คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 : กาลครั้งหนึ่ง หลังจากนั้น
ผมกำลังนั่งอยู่ในรถ….
รถที่จะพาผมไปไกลแสนไกล ห่างจากสถานที่ซึ่งผมได้จากมา ผมกำลังจะย้ายไปอยู่เมืองใหม่ และเราก็เดินทางจากเมืองมาได้ประมาณเก้าชั่วโมงแล้ว
ในขณะที่ต้องนั่งนิ่งบนเบาะข้างคนขับอย่างเบื่อหน่าย ผมก็มีโอกาสได้สำรวจธรรมชาติที่แสนจะรื่นรมย์ระหว่างทาง อันได้แก่ ซากกวางที่ถูกเหยียบแบนไส้ทะลักกลางถนน พวกฮิปปี้ที่โชว์ของสงวนอยู่หลังรถกระบะเก่าๆ รถยนต์บุบๆที่เพิ่งจะแหกโค้งชนต้นไม้เรียงรายอยู่ตามทาง และ พวกโรคจิตที่คอยแอบดูเราฉี่ตามห้องน้ำปั๊มโทรมๆ
พูดตามตรงว่า ในฐานะเด็กบ้านนอกซึ่งไม่ค่อยได้ออกนอกเมืองเลยตลอดชีวิต ผมสงสัยเสมอว่าทำไมพวกคนขับเหล่านี้ชอบบีบแตรเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างไปมา? เหมือนกับรถกำลังคุยกัน ที่สำคัญพอมองดูใบหน้าของพวกเขา ผมคิดว่าพวกเขาสื่อสารกับรู้เรื่องเสียด้วย
เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว รถยนต์คันน้อยๆของนายตำรวจหนุ่ม เฮนรี่ ผู้ที่ผมเพิ่งจะรู้จักมาได้สักประมาณสองสัปดาห์กว่าๆ ได้เลี้ยวเข้าไปในเส้นทางแปลกๆ ที่นอกจากพื้นถนนจะไม่ใช่พื้นคอนกรีตอย่างที่เห็นมาตลอดทางแล้ว เส้นทางยังเคี้ยวคดไปมาเหมือนงู สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ทึบ ความหนาแน่นของใบไม้บังแสงอาทิตย์บนท้องฟ้าหมดสิ้น ถึงขนาดที่รถต้องเปิดไฟหน้าแล้วขับฝ่าความมืดไปแม้จะเป็นตอนเย็นอยู่ก็ตาม ผมถามเขาว่าทำไมเราต้องเข้ามาในป่าแบบนี้ แต่เฮนรี่กลับไม่ตอบ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้ยิน หรือเป็นเพราะเขาหลงทางกันแน่
ตลอดทางที่เราขับวนอยู่ในป่ามืดๆ ผมก็พยายามเพ่งมองไปข้างนอก เผื่อจะเจออะไรที่มากกว่าต้นไม้สีดำทึบและก้อนกรวดแข็งๆ ที่เรียงรายตามทาง ในที่สุด ช่วงเวลาหนึ่งที่รถกำลังขับผ่านไป ผมก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ผมคิดว่าเป็นคนๆหนึ่ง ระบุเพศไม่ได้ สวนชุดคลุมดำทั้งตัว ยืนหันหลังอยู่ในป่าข้างซ้ายลึกไปไม่ไกล เหมือนคนๆนั้นกำลังทำอะไรบางอย่าง เขาเอาไม้แท่งยาวๆประมาณหนึ่งศอกทิ่มลงไปในดิน และทันทีที่ไฟหน้ารถยนต์สาดแสงผ่านมา ร่างนั้นก็รีบก้มตัวหลบอยู่หลังพุ่มไม้ มันรู้สึกน่าขนลุกอย่างแปลกประหลาด ราวกับว่าผมได้เป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์สยองขวัญเข้าเสียแล้ว ทั้งๆที่จริงๆแล้วอาจจะไม่มีอะไรก็ได้.. คนๆนั้นอาจจะแค่ชนสัตว์อะไรสักอย่างตาย แล้วนำมันไปฝังข้างทางก็เป็นได้ ผมแน่ใจว่าเฮนรี่ไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาคร่ำเคร่งไปกับการมองเส้นทางที่ฉวัดเฉวียนราวกับเขาวงกต และนอกจากร่างปริศนานั้นแล้ว ผมก็ไม่เจออะไรในป่าอีกเลย ผมจึงผล็อยหลับไป…
มารู้ตัวอีกที เราก็ออกมาจากป่านั่นแล้ว แถมท้องฟ้ายังมืดมิดเสียด้วย ผมบิดตัวไปมาแล้วหาวหนึ่งที ให้ตายสิ หลับในรถนี่เมื่อยคอชะมัด!
“เฮนรี่ นี่เวลาเท่าไหร่แล้ว” ผมกล่าวเป็นคำแรก หลังจากที่ไม่ได้พูดอะไรในรถมาเป็นชั่วโมงๆ เฮนรี่ดูท่าทางจะไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่น่าชวนคุยเท่าไหร่นัก เพราะเขากำลังจ้องพื้นถนนข้างหน้านิ่งจนตาแข็ง คงเป็นเพราะต้องเพ่งมองถนนติดต่อกันเป็นเวลานาน นี่ถ้าผมรู้ทางผมคงจะช่วยเขาขับแทนไปแล้ว
“ตอนนี้ห้าทุ่มกว่า ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว” เขาพูดสั้นๆก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งปัดปลายผมสีทองที่เข้ามาบังตา ใบหน้าเขาดูโทรมชอบกลสำหรับคนที่เพิ่งจะอายุสามสิบต้นๆ
“เฮนรี่ คุณช่วยลดอุณหภูมิแอร์ลงหน่อยได้ไหม ผมหนาวจะตายชัก”
“ฉันไม่ได้เปิดแอร์…”เขาบอก ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ นี่อากาศมันหนาวขนาดนั้นเลยเหรอ เย็นแบบนี้ถ้าได้ผ้าห่มสักผืนคงจะหลับสบายน่าดู จะว่าไป เฮนรี่ก็ดูท่าทางจะง่วงเหมือนกัน ผมจึงตัดสินใจคุยเป็นเพื่อนเขากันไม่ให้หลับ
“อีกนานไหมครับ กว่าจะถึง” ผมถาม เฮนรี่ส่ายหน้าเบาๆก่อนจะบอกว่าอีกไม่กี่ไมล์ก็จะถึงที่หมายแล้ว และที่หมายของเราก็คือเมืองแบล็กวู๊ด แม้ชื่อจะเหมือนหมู่บ้านเล็กๆ แต่อันที่จริงแล้วเมืองนี้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐเลยทีเดียว สิ่งของทุกอย่างก็ทันสมัย ตึกราบ้านช่องคงเต็มไปหมด ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆเพราะที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยมีโอกาสเข้าไปในเมืองใหญ่มากนักหรอก
นอกนั้นเฮนรี่ก็อธิบายว่าป่าเมื่อกี้นี้คือป่าใกล้เมืองเก่าแก่ที่ชื่อว่าแบล็กวู๊ด ซึ่งเป็นชื่อที่เอามาตั้งเป็นชื่อเมืองในเวลาต่อมา และบอกว่าเขาเติบโตมาในเมืองนี้ และมีอพาตเม้นต์อยู่ห้องนึงตรงใจกลางเมือง ซึ่งเคยเป็นของพี่ชายเขามาก่อน แล้วเขาก็เล่าเรื่องสมัยเด็กๆให้ผมฟัง ส่วนใหญ่จะเป็นพวก เขาได้เป็นนักกีฬาประจำโรงเรียน เคยเป็นราชางานพรอม เคยมีรายชื่ออยู่ในหนังสือเกียรติยศ ซึ่งยิ่งฟัง ผมก็ยิ่งรู้สึกสำเหนียกตัวเองขึ้นมาตะหงิดๆ แล้วทิ้งท้ายไว้ว่า โรงเรียนที่ผมจะได้ไปอยู่นั้นน่าสนุกมากเลยทีเดียว…อืม.. ก็หวังว่าอ่ะนะ..
ไม่ช้า จากเส้นทางคอนกรีตเปล่าๆ ก็เริ่มมีป้ายบอกทาง และบ้านชาวไร่ ทุ่งนาและพืชผักต่างๆ และยิ่งเข้าไปเรื่อยๆก็จะเริ่มเห็นร้านค้า และบ้านคนเยอะแยะ ตอนแรกผมก็นึกว่าเรามาถึงในเมืองแล้ว เพราะบรรยากาศมันแบบเดียวกับเมืองที่ผมเคยอยู่เลย แต่ผมก็รู้ว่าคิดผิด เมื่อเริ่มเห็นแสงไฟอะไรบางอย่างอยู่ลิบๆ พอใกล้ยิ่งขึ้นก็เห็นว่าเป็นตึกสูงระฟ้าที่มองเห็นได้แม้อยู่ไกล รถราต่างๆก็มากขึ้น พอรู้ตัวอีกที ผมก็เข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ ที่มีตึกสูงมากมาย แสงสีต่างๆสาดส่องทั่วเมือง มีป้ายโฆษนาอันใหญ่ขนาดที่ว่ามองจากดวงจันทร์ก็คงเห็น แน่นอนว่าผมเคยเห็นของพวกนี้จากในหนัง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่ามัน ‘จริง’ แบบนี้มาก่อน อีกทั้งเมืองที่ผมเคยไปก็ไม่ได้ใหญ่เท่านี้ เสียดายที่ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว หากเป็นตอนเช้า ผมคงจะได้เห็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่านี้
หลังขับเข้าเมืองมาได้สักพัก จู่ๆรถก็เลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถของตึกแห่งหนึ่ง เขาจอดรถ ปิดเครื่องยนต์ แล้วถอนหายใจยาว ก่อนจะบอกสั้นๆว่า “เราถึงแล้ว” ผมแปลกใจเล็กน้อย ตึกนี่น่ะหรือคือที่ๆผมจะต้องมาอยู่น่ะ? ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แต่ผมคิดว่าตึกนี้เป็นตึกแห่งเดียวที่ดูเก่ากว่าตึกไหนๆ กำแพงอิฐของตึกบอกถึงความโทรมได้ชัดเจน สีอิฐเป็นสีเทาหม่นๆ มีพืชชนิดเถาวัลย์เกาะตัวเป็นหย่อมๆ ยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศเฉพาะตรงตึกนี้เท่านั้นที่น่าขนลุกกว่าตึกอื่นที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้สิ บางทีมันอาจจะมีพลังงานบางอย่างอยู่ก็เป็นได้…
แม้แต่ในขณะที่ผมขนสัมภาระลงจากหลังรถ ผมก็สัมผัสได้ถึงความอึดอัดชอบกล โอ๊ย.. เกลียดความรู้สึกแบบนี้จริงๆ อยู่ดีๆคนเราจะมารู้สึกอึดอัดกับที่ๆเพิ่งเคยมาได้ไง เราต้องอาศัยอยู่ที่นี่นะ.. หรือบางทีอาจเป็นแค่อาการไม่คุ้นชินกับที่อยู่ ผมคงต้องเก็บความรู้สึกพวกนี้ไปก่อน แล้วเดินลากกระเป๋าตามเฮนรี่ออกจากโรงรถเข้าไปในตึก
ต้องสารภาพว่าข้างในผิดจากที่คาดไว้มาก แม้ข้างนอกจะดูโทรม แต่ข้างในนี่สิ ตกแต่งหรูราวกับโรงแรมห้าดาว พื้นพรมสีแดง วอลเปเปอร์ลายดอกสีเงินสลับทอง เพดานสูงมีโคมระย้าอันใหญ่ห้อยลงมา กลางห้องโถงก็มีโซฟานุ่มๆเบาะสีขาวและโต๊ะกาแฟกระจกเล็กๆ ติดตรงผนังด้านเดียวกับประตูทางเข้า มีเค้าเตอร์ทำจากไม้สักสำหรับพนักงานต้อนรับและข้างหลังก็มีตู้ไม้ที่มีช่องเล็กๆเต็มไปหมด สำหรับเก็บกุณแจของแต่ละห้อง อพาร์ทเม้นต์ประเภทไหนเนี่ย ที่จะตกแต่งหรูขนาดนี้ ไม่ใช่โรงแรมที่จะต้องดึงดูดลูกค้าเข้าซะหน่อย?
“เฮนรี่ ที่นี่ดูท่าทางน่าจะแพงมากไม่ใช่รึไง? คุณรวยขนาดนั้นเลยเหรอ?” ผมถามในขณะที่ขนของขึ้นลิฟต์ตัวใหญ่
“ฉันไม่ได้รวยหรอก พี่ชายฉันต่างหากที่รวย เขากว้านซื้อห้องหรูไปทั่วเมืองเลย แต่สองสามปีถึงจะมาอยู่สักครั้งนึง ครั้งละไม่ถึงวัน บางแห่งตั้งแต่ซื้อมา เขาก็ไม่เคยไปอยู่เลยด้วยซ้ำ อย่างเช่นที่นี่เป็นต้น…” เฮนรี่อธิบายในขณะที่เราขึ้นลิฟต์ ดูท่าทางลิฟต์นี่ก็กว้างพอที่จะให้ช้างสักตัวมาอยู่ได้เลยทีเดียว ผมไม่แปลกใจเลยที่มันขนพวกสัมภาระของพวกเราขึ้นไปได้หมดโดยไม่ร้องเตือนว่าน้ำหนักเกิน
“ให้ตายสิ พี่ชายคุณทำงานอะไรน่ะ? เขาเป็นมหาเศร…..”
“ฉันกับพี่ชายไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่นักหรอก… เอ่อ ขอโทษนะ ฉันแค่ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้น่ะ” เฮนรี่พูดขัด ผมจึงเงียบลงไปในบัดดล เขาใช่นิ้วมือยาวกดลงไปตรงเลข ‘สิบเก้า’ จากทั้งหมด... ‘ยี่สิบ’ ชั้น….. ให้ตายสิ ผมแพ้ความสูงนะ! ไหงเราต้องอาศัยอยู่ในชั้นที่อยู่เกือบบนสุดด้วยเนี่ย!
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์ส่งสัญญาณบอกว่าเรามาถึงชั้นที่สิบเก้าแล้ว และทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก อากาศจากภายนอกกลอยเข้ามา ทว่า ผมกลับรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย รู้มั้ย ถ้านี่เป็นหนังสยองขวัญล่ะก็ ตึกนี้ต้องมีผีสิงชัวร์ๆ แต่ผีมีจริงที่ไหน..
“เฮ้ เฮนรี่” ผมหยุดชะงักตรงหน้าประตูลิฟต์
“หืม?” เฮนรี่ทำเสียงเป็นเชิญถาม แม้เขาจะยังเดินไปถามทางเดินโดยไม่หันกลับมาเลยก็ตาม
“คุณได้ยินมั้ย?!” ผมยืนนิ่ง พยายามเงี่ยหูฟัง เสียงของอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ดีแน่ๆ เพียงแต่ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงอะไร มันดังพอๆกับเสียงของลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนตัวลงไปชั้นล่าง เฮนรี่หยุดเดินแล้วมองผมอย่างสงสัย
“เหมือนเสียงกรีดร้อง..” ผมพูดเสียงกระซิบ แม้จะรู้ว่าเฮนรี่ไม่ได้ยินก็ตาม “และเสียงอะไรบางอย่างทุบกับกำแพง… มันมาจากชั้นบน” ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นในท้อง เหมือนคลื่นไส้ และมีเหล็กหนักเท่าลูกตุ้มถ่วงอยู่ในท้อง นี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเท่าไหร่ แต่ผมไม่ใช่พวกที่มีสัมผัสพิเศษอะไรทำนองนั้นเสียหน่อย แล้วเสียงนี้มันคืออะไรกันนะ?
“เสียงของพวกลูกคนรวยจัดปาร์ตี้ชั้นบนล่ะมั้ง แต่ก่อนก็งี้ประจำ ตอนฉันมาอยู่น่ะ ฉันแจ้งเจ้าของหอไปตั้งรู้กี่ครั้งแล้ว แต่ก็อย่างว่านั่นเหละนะ พวกคนรวยก็งี้ ชอบคิดว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น จะทำอะไรก็ได้” เฮนรี่บ่นเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อ ผมรีบลากกระเป๋าตามไป ดูก็รู้ว่าชั้นนึงมีห้องพักน้อยมาก เท่าที่ผมนับดูแล้ว มีแค่สี่ห้องเอง ทั้งๆที่ตึกก็ออกจะกว้างแท้ๆ เฮนรี่หยุดตรงประตูห้องท้ายสุด เป็นห้องที่อยู่ทางฝั่งด้านหน้าของตึก ผมโล่งใจเล็กน้อยเพราะฝั่งด้านหลัง มีตึกอื่นๆบังทัศนีย์ภาพของเมืองหมด
“ห้อง 1900 เลขสวยดีนะครับ” ผมกล่าว เฮนรี่ใขกุณแจแล้วเปิดประตู อากาศจากนอกห้องอัดตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่มีใครเข้ามาที่นี่ เฮนรี่เดินเข้าไป ผมเดินตามอย่างตื่นเต้น ทันทีที่เดินเข้ามาไฟก็เปิดโดยอัตโนมัติ ทันสมัยไม่เบา และแล้วสิ่งที่ผมรอคอยก็ก็มาถึง สภาพห้องสุดหรูที่ผมฝันไว้มานานว่าอยากจะอยู่ ในที่สุ…………. เอ๋?”
“คือ… เอ่อ เฮนรี่ นี่มันอะไร?” ผมยืนนิ่งมองสภาพห้อง คุณอยากรู้เหรอ? พูดได้คำเดียวว่านี่มันรังหนูชัดๆ! ไม่ต่างจากบ้านหลังเก่าของเฮนรี่สักกะนี๊ดดดดดด นึงเลย! ผมหมายถึง แน่นอน การตกแต่ง ผนัง พื้นพรม เพดานก็ดูหรูตามที่มันควรจะเป็นอยู่หรอกนะ แต่ไหงพวกกองเอกสารจำนวนนับไม่ถ้วนถึงได้วางว่อนแบบนี้ล่ะ บนโต๊ะ บนพื้น บนเก้าอี้ แม้แต่ตรงพรมเช็ดเท่าก็มีแฟ้มปึกใหญ่ๆตั้งอยู่ เชื่อเขาเลย..
“อันที่จริงฉันขนของมาที่นี่ก่อนสองวันน่ะ มันเลย..ค่อนข้างจะรก” เขาพูดเสียงอ้อมๆแอ้มๆเล็กน้อย เอาเหอะ มีที่ให้ซุกหัวนอนขนาดนี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ไว้ผมจะช่วยจัดเอกสารพวกนี้ตอบแทนที่เขาให้ผมอยู่ด้วยก็แล้วกัน “ห้องของเธออยู่ตรงนั้น” เขาชี้ไป ผมจนลากกระเป๋าอยากรวดเร็ว ขอบคุณพระเจ้า! ห้องนี้ยังคงความสะอาดไว้ทุกอย่าง ห้องนี้มีพร้อมหมด เตียงใหญ่ ห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้า กะจก ตู้เย็น ตู้หนังสือ โต๊ะเขียนหนังสือ และเอ่อ… มีทีวี โฮมเทียเตอร์! อยากจะเอาหัวโขกกำแพงจริงๆ ในที่สุด ความฝันที่จะได้ดูหนังสยองขวัญแบบเต็มอรรครสก็เป็นจริงซะที!!
ผมทิ้งของทั้งหมดลง แล้วกะโดดทิ้งตัวลงไปบนเตียงก่อนจะวาดแขนขาไปมาๆ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับนาฬิกาลูกตุ้มโบราณเรือนใหญ่ที่ตั้งตระหง่านพิงกำแพงมุมห้องพอดิบพอดี มันดูไม่เข้ากับห้องนี่เท่าไหร่เลย แต่มันยังทำงานอยู่ ก็ดีกว่าไอ้นาฬิกานกกุ๊กกูที่เคยปลุกผมทุกชั่วโมงในบ้านหลังเก่าก็แล้วกัน
“เอาอีกแล้ว…” ผมพึมพำเบาๆ เสียงนั้นอีกแล้ว คราวนี้เสียงดังกว่าครั้งก่อนมาก เหมือนใครกำลังทุบพื้นและกำแพงอยู่ แล้วก็เสียงอู้อี้เหมือนคนกำลังร้อง แต่ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก นั่นไม่ใช่เสียงที่ดีเลย.. ความรู้สึกนั้นกลับเข้ามาอีกแล้ว รู้สึกแย่ อึดอัด บอกไม่ถูก อากาศก็หนาวเย็นเกินกว่าจะเป็นอากาศปกติ ขนแขนลุกซู่ ราวกลับเรื่องร้ายๆกำลังจะกลับมาอีกครั้ง
ไม่นะ…
ผมอึดอัดจนกระทั้งเริ่มหายใจไม่ออก เลยเดินไปยังหน้าต่าง เสียงปึงปังเหนือเพดานดังขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้ผมรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าเสียงข้างบนนั่นกำลังตามผมมาอย่างนั้นเหละ พอเดินไปถึงหน้าต่างเสียงก็หยุด ผมแหวกม่านออกก็พบว่ามีระเบียงกว้างๆอยู่ข้างนอก กว้างพอที่จะเอาเตียงยาวตรงนั้นไปตั้งได้เลย จากตรงนี้ผมเห็นเมืองได้ทั่วเมือง ผมกำลังอยู่ใจกลางเมืองจริงๆ ยิ่งเมื่อมองลงไปข้างล่าง ก็เห็นถนนที่ว่างเปล่าอยู่ลิบๆ ทุกอย่างดูเล็กไปหมด ผมรู้สึกหวาดเสียว ท้องไส้ปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม
“อื้ออออออ….” เสียงครางในลำคอดังมาตามสายลม ผมยืนนิ่งจับราวระเบียง ให้ตายสิ! ถ้าผมไม่รู้ว่าไอ้เสียงนั่นคืออะไร คืนนี้ต้องนอนไม่หลับแน่ๆ มันมีอะไรบางอย่าง… อะไรตรงห้องชั้นบน.. อะไรที่น่ากลัว สายตาผมเพ่งมองขึ้นไป แม้จะเห็นแต่ขอบระเบียงด้านบน แต่กับรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างอยู่ตรงนั้น ต้องมี.. มีแน่ๆ….
ปัง!
ผมสะดุ้งอย่างแรง เสียงเฮนรี่เดินเข้ามาในห้อง ดูเหมือนเขากำลังหัวเสีย “ให้ตายสิ! ไอ้เด็กพวกนี้นี่มันจริงๆเลย อันที่จริงเจ้าของตึกก็เตือนฉันไว้แล้วนะว่าจะมีเด็กๆจัดปาร์ตี้กันจนถึงตีหนึ่งคืนนี้ แต่นี่มันห้องพักนะ ไม่ใช่ผับ บาร์ ฉันคงต้องไปเตือนเด็กพวกนี้ซะหน่อยแล้ว แมต… เธออยู่ในห้องนะ ฉันจะออกไปคุยกับเจ้าของตึกก่อน” ไม่ทันที่ผมจะตอบรับ เฮนรี่ก็ปิดประตูออกไป ที่แท้ก็งี้นี่เอง.. เด็กจัดปาร์ตี้กันจริงๆสินะ คงเป็นเพราะผมยังฝังใจไม่หายกับเรื่องที่ผ่านมา จะมองอะไรมันก็กลายเป็นเรื่องน่ากลัวไปซะหมด คราวหลังเอาไว้เฮนรี่เผลอ ผมจะแอบไปปาร์ตี้กับพวกข้างบนบ้างดีกว่า ที่นี่เจ๋งชะมัด…
ผมเดินกลับเข้ามา หย่อนตัวลงบนเบาะเตียงอย่างอ่อนเพลีย แล้วก็นั่งนิ่งอย่างนั้น ค่อยๆมองไปยังสิ่งของต่างๆอย่างพินิจ ทำความคุ้นเคยภายในห้อง นั่งนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น สาเหตุที่ทำให้ผมได้มานั่งอยู่ในห้องนี้ ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าผมจะผ่านมันมาได้ เหตุการณ์ที่ผ่านมาชัดเจนกว่าที่ผมเคยรู้สึกมาทั้งชีวิตด้วยซ้ำ เวลาต่างๆที่ผ่านมา เวลาต่างๆที่เกิดขึ้น.. เวลา…
ผมมองไปยังนาฬิกาโบราณ ตอนนี้ ห้าทุ่ม ห้าสิบแปดนาที อีกเพียงสองนาทีก็จะเที่ยงคืนแล้ว.. ทุกอย่างเงียบสนิท… แต่แปลกจัง.. ถ้าเขาจัดปาร์ตี้กันจริง ทำไมไม่มีเสียงเพลงล่ะ แล้ว.. ปาร์ตี้ที่ไหนกันจะมีแต่เสียงปึงปัง แล้วก็เสียงคนร้องอู้อี้? ผมมองออกไปยังระเบียง แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เสียงพวกนั้นก็หายไปแล้วนี่…
ความเย็นก่อตัวขึ้นในใจ มันหนาวสะท้านไปหมด แต่ร่างกายผมกลับไม่ได้สั่นเพราะความหนาว แต่สั่นเพราะความกลัว.. ความกลัวที่ไร้ที่มา อะไรบางอย่างที่อันตรายกำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว!
ตึก….. ตึก….. ตึก….. ตึก….. ตึก….. หัวใจเต้นถี่ราวกลองรัว
พรึ่บ!!
จู่ๆไฟในห้องก็ดับพรึ่บอย่างพร้อมเพรียง ทุกอย่างมิดมิด ผมรู้สึกราวกับเริ่มเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในห้อง มองอะไรไม่เห็นเลย หรือเราแค่คิดไปเองกันแน่ ทางที่ดีที่สุด ออกไปที่ๆสว่างกว่าในห้องดีกว่า นั่นก็คือระเบียง แต่ทว่าข้างนอกก็มืดมิดเช่นกัน ไฟดับทั้งเมืองเลยเหรอ? หายากทำสำหรับเมืองใหญ่นะเนี่ย.. ผมหยุดยืนอยู่ตรงระเบียงคนเดียว แต่กลับรู้สึกไม่ปลอดภัย เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมเริ่มกลั้นหายใจ
ตึก…ตึก….ตึก….ตึก…ตึก…..
พรึ่บ!
ไฟกลับมาสว่างอีกครั้ง ผมถอนหายใจ ในตอนนั้นเองที่ผมเงยหน้าขึ้นไป แล้วเห็นอะไรแปลกๆตรงขอบระเบียง คล้ายๆกับปลายเชือกที่มัดอยู่ตรงนั้นหลายอัน พร้อมกันนั้นผมหันไปมองนาฬิกาพอดีกับเข็มยาวชี้ไปที่เลขสิบสองพร้อมๆกับเข็มสั้น
เที่ยงคืนแล้ว…. เสียงลูกตุ้มนาฬิกาดังเตือนดัง
“กร๊อก!.....”
ไม่ใช่เสียงของนาฬิกา แต่ทว่า …
ใบหน้า…. ใบหน้าของชายคนหนึ่ง กำลังลอยอยู่ในดับเดียวกับใบหน้าของผมพอดิบพอดี ลูกนัยน์ตาเบิกโตราวกับจะหลุดออกมา ลิ้นแลบยาวเลยคาง ตรงหัวมีรอยแผลเหวอะหวะจนเห็นกะโหลกสีขาว และซากของอะไรบางอย่างที่คิดว่าจะเป็นก้อนสมองและเปื้อนตรงบริเวณใบหน้า ร่างของชายคนนี้ถูกเชือกผูกตรงคอต่อยาวกับระเบียงข้างบน ผมกรีดร้องสุดเสียง
แล้วนาฬิกาก็ตีดังครั้งที่สองดัง…. “กร๊อกก!!” ร่างของผู้หญิงอีกคนหล่นลงอย่างแรง ขาของเธอกระแทกกับระเบียงห้องผม ด้วยแรงดึงของเชือก คอเธอจึงถูกกระชากดัง…
“กร๊อกก!” อีกร่างหนึ่งหล่นลงมา ผมผงะถอยไปด้านหลัง แล้วล้มลง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีเสียงดัง
“กร๊อบ!!” ร่างที่สี่หล่นลงมาพร้อมกับเสียงนาฬิกาดังเตือนครั้งที่สี่ ทั้งสี่ร่างห้อยต่องแต่ง เรียงกันจากริมระเบียง
“กร๊อบบ!!” นาฬิกาตีดังครั้งที่ห้า คราวนี้ร่างที่หล่นลงมายังมีชีวิต เป็นผู้หญิงที่กรีดร้องเสียงดังจนกระทั่งคอเธอถูกเชือกกะชากอย่างแรง และด้วยน้ำหนักของเธอที่มากเกินไป ร่างของเธอจึงหล่นลงสู่เบื้องล่าง เหลือแต่หัวและตาห้าดวงที่เบิกโพลงพร้อมกัน เมื่อร่างไร้หัวหล่นลงพื้น เสียงสี่เสียงก็ดังพร้อมกันอันได้แก่
เสียงของซากเนื้อที่หล่นลงพื้นถนน ดัง “แผละ” เสียงของนาฬิกาตีครั้งที่หก ดัง “เก๊งงง” เสียงของผู้ชายอีกคนที่ถูกโยนลงมา ดัง “อ๊ากกก กร๊อบบ!!” และ…เสียงกรีดร้องของผมเอง…
“กร๊อบ!” ที่เจ็ดคือตอนที่ผมรู้ตัวว่าเลือดสีแดงสดสาดกะจายไปทั่วระเบียง ทั้งเสื้อ ทั้งใบหน้า การฆาตกรรมอันแสนวิปริตเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา แม้ผมจะไม่อยากฟัง แต่เสียงของร่างที่แปดก็หล่นลงมาพร้อมกับเสียงนาฬิกา ผมแทบอยากจะร้องไห้ ตัวสั่นงันงก
แต่ทว่าเสียงกรีดร้องของร่างเมื่อกี้ ยังคงร้องอยู่ในตอนที่นาฬิกาตีเป็นครั้งที่เก้า…..
ครั้งที่สิบคือตอนที่ผมรู้ตัวว่า เธอยังไม่ตาย ผมจึงรีบวิ่งไปช่วยเหลือ….
ครั้งที่สิบเอ็ด คือตอนที่ร่างของหญิงสาวดิ้นพราดๆ เธอพูดไม่ออก แต่เลือดสีแดงกำลังคั่งอยู่ในลูกตาของเธอแล้ว ผมเอื้อมมือไปจับร่างของเธอและช่วยพยุงเอาไว้ แต่ทว่ากลับมีเสียงของอะไรบางอย่างจากข้างบน ของแหลมบางเฉียบสีเงินกำลังตัดเชือกไปมา……
และนาฬิกาก็ตีครั้งที่สิบสอง ตอนที่เชือกของหญิงสาวนั้นขาด และผมก็รับน้ำหนักเธอไม่ไหว
ร่างของเธอจึงตกลงไป
……………
……….
……
…
“ดังแผละ”
แล้วทุกอย่างก็เงียบลง มีแต่เสียงร้องของผม ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ราวกับโลกกำลังจะแตกสลาย ร่างทั้งหก และหัวอีกหนึ่งยังคงปลิวไหวไปมาตามแรงลม ดวงตาทุกคู่จ้องมองมาที่ผมเป็นทางเดียว ราวกับพวกเขากำลังอาฆาตแค้น ว่ากันว่าใครที่มองตาคนตายเป็นคนสุดท้ายก่อนเขาตาย เขาก็จะเอาคนนั้นไปอยู่ด้วย ผมทรุดลงบนพื้นระเบียง ทำอะไรไม่ถูก กระเพาะกำลังขย้อนของที่เพิ่งกินไปออกมาจนหมด
เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ที่ผมเงยหน้าไปข้างบน ก็รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่โดยเงาสีดำทะมึน บนมือของมันมีมีดเล่มยาวคมกริบเปื้อนคราบสีแดงสด แม้จะไม่เห็นใบหน้า แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเห็นมันกำลังกระหยิ่ม ยิ้มย่องอย่างภูมิใจในผลงาน ….
ไม่ช้า เงานั้นก็หายไป….
และไม่ช้า ผมก็กำลังจะเป็นรายต่อไป!!
มีหลายครั้ง… ที่เราผ่านเรื่องเลวร้ายอะไรบางอย่างไป และเราคิดว่ามันจบแล้ว ทั้งๆที่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่.. ไม่ใช่เลย!
ติดตามตอนต่อไป
ความคิดเห็น