ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Smile คืนที่รอยยิ้ม...ฆ่าคน! (บทส่งท้าย) จบบริบูรณ์

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 : ใครๆก็อยาก "ยิ้ม"

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 55








              คงจะไม่มีมีประโยชน์ หากเราต้องมานั่งเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว เรื่องบางเรื่อง เราก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ถูกมั้ย? เรื่องบางเรื่องมันก็แค่ เกิดขึ้นในแบบของมัน

     

              นั่นคือสิ่งที่ผมคิด ระหว่างที่กำลังยืนนิ่ง จ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องของตัวเอง เฮนรี่เป็นคนแรกที่ขึ้นมาพบผมในสภาพที่ย่ำแย่เกินจะบรรยาย หลังจากนั้นเขาก็รีบโทรหาตำรวจ ก่อนที่พวกเขาจะยกโขยงมาทั้งโรงพัก ศพทั้งแปดถูกเก็บไปก่อนจะเช้า ส่วนผมก็ต้องรีบอาบน้ำล้างคราบเลือดออกและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ผมใช้เวลานั่งแช่อ่างอยู่เป็นเวลานานเลยทีเดียว เพราะความรู้สึกที่ว่าเลือดของใครหลายคนเปื้อนตัวผมอยู่ ทำให้ผมต้องใช้แปลงขัดตัวจนเนื้อแดง ไม่นานนักห้องนอนของผมก็เต็มไปด้วยตำรวจ นักวิเคราะห์หลักฐาน และคนที่ถ่ายรูปสภาพของจุดเกิดเหตุและทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้อง แต่นั่นคงไม่เทียบเท่ากับห้องชั้นบนซึ่งเป็นที่เกิดเหตุแท้จริง เพราะข้างบนคับคั่งไปด้วยตำรวจ อย่างกับงานปีใหม่

     

              ผมใช้เวลาตอนรุ่งสาง จัดแฟ้มเอกสารที่รกรุงรังภายในห้องนั่งเล่นเพื่อสงบสติอารมณ์ เฮนรี่เองก็วุ่นกับการสืบสวน พอสักประมาณหกโมงเช้าผมก็ถูกตำรวจกักตัวในฐานะพยาน พวกเขาถามผมหลายอย่าง แต่ก็เป็นคำถามซ้ำๆที่เคยได้ยิน “เธอเห็นอะไรบ้าง” “ได้ยินเสียงแปลกๆไหม” “เห็นอะไรผิดสังเกตรึไม่” “เห็นใครน่าสงสัยหรือเปล่า?”

     

              ชายคนที่ทำการสอบสวนพยานไม่ใช่เฮนรี่ แต่กลับเป็นคุณลุงใจดีอายุประมาณสี่สิบกว่า ชื่อว่าแลรีย์ ผมแอบตั้งชื่อเขาว่า “ตำรวจหมีพูห์” เพราะเขาตัวใหญ่แล้วก็ดูอบอุ่น คล้ายหมีพูห์ที่ผมชอบดูตอนเด็กมากเลยทีเดียว และยิ่งแน่ใจมากยิ่งขึ้น ตอนที่เขาถามหาน้ำผึ้งมาใส่กาแฟระหว่างการซักถาม ดูท่าทางเขาเป็นคนง่ายๆ และไม่ได้จุกจิกอะไรมาก ถามแปปเดียวก็ปล่อยให้ผมไป ไม่เหมือนครั้งแรกที่ผมถูกเฮนรี่สอบสวน ตอนนั้นเขาแทบจะทำให้ผมเป็นฆาตกรด้วยซ้ำ

     

              หลังการสอบสวนเสร็จ ผมก็มายืนอยู่ตรงนี้ โถงทางเดินชั้นสิบเก้าของอพาทเมนต์ ผู้อาศัยสองห้องข้างๆผมดูเหมือนจะสะเทือนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเลยทีเดียว พวกเขาแทบจะเก็บของย้ายออกไปทันทีที่รู้เรื่อง ก็แหงล่ะ พวกคนรวยมีเงินเยอะ จะย้ายไปอยู่ที่ไหนก็ได้นี่ ผมส่ายหัวก่อนจะเดินเคว้งไปเรื่อย เนื่องจากตอนนี้ห้องเช่าผมได้กลายเป็นสถานที่เกิดเหตุไปเสียแล้ว มีไอ้พวกแถบพลาสติกสีเหลืองเขียนตัวเล็กๆว่าห้ามเข้ามากั้นไว้ตรงประตูเหมือนในหนังแนวสืบสวนเปี๊ยบ

     

              หลังจากพยายามสงบสติอารมณ์มานานมาก แน่นอนผมก็สงบลง แต่ตอนนี้มันสงบเกินไป สงบแบบไม่มีอะไรทำ หรือแบบที่เรียกว่าเบื่อ ผมยังไม่ได้เอาของในกระเป๋าเดินทางออกมาจัดเลยด้วยซ้ำ ได้แต่เดินเร่ร่อนไปมา อีกอย่าง ผมเพิ่งจะมาถึงเมืองนี้ ไม่รู้ที่รู้ทางอะไรสักอย่าง ขืนออกไปคงหลงทางแน่    หลังจากยืนคิดอยู่นานผมก็ตัดสินใจลงไปชั้นล่างสุด แล้วก็เกิดนึกสนุก อยากจะสำรวจอพาทเม้นต์แห่งนี่ดู  ไม่เคยสังเกตมาก่อนเลย ว่าข้างล่างสุดมีร้านอาหารอยู่ด้วย ซึ่งนั่นทำให้ผมคิดจริงๆว่าที่นี่เป็นโรงแรมหรือเปล่า? นอกนั้นก็มีคาเฟ่ ร้านกาแฟ ที่เปิดให้ทุกคนทั้งในและนอกตึกเข้ามาใช้บริการได้   แต่ผมคิดว่าถ้ามีร้านเช่าวิดีโอคงจะเจ๋งกว่านี้

     

              พอสำรวจด้านล่างเสร็จแล้วก็ตัดสินใจขึ้นลิฟต์ แต่พอจะกดเลข ผมก็คิดว่า ไหนๆก็ไม่มีอะไรทำแล้ว สำรวจทุกชั้นคงจะดี ผมก็เลยเริ่มกดเรียงไปตั้งแต่ชั้นแรกไปยังชั้นบนเรื่อยๆ ซึ่งก็พบว่าทุกชั้นเหมือนๆกัน ชั้นนึงมีสี่ห้อง แต่ละห้องก็กว้างพอที่จะเป็นบ้านได้หนึ่งหลังเลยทีเดียว การตกแต่งก็เหมือนๆกัน เพียงแต่ว่า ห้องท้ายสุดของชั้นสอง มีป้ายติดอยู่ว่า

     

    200

    ห้องผู้ดูแลตึก

    อัลเฟร็ด เมอร์คิวรี่

     

              ส่วนชั้นสาม ห้องท้ายสุดกลับเป็นห้องซักผ้าที่มีเครื่องซักผ้าเรียงรายเจ็ดถึงแปดเครื่อง นอกนั้นก็ดูจะเหมือนๆกัน เพียงแต่ทุกๆชั้นจะเริ่มมีเจ้าของห้องบางคนที่กำลังขนของย้ายออก พวกคนรวยนี่จะเวอร์อะไรปานนั้น ผมนี่สิเป็นคนที่เห็นทุกอย่างต่อหน้าต่อตาด้วยซ้ำ ยังไม่คิดจะย้ายออกเลย (อันที่จริง เป็นเพราะผมไม่ใช่เจ้าของห้องมากกว่า) 

     

              ผมกดลิฟต์ขึ้นไปเรื่อยๆ จากชั้นนึงสู่อีกชั้นนึง ทีละชั้น จนผมเริ่มจะเบื่อ ทุกๆชั้นมันเหมือนๆกันนี่นา เลยกะว่าพอถึงชั้นสิบแปดแล้ว จะลงไปนั่งเล่นที่ร้านกาแฟข้างล่าง แต่พอถึงชั้นที่สิบเจ็ด ไม่ทันจะเดินออกจากลิฟต์ ผมก็ได้ยินเสียงของหญิงแก่ๆ ตวาดดังก้องไปทั่วบริเวณ

     

              “ดิฉันไม่ขออยู่ที่ตึกนี่อีกเด็ดขาด! คุณรู้มั้ย เมื่อคืนดิฉันตกใจตื่นเพราะเสียงอะไรบางอย่าง พอเดินไปดูที่หน้าต่าง ก็มีศพตกลงมาผ่านระเบียงห้องของดิฉันลงไปพอดี คิดดูสิ! แล้วแบบนี้คุณยังจะหวังให้ดิฉันอยู่ต่ออีกหรือคะ?” หญิงอายุประมาณหกสิบกว่าพูดพร้อมกับเข็นกระเป๋าเดินทางราคาแพงออกมาจากประตูห้อง

     

              “ผมทราบดีครับ แต่ทางอพาทเม้นต์สัญญาว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก..” ชายที่อายุน่าจะซัก สี่สิบ รูปร่างผอม สูง ใส่ชุดสูทสีดำ และสวมถุงมือสีขาวทั้งสองข้างกล่าวด้วยน้ำเสียงประนีประนอม แต่ทว่าผู้หญิงคนนั้นกลับไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น แล้วเข็นกระเป๋าออกมาตามทางเดิน ไม่ช้าก็มีคนที่ท่าทางเหมือนคนใช้ ลากรถเข็นเหล็กสองชั้นออกมา ซึ่งบนรถนั้นเต็มไปด้วยกระเป๋าแบรนด์แนมที่ท่าทางจะราคาแพงหลายใบ ผมได้แต่ยืนจ้องพร้อมกับคิดว่าถ้านำเงินที่ซื้อกระเป๋านี่มารวมกัน แล้วเอาไปบริจาค พวกเด็กที่ขาดสารอาหารแถวเอธิโอเปียคงไม่ต้องตาย

     

              “หนุ่มน้อย ขอทางให้กระเป๋าของฉันหน่อย” เธอพูดกับผมในลิฟต์ ผมจึงหลีกทางให้รถเข็นกระเป๋าได้เข้ามา แต่ไปๆ มาผมเดินออกมานอกลิฟต์เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วลิฟต์ก็ปิดลงโดยทันที หญิงแก่กับกระเป๋าและคนใช้ของเธอก็ลงไปข้างล่าง ส่วนผมก็ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ หน้าลิฟต์ชั้นสิบเจ็ด กับชายตัวสูงใส่สูทคนนั้นที่เดินเข้ามา ท่าทางจะมารอลิฟต์เหมือนผม เขาปรายตามองผมแวบนึงก่อนจะกล่าวทักทาย

     

               “สวัสดีพ่อหนุ่ม” เขาจ้องผมสักพักเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง  “อ้อ เธอคือคนที่พักอยู่ในห้องที่เกิดเหตุใช่ไหม?” เขาถามด้วยเสียงนุ่มนวล แต่ผมคิดว่าเขาพยายามดัดเสียงมากกว่า

     

    “ครับ”

     

              “ฉันเสียใจจริงๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” เขาพูดแล้วถอนหายใจ “เกือบลืมแนะนำตัว ฉันชื่อ อัลเฟรด เมอคิวรี่ย์ เป็นผู้ดูแลอพาทเม้นต์แห่งนี้”  ผมจับมือทักทายเขาก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟต์ที่เพิ่งมาถึงพร้อมกับผม “ถ้ามีปัญหาอะไร เธอมาติดต่อฉันได้ทุกเวลา ที่ห้อง 200 ตรงชั้นสอง เว้นเสียแต่ว่าเธอจะทำทีวีพัง หรือทำผนังทะลุ  อันนี้เธอต้องรับผิดชอบเอาเอง และหากถึงวันตรวจห้องประจำเดือนแล้วฉันพบความเสียหายในห้อง เธอจะต้องถูกปรับนะ”

     

              ผมพยักหน้าแล้วยิ้มแหยๆเล็กน้อยกับคำพูดที่ดูเหมือนจะเปิดเทปอัดเสียงให้ฟัง พอประตูลิฟต์ปิด ผมก็เอื้อมมือไปกดที่ปุ่มชั้นสิบแปด แล้วรอสักพัก แต่ทว่ากลับไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลิฟต์ไม่เคลื่อนที่ ผมจึงกดที่ปุ่มเดิมซ้ำอีก ผู้ดูแลตึก เฟรดดี้ จึงสะกิดผมเบาๆ

     

              “ชั้นที่สิบแปด ปิดตายมานานแล้วล่ะ ไม่รู้ทำไม ตั้งแต่เปิดกิจการมา ยังไม่เคยมีใครเช่าห้องชั้นที่สิบแปดเลย แถมปุ่มลิฟต์ก็ดันมาเสียอีก ถึงกดไป ลิฟต์ชั้นนั้นก็ไม่ทำงานหรอกนะ” ผมฟังคำอธิบายแล้วร้องอ๋อเบาๆ  “เธอคงจะกดผิด จะขึ้นชั้นสิบเก้าใช่ไหมล่ะ”  ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร เขาก็กดปุ่มชั้นสิบเก้าให้โดยทันที ลิฟต์ใช้เวลาเพียงแปปเดียวก็มาถึง ประตูลิฟต์เปิดออก ผมจึงเดินออกมา


              “พ่อหนุ่ม! สุดท้ายนี้ ฉันขอเตือนก่อนว่า ห้ามมีการจัดปาร์ตี้ หรือเปิดเพลงเสียงดังรบกวนผู้เช่ารายอื่นๆเด็ดขาด เข้าใจไหม? เธอคงจะเห็นแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับพวกเด็กที่ชอบปาร์ตี้ชั้นบนน่ะ!” พอเขากล่าวจบ ลิฟต์ก็ปิดลง

     

    แหงล่ะ ผมรู้แจ่มแจ้งแดงเเจ๋เลยทีเดียว ว่าเป็นยังไง…..

     

              หืม…. โอ้ ให้ตายสิ! พวกตำรวจยังคงเก็บหลักฐานที่ห้องผมไม่เสร็จอีกเหรอ?   ช่างเหอะ ขนาดชั้นบนก็ใช้เวลาตั้งหกชั่วโมง กว่าจะเสร็จ ตอนนี้พวกเขาคงลงมาชั้นล่างหมดแล้ว… 

     

    แต่เดี๋ยวก่อน งั้นก็หมายความว่า ชั้นบนคงไม่มีใครอยู่แล้วล่ะสิ….

     

              คุณคงรู้  ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่  ใช่! ผมหมายถึง คุณไม่อยากจะรู้เหรอ? เพิ่งมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาคุณ แล้วทุกอย่างก็อยู่ตรงชั้นบนนี่เอง ถ้าเป็นคนอื่นอาจรู้สึกกลัว สยอง หรือเสียวไส้ แต่สำหรับผม คนที่ดูหนังสยองขวัญ แนวแหกไส้ ควักพุงแบบมาราธอนได้โดยไม่สะเทือนจิตเลย ของแบบนี้มันดูน่าค้นหา มากกว่าน่ากลัวซะอีก

     

              ฉะนั้นตอนที่ตำรวจเผลอ และลิฟต์ว่าง ผมจึงวิ่งเข้าไปแล้วกดที่ชั้นยี่สิบทันที  ผมรู้ว่านี่อาจเสี่ยงทำให้ผมติดคุกได้ พลเรือนไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายการสอบสวน นั่นจะทำให้เกิดปัญหามันเลยทีเดียวเวลาขึ้นศาล ยิ่งไปกว่านั้น มันอาจทำให้ผมตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปเลยก็ได้ ลองคิดดูสิ ผมเป็นใคร มาจากไหนก็ไม่รู้ที่เพิ่งย้ายมา ตอนที่การฆาตกรรมเกิดขึ้น ผมก็เป็นคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์ นี่ถ้าพวกเขาตรวจพบรายนิ้วมือผมที่ชั้นยี่สิบละก็ เตรียมตัวจองตั๋ว ไปกินข้าวแดงพร้อมแพ็กเกจทัวร์พิเศษโดนนักโทษตุ๋ยฟรีทุกวัน ได้เลย

     

    ติ๊ง!

     

              ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ผมก็ต้องแปลกใจ เพราะไอ้แถบพลาสติกสีเหลืองเขียนว่าห้ามเข้า ดันติดกันไว้ตั้งแต่หน้าทางออกลิฟต์เลย แต่พอมองไปที่พื้นทางเดิน ผมถึงได้เข้าใจ เพราะคราบของเหลวสีแดงแห้งกรังนั้น ซึมลึกลงบนพรม ลากยาวตั้งแต่ทางเดินจากหน้าลิฟต์ไปสู่ประตูห้องที่เกิดเหตุเลยทีเดียว ผมรู้สึกขนลุกมากขึ้น เมื่อเห็นว่ามีเศษของอะไรสักอย่าง เป็นก้อนๆ สีแดงๆ กระจายไปทั่วพื้น ซึ่งนั่นทำให้ผมนึกไปถึงศพแรกที่ถูกห้อยคอลงมา ศพนั่นเป็นเพียงศพเดียวที่ตายก่อนจะถูกแขวนคอ แถมสภาพยังเละเทะอีกด้วย

     

              ผมส่ายหน้าสลัดภาพในหัวนั้นออกไป แล้วก้มตัว ยกขาก้าวข้ามแถบพลาสติกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พยายามเงี่ยหูฟังดูว่ามีตำรวจอยู่ในห้องที่เกิดเหตุบ้างหรือเปล่า ทุกอย่างเงียบเชียบ ผมจึงเดินช้าๆไปตามทาง สำรวจทุกอย่างที่เกิดขึ้น กลิ่นคาวเลือดเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว  พยามจะไม่ไปเหยียบอะไรที่เหมือนจะเป็นหลักฐานสำคัญ จนในที่สุด ก็มาหยุดตรงหน้าห้อง 2000 พอดี

     

              ประตูห้องนั้นเปิดอ้าซ่า ผมยืนด้อมๆมองๆอยู่ตรงนั้นสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไป  บรรยากาศภายในห้องนั้นน่าขนลุก แต่ยังมีร่องรอยที่บ่งบอกให้รู้ว่าเคยมีปาร์ตี้เกิดขึ้นที่นี่ เศษอาหาร แก้วพลาสติก แล้วก็ไฟสีๆที่เปิดค้างไว้ แต่ทว่ากำแพงห้องกลับมีรอยคราบเลือดเลอะเป็นบางจุดเล็กๆ

     

    ตึง!

     

              ผมสะดุ้งโหยง รีบหันไปรอบตัว เสียงของอะไรบางอย่างหล่นลงบนพื้น มีใครอยู่ในห้องนี้หรือเปล่า? ตำรวจเหรอ?  ผมทำท่าลุกลี้ลุกลน ก่อนจะนิ่งลงเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นแค่ลมพัดหรือเปล่านะ?   แต่แปลกจัง.. น่าจะมีร่องรอยอะไรมากกว่านี้สิ? มีคนถูกฆ่าตั้งแปดคน แต่ทำไมถึงไม่ค่อยมีอะไรเลยล่ะ นอกจากผนังที่เลอะเลือดเล็กๆ ห้องนั่งเล่นแห่งนี้ก็เละเทะในแบบที่ปาร์ตี้ธรรมดาเขาเป็นกัน อย่างไรก็ตาม ผมดูออกอย่างชัดเจนเลยว่าเจ้าของห้องนี้น่าจะเป็นผู้หญิง เนื่องจากการตกแต่งผนัง โซฟา และหมอนอิงสีชมพูหวานแหววซะ ผมเดินไปดูรอบๆจนมาหยุดอยู่ที่ชั้นวางของติดผนัง พอมองขึ้นไป ก็พบกรอบรูปเล็กๆ ที่เป็นรูปของเด็กผู้หญิงสองคน อายุประมาณเท่าๆผม ยืนยิ้มกอดคอกัน ทั้งคู่สวยมาก คนนึงผมสีดำยาว หยิกเล็กน้อย ใบหน้าดูคมและท่าทางร่าเริง ผมจำเธอได้…  เธอคือผู้หญิงคนสุดท้ายที่ถูกแขวนคอ แล้วเชือกขาดจนหล่นลงไป..  พอคิดให้ดีๆ ผมคิดว่าตอนนั้นน่าจะมีใครสักคนใช้มีดตัดเชือกของเธอจนขาดมากกว่า เพราะมันรู้ว่าผมพยายามช่วยเธองั้นหรือ?

     

              ส่วนเด็กผู้หญิงอีกคนในรูป ผมรู้สึกไม่คุ้นหน้า แต่เธอดูสวยกว่าคนอีกคน ผมบลอนด์ ตาสีฟ้าเป็นประกาย ใบหน้าดูกลมได้รูป ยืนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยด้วยความมั่นใจ แต่รอยยิ้มของเธอนั้นมีอะไรที่ดูร้ายกาจแฝงอยู่ สัญชาติญาณบอกผมว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดูอันตรายเอาเรื่อง…  และในระหว่างที่ผมยืนดูรูปอยู่นั้นเอง เสียงครางของอะไรบางอย่างก็ดังมาตามลม เหมือนเสียงเครื่องจักรกำลังทำงาน เมื่อตั้งใจฟังดูก็ได้ยินเป็นเสียง “ฮืมมมมมมมม”

     

    ติ๊ง!!

     

    เสียงลิฟต์!

     

               โอ๊ย ซวยแล้ว!  ใครบางคนกำลังขึ้นมาต้องเป็นพวกตำรวจแน่ๆ ถ้าผมถูกพบเข้าละก็ มีหวังตกเป็นผู้ต้องสงสัยชัวร์!!  ทำไงดี?  ต้องซ่อน! ต้องซ่อนแล้ว ซ่อนตรงไหนดีเนี่ย!!  ผมวิ่งพล่านไปทั่วจนเท้าชนเข้ากับขาโต๊ะกาแฟหน้าโซฟาใหญ่อย่างจัง แม้จะทั้งเจ็บและจุกจนต้องยกขาข้างนั้นขึ้นมาจับ แต่ก็ต้องหุบปากตัวเองไว้ พร้อมกับกระโดดแบบกระต่ายขาเดียวไปหาที่ซ่อน จนกระทั่งหางตาไปเจอะกับประตูห้องนอน ผมจึงวิ่งเข้าไปโดยไปโดยไม่คิดชีวิต แต่ตอนที่จะจับลูกบิด ก็ไม่ลืมใช้ชายเสื้อของตัวเองคลุมมือไว้แล้วเปิดออกเพื่อไม่ให้หลงเหลือลายนิ้วมือ จากนั้นก็ปิดมันให้เบาที่สุด เมื่อประตูปิดลงปุ๊ป ผมก็มองเห็นคราบเลือดจำนวนมากที่เลอะประตูได้โดยชัดเจน และเมื่อหันหลังกลับไปดูสภาพห้อง ก็ต้องตกใจถึงขนาดต้องเอามือทาบหน้าอก

     

              เตียงสีขาวนั้นเลอะไปด้วยคราบเลือดจนย้อมทั้งเตียงให้เป็นสีแดง ข้าวของต่างๆกระจัดกระจาย มีร่องรอยของการดิ้นไปมารอบๆ ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคนกำลังร้องอู้อี้อยู่ในหู แต่ที่ดึงดูดสายตาและเป็นจุดเด่นมากที่สุดก็คือสิ่งที่อยู่บนผนัง มันเป็นคราบเลือด แต่ดูเหมือนจะมีคนตั้งใจบรรจงขีดเขียนคราบเลือดนั้นให้เป็นตัวอักษร เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง

     

    ความตายสนุกนะ!

    ใครๆ ก็อยากตายโดยที่มี รอยยิ้ม อยู่บนหน้าทั้งนั้นเหละ!

     

              ตรงท้ายประโยค มีรูปอะไรบางอย่างถูกวาดโดยเหมือนจะใช้เลือดทาแบบเน้นย้ำ ซ้ำๆ จนสีเลือดแดงสดเข้มกว่าจุดอื่น เป็นรูปของจุดกลมๆ สองจุด ที่มีเส้นโค้งหงายท้องอยู่ข้างล่าง  จุดสองจุดแทนตา และเส้นโค้งนั่นแทนด้วยรอยยิ้ม นี่เป็นฆาตกรประเภทไหนกันแน่? ผมไม่อาจหยุดความรู้สึกสะอิดสะเอียนนี้ลงได้  

     

              ผมยืนเหม่ออยู่ได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงของฝีเท้าก้าวช้าๆ เข้ามาในห้อง พร้อมกับเสียงพึมพำอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์ เหมือนคนกำลังคุยกัน  พวกตำรวจเข้ามาแล้ว และกำลังพูดกันอยู่ด้วย ผมเกือบจะเผลอเอาหูไปแนบประตู แต่ดีที่มองเห็นคราบเลือดเปื้อนอยู่ซะก่อน เลยได้แค่เอียงหูไปให้ใกล้ที่สุดเท่านั่นผมรู้สึกเหมือนจะเริ่มได้ยินเสียงที่พวกเขาพูดมากขึ้น เมื่อฟังไปเรื่อยๆ ก็จับใจความได้ว่า

     

    “คุณต้องเข้ามาดูนี่.. ในห้องนอน.. ผมแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง!

     

              เดี๋ยว! ห้องนอนเหรอ บ้าจริง! จะไปซ่อนที่ไหนได้อีกล่ะเนี่ย หรือผมจะโดดลงไปทางระเบียง ไม่แน่อาจจะปีนกลับเข้าไปทางระเบียงห้องตัวเองได้ หรือไม่ก็กลายเป็นศพที่เก้า ผู้ซึ่งไม่ได้ตายเพราะฆาตกร แต่ตายเพราะความงี่เง่าของตัวเองแบบนั้นไม่ดีแน่ ตู้เสื้อผ้านี่เหละดีสุด ที่ซ่อนอันดับหนึ่งตลอดการของเหยื่อในหนังสยองขวัญ ผมยังจำฉากซ่อนในตู้เสื้อผ้าอันโด่งดังของเรื่อง “ฮัลโลวีน” ภาคแรกได้

     

              ผมเลื่อนประตูตู้ออกด้วยวิธีเดียวกับตอนที่เปิดประตูเข้ามา พอผมเข้าไปได้แล้ว ก็เลื่อนปิดตู้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องนอนถูกเปิดออก และมีคนสองคนเดินเข้ามา ผมแอบมองลอดผ่านทางช่องไม้ที่เป็นชั้นๆ คุณตำรวจหมีพูห์ก้าวเท้าด้วยท่าทางสบายๆ ในขณะที่คนที่รั้งท้ายตามมาคือเฮนรี่ ผู้ซึ่งทำหน้านิ่ว คิ้วขมวด ผมแอบสงสารเขานิดหน่อย เพราะเขาไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ต้องขับรถติดต่อกันตั้งสิบกว่าชั่วโมง แถมยังต้องมาเจอคดีฆาตกรรมในอพาทเม้นต์ของตัวเองอีก เฮ้อ.. ชีวิต หนอ ชีวิต

     

    “นี่มัน” เฮนรี่เบิกตาโตเมื่อเห็นข้อความบนผนัง


             “ข้อความที่ฆาตกรทิ้งเอาไว้” ตำรวจหมีพูห์พูดต่อ “ยังไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะคนร้ายยังทิ้งข้อความอื่นไว้อีก” เขากล่าว ทั้งเฮนรี่และผมต่างก็แปลกใจเล็กน้อย ยังมีข้อความอื่นอีกเหรอ?


             ตำรวจหมีพูห์หยิบถุงอะไรบางอย่างขึ้นมาจากกะเป๋า เป็นถุงพลาสติกที่ไว้สำหรับเก็บหลักฐาน ข้างในมีสิ่งของเล็กๆ สีดำ ขนาดสี่เหลี่ยมพอดีมือ เท่าโทรศัพท์ มันคือเครื่องอัดเสียงที่ยุคนี้ไม่ค่อยจะใช้กันแล้วนั่นเอง..  ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขากดที่ปุ่มเล่นเสียง จากนั้นก็เริ่มมีเสียงอะไรบางอยาก เสียงดูแตกๆ เพราะอัดผ่านเครื่อง แต่ผมพอฟังออก เสียงของใครบางคนกำลังหายใจรดลำโพง ยิ่งฟังก็ยิ่งหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับคนที่วิ่งจนหอบเหนื่อย แต่ไม่ใช่ มันเป็นเสียงหายใจของคนโรคจิต แค่ฟังก็รู้แล้ว ไม่นานก็เริ่มมีเสียงดังอู้อี้ แบบเดียวกับที่ผมได้ยินตอนที่อยู่ข้างล่างก่อนเกิดเหตุ เพียงแต่เสียงนี้มันชัดเจนกว่ามาก  เสียงของเหยื่อครางในลำคอเพราะมีผ้าอุดปากไว้ดูน่าเวทนา บางเสียงเหมือนกำลังร้องขอชีวิต บางเสียงเหมือนตกใจ บางเสียงกำลังคร่ำครวญด้วยความเศร้าสลดอย่างสิ้นหวัง ผมรู้สึกห่อเหี่ยวและแทบอยากจะร้องให้ตาม มันคือเสียงของคนที่กำลังใกล้ตายไม่ช้าภาพของเด็กทั้งแปดที่ถูกแขวนคอก็วนเวียนเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง 


              แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงหนึ่งที่ดังแทรกเสียงร้องให้เหล่านั้น  มันคือเสียงหัวเราะของใครบางคน หัวเราะด้วยความสะใจ น้ำเสียงกระชากขึ้นอย่างทุ้มต่ำแต่แหลมคมราวกับผิวหนังผมโดนบาดทุกๆครั้งที่มันหัวเราะ ความวิปริตของเสียงสองเสียงที่ดังไปพร้อมกัน ทำให้ผมอยากจะอุดหู เสียงหนึ่งคือเสียงของคนมีความสุขที่ได้ฆ่า อีกเสียงร้องขอชีวิตเพราะกำลังจะตาย มันดำเนินไปเรื่อยๆอย่างนั้น จนกระทั้งเสียงร้องนั่นหยุดไป แล้วก็มีเสียง กร๊อบ! ตามมามันคือเสียงตอนที่ผมเห็นเหตุการณ์ ในนั้นมีเสียงผมกำลังร้องด้วยความตกใจปนอยู่ เมื่อเสียงของหญิงสาวคนสุดท้ายจบหลงเหลือแต่เสียงของผมคนเดียว พร้อมกับเสียงของฆาตกรหัวเราะในลำคอเล็กๆ ก่อนที่เทปจะหมดลงเพียงเท่านี้

     

               หลังฟังจบก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ดูท่าทางทั้งคู่จะยังสะเทือนใจกับเสียงที่ได้ยิน..  “ฆาตกรอัดเสียงขณะทำการฆาตกรรมเอาไว้” ตำรวจหมีพูห์พูดขึ้น “เรื่องนี้ รู้กันแค่ในหมู่ตำรวจเท่านั้นนะ เราจำเป็นต้องปกปิดข้อมูลนี้ก่อน ฉันจะเอาหลักฐานนี่ไปทำการวิเคราะห์เสียงดู”  เฮนรี่ฟังจบก็พยักหน้า ตำรวจหมีพูห์กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามฉันดีใจที่ได้กลับมาทำงานกับนายอีกครั้งนะ เดฟ” เฮนรี่ยิ้มตอบ แล้วทั้งคู่ก็จับมือกัน

     

              “ห้องรอบๆ นี้ไม่มีผู้เช่าคนอื่นอยู่เลย อันที่จริงก็มีอยู่ห้องนึง แต่เจ้าของห้องไปเที่ยวที่ต่างประเทศได้สักระยะแล้ว และจากการชันสูตรเมื่อสองชั่วโมงก่อน เราสันนิษฐานว่าทุกคนถูกวางยาสลบอ่อนๆ มีฤทธิ์ให้หลับไปได้สักพักหนึ่ง คาดว่าน่าจะถูกวางยาในอาหารที่พวกเขากินกันขณะกำลังปาร์ตี้.. ส่วนเลือดที่เลอะไปทั่วทั้งชั้น น่าจะมาจากศพของเด็กหนุ่มคนแรกสุดที่ถูกแขวนคอ จากปากคำของพยานที่ชื่อ แมต ฟิตซ์..

     

    “แล้วฆาตกร เข้ามาทางไหนหรือครับ กล้องวงจรปิดของตึกน่าจะจับภาพไว้ได้” เฮนรี่ถาม  


    “อ๋อ.. นั่น ฉันสั่งให้อัลเฟรด เจ้าของตึกช่วยดูให้แล้วล่ะ”

     

              ผมนิ่งเงียบ ฟังอย่างตั้งใจ แต่ด้วยความเมื่อย ผมจึงขยับตัวเล็กน้อย แล้วสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิด ก็ดันเกิดขึ้นจนได้ เมื่อผมขยับเท้าไปโดนประตูตู้เพียงแค่นิดเดียว สาบานจริงว่าเพียงแค่ นี๊ดดดดด เดียวเท่านั้นเองนะ แต่เสียงที่ตามมากลับดังอย่างกับมีระเปิดปรามาณูถล่มพื้นโลกอย่างนั้นเหละ

     

    กึก!

     

              “นั่นใครน่ะ!!” เฮนรี่ตะโกน ผมสะดุ้ง และยิ่งตกใจมากขึ้น เมื่อนายตำรวจทั้งสองคนชักปืนสีดำทมิฬที่อยู่ตรงเอวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  เดี๋ยวๆ ไม่นะ ไม่! ผมไม่อยากโดนยิงตายเพราะโดนเข้าใจผิดว่าเป็นฆาตกรหรอกนะ หรือเราจะเดินออกไป แล้วบอกเขาว่า “ฮั่นแน่! โดนจับได้ซะเล้ว ขอฟังด้วยนะครับ” ดี   จะบ้าเรอะ แบบนั้นได้ไปนอนในคุกแน่ แต่ถ้าอยู่แบบนี้ต่อไป ผมคงเป็นรูพรุนแล้วกลายเป็นผีหมกตู้แหงๆ  หัวใจผมเต้นเป็นจังหวะถี่รัว เหงื่อไหลออกมาแม้บรรยากาศจะค่อนข้างหนาวเย็น อึดอัด หายใจไม่ออก 

     

              เฮนรี่และตำรวจหมีพูห์ เล็งปืนมาทางตู้แบบไม่ยอมละสายตา จากนั้นก็ค่อยๆก้าวมาใกล้ๆ ใกล้ๆ มากขึ้น จนกระทั้งใกล้พอที่เฮนรี่จะเอื้อมมือเข้ามาจับประตูตู้….  ลาก่อน ชาวโลก และสวัสดีชาวคุก ผมหลับตาปี๋ ไม่อยากเห็นสิ่งที่จะตามมา

     

     

     

     

     

    “เอ่อ….

     

             จู่ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังพวกเขา ทั้งเฮนรี่และตำรวจหมีพูห์ (ผมคิดว่าควรจะเลิกเรียกเขาแบบนั้นเสียที) ก็รีบหันหลังกลับ และชี้ปืนไปยังผู้มาเยือนอีกคน   อัลเฟรด เจ้าของตึกนั่นเอง เขายกแขนขึ้น แล้วเผยให้เห็นมือทั้งสองข้าง เป็นสัญญาณว่ายอมแล้ว อย่ายิงผมเลย

     

    “ผมเองครับ” อัลเฟร็ดกล่าว ตำรวจทั้งสองมีท่าทีผ่อนคลายลงแล้วค่อยๆลดระดับปืน


              “กรุณาอย่าเข้ามาในจุดเกิดเหตุโดยพลการแบบนี้อีกนะครับ คุณควรออกไปซะดีกว่า” เฮนรี่กล่าวในขณะกำลังเก็บปืน


    “คือผมจะมาบอกว่า ผมได้ตรวจกล้องวงจรปิดของตึกดูแล้ว พบสิ่งที่แปลกมากครับ”


    “แปลกยังไงครับ?” ตำรวจหมี แลรีย์ มีท่าทีสงสัยพอๆกับผมที่แอบฟังอยู่


            “จากที่ผมตรวจดูคร่าวๆแล้ว เราพบคนที่น่าสงสัยครับ กล้องอาจไม่ชัดนัก แต่ก็เห็นเป็นคนใส่ชุดคลุมสีดำคนหนึ่งอย่างชัดเจน”


    “ดีมาก แล้วอะไรล่ะครับที่แปลก” เฮนรี่ถาม


              “ก็คนๆนั้นไม่ได้ขึ้นมาทางชั้นล่าง แต่ครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวให้เห็น คือตอนที่เขาออกมาจากห้องนี้น่ะสิครับ แถมตอนที่เขาก่อเหตุเสร็จ ก็ไม่มีกล้องตัวไหนเลยที่เห็นหมอนั่นออกมาจากห้อง” อัลเฟร็ดเช็ดเหงื่อของตัวเองในขณะที่พูดจบ  หมายความว่ายังไง เขากำลังจะบอกว่า ฆาตกรไม่ได้เข้ามาทางหน้าห้องตอนเกิดเหตุ แล้วก็ไม่ได้ออกไปทางหน้าห้องตอนก่อเหตุเสร็จอีก.. แล้วเขาออกไปทางไหน ยิ่งไปกว่านั้น เขาเข้ามาทางไหน? ตึกนี้ไม่มีทางอื่นนอกจากออกทางลิฟต์และทางระเบียง ซึ่งทางระเบียงผมก็นั่งอยู่ตอนที่เกิดเรื่อง ส่วนทางลิฟต์ก็จับภาพเขาไม่ได้ ตำรวจเองก็ค้นห้องนี้หมดแล้ว อย่างกับว่าฆาตกรหายตัวเข้ามาในห้อง ฆ่าทุกคน แล้วหายตัวออกไปงั้นเหละ   เรื่องนี้ชักจะน่ากลัวขึ้นทุกทีแล้ว

     

              “โอเค แบบนี้ไม่ดีแน่ คุณช่วยพาเราไปดูภาพของกล้องวงจรปิดหน่อยได้ไหม?” แลรีย์ถาม อัลเฟร็ดพยักหน้าเบาๆ แล้วนำทั้งคู่ไป นายตำรวจสองคนออกไปแล้ว.. จากนั้นก็มีเสียง ติ๊ง ของลิฟต์ดังมาแต่ไกล แล้วทุกอย่างก็เงียบลง…..

     

    เฮ้อออออ……

     

             ผมเปิดประตู แล้วถอนหายใจอย่างแรง ขาทรุดลงกับพื้น สูดลมหายใจเสียเต็มปอด รู้สึกราวกับเพิ่งรอดจากความตาย นึกว่าจะโดนจับได้ซะแล้ว ให้ตายสิ ไอ้พวกเรื่องแอบๆ หลบๆ แบบนี้ไม่เอาอีกแล้ว    

     

              ผมรอสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแล้ว จึงกดลิฟต์ แล้วกลับลงไปที่ชั้นล่างสุด เพื่อไปนั่งอ่านหนังสือเล่นที่ร้านกาแฟ  และในระหว่างที่ผมอยู่ในลิฟต์นั่นเอง ผมก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง บางอย่างที่สำคัญจริงๆ โอไม่นะ!

     

     

    พรุ่งนี้ผมต้องไปโรงเรียน

     

     

     

    (โดดเรียนได้มั้ยเนี่ย?)

    ติดตามตอนต่อไป….

     
    KiT Ta
    THE'KITTA .

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×