คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 :: ชีวิตหลังโลกล่มสลาย
คุณคิดว่าจะมีคนธรรมดาสักกี่คน ที่สามารถรอดชีวิตได้หากต้องออกเดินเพ่นพ่านในเมือง
คำตอบคือไม่มี
ไม่สำหรับเมืองนี้ เมืองที่เหลือแต่ซากปรักหักพัง เมืองที่พื้นถนนเต็มไปด้วยเศษกระจก เมืองที่อาคารต่างๆ กำลังถูกกลืนกินด้วยพืชไม้เถาวัลย์ เมืองที่มีสัตว์ผู้ล่าอาศัยอยู่ตามตรอก เมืองที่ไร้ผู้คน…. เมืองที่ผมอาศัยอยู่
บางครั้งผมก็หวังว่าตัวเองจะได้ไปเกิดในยุคสมัยที่ดีกว่านี้ ยุคสมัยที่โลกมนุษย์ของเราไม่ได้ถูกยึด ยุคสมัยที่ผู้คนยังคงอาศัยอยู่บนพื้นโลก ผมแทบจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเราเคยใช้ชีวิตอยู่ยังไง มีเพียงภาพลางๆ ในความทรงจำวัยเด็กของผม ผมคิดว่าสิ่งผู้คนเรียกว่า ‘ถนน’ คือสิ่งที่มีไว้ให้ ‘รถยนต์’ ใช้เคลื่อนที่ ใช่หรือเปล่านะ? ผมไม่แน่ใจว่าเวลาคนพูดถึง ‘ลิฟต์’ เขาหมายบันไดที่เลื่อนขึ้นลงได้เองในห้างสรรพสินค้าหรือเปล่า… ผมจำไม่ค่อยจะได้แล้ว มันผ่านมานานเกินไป
รู้ไหม? อะไรที่ผมจำได้
ผมจำวิธีหลีกเลี่ยงฝูงหมาป่าที่อาศัยอยู่แถบใจกลางเมืองได้ พวกมันยึดพื้นที่ตรงนั้นเสมอ ผมจำวิธีแล่เนื้อกวางได้ เนื้อของพวกมันหวานอร่อยที่สุด ผมจำวิธีปีนป่ายไปตามซากอาคารเพื่อสำรวจพวกของเก่าๆ ได้ ผมจำวิธียิงปืนล่าสัตว์ได้ ผมจำได้ว่าจะต้องไม่ออกมาเดินในเมืองตอนกลางคืน ผมจำได้ว่าถ้าพบอะไรก็ตามที่ขยับ ให้รีบหลบไว้ก่อน อ้อ! ผมจำวิธีการดูสิ่งที่เรียกว่า ‘ภาพยนตร์’ ได้ด้วยนะ
มันเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่ต้องเรียนรู้ว่าผมโตมาในยุคที่แย่ที่สุดของมนุษย์ โดยเฉพาะตอนที่แม่ชอบเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่ว่ามนุษย์เคยมีสิ่งที่เรียกว่า ‘สนามเด็กเล่น’ ที่ๆ จะมีเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจะมารวมตัวกัน เล่นด้วยกัน คุยกัน และเป็นเพื่อนกัน ย้อนไปสมัยที่ผมยังเด็กมากๆ ก่อนยุคที่โลกจะล่มสลาย ถือเป็นเรื่องยากที่เด็กรุ่นเดียวกันจะได้คุยกัน เพราะพวกเขาเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน เข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ ผมอยากมีเพื่อนบ้าง คือ… ไม่ใช่ว่าตอนนี้ผมไม่มีหรอกนะ เพียงแต่ ‘เพื่อน’ ที่ผมว่า หมายถึงเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่จะสามารถเข้าใจเรื่องบางเรื่องที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจได้
ตลอดแปดปีที่ผมโตมาในโลกหลังการล่มสลายของอารยธรรม สถานที่เดียวที่ผมเรียกมันว่า ‘บ้าน’ คือสถานีรถไฟใต้ดิน พวกเราอยู่กันตามชานชาลาต่างๆ คอยซ่อนตัวอยู่ในความมืด เพื่อไม่ให้พวก ‘ผู้เก็บเกี่ยว’ มาเจอเข้า แล้วจับเราไปล้างสมอง ที่นั่นเราสร้างที่อยู่ขนาดย่อมๆ ขึ้นมา เรามีห้องนอน ห้องน้ำ (ที่ค่อนข้างขาดแคลนน้ำ) เรามีโรงอาหาร เรามีห้องนั่งเล่นด้วย เราสร้างของพวกนี้โดยการขึ้นไปบนเมือง แล้วออกหาซากสิ่งของที่เราต้องการตามบ้านเรือน
ชีวิตในใต้ดินคือชีวิตที่มืดมน พวกเรามีกันอยู่ไม่มาก ประมาณยี่สิบคนได้ เราเคยมีเยอะกว่านี้… แต่หลายอย่างก็เกิดขึ้น และพวกเขาก็เอาชีวิตไม่รอด แต่ถึงอย่างนั้น ชีวิตใต้ดินก็เป็นชีวิตที่อบอุ่น พวกเราอยู่กันอย่างรักใคร่และสนิทสนมกันดี อย่างเดียวที่ทำให้พวกเราลำบากมาตลอดคือเรื่องของอาหาร ไม่มีทางที่เราจะหาของกินได้จากใต้ดิน เราต้องขึ้นมาบนพื้นโลกเท่านั้น ซึ่งก็อย่างที่ผมบอก พื้นโลกอันตรายเกินไป มีสัตว์ร้ายมากมายยึดพื้นที่อยู่อาศัยในเมืองไปจนหมด มันน่าขำที่หมีป่าไม่ได้อยู่ในป่า และสิงโตภูเขาไม่ชอบอยู่บนภูเขา ดังนั้นทางเดียวที่พวกเราจะหาอาหารได้ คือเราต้องส่งคนขึ้นมาเสี่ยงชีวิตในเมือง เพียงเพื่อหวังว่าเราอาจจะจับกระรอกมาได้สักตัวนึง แต่ผมจะบอกให้ โอกาสได้ของกินดีๆ ไม่ได้มีทุกวันหรอก เราต้องอยู่อย่างหิวโหย ทรุดโทรม อดอยาก และทรมาน
ผมเป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่ต้องรับหน้าที่คอยเสี่ยงออกไปข้างนอก ล่าสัตว์ หาอาหาร หาของที่พวกเขาต้องการ แล้วพามันกลับมา ในกลุ่มของเรามีไม่กี่คนหรอกที่จะได้ออกมาสูดอากาศบนโลกภายนอก พวกเขาบางคนเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ใต้ดินมาตลอด ไม่เคยได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน อย่างเช่นพ่อกับแม่ผมเป็นต้น มันมีอยู่สามเหตุผลใหญ่ๆ ที่ผมมักจะได้รับเลือกเสมอ
หนึ่ง - รูปร่างของผม ผมเป็นเด็กชายอายุสิบแปดที่ตัวเล็กเกินมาตรฐานทั่วไป ผมสูงแค่ร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร นั่นทำให้ผมว่องไว หาที่ซ่อนตัวได้ง่าย โอเค… ผมรู้ว่าการที่ผมเป็นคนตัวเตี้ยถือเป็นปมด้อย แต่รู้อะไรไหม? โลกที่ล่มสลายจะไม่สนว่าคุณสูงหรือเตี้ย ไม่เลือกว่าใครหน้าตาดีหรือไม่ มันเลือกกัดกินคนที่สิ้นหวังต่างหาก
สอง – ผมรู้วิธีใช้ปืน พ่อสอนวิธีใช้มันตอนผมยังเด็ก ผมฝึกฝนมาตลอดหลายปี จนเรียกได้ว่าการยิงปืนเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ผมรักและถนัด ปืนคู่ใจของผมคือปืนสไนเปอร์สุดแสนหายากที่บังเอิญไปเจอในบ้านของอดีตเศรษฐี แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าผมจะใช้มันในการล่าสัตว์ได้อย่างสะดวกสบายหรอกนะ ปืนน่ะ มีไว้สำหรับป้องกันตัวเวลามีเหตุฉุกเฉินเท่านั้น เพราะหากเราใช้มันยิงสัตว์ในเมือง เสียงปืนก็จะดังก้องไปทั่ว และมันก็จะเรียกให้สัตว์ร้ายต่างๆ ทั่วเมืองยกโขยงกันมาหาผม อีกอย่างลูกกระสุนเราก็มีจำนวนจำกัด จะใช้ทิ้งขว้างไม่ได้ อาวุธอย่างเดียวที่เราใช้ในการล่าสัตว์คือมีดพกอันเล็กๆ เท่านั้น
สาม – ผมชอบการออกมาข้างนอกอยู่แล้ว ผมมักจะเป็นคนอาสาออกมาเองเสมอในทุกๆ เช้า ผมรักที่จะออกมาสำรวจของทุกอย่างในเมือง ตลอดแปดปีผมไปมาแล้วทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าจะตึก หรือบ้านเรือน ท่อระบายน้ำ สถานที่ชุมชน ผมก็ไปมาหมด จะมีสิ่งหนึ่งที่ผมชอบเป็นพิเศษคือ ‘หนังสือ’ มันเป็นสิงประดิษฐ์มหัศจรรย์ที่คนสมัยก่อนคิดค้นก่อนเราจะเลิกใช้ไป มันเป็นแผ่นกระดาษเรียบๆ ที่เย็บติดกัน และในนั้นจะมีตัวอักษรที่บอกเรื่องราวต่างๆ ของโลกในสมัยก่อน ผมสะสมหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ ถ้ามีเล่มไหนที่ผมชอบ ผมก็จะนำมันกลับมาเก็บไว้ที่ห้องนอน เป็นเรื่องที่น่าอายจริงๆ ที่คนสมัยผมไม่เห็นค่าของ ‘หนังสือ’ พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับแต่โลกออนไลน์ และคิดว่าการอ่านตัวอักษรจากหน้าจอเป็นสิ่งที่เท่กว่าการพลิกหน้ากระดาษ
เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเมื่อยจากการนอนผิดท่า ผมยืดตัวสองสามที ดันตัวเองให้ลุกขึ้น จากนั้นก็นั่งกอดเข่าอยู่บนฝูกที่นอน ผมมองไปรอบๆ แล้วพบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนอนแล้ว ทุกคนตื่นเร็ว หรือบางทีผมอาจตื่นสาย ผมไม่มีทางรู้ได้เพราะผมไม่มีทางเห็นแสงตะวันจากใต้ดิน
ห้องนอนของเราอยู่ในส่วนของอุโมงค์ทางรถไฟ ยังมีรางไม้หมอนต่อยาวพาดผ่านเตียงของผมอยู่เลย เราใช้แผ่นไม้มากั้นพื้นที่เพื่อให้มันดูเหมือนห้อง หากเดินต่อไปเรื่อยๆ เราก็จะเจอกับชานชาลาเก่าของรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่นั่นก็คือที่ๆ ทุกคนจะรวมตัวกันทุกเช้าเพื่อทานอาหาร พวกเราจะมานั่งกันพร้อมหน้า คุยกันเรื่องสัพเพเหระอย่างเช่นชีวิตประจำวันในใต้ดิน แล้วจากนั้นก็เสิร์ฟอาหารที่ยังเหลือ แต่วันนี้กลับแตกต่าง เพราะทันทีที่ผมเดินไปถึง ลุงโจ พ่อครัวประจำกลุ่มตะโกนเรียกชื่อผมมาตั้งแต่ไกล
“ไอ้ตัวเล็ก!! วันนี้เรามีปัญหา เสบียงเราหมดเร็วกว่าที่คาดไว้”
ผมถอนหายใจ อย่างแรกคือผมจะต้องอดอาหารเช้า อย่างที่สองคือการที่เขาชอบเรียกผมว่า ‘ไอ้ตัวเล็ก’ จริงอยู่ที่ผมตัวเล็ก แต่ผมมั่นใจว่าไม่มีเด็กผู้ชายอายุสิบแปดคนไหนชอบให้ถูกเรียกแบบนั้น ผมคอยย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าไม่ควรถือสาสิ่งที่ลุงโจพูด เขาแค่เอ็นดูผม เขาทำอาหารเก่ง และที่สำคัญ เขามักจะออกไปข้างนอกช่วยล่าสัตว์เป็นเพื่อนผมในบางครั้งบางคราว
“ลุงโจ เราจับกระต่ายมาได้ตั้งสองตัวเมื่อสี่วันก่อน น่าจะยังเหลือเนื้ออีกตั้งเยอะนะ” ผมพูดพลางจ้องชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบ เขามีหนวดเคราสีดำรกรุงรังแต่ไม่ยอมโกนอ้างว่าเพราะมันทำให้เขาดูเข้ม เขามักจะสวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเขรอะเป็นยูนิฟอร์มประจำตัว
“เสียใจ แต่ช่วงนี้เรากินเยอะเกินไป ต้องรีบขึ้นไปข้างบน หาอาหารมาเพิ่ม ก่อนที่คนอื่นๆ จะเริ่มประท้วงใส่ฉันอีก”
“โถ่! ลุง เว้นให้ผมพักอยู่ข้างล่างสักวันสองวันไม่ได้หรือไง ช่วงนี้ผมขึ้นไปในเมืองแทบจะทุกวันอยู่แล้วนะ” ผมท้วง
“ไม่เอาน่า” ลุงโจถอดผ้ากันเปื้อนออก แล้วเดินตรงเข้ามาหา ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไร เขาจะกอดผม เขาชอบทำแบบนั้นประจำเพราะเขาเอ็นดูผมเหมือนเด็กตัวเล็กๆ เขาทำแบบนั้นทุกครั้งเวลาจะขอร้องให้ผมทำอะไรให้สักอย่าง แล้วมันจะจบด้วยผมที่ยอมทำตามคำขอแต่โดยดี ไม่ใช่ว่าผมชอบที่เขากอดหรอกนะ แต่ถ้าไม่รีบตอบตกลง ผมจะต้องทนกับการโดนเอาเคราแหลมๆ มาถูแก้ม มันน่าขนลุกพิกล “วันนี้ฉันจะขึ้นไปกับเธอด้วย โอเคไหม ไอ้ตัวเล็ก?”
“เออ ก็ได้” ผมตอบห้วนๆ ส่ายหน้าเบาๆ แล้วถอนหายใจยาว ผมไม่ชอบออกไปข้างนอกทั้งๆ ที่ท้องยังหิว แต่ผมชินกับการอยู่อย่างหิวโซเสียแล้ว ผมเดินเข้าห้องน้ำ มันเคยเป็นสุขาประจำสถานีรถไฟใต้ดิน แต่น่าแปลกใจที่หลังจากโลกล่มสลาย มันยังมีน้ำหลงเหลือให้ใช้จนมาถึงปัจจุบัน น้ำอาจส่งตรงมาจากเขื่อน ซึ่งนั่นก็มากพอแล้วที่จะใช้อาบ ผมอาบน้ำโดยใช้ก็อกจากอ่างล้างมือ จากนั้นก็เปลี่ยนชุดเตรียมตัวสำหรับขึ้นไปข้างบน ผมสวมแจ๊กเก็ตหนังสีน้ำตาลตัวโปรด เพราะมันเข้ากับทั้งสีตาและสีผมของตัวเอง ผมชอบสีน้ำตาลที่สุด เสื้อผ้าไม่ว่าจะเป็นแบบไหนมักจะดูเท่เสมอถ้าเป็นสีน้ำตาล
“พ่อแม่ผมอยู่ไหนล่ะลุง?” ผมถามเมื่อแต่งตัวเสร็จ ผมอยากบอกลาพ่อแม่ก่อนจะขึ้นไปข้างบน แบบว่า… คุณรู้ใช่ไหม… เผื่อในกรณีที่ผมไม่ได้กลับลงมาข้างล่างอีก ลุงโจเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เขากำลังลับมีดพกอยู่ในครัวตอนที่ผมเดินไปถาม
“พ่อกับแม่เธออยู่ในห้องปฎิบัติการเหมือนเดิมนั่นแหละ” ลุงบอก ห้องปฎิบัติการที่เขาว่า หมายถึงห้องที่เรารวมเอาสิ่งประดิษฐ์อันแสนวิเศษของพ่อกับแม่ไว้ มันเป็นห้องที่เป็นเหมือนที่ทำงานของคนใต้ดิน ที่นั่นคือที่ที่เราวางแผนเกี่ยวกับการทวงโลกกลับคืนมา ใช่… คุณได้ยินไม่ผิด พวกเราวางแผนที่จะหาทางเอาโลกกลับคืนมาได้ห้าปีแล้ว และมันไม่ใช่แค่เรื่องเพ้อฝัน มันเป็นไปได้จริงๆ ด้วยความสามารถของพ่อกับแม่ ทั้งคู่กุมความลับที่จะสามารถหยุดยั้งการสูญสิ้นของมนุษย์ชาติได้ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือเวลา และวัตถุดิบที่จะใช้สร้างเครื่องมืออะไรบางอย่าง แม่บอกว่าเครื่องมือนี้คือกุญแจที่จะช่วยให้เราปิดระบบโลกออนไลน์ แล้วพาทุกคนกลับมาได้ ขอเพียงแค่เราสร้างเครื่องมือนี่สำเร็จ
ปัญหาคือเราขาดแคลนวัตถุดิบ ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา แม่จะคอยเขียนรายชื่อสิ่งของที่แม่ต้องการแล้ววาดภาพประกอบ เพื่อให้ผมคอยมองหาสิ่งของเหล่านั้นเมื่อขึ้นไปข้างบน ผมสำรวจทุกที่ในเมือง นำเอาของที่อยู่ในรายชื่อกลับมา แล้วแม่ก็จะเอามันไปสร้างเป็นเครื่องจักรดูล้ำยุคที่หน้าตาแปลกๆ เป็นที่น่าเสียดายที่เราขาดวัตถุดิบเพียงอย่างเดียว เพียงอย่างเดียวที่ผมหาไม่เคยเจอเลย มันคือชิปข้อมูลอันเล็กๆ ซึ่งฝังอยู่ในหมวกโพรงกระต่าย
แม่บอกว่าชิปข้อมูลอันนั้นคือของชิ้นสุดท้าย และสำคัญที่สุดสำหรับสิ่งประดิษฐ์กู้โลกของแม่ ทว่าไม่มีทางที่เราจะหาหมวกโพรงกระต่ายเจอ พวก ‘ผู้เก็บเกี่ยว’ ยึดมันไปหมดพร้อมๆ กับลักพาตัวมนุษย์ อ้อ เผื่อพวกคุณยังไม่รู้ ไอ้หมวกโพรงกระต่ายนี่แหละคือต้นเหตุของหายนะแห่งมนุษยชาติ สามสิบปีก่อนมนุษย์ประดิษฐ์ไอ้หมวกกันน็อกวิเศษอันนั้นขึ้นมา โดยทันทีที่คุณสวมมัน หมวกก็จะส่งกระแสไฟฟ้าควบคุมสมองคุณ ทำให้คุณอยู่ในสภาพกึ่งจำศีล จากนั้นมันก็จะเชื่อมโยงระบบประสาทของคุณเข้ากับเซิร์ฟเวอร์ของโลกออนไลน์ ที่ๆ คุณจะสามารถใช้ชีวิตผจญภัยได้ตามฝัน และไอ้หมวกนั่นน่ะแหละ ที่ส่งพวก ‘ผู้เก็บเกี่ยว’ จากโลกออนไลน์มายังโลกมนุษย์ ทำให้โลกของเราถูกยึดครอง แล้วล่มสลายลงในที่สุด
ที่ห้องปฎิบัติการ นอกจากแม่ของผมแล้ว เรายังมีผู้เชี่ยวชาญหัวกะทิในด้านต่างๆ ที่รวมตัวกันเพื่อช่วยแม่ทำงาน เรามีอดีตวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์คนเก่งที่ช่วยประดิษฐ์แผงโซล่าเซลล์ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้เรามีไฟฟ้าใช้ มีแสงไฟ ไม่ต้องอยู่ในความมืด เรามีอดีตทหารสองสามคนที่ช่วยกันเฝ้าเวรยามตรงทางออกสู่ข้างบนให้ แล้วเราก็มีพ่อของผม ชายที่รู้ดีเรื่องการเขียนโค้ดโปรแกรมและระบบต่างๆ ของโลกออนไลน์
หากจะมีสิ่งไหนที่ผมภูมิใจนอกจากการยิงปืนแม่นแล้วละก็ สิ่งนั้นคงจะเป็นความรู้เรื่องเทคโนโลยีที่พ่อพร่ำสอนผมมาตลอด พ่อมักจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ คนพวกนั้นมีชีวิตอยู่อย่างไร ระบบสังคมของพวกเขาเป็นยังไง มีการต่อสู้แบบไหน มีการปกครองแบบไหน มีสิ่งมีชีวิตบ้าบออะไรอยู่บ้าง บอกตามตรงว่าทุกอย่างที่พ่อเล่าให้ฟัง บางครั้งผมก็คิดว่าเป็นแค่เรื่องที่พ่อโม้ขึ้นเพื่อไม่ให้ผมเบื่อ ถึงพ่อจะยืนกรานว่ามันเป็นเรื่องจริงก็เถอะ
พ่อเคยสอนผมเรื่องระบบโค้ดและโปรแกรม วิธีการใช้งานคอมพิวเตอร์ ผมเคยขึ้นไปในเมือง เพื่อไปสะสมชิ้นส่วนของคอมพ์ที่พังแล้ว เพื่อให้พ่อมาประกอบให้ใหม่แล้วใช้ในการปฎิบัติการ ผมถือว่าผมมีความรู้ดีทีเดียว เพียงแต่ผมไม่เห็นประโยชน์ว่าในยุคที่ทุกคนต้องอยู่ใต้ดิน เราจะรู้เรื่องพวกนี้ไปทำไม ผมคิดว่าทุกครั้งที่พ่อสอนผม ตาของพ่อจะเป็นประกาย เหมือนว่าเขารักในสิ่งที่เขาทำ เหมือนว่าเขามีจุดประสงค์บางอย่าง เหมือนเขารู้ว่าสักวันผมจะค้นพบวิธีใช้ประโยชน์จากมันเอง
“พร้อมแล้วยัง?” ลุงโจเรียก หลังจากที่ผมยืนนิ่งอยู่หน้าห้องปฎิบัติการอยู่นาน ผมไม่ได้เข้าไป เพราะผมคิดว่าพ่อกับแม่ไม่ชอบให้ใครเข้าไปรบกวนเวลาทำงาน อีกอย่างวันนี้ก็แค่อีกวันที่ผมจะต้องออกไปผจญภัยข้างนอก เดี๋ยวผมก็จะกลับมา คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
“ขอเวลาเช็คสภาพปืนของผมแปปนึงนะ” ผมบอก จากนั้นก็เดินกลับไปที่ห้องนอน ผมลากเอากล่องเก็บของใหญ่ๆ ที่อยู่ข้างเตียงออกมา ผมเก็บปืนไว้ในนั้น ผมตรวจเช็คสภาพทุกอย่างตั้งแต่กระสุนยันความสะอาด ผมเอากระสุนตับนึงใส่ไว้ในกระเป๋าเผื่อมีเหตุด่วนเหตุร้าย เอามือลูบปืนคู่ใจเบาๆ ก่อนจะตามไปสมทบกับลุงโจ
เราทั้งคู่เดินขึ้นบันไดของชานชาลาไปข้างบน จนถึงจุดที่เชื่อมต่อจากโลกภายนอก ตรงนั้นเราเอาของทุกอย่างมาสุมทางเข้าออกไว้เป็นภูเขาเพื่อปิดทางไม่ให้อะไรเข้ามา ภายนอกเราจะยกพวกเศษหินปูน เศษซากตึกมาพลางไว้เพื่อไม่ให้พวกผู้เก็บเกี่ยวระเเคะระคาย แต่เราจะเว้นช่องว่างเล็กๆ ที่สามารถยกเอาหินออกแล้วคลานเข้าออกได้ ตรงจุดนั้นจะมีคุณลุงสูงอายุสองคนที่อดีตเคยเป็นทหารผ่านศึกเฝ้าเวรยามอยู่ พวกเขาชอบบ่นเรื่องชีวิตสมัยตัวเองยังหนุ่มตามประสาคนแก่ ผมกับลุงโจทักทายทั้งคู่เล็กน้อยก่อนจะออกไป
“ไง อาคินทร์” คนหนึ่งเรียกชื่อผม “จะออกไปผจญภัยอีกล่ะสิ ฉันล่ะคิดถึงตัวเองตอนอายุเท่าเธอ สมัยนั้นฉันเพิ่งเป็นทหารใหม่ๆ สาวๆ น่ะชอบเครื่องแบบทหารนะ รู้ไหม ฉันน่ะเนื้อหอมสุดๆ”
“ครับ.. ใช่ครับคุณเล่าเรื่องนั้นให้ผมฟังเป็นครั้งที่ หนึ่งพันสี่ร้อยสิบแปดครั้งพอดี” ผมบอก
“เธอนับด้วยเหรอ?” ลุงโจถาม
“เขาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังทุกวัน วันล่ะครั้ง เริ่มตั้งแต่หนึ่งพันสี่ร้อยสิบแปดวันก่อน” ผมว่า
“โชคดีแล้วกัน ไอ้หนุ่ม” ชายแก่อีกคนพูด เขาหลีกทางให้เราทั้งสอง “คนเราไม่ได้เป็นหนุ่มกันทุกวันหรอกจริงไหม?”
ผมกลับคิดว่าการเป็นคนแก่ในยุคนี้ถือเป็นเรื่องโชคดี พวกเขาเหลือเวลาชีวิตอีกไม่มาก ในขณะที่ผมยังมีเวลาอีกเป็นห้าสิบกว่าปีอย่างต่ำ ที่จะต้องกระเสือกกระสนมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ผมถอนหายใจซ้ำๆ ในขณะที่คลานออกผ่านทางช่องเล็กๆ ลุงโจตามมาติดๆ จากนั้นเราก็โผล่ออกมาข้างนอก ผมยืนขึ้นตัวตรงปัดฝุ่นตามเสื้อผ้า จากนั้นก็เอามือบังตาเพราะแสดงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา ผมรู้สึกถึงความอุ่นที่กระจายไปทั่วผิว ใช้เวลาสักพักในการปรับตัวให้ชินกับกลางวัน
ผมมองไปรอบๆ ชื่นชมความงามของสภาพเมืองที่เหลือแต่ซาก อาคารต่างๆ สึกกร่อน พื้นถนนเต็มไปด้วยเศษดิน ทราย ฝุ่นกลบไปทั่ว มีพุ่มหญ้าเล็กๆ โผล่ขึ้นมาตามรอยร้าวเป็นจุด ต้นไม้บางต้นโตวันโตคืนจนกลืนกินตึกไปทั้งหลัง ใบไม้ร่วงปลิวไปตามลม ผมสูดอากาศสดชื่นเข้าเต็มปอด รู้สึกมีชีวิตชีวาทุกครั้งที่ได้ออกมาข้างนอก
“จะจับตัวอะไรดีล่ะ วันนี้?” ลุงโจถาม เราเริ่มออกเดินไปตามถนน “รู้ไหม ฉันคิดนะว่าถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากลองทำซุปเนื้อกวางดู เราไม่ได้กินของดีๆ แบบนั้นมานานแล้ว ครั้งล่าสุดที่เราจับกวางได้น่ะคือสองปีก่อน”
“ลุง พวกกวางน่ะมันวิ่งเร็ว ตื่นคนง่าย ไล่จับยังไงก็ไม่ทันหรอก เรามีแค่มีดกับสองขา” ผมว่าในขณะที่เดินข้ามกองซากตึกที่หล่นทับลงมาเป็นชั้น
“เราน่าจะใช้ปืน ยิงมันสักนัด แล้วรีบแบกมันกลับไปที่ฐาน รับรองว่าพวกสัตว์อื่นตามเรามาไม่ทันหรอก เราน่าจะอิ่มไปอีกหลายวันด้วย” ลุงเสนอ แต่ผมกลอกตาให้เขารู้ว่านั่นไม่ใช่ความคิดที่ดี ผมรู้ว่าพวกหมาป่าวิ่งเร็วขนาดไหน ผมเคยเจอมาแล้ว เกือบเอาตัวไม่รอด และเคยมีสมาชิกบางคนของเราที่เอาตัวไม่รอดเช่นกัน
“เฮ้ ลุงโจ รู้ไหม ผมเคยเจอหนังสือเล่มหนึ่ง ในนั้นมันมีเนื้อหาเกี่ยวกับอาวุธอย่างนึงที่เรียกว่า ‘ธนู’ น่ะ มันเป็นอาวุธยิงไกลที่ทำจากไม้ และเวลายิง มันจะไม่ทำให้เกิดเสียง น่าสนใจนะ ผมว่า”
“ฉันเคยได้ยินเรื่องของแบบนั้นในชั้นเรียนวิชาประวัติศาตร์สมัยยังเด็กๆ นะ แต่เธอรู้วิธีทำธนูเหรอ?” เขาถาม
“ก็ไม่น่าจะยาก ถามพ่อผมดูสิ พ่อผมมีความรู้เรื่องของโบราณหลายๆ อย่าง เขาเคยคุมระบบโลกออนไลน์มาก่อน”
“ใช่ แล้วพ่อเธอก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับการเขียนโปรแกรมอะไรไม่รู้ทั้งวัน ทั้งที่ความรู้แถมมีฝีมือดี” เขาว่า
“เพื่อช่วยโลก” ผมเสริม “มันเป็นงานของเขา”
จากนั้นเราทั้งคู่ก็เงียบ การสนทนาจบลงโดยไม่มีสาเหตุ ผมกับลุงเดินอย่างเงียบเชียบและระแวดระวังตัว มุ่งหน้าไปยังเขตที่พวกสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างกระต่าย กระรอก มักจะอาศัยอยู่ แถวนั้นถือเป็นโรงอาหารชั้นดีของเหล่าสัตว์นักล่าเช่นกัน มีหลายครั้งที่เราบังเอิญไปขัดจังหวะการกินมื้อเที่ยงของสัตว์ป่า แล้วต้องจบลงด้วยการยิงปืนและวิ่งหนีสุดชีวิต ผมอยู่มานานพอจนเรียนรู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหน และแอบตรงจุดไหนถึงจะปลอดภัย
“ตรงนี้เคยเป็นสวนสาธารณะมาก่อน” ลุงโจบอกตอนที่เราย่อตัวหลบอยู่หลังพุ่มไม้ แอบมองหาเหยื่อ ”ฉันคิดถึงสมัยก่อนจริงๆ”
“คุณเริ่มทำตัวเหมือนลุงสองคนที่เฝ้ายามหน้าทางออกใต้ดินมากขึ้นทุกทีแล้วนะ” ผมแซวด้วยเสียงที่ไม่ดังมาก
“อีกไม่นานเธอก็จะเป็นแบบฉัน” เขาว่า
“เดี๋ยว!” ผมโพล่งออกมาเบาๆ ขัดจังหวะการพูดของเรากระทันหัน ผมได้ยินเสียงบางอย่าง ลุงโจเข้าใจทันที เรามีเหยื่อตัวใหม่ และเหยื่อตัวนั้นจะต้องตัวใหญ่มากเสียด้วย ฟังได้จากน้ำเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เดินเข้ามา อาจจะเป็นกวางถ้าเราโชคดี หรืออาจเป็นเสือหากเราถึงคราวเคราะห์ ผมกับลุงย่อตัวให้ต่ำ คอยมองสิ่งที่กำลังจะโผล่ออกมาอย่างใจจดใจจ่อ มีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่หลังต้นไม้ต้นนั้น และมันกำลังจะโผล่ออกมาให้เห็น ลุงโจหยิบมีดพกปลายแหลมออกมา กำมันไว้แน่น เตรียมพร้อมที่จะจู่โจม
ของแบบนี้เป็นเรื่องที่เราต้องอดทน จะต้องไม่ให้เหยื่อรู้ตัวแล้วหนีไปก่อน มันจะต้องโผล่ออกมาเอง จะใจร้อนไม่ได้ ผมรู้เรื่องนั้นดี เพียงแต่เริ่มเอะใจถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ ผมรู้สึกว่าเสียงฝีเท้านั้นหนักเกินไป หนักเกินกว่าจะเป็นกวางหรือเสือ และความถี่ในแต่ละย่าวก้าวแตกต่างจากการเดินของสัตว์ตัวอื่นๆ ที่ผมเคยได้ยิน มันเหมือนกับว่า… เหมือนกับว่ามันใช้สองขาเดิน เหมือนกับว่า… มันเป็นมนุษย์
ร่างนั้นโผล่ออกมา ลุงโจที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ทำท่าจะเด้งตัวออกไปจู่โจมทันที แต่ไม่ใช่! ผมรู้ว่ามันไม่ใช่สัตว์ มันเป็นอะไรที่อันตรายและร้ายแรงกว่านั้นมาก ผมรีบกางเขนดัก ไม่ให้ลุงรีบผลีผลามกระโจนออก ผมมองมันให้ชัดๆ แล้วรู้ทันทีว่าสิ่งนั้นคืออะไร หัวใจผมตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ผู้เก็บเกี่ยว!!
= = = = = = = = = = = = = =
โปรด ติด ตาม ตอน ต่อ ไป
ความคิดเห็น