด็กชายผู้พิชิตผู้เก็บเกี่ยวคนแรกของโลกเสียหน่อย จัดปาร์ตี้เล็กๆ กัน เราจะแบ่งเนื้อให้ลูกเป็นพิเศษ”
“ผมนึกว่าวันนี้เราเสบียงหมด”
“ตอนพ่อครัวของเราวิ่งหนีผู้เก็บเกี่ยวกลับมาที่ฐาน เขาจับกระต่ายมาได้ตัวนึง”
แม้จะขาดๆ เกินๆ อยู่หลายเรื่อง แต่ลุงโจก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่ผมต้องชื่นชม
“ไม่ดีกว่า” ผมปฎิเสธ หันไปมองแม่ที่กำลังสาละวนใช้ไขควงทำอะไรบางอย่างกับสิ่งประดิษฐ์ของตัวเอง “ผมอยากรู้มากกว่าว่าตกลงเราจะใช้ไอ้เครื่องนั่นทำอะไร แบบว่า มันจะกลายเป็นอาวุธหรืออะไร คล้ายปืนใหญ่หรือเปล่า หรือเป็นเครื่องส่งสัญญาณที่ช่วยปิดระบบโลกออนไลน์นั่น
“มันคือเครื่องขนส่งมวลสารแบบย้อนกลับ” แม่โพล่งขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังคงก้มหน้าทำงานของตัวเองอยู่ ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลก ปกติถ้าแม่ได้ทำงานอะไรสักอย่างแล้วแม่จะตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก ไม่ว่าใครพูดอะไรแม่ก็จะไม่ได้ยิน โดยเฉพาะของที่ทำให้แม่ดีใจจนเนื้อเต้นขนาดนี้ได้ยิ่งดูแปลกเข้าไปใหญ่
“มันคืออะไรครับ?”
“ลูกลองนึกถึงเรื่องที่พวกภาคียูนิตี้กับผู้เก็บเกี่ยวหลุดออกมาจากโลกออนไลน์สิ พ่อกับแม่พยายามศึกษาเรื่องนี้มาตลอด พยายามทำความเข้าใจว่าพวกนั้นใช้วิธีอะไร ที่จะสามารถเปลี่ยนโปรแกรมที่ไม่มีตัวตนให้ออกมาอยู่ในโลกแห่งความจริงได้ แม้แต่พลังที่น่าจะเกิดขึ้นจากโค้ดสองสามแถวก็กลายเป็นเวทมนต์ทำลายล้างได้จริง”
“ครับ แล้วยังไงต่อ” ผมพยายามคิดตาม ก้าวไปยืนข้างๆ หลอดแก้วเพื่อให้ได้ยินแม่ชัดๆ
“เราอาจจะยังเข้าใจได้ไม่หมด แต่แม่คิดว่าเราพอจะรู้วิธีที่พวกนั้นใช้ออกมาจากโลกออนไลน์ จะต้องมีเครื่องมืออะไรบางอย่างที่ช่วยให้โปรแกรมในเกมนั่นเปลี่ยนสถานะเป็นมวลสารที่จับต้องได้ และการจะทำแบบนั้น ต้องเกิดขึ้นจากในโลกออนไลน์”
“ซึ่งหมายความว่า…” ผมย่นคิ้ว
“ซึ่งหมายความว่ามีโปรแกรมอะไรบางอย่าง ที่ไปสร้างให้เครื่องมือพวกนั้นมีอยู่จริงในโลกออนไลน์ ทำให้คนพวกนั้นสามารถออกมาที่โลกแห่งความเป็นจริงได้”
“ก็ไม่ได้ฟังดูกระจ่างเท่าไหร่เลยนะครับ… แล้วสรุปไอ้เครื่องนี่จะช่วยเรายังไงล่ะ?”
“เราใช้หลักการเดียวกัน” แม่บอก “ถ้าเครื่องนั่นสามารถทำให้โปรแกรมกลายมาเป็นความจริง เราก็สามารถทำให้ความจริง กลายเป็นโปรแกรมได้เช่นกัน มันเหมือนหลักการแบบย้อนกลับ แทนที่มันจะส่งโปรแกรมจากโลกออนไลน์มาสู่โลกแห่งความจริง เราจะส่งคนจริงๆ ให้กลายเป็นโปรแกรม เข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์”
“เดี๋ยว!” ผมอุทาน “เดี๋ยวๆๆ อะไรนะ! เราจะทำแบบนั้นทำไม?”
“การจะปิดระบบโลกออนไลน์ทั้งระบบ จะต้องทำจากในเกม มีวิธีที่จะชัตดาวน์ระบบทุกอย่างจากในนั้น เราปิดระบบจากภายนอกไม่ได้ ศูนย์ควบคุมโลกออนไลน์อยู่ห่างจากที่นี่กันคนละทวีป คนละซีกโลก ภาคียูนิตี้ก็คงยึดครองพื้นที่ส่วนนั้นหมดแน่ๆ อีกอย่างด้วยวิธีนี้ เราอาจทำลายเครื่องมือที่ทำให้คนพวกนั้นหลุดมาอยู่ในโลกจริงได้ด้วย”
ให้ตายสิ ทำไมทุกอย่างถึงต้องยุ่งยากขนาดนี้ด้วยนะ? ทำไมแม่ไม่สร้างขีปนาวุธไประเบิดศูนย์บัญชาการพวกนั้นแทน เอาให้แบบตู้มเดียวตายไปเลย จะต้องส่งคนไปโลกออนไลน์อีกทำไม?
“ทำไมแม่ต้องลำบากสร้างเครื่องนี้ด้วยล่ะ? จะเข้าเกมออนไลน์ ก็ใช้หมวกโพรงกระต่ายสักเครื่องก็พอแล้วนี่”
“อาคินทร์ เมื่อกี้พ่อเล่าเรื่องที่โลกออนไลน์สามารถเจาะเข้าสมองเราได้ใช่ไหม?” พ่อหันมาตอบผมบ้าง “ทันทีที่เราเข้าเกมด้วยหมวกนั่น โลกออนไลน์จะรู้ทันทีว่าลูกเป็นใคร มันอาจจะทำลายสมองของลูกเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกทำร้ายมัน หรือมันอาจจะลบความทรงจำแล้วควบคุมให้ลูกกลายเป็นทาสไร้สติในโลกนั้นก็ได้”
“แต่เครื่องส่งมวลสารจะแตกต่างกับหมวกโพรงกระต่าย” แม่วางไขควงลง หันมาเผชิญหน้ากับผม จ้องตานิ่ง เหมือนจะสะกดให้ผมตั้งใจฟัง “แทนที่ลูกจะใส่หมวก แล้วปล่อยให้มันป้อนกระแสข้อมูลโลกออนไลน์ใส่สมอง เราจะเปลี่ยนลูกให้กลายเป็นโปรแกรม แล้วส่งเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโลกนั้น พูดง่ายๆ คือ ร่างกายของลูกจะไม่หลงเหลืออยู่บนโลกนี้ ลูก จะ-หาย-ตัว เข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์เลย ลูกจะอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทุกอย่างที่โลกออนไลน์ตั้งไว้ โลกออนไลน์จะไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของลูก ในขณะเดียวกัน ลูกก็อาจจะใช้พลังเหนือมนุษย์ในโลกนั้นไม่ได้เช่นกัน ลูกจะกลายเป็น ‘ไวรัส’ ที่แทรกซึมตัวเข้าไปในเกม”
“ไม่…” ผมถอยห่าง “ทำไมพ่อกับแม่ ใช้สรรพนามว่า ‘ลูก’ ล่ะ? พูดเหมือน…” ผมค้างไว้อย่างนั้น เหมือนมีอะไรบางอย่างติดอยู่ในลำคอทำให้ผมไม่กล้าต่อประโยคให้จบ ความกังวลเริ่มเปลี่ยนเป็นความกลัว พ่อกับแม่มองหน้ากันสลับกับมองผม
“อาคินทร์… เราสัญญาว่าจะช่วยลูกเต็มที่”
“เดี๋ยว… แม่…” ผมก้าวถอยหลังไปอีก รู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ออก
“ลูกจะต้องเข้าไปในโลกออนไลน์”
สิ่งที่ผมกลัวกลายเป็นจริง ผมยืนหายใจระรัว ไม่กล้าคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่น แต่สิ่งที่แม่กับพ่อพูดเมื่อครู่มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนหนูทดลอง เหมือนหนูตัวเล็กๆ ที่ไม่มีทางรู้ว่าสารที่นักวิทยาศาตร์เพิ่งฉีดไปเมื่อกี้คือยาพิษหรือไม่ เป็นเรื่องน่ากลัวที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าการตายของเราจะมีค่าหรือเปล่า
“แย่แล้ว!!” เสียงหนึ่งแทรกเข้ามาพร้อมประตูห้องปฎิบัติการถูกกระแทกเปิดดังปัง ลุงโจยืนพักหอบหายใจครู่หนึ่งก่อนจะทำท่าทางชี้นิ้วออกไปข้างนอก เขาเรียกความสนใจของทุกคนได้ในทันทียกเว้นผม ผมยังคงยืนอึ้งกับสิ่งที่เพิ่งจะได้รับรู้อยู่ แต่นั่นก็ก่อนที่ลุงโจจะกล่าวประโยคนั้นออกมา ประโยคที่เปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ให้เลวร้ายลง
“พวกผู้เก็บเกี่ยว… ผู้เก็บเกี่ยวเป็นสิบคนกำลังบุกเข้ามาในฐานของเรา!!”
= = = = = = = = = = = = = = = = = =
โปรด ติด ตาม ตอน ต่อ ไป
ความคิดเห็น