คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ 15 : ให้โลกเราสวย พวกเรามายิ้มกัน
ใครกัน…
คือคนที่บอกเราว่า… อะไรคือความดี และอะไรความชั่ว
และใครกันคือคนที่จะบอกเราได้ว่า อะไรจริง ไม่จริง
ใครคือคนที่บอกเราว่าการทำร้ายคนอื่นเป็นเรื่องผิด และใครกันที่บอกเราว่าการมีเมตตาต่อกันเป็นเรื่องถูก ใครกันเป็นคนบอกให้คุณต้องกินเนื้อหมูและไก่ แต่ห้ามกินเนื้อสุนัขและเนื้อแมว ใครกันเป็นคนบอกให้คุณทำตามกฎจราจร และใครกันที่บอกว่าไม่ต้องทำหากมีคนท้องอยู่ในรถของคุณ ใครกันมอบคำชมเชยและสวมมงกุฎให้คุณเมื่อเขาคิดว่าคุณทำดี และใคร ตบตี ทำร้าย ประณามคุณ เมื่อพวกเขาคิดว่าคุณสมควรโดน
ใครกันนะ? ที่บอกคุณว่าความตายเป็นสิ่งที่เจ็บปวด
ในเมื่อคนตายกลับมาบอกคุณไม่ได้ และคุณยังไม่เคยตายเลยไม่ใช่หรือ แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่ามันเจ็บล่ะ?
ใครกันกำลังขัดขวางคุณไม่ให้ไปถึงจุดหมาย
ใครขังคุณไว้
และใครถือกุญแจที่ปลดปล่อยคุณ
คุณเคย… แบบว่า วิ่งกระโดดลงสระน้ำแบบโง่ๆ ไหม? แบบที่คุณกำลังเห็นสระว่ายน้ำกว้างๆ อยู่ตรงหน้า คุณกำลังสูดกลิ่นแห่งความสดชื่นเข้าจมูก อากาศกำลังร้อนได้ที่ คุณมีเหงื่อแห้งเหนียวเหนอะทั่วตัวและอยากจะล้างมันออกด้วยการจุ่มตัวเองลงไปในน้ำเย็นๆ โอ้ พระเจ้า คุณแทบไม่มีรอเลยที่จะสัมผัสความซู่ซ่าที่อยู่ตรงหน้า ในหูคุณมีเสียงบอกว่า เตรียมตัว… ระวัง… และวิ่ง! คุณออกตัวด้วยความเร็วเพราะคิดว่ายิ่งตัวเองวิ่งเร็วมากเท่าไหร่ คุณก็จะพุ่งลงน้ำด้วยความแรงและสะใจมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อคุณห่างจากขอบสระไม่ถึงคืบ คุณก็ย่อเข้าเล็กน้อย แล้ว…กระโดด!
และในวินาทีนั้นเหละที่ความจริงบางอย่างพุ่งทะลุผ่านหัวคุณไป มันคือความจริงที่ปกติคุณน่าจะสังเกตเห็น คุณน่าจะเห็นแต่แรกแล้ว ความจริงที่ว่าสระน้ำแห่งนี้ ไม่มีน้ำ…คงเพราะเผอิญเจ้าหน้าที่สระมัวแต่สูบบุหรี่จัดไปหน่อยจึงต้องเข้าโรงพยาบาลเมื่อสัปดาห์ก่อน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครวางป้ายเตือนไว้ แต่ตอนที่เจ็บปวดที่สุด คือตอนที่ก้นของคุณค่อยๆ ลงไปกระแทกอย่างจังกับพื้นแข็งนั่น และใช่… คุณรู้ว่าก้นของคุณแข็งน้อยกว่าพื้น ดังนั้น คนที่ต้องเจ็บปวดจึงต้องเป็นคุณ ไม่ใช่พื้น
จินตนาการง่ายๆ เหมือนคุณเอาแก้วกับหินมาชนกัน แก้วแข็งน้อยกว่าหิน ถูกไหม? ดังนั้นคนที่เจ็บจะเป็นใครไปได้ล่ะ… เดี๋ยว! อย่าได้ตอบว่าแก้วเจ็บนะ แก้วเป็นสิ่งของ ไม่มีความรู้สึกเสียหน่อย ที่เจ็บน่ะ คือมืออีกข้างนึงของคุณที่กำลังถือเศษแก้วต่างหาก
แต่ไม่ว่าจะมือหรือก้นของคุณที่เจ็บ ก็ไม่ทำให้ผมเลิกคิดได้เลยว่า ผมกำลังรู้สึกเหมือนวิ่งกระโดดลงสระน้ำแบบโง่ๆ นั่นจริงๆ ใช่… เพราะตอนนั้นเป็นตอนที่ผมกำลังฝันเห็นตัวเองล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างมีความสุข ผมกางเเขนแล้วบินไปเรื่อยๆ ทักทายฝูงนกที่บินผ่านไป ทักทายผู้คนผ่านหน้าต่างเครื่องบินที่โฉบเข้ามา บินจากก้อนเมฆก้อนหนึ่งไปสู่อีกก้อน จนกระทั่งผมมองเห็นก้อนเมฆแสนพิเศษที่มีกลุ่มฆาตกรโรคจิตจากหนังสยองขวัญที่ผมชอบดูโบกมือให้ ผมดีใจมากที่ได้เจอพวกเขา ผมเห็นเฟร็ดดี้ครูเกอร์กำลังปิ้งบาร์บีคิว และมีไอ้หน้าผีนั่งเอนหลังบนรอเสิร์ฟ มีเจสันศุกร์สิบสามกำลังเต้นเพลงแนวป็อปอย่างเมามันส์ และมีไอ้หน้าหนังกวักมือเรียกให้ผมไปร่วมวงอย่างสบายๆ บนโซฟาที่ทำจากเมฆ และวินาทีที่ผมหย่อนก้นลงสู่ปุยเมฆนุ่มๆ คือวินาทีที่ใครบางคนจับผมโยนใส่ลงบนเตียงเหล็กแข็งกระด้างในโลกแห่งความจริง (และแน่นอนมันเจ็บมาก)
ผมตื่นขึ้น แต่ไม่ใช่ตื่นแบบเต็มตา เป็นการตื่นอันแสนน่าขัดใจ เพราะสายตาผมนั้นช่างพร่ามัว ทุกอย่างเลือนราง ผมไม่อาจเพ่งมองอะไรได้อย่างชัดเจน และถึงมองเห็นก็คงไม่ช่วยอะไร ภาพจางๆ อาจทำให้ผมเห็นนางงามจักรวาลเป็นอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มดีขึ้น สายตาผมกำลังปรับโฟกัสทีละน้อย ภาพตรงหน้าเริ่มชัดเจน ผมก็คิดว่าตัวเองกำลังเห็นอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์จริงๆ เพราะผมพบว่าชายที่กำลังก้มหน้ามองตรงมาอยู่นั้นมีหนวดและผมสีขาวยุ่งๆ ชี้ไปทั่วสารทิศ แต่หากเขาเป็นอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์จริงๆ ก็คงจะไม่ใช่ไอน์สไตน์ที่คิดค้นทฤษฏีสัมพัทธภาพ แต่เป็นไอน์ไสน์ที่คิดค้นวิธีผ่าตัดแผลคนแบบที่เจ็บและทรมานที่สุด
ผมกรีดร้องสุดเสียงเมื่อเข็มร้อยด้วยด้ายเย็บแผลถูกบรรจงเจาะทะลุเนื้อตรงส่วนแผลที่ท้องขึ้นลง ขึ้นลง อย่างไร้ความปราณี ผมพยายามดิ้นแต่รู้ตัวว่าแรงยังไม่ฟื้นกลับมาเต็มที่ ไอน์สไตน์กำลังฮัมเพลงคลอไปกับดนตรีคลาสสิกที่เขาเปิดด้วยวิทยุ ผมอยากจะอ้าปากพูด แต่ไม่อาจพูดออกมาได้ เพราะความเจ็บบังคับให้กรีดร้องตลอดเวลา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกนรก เป็นนรกขุมที่ลึกที่สุด ผมอยู่ที่ไหนไม่อาจบอกได้ รู้แต่ตอนนี้กำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของความโหดร้าย ความโหดร้ายในรูปแบบเป็นหมู่คณะ
“หมอฟิตซ์ คุณลืมฉีดยาชาให้เขานะ” ผมเพิ่งรู้ตัวว่ามีอีกคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เตียงเหล็ก เขาเป็นคนที่จับผมโยนลงเตียงตั้งแต่แรก และตอนนี้กำลังวุ่นอยู่กับการพยายามยึดแขนและขาผมไว้ให้ติดแน่นจนดิ้นไม่หลุด
“ฉันเปล่าลืม แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องฉีดให้ซะหน่อย เจ็บก็ให้มันเจ็บไปสิ” ไอน์สไตน์กล่าวอย่างไร้เยื่อใย เขาลงมือเย็บแผลสดต่อ ผมเรียนรู้ที่จะอดทนและหยุดร้องได้ในที่สุด กระทั่งตอนที่เขานำกรรไกรตัดที่ปลายด้ายอย่างประณีต ความเจ็บปวดก็หยุดลง ผมหอบหายใจเหมือนเพิ่งเจอศึกหนัก ปล่อยตัวเองนอนอยู่บนเขียงต่อโดยไม่พยายามดิ้นให้เสียแรง ในตอนนั้นผมเริ่มสำรวจสภาพรอบๆ ด้วยการกรอกตา ผมคิดว่าผมกำลังอยู่ในสถานที่คล้ายห้องน้ำ แต่กว้างกว่า มันไม่มีฝักบัว หรือห้องส้วม ทว่ามีอ่างล้างมือ (ซึ่งคงไม่ได้ใช้ล้างมือแน่ เพราะมันเปื้อนไปด้วยคราบเลือด) สิ่งเดียวที่ห้องนี้ทำให้ผมนึกถึงห้องน้ำคือผนังและพื้นแบบกระเบื้องสีขาว ผมพบว่าจริงๆ แล้วห้องนี้ถูกทำให้มีลักษณะเหมือนห้องเชือดโดยแท้ ตรงผนังด้านหนึ่งมีแผงที่ไว้แขวนอาวุธหลากชนิดตั้งแต่มีด สว่าน ยันเลื่อยไฟฟ้า ทว่าอีกด้านเป็นชั้นวางของที่ถูกเรียงรายด้วยขวดโหลใส่ชิ้นส่วนเช่นลูกตา นิ้วมือคน ฟันมนุษย์ ล้วนแล้วแต่สร้างความรู้สึกสะอิดสะเอียนได้เป็นอย่างดี
“ให้ตายสิ…” ชายคนที่จับผมไว้แน่ใจมากพอที่จะเอื้อมมือข้างนึงมาบีบที่คางผม แล้วบังคับหน้าให้หันซ้ายขวาไปมา “เด็กนี่หน้าเหมือนท่านผู้ก่อตั้งตระกูลฟิตซ์ในรูปวาดนั่นเลยนะ คุณสังเกตหรือเปล่า?”
“เหอะ… เด็กนี่หน้าตาเหมือนคนกว่าครึ่งตระกูลของเราได้มั้ง ก็เขาเป็นคนตระกูลฟิตซ์นี่นา” ไอน์สไตน์วางอุปกรณ์เย็บแผลลงแล้วเดินไปที่ตู้เย็นตรงมุมห้อง เขาหยิบขวดแก้วเล็กๆ ที่ใส่สารบางอย่าง จากนั้นนำเข็มหยิบยาแหลมเสียบเข้าขวด ดูดสารขึ้น ปรายตามองมาที่ผม “ถึงเวลาให้ยาชาจริงๆ เสียที ไม่เอาน่า… อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ยานี่ฉันเป็นคนคิดค้นเองเลยนะ แค่ฉีดลงไป เธอจะไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้เอาสว่านมาตัดเธอเป็นสองท่อนขณะเดิน เธอก็ยังคลานต่อโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ วิเศษไปเลยใช่ไหม?
ว่าแล้วหมอฟิตซ์ยิ้มกว้างแล้วจัดการฉีดมัน แต่ผมกลับสะดุ้งเมื่อรู้ว่าเขากำลังเล็งเข็มที่ตรงหน้าอกด้านซ้าย ตำแหน่งของหัวใจพอดี ไม่พูดพร่ำทำเพลง หมอจัดการแทงเข็มฉีดยาเข้าอย่างแรง และแรงที่ว่า คือแรงแบบที่เหมือนเขากำลังจ้วงมีดเขาหัวใจผม ต่างกันตรงที่มีดอันนี้กำลังพ่นสารบางอย่างเข้าสู่หัวใจ ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดมากในตอนแรก แล้วต่อมาก็รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังชา เหมือนเลือดในตัวเปลี่ยนกลายเป็นทรายเม็ดเล็กๆ ที่วิ่งว่อนทั่วร่างกาย ผมยังขยับได้ แต่ไม่รู้สึกว่าตัวเองขยับ ไม่รู้สึกถึงลมหรืออากาศรอบกาย เหมือนตัวเองตายแล้วกลายเป็นวิญญาณ
“ทำแผลให้เขาเสร็จแล้วหรือ?” ผู้มาเยือนคนใหม่เปิดประตูเข้ามาทักทาย ผมคิดว่าตัวเองคุ้นเสียงนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะหูที่เริ่มรู้สึกถึงความชาส่งเสียงแปลกๆ รบกวนตลอด ผมคงจะนึกออกแล้วว่าเป็นใคร ไอน์สไตน์หรือหมอฟิตซ์พยักหน้าให้เขา แล้วรถเข็นที่ผมนอนอยู่ก็เคลื่อนที่อีกครั้ง พวกเขาลากผมออกจากห้อง สู่โถงทางเดินกว้าง
และในวินาทีนั้นผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองฝันไปอีกหรือเปล่า เพราะพอออกจากห้องเชือดบรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไปแบบพลิกผ่ามือ ผมหลุดเข้ามาในพระราชวังหรือเปล่า? ผมเห็นทางเดินใหญ่ที่มีผนังสีทองประกาย พรมแดงและของตกแต่งแพงๆ เรียงรายตลอดสองข้างทาง ไฟบนเพดานส่องสว่างผ่านตัวผมไปวินาทีละดวง หากมองชัดๆ ก็จะรู้ว่าไม่ใช่ไฟเพดานธรรมดาแต่เป็นโคมระย้าแก้วอย่างดี ซึ่งปกติที่บ้านคนรวยจะมีไว้แค่บ้านละหนึ่งอันใหญ่ๆ ที่นี่กลับแขวนไว้ตลอดทางเดินเหมือนเป็นของหาง่าย ถ้าติดว่าไม่ใช่เพราะผมกำลังจะโดนฆ่า ผมก็อาจจะเพลิดเพลินกับการทัวร์ครั้งนี้ ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยของสวยงามต่างๆ อัศวินเกราะเหล็กถือขวาน แจกันจากเมืองจีน รูปวาดสวยๆ ตู้โชว์ตุ๊กตา ทุกอย่างให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์หรู ผ่านทางเดินไปเรื่อยๆ คิดว่ามันยาวพอๆ กับทางเดินของอพาร์ทเม้นท์เลย เพียงแต่ที่นี่มีการเลี้ยวซ้ายตรงสุดทางด้วย
ผมมองทุกอย่างมาตลอดจนกระทั้งของตกแต่งบนผนังเริ่มเปลี่ยนเป็นรูปแขวนแทน ผมจ้องมันแบบผ่านๆ สังเกตว่าแต่ละรูปเป็นการเรียงตามยุคสมัย เริ่มจากรูปวาดด้วยดินสอ รูประบายสีน้ำมัน จนไปถึงรูปถ่ายขาวดำ และรูปถ่ายสีเก่าๆ ผมคิดว่าหน้าตาทุกคนคล้ายกัน สีผมคล้ายกัน โครงหน้าคล้ายกัน จึงคิดว่าน่าจะเป็นรูปของเจ้าตระกูลฟิตซ์ในแต่ละยุคสมัย ในที่สุดเมื่อมาถึงเกือบสุดทางเดิน บนผนังก็มีกรอบรูปสุดท้าย… เป็นกรอบรูปที่ใหญ่กว่ารูปอื่น ทว่าเป็นกรอบเปล่า เหมือนกำลังรอให้ใครเอาภาพเจ้าตระกูลคนต่อไปมาลง
รถเข็นหักเลี้ยวเข้าหน้าประตูหนึ่งอย่างแรง เป็นประตูที่แปลก ไม่มีลูกบิด ไม่มีรูกุญแจ บานประตูไม้สลักเป็นสัญลักษณ์วงกลมประหลาด มีตัวอักษรยึกยือ แต่ที่สะดุดตามากคือใจกลางสัญลักษณ์เป็นรูปหน้ากลมๆ ที่มีรอยยิ้ม… มันคือสัญลักษณ์แห่งรอยยิ้ม เป็นสัญลักษณ์เดียวที่เป็นไม้นูนออกมา ชายคนที่จับตัวผมมาตลอดเดินไปที่หน้าประตูทำให้ผมเห็นหน้าเขาได้ชัดขึ้น… เขาคือพ่อของเนธานนั่นเอง พ่อของเนธานเอื้อมมือไปจับที่สัญลักษ์รอยยิ้ม หมุนมันไปมาเหมือนหมุนรหัสตู้เซฟ สักพักก็มีเสียงดัง ‘กริ๊ก’ เป็นสัญญาณบอกจุดจบของผม เขาเข็นเตียงผมเข้าไปในห้องที่สุดแสนจะกว้างขวาง ผมก็บอกไม่ได้ว่ากว้างแค่ไหนเพราะมันก็ค่อนข้างมืด รู้แต่น่าจะกว้างมาก
ทันทีที่ผมเข้ามา กลิ่นแปลกๆ ก็กล่าวต้อนรับจมูก แต่เป็นการกล่าวต้อนรับอย่างหยาบคาย เพราะเป็นกลิ่นที่เหม็นเปรี้ยวมากจริงๆ ผมเดาว่าถ้าตัวเองไม่ชาในตอนนี้คงจะรู้สึกแสบจมูกมากแน่ๆ แต่พอเข้ามาในห้องแบบเต็มตัวผมก็รู้ว่ามีอะไรร้ายกาจกว่านั้นรออยู่ ตรงกลางห้องมีพื้นถูกยกระดับขึ้นสูงพอสมควร รูปร่างมันเหมือนเป็นเวทีทรงกลมกลางห้อง มีบันไดไว้ขึ้นห้าหกขั้น ที่ผมรู้เพราะตรงกลางห้องเป็นตำแหน่งเดียวที่มีไฟส่องจากข้างบน จึงทำให้มันเด่นอยู่ท่ามกลางความมืด ถ้าถามว่ามันทำให้ผมนึกถึงอะไร ผมคิดว่ามันเหมือนเวทีมวยที่ไม่มีขอบกั้น พ่อของเนธานยกตัวผมขึ้นจากรถเข็นอย่างง่ายดาย เขาวางผมลงบนพื้นเหมือนจะให้ผมยืน แต่ผมไม่สามารถทรงตัวได้ ผมไม่รู้สึกถึงความมีตัวตนของขาตัวเองเลย ผมล้มลงกองกับพื้น คล้ายกับตัวเองเป็นเพียงตุ๊กตาที่ไม่ขยับเขยื้อน ผมพยายามขยับตัว พยายามลุกขึ้น แต่มันยากมากจริงๆ พ่อเนธานทำเสียงจิ๊จ๊ะเล็กๆ ก่อนจะยกตัวผมขึ้น พาขึ้นบันไดสู่เวทีกลางห้อง ปล่อยผมกองลงตรงนั้น แล้วจากไป เขาไม่ได้ออกไปจากห้อง เพียงแต่หายเข้าไปในมุมมืดของห้อง
ผมยังคงกระเสือกกระสนปรับตัวกับความรู้สึกชาต่อ อย่างน้อยผมก็เริ่มขยับนิ้วเท้าได้โดยที่ไม่ขยับนิ้วมือแทน
อะไรน่ะ?...
ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระซิบกระซาบในความมืด และไม่ใช่แค่คนหรือสองคน แต่เป็นเสียงกระซิบแผ่วเบามากมายจากรอบทั่วทุกสารทิศ บางเสียงก็ไกล แต่บางเสียงก็ใกล้เหมือนอยู่หลังใบหูนี่เอง ผมขนลุก ที่รู้เพราะผมเห็นเส้นขนบนแขนกำลังตั้งชันอยู่จริงๆ รวมถึงร่างกายที่กำลังสั่นด้วย ไม่รู้ว่าสั่นเพราะผมพยายามยืนขึ้นหรือสั่นเพราะความกลัว ในหัวผมจินตนาการถึงภาพของใบหน้าขาวซีด ดวงตาสีดำสนิทเหมือนเป็นหลุม ปากฉีกยิ้มแหลม มีเป็นพันๆ หน้า กำลังกระซิบกระซาบส่งเสียงหัวเราะอยู่ในลำคอ
“นั่นใคร?”
ผมไม่อยากจะถามออกไปโง่ๆ ออกไปว่า ‘นั่นใคร’ นักหรอก เพราะผมก็ไม่ค่อยอยากจะรู้เท่าไหร่ว่าใครอยู่ในความมืดนั่น แต่ก็อีกนั่นล่ะ ความชาทำให้ผมควบคุมแม้กระทั่งปากของตนเองไม่ได้
ไม่รู้ว่ามันได้ผลหรือเปล่า แต่หลังจากที่ผมตะโกนถามออกไปเสียงก็เงียบกริบลงอย่างพร้อมเพียง ผมคิดว่าตัวเองคงจะโล่งใจขึ้น แต่เปล่าเลย เพราะความเงียบนี่เหละน่ากลัวกว่าเป็นไหนๆ เสียงกระซิบพวกนั้นน่าขนลุกก็จริง แต่การที่ทั้งห้องกำลังเงียบ ทั้งๆ ที่คุณรู้ว่ามีใครหลายคนยังคงยืนมองคุณอยู่เป็นเรื่องที่ทำให้ผมแทบคลั่ง ผมเพ่งมองใส่ความมืดรอบตัว ก่อนจะพบว่าเสียงหนึ่งแทรกดังก้องไปทั่วห้องจนผมสะดุ้ง
“สุภาพบุรุษ และสุภาพสตีทุกท่าน ผมขอแนะนำให้รู้จัก หนึ่งในเด็กตระกูลฟิตซ์… แมต ฟิตซ์!!” เสียงเย็นร่ายคำพูดทำเอาคนฟังดั่งต้องมนต์ เป็นมนต์ที่ทำให้ตื่นกลัวทุกครั้งที่ได้ยินเสียง ผมกลัวยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตบมือมากมายจากรอบตัว มันทำให้ผมรู้ว่ามีคนอยู่ในห้องนี้มากกว่าที่คิด แต่เมื่อไฟที่อยู่รอบห้องติดสว่างจ้าเท่านั่นเหละ ผมแทบลืมหายใจ หน้าอกจะระเบิดออก ผมเหมือนคนหัวใจวายตาย เพราะว่า
รอยยิ้ม… รอยยิ้มเป็นสี่สิบกว่าคนกำลังยืนอัดอยู่รอบห้อง แต่ละคนส่งยิ้มวิปริตผ่านหน้ากากเหล่านั้น ผมอยากจะถอยออก แต่ไม่รู้จะถอยไปทางไหนดี เพราะทุกทางมีรอยยิ้มยืนอยู่เต็มไปหมด และสายตากว่าสี่สิบคู่กำลังจ้องมาที่ผมคนเดียว ผมได้แต่ภาวนาในใจว่าอย่ามองผม ได้โปรด อย่ามองผมเลย
ในที่สุดสภาพห้องก็เผยตัวมันเองออก บนหนังเต็มไปด้วยสัญลักษณ์อันแปลกประหลาด ตัวอักษรเลือด ภาพวาดจากนิ้วคน และไฟที่สว่างก็ไม่ใช่ไฟฟ้า แต่เป็นเปลวไฟอันร้อนแรงที่ถูกจุดไว้ตรงคบเพลิงรอบห้อง สภาพทุกอย่างในห้องทำให้ผมนึกถึงพวกบูชาซาตาน… หรือว่าพวกเขาจะใช่?
“พ… พวก คุณ เป็น ไง” ผมตั้งใจจะพูดคำว่า ‘ใคร’ แต่คงเพราะเผลอเคี้ยวลิ้นตัวเองเวลาพูดเสียงจึงเพี้ยน
“พวกเราสบายดี แมต… ขอบคุณที่เป็นห่วง” ใครคนหนึ่งในกลุ่มรอยยิ้มกล่าว หลังกล่าวจบ พวกเขาก็หัวเราะพร้อมกัน โอ… คุณอาจไม่เข้าใจ แต่ผมรู้ได้ในทันทีว่าบางครั้งเสียงหัวเราะก็ฆ่าคนได้ โดยเฉพาะเสียงหัวเราะแหลมสูง กระชากดัง ของคนสี่สิบกว่าคนที่บรรเลงเข้าจังหวะ เป็นเสียงหัวเราะคุณอาจจับได้ทุกโน้ตหากคุณเป็นนักดนตรี เสียงหัวเราะที่กำลังบรรเลงเพลง… ผมขอตั้งชื่อให้เป็นเพลงงานศพที่มีแต่เสียงหัวเราะ
“นายนี่ตลกดีเนอะ” เสียงเดิมพูดอีก ผมคิดว่าคุ้นเสียงนี้ อาจเป็นเพราะเสียงอู้อี้ไปนิดเนื่องด้วยใส่หน้ากากอยู่ แต่ผมคิดว่านั่นเป็นเสียงของเนธาน “ตลกจริงๆ…”
“พ… พวกคุณ เป็น….” ผมเค้นเสียง
“เป็นครอบครัวของนาย” อีกเสียงต่อท้ายให้ จากนั้นผมจึงใด้ประจักษ์ถึงความจริงที่คิดว่าตัวเองน่าจะรู้มาสักพักแล้ว…
ตระกูลของผมเป็นฆาตกร
เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดวนเวียนอยู่ใกล้ตัวเพียงใต้จมูก มันอยู่ใกล้แค่นี้เอง… ผมไม่อาจบอกได้ว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร แต่ถ้าจะมีใครสักคนเคยตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองลอยขึ้นจากพื้นโดยไม่มีเหตุผล ลอยออกไปนอกบ้าน ลอยขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนลูกโป่งเด็กในสวนสนุก คุณอาจพยายามใช้มือรั้งยอดตึกหรือแม้กระทั้งยอดเขาเอเวอร์เรสต์ไว้ แต่คุณก็ไม่สามารถต้านแรงได้ คุณพบว่าพลังงานอะไรบางอย่างทำให้ตัวคุณไร้แรงโน้มถ่วงและลอยขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างบ้าคลั่ง คุณลอยผ่านเครื่องบินและทักทายผู้โดยสารผ่านหน้าต่างอย่างหวาดกลัว ไม่ช้าคุณพบว่าคุณกำลังลอยออกนอกอวกาศ เริ่มจากเห็นโลกทั้งใบอยู่ตรงหน้าคุณ แล้วโลกใบนั้นก็เริ่มเล็กลง เล็กลงเหมือนลูกบอลกลมๆ จนกระทั้งมันกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆ แล้วคุณก็ยังลอยไปเรื่อยๆ เห็นเพียงความมืดรอบข้าง และความว่างเปล่าไร้จุดสิ้นสุด และจากนี้ไปคุณก็จะยังลอยไปเรื่อยๆ คุณจะไม่มีวันแก่ แต่คุณจะทำได้เพียงลอยอยู่ในความว่างเปล่าเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด และสิ่งสุดท้ายที่คุณจะรู้ก็คือ คุณหายใจในอวากาศไม่ได้ และคุณจะขาดอากาศหายใจโดยที่ไม่ตายตลอดไป
ถ้าจะมีใครสักคนที่เข้าใจความรู้สึกผมตอนนี้ล่ะก็ คนที่เคยลอยออกไปเรื่อยๆ นี่ล่ะ ที่จะเข้าใจความรู้สึกผมได้ดีที่สุด… ให้ตายสิ ผมรู้ว่ามันอาจเหมือนกล่าวเกินจริง และผมเริ่มพรรณาอะไรเสียยืดยาว แต่สำหรับผม อย่างน้อยการคิดอะไรบ้าบอแบบนี้อาจเป็นทางเดียวที่จะหลีกหนีไปจากความจริงที่เผชิญอยู่ … ผมทำแบบนี้ประจำ และมันมักได้ผลเสมอ แต่ใครล่ะ จะหนีความจริงพ้น ได้โปรด อย่าพาผมกลับสู่ความจริงเลย
“แมต…” เสียงเรียกนั้นพุ่งทะลุผ่านปราการในหัว จินตนาการพังทลาย และผมมองเห็นตัวเองอีกครั้ง ตัวเองที่กองอย่บนเวทีกลางห้องอย่างน่าเวทนา และฆาตกรใจอำมหิตนับสิบยืนล้อมไว้ “อย่าได้กลัว… แมต ฟิตซ์ เราคือพวกของเธอ”
จากนั้นลมหนาวก็พุ่งพัดเข้ามาอบอวลและแพร่กระจายกลิ่นคาวเลือดให้คละคลุ้งอยู่ในห้อง ผมไม่อาจบอกได้ว่าลมนั่นมาจากไหน ไม่มีแม้หน้าต่างหรือประตูที่เปิดไว้ คงจะมีเพียงพลังของอะไรบางอย่างที่เข้ามาครอบงำ ไม่ก็เป็นตัวผมเองที่กำลังรู้สึกแตกกระจายเป็นเสี่ยงอยู่ภายใน
ผมไม่อาจคาดหวังให้พวกเขาถอดหน้ากากให้ผมดู เพียงแค่ความจริงที่ว่าตัวคุณนั้นมาจากตระกูลของฆาตกรก็โหดร้ายพออยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มบนหน้ากากเป็นเพียงฉากหน้า หากแต่รอยยิ้มซึ่งซ่อนอยู่ข้างในต่างหากเป็นอาวุธ เหล่ารอยยิ้มขยับมือพร้อมกันเหมือนนัดหมายไว้ ทุกคนกำลังเอื้อมไปตรงคอ พวกเขาจะทำอะไร? นั่น... อย่าบอกนะว่า พวกเขากำลังค่อยๆ ลอกหน้ากากหนังออก… ทุกคนกำลังเผยใบหน้าที่แท้จริง!
ผมสูดหายใจลึกแล้วกลั้นไว้ จ้องมองหน้ากากถูกถอดออกมาอันแล้วอันเล่า แล้วผมก็มองเห็น… ความลับของรอยยิ้ม ผู้คนเหล่านี้ ทั้งชายและหญิง เด็กผู้ใหญ่ และคนแก่ ทั้งครูใหญ่ ตำรวจแลย์รี่ เจ้าของตึกอัลเฟร็ด เหล่าญาติๆ อย่างเนธาน คริสเตียน และอเล็กซ์ รวมทั้งบางคนที่ไม่เคยคุ้นหน้า และบางคนที่ดูจะคุ้นตา บางคนที่คลับคล้ายจะเคยเดินผ่านตรงมุมถนน บางคนที่ผมเคยทักผมในร้านกาแฟ พวกเขาอยู่ทุกที่ ทุกมุมในเมือง คอยจับตาดูผมทุกฝีก้าวโดยที่ผมไม่เคยรู้ ไม่เคยแม้แต่จะสงสัย
“ยิ้มหน่อยสิ แมต นายกำลังได้เจอกับครอบครัวนะ” อเล็กซ์ว่า แล้วเขาก็ยิ้ม ทุกคนฉีกยิ้ม แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ฉีกกว้างเกินกว่าที่ผมจะเคยเห็นใครทำได้ เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะฝึกยิ้มทุกวันตั้งแต่เกิดจนสามารถยิ้มกว้างขนาดนี้ได้ มันน่าขนลุกและหวาดผวาในเวลาเดียวกัน ผมไม่มีทางเลือก นอกจากจะจ้องมองใบหน้าเหล่านั้น ผมพยายามต่อสู้กับอาการชาของตนอย่างสาหัส “ไม่… ไม่ใช่ ไม่ใช่ครอบครัว! พวกคุณไม่ใช่ครอบครัว!”
“น่าสงสาร เด็กน้อย” ครูใหญ่กล่าวอย่างอ่อนโยน มองผมราวกับว่าเป็นเด็กน้อยในเปล จากนั้นก็ก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วเริ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงอันทรงพลัง น้ำเสียงที่ไม่ใช่คนขี้โรคอ่อนแอแต่อย่างใด เขาเปลี่ยนเป็นคนละคน “เด็กน้อยที่เอาแต่ปฎิเสธความจริง เธอคงไม่รู้อะไรเลย ฉันเข้าใจ… ฉันจะอธิบายทุกอย่างให้เธอฟังเอง”
กล่าวจบ หนึ่งในกลุ่มรอยยิ้มก็เดินไปยังผนังด้านหนึ่ง เขาสับสวิตส์เล็กๆ ตรงนั้น แล้วก็มีแสงสว่างวาบเกิดขึ้น ผมเพิ่งสังเกตุว่ามีเครื่องฉายหนังติดอยู่กับผนังด้านตรงข้าม แสงที่ทาบลงบนกำแพงห้องค่อยๆ สว่างขึ้นจนเห็นเป็นภาพ ดูเหมือนครูใหญ่กำลังต้องการจะฉายอะไรบางอย่างให้ผมดู ภาพนั้นสว่างพอจะเห็นว่ามันเป็นตัวอักษรที่พิมพ์ด้วยฟอนต์น่ารักสีชมพูหวานแหวว และมีพื้นหลังเป็นรูปลูกกวาดและตุ๊กตาหมีการ์ตูนพอจะจับใจความได้ว่า
ภูมิใจนำเสนอ
บทเรียนที่ 1
“ประวัติความเป็นมาอันทรงเกียรติของตระกูล ฟิตซ์”
“ปกติเราจะเปิดมันให้เด็กๆ ในตระกูลดูสัปดาห์ละเจ็ดครั้งน่ะ เธอคงไม่ถือใช่ไหม?” ครูใหญ่หันมาถาม แต่ผมไม่ตอบ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะคิดอะไรต่อ ผมมีทางเลือกด้วยหรือเปล่า?
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” เสียงเข้มตามแบบฉบับนักพากษ์นิทานเด็กกล่าวขึ้นแบบนุ่มๆ “ได้มีการกล่าวขานถึงตำนานอันยิ่งใหญ่ซึ่งสืบต่อมารุ่นต่อรุ่น เรื่องราวอันศักดิ์สิทธิ์ของต้นกำเนิดแห่งสรรพสิ่ง เป็นสิ่งที่มีมาก่อนเรา มีมาก่อนสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งมวล” สิ้นเสียงร่าย ภาพบนผนังก็เปลี่ยนเป็นภาพ ‘กำเนิดอวกาศ’ ซึ่งหาได้ทั่วไปตามช่องสารคดี จากนั้นก็มีเอฟเฟกต์เสียงกลองกระหึ่ม แล้วก็แสงวูบวาบสว่างรูปร่างเหมือนคนปรากฎกลางอวกาศ
ผมไม่รู้หรอกว่าผมกำลังดูอะไร แต่เข้าใจว่ามันพยายามจะสื่อถึงเรื่องของพระเจ้าสร้างโลกหรืออะไรสักอย่าง “สิ่งนี้คือเทพศักดิ์สิทธิ์! ผู้มีอำนาจในการดลบันดาลความสุข ความสำเร็จ ความรุ่งเรืองและ… เสียงหัวเราะ “นามนั้นคือ ‘เทพเมนิคอรัส’ หรืออีกชื่อ เทพเจ้าแห่งรอยยิ้ม!”
เดี๋ยว… อะไรนะ? คือ.. เทพ… เทพเจ้าแห่งรอยยิ้ม? ไม่แน่ใจว่าความชาทำให้เกิดภาพหลอน หรืออากาศผิดปกติทางประสาทหูได้หรือเปล่า? แต่… ไม่เอาน่า? นี่มนุษย์คิดจะนับถือไปหมดทุกอย่างเลยหรือไง แบบนี้ในอนาคตอาจจะมีคนนับถือ เทพเจ้าผ้าปูเตียง หรือเทพเจ้าหลอดดูดน้ำก็คงไม่แปลก ผมพยายามหันไปดูเหล่าผู้คนรอบๆ เพื่อดูให้แน่ใจว่ามันไม่ได้เป็นมุขตลก หรือแค่การล้อเล่นแผลงๆ แบบที่ฆาตกรโรคจิตชอบทำ แต่สิ่งที่ผมเห็นก็คือทุกคนกำลังยิ้มและดื่มด่ำสารคดีบนผนังอย่างปลื้มปีติ บางคนกำลังเช็ดน้ำตาอย่างซาบซึ้ง อารมณ์เหมือนกับกำลังได้ขึ้นสวรรค์ และบางคนกำลังพึมพำบทสวดรัวๆ ด้วยความสุข
ภาพต่อมาที่กำลังฉายอยู่บนจอ คือภาพผนังถ้ำสมัยโบราณคล้ายๆ กับภาพที่ครูสอนประวัติศาตร์ชอบเปิดให้ดู พร้อมเสียงบรรยายประกอบว่า “หลักฐานการดำรงอยู่ของท่านเมนิคอรัสนั้นมีมาแต่โบราณ ตั้งแต่การวาดภาพผนังถ้ำในยุคหิน รูปสลักตามอารยธรรมต่างๆ ในยุคโบราณ ภาพวาดในยุคกลาง หรือแม้แต่คัมภีร์ที่ถูกรวบรวมโดยผู้ศรัทธาในสมัยใหม่” ผมมองรูปต่างๆ ที่พวกเขาพยายามนำเสนอ แต่ต่อให้คะแนนวิชาประวัติศาตร์ของผมลงเหวขนาดไหน ก็มองออกอยู่ดีว่ารูปต่างๆที่พวกเขานำเสนอไม่เกี่ยวกับรอยยิ้มเลยแม่แต่นิด โดยเฉพาะไอ้รูปภาพโมนาลิซ่าที่กำลังยิ้มนี่มัน… “เอ่อ.. ผมว่ารูปพวกนี้มันไม่เกี่..”
“หุบปาก!!” เสียงของทุกคนตะโกนกระหึ่มคล้ายเสียงคำรามจากนรก พร้อมทั้งสายตาถลึงโตจ้องมองเข้ามาพร้อมกัน ทำให้ผมเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ต่อไปด้วยความกลัว
“ตามตำนานที่เล่าขาน เทพเมนิคอรัส คือเทพที่ดลบัลดาลความสุข ความสำเร็จ ความรุ่งเรือง และเสียงหัวเราะ ให้แก่ตระกูลเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกเลือก… จะมีเพียงตระกูลเดียวเท่านั้นที่ได้รับเลือกจากท่านในการจะดำรงและบอกต่อถึงพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของท่าน และตระกูลอันทรงเกียรติที่ว่านั่นก็คือ ตระกูลฟิตซ์!” จากนั้นก็มีเสียงครางโฮอย่างยินดีโหยหวนไปทั่วห้อง “ตระกูลของเราได้สืบทอดและดำเนินพิธีบูชาท่านเทพเจ้ามารุ่นต่อรุ่นอย่างไม่ขาดสาย ด้วยเหตุนี้ ท่านเทพเจ้าจึงดลบันดาลความสามารถ ความสำเร็จ และชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลให้กับพวกเรา เราจึงเป็นคนพิเศษที่ถูกเลือก! โอ ท่านเทพเจ้าแห่งรอยยิ้ม!”
ภาพตัดกลับมาที่ตัวอักษรอีกครั้ง คราวนี้เขียนว่า ‘วิธีบูชาท่านเทพเจ้าแห่งรอยยิ้มอย่างถูกต้อง’ พร้อมกับเสียงเพลงรื่นเริงเหมือนที่เปิดในงานสวนสนุกประกอบ จากนั้นก็ตัดไปที่ภาพของหญิงสาวหน้าตาสวยคนหนึ่ง เธอกำลังยืนยิ้มนิ่งๆ ข้างหลังมีฉากลายการ์ตูนราคาถูกแบนๆ เหมือนทำมาเพื่อเอาใจเด็กตั้งอยู่ หญิงสาวเอ่ยเสียงสดใสและร่าเริงของเธอด้วยการพยายามดัดเสียงให้แหลมสูงเหมือนเด็ก ซึ่งถ้าผมเป็นเด็ก ผมคงเลือกที่จะกระโดดตึกดีกว่าฟังเสียงแสบแก้วหูนี่ “สวัสดีจ๊ะ เด็กๆ!” เธอทักทาย “ต่อไปนี้เราจะมาดูวิธีบูชาท่านเทพเจ้าแห่งรอยยิ้มที่ถูกต้องกันนะจ๊ะ! โดยหลักๆ เราจะมีอยู่สองวิธีเท่านั้น โดยวิธีแรก เป็นวิธีที่ง่าย สะดวกและทำได้ทุกที่ เอาล่ะ! ไหนลองทายดูซิ เด็กๆ ว่าวิธีแรกคืออะไร?...
ใช่แล้ว วิธีแรกคือการยิ้มนั่นเองจ๊ะ! เพียงแค่เรายิ้ม ก็ถือเป็นการภาวนาจิตถึงท่านเมนิคอรัสแล้วล่ะจ๊ะ! การยิ้มที่ถูกต้อง ควรยิ้มให้กว้างๆ เพื่อแสดงถึงศรัทธาที่มีต่อท่านนะ ไหน เด็กๆ มาลองฝึกยิ้มด้วยกันสิ พร้อมแล้วก็นับ 1 2 3 เอ้า! ยิ้มมมมมมม” ทันใดนั้นผมก็ต้องสะดุ้งสุดขีด เพราะสาวสวยในภาพกำลังฉีกยิ้มกว้างมากจนเห็นเหงือก มุมปากฉีกมากเสียจนดูผิดมนุษย์มนา แถมทุกคนในห้องก็พร้อมใจกันฉีกยิ้มกว้างตามเหมือนเด็กว่านอนสอนง่าย
“ส่วนวิธีต่อไป หรือวิธีที่สอง คือพิธีกรรมที่สำคัญมากสำหรับตระกูลของเราเลยนะ ถูกต้องจ๊ะ! พิธีบูชายัญนั่นเอง! โดยเราจะจัดพิธีนี้เพียงปีละหนึ่งครั้ง เพื่อเป็นการส่งเครื่องสังเวยให้แด่ท่านเทพเจ้า เป็นข้อแลกเปลี่ยนว่าท่านจะบันดาลชื่อเสียง และความเจริญรุ่งเรืองมาให้แก่ตระกูลเรานั่นเองจ๊ะ หากหนูๆ คนไหนสงสัยเกี่ยวกับคำว่าบูชายัญแล้วละก็ การบูชายัญก็คือการนำมนุษย์มาเป็นเครื่องสังเวยและทรมาน โดยมนุษย์ที่ว่าจะต้องเป็นเด็กจิตใจบริสุทธิ์ อายุต้องอยู่ในเกณฑ์วัยแรกแย้ม จะต้องมีผิวพรรณผุดผ่อง และใบหน้างดงาม ไม่จำกัดว่าหญิงหรือชาย แต่ยิ่งมีหน้าสวยงามมากเท่าไหร่ ท่านเทพก็จะพอใจและมอบพรที่สัมฤทธิ์ผลให้เรามากขึ้นเท่านั้น เราลองมาดูรูปตัวอย่างการทรมานเหยื่อดีกว่านะจ๊ะ หนูๆ!”
แล้วทันใดนั้น ภาพก็ตัดไปยังรูปนิ่งที่ทำเอาผมแทบหยุดหายใจ รูปภาพการทรมานเหยื่อมากมายตั้งแต่รูปถ่ายสมัยก่อน จนมาถึงรูปสีปัจจุบัน สภาพในรูปนั้นเกินจะบรรยาย ผมรีบเบือนหน้าหนีความสยดสยองเหล่านี้เหมือนกำลังโดนจี้ด้วยก้นบุหนี่ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่าพวกเขาเปิดของแบบนี้ให้เด็กๆ ดู
“เหลว.. ไหล ทั้งนั้น!” ผมตะโกนเสียงสั่น ผมไม่ได้ร้องไห้ แม้จะรู้สึกถึงความร้อนรุ่มและม่านน้ำบางๆ ที่กำลังก่อตัวตรงม่านตา แต่กลับเป็นความรู้สึกตรงกันข้ามกับความกลัว…กลัวหรือ? ก็อาจมีบ้าง แต่ลึกๆ ในใจผมกลับรู้สึกโมโหอย่างแปลกประหลาด เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?... เกิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ได้ยังไง เทพเจ้าแห่งรอยยิ้มอะไรกัน! เทพที่ไหนจะชอบเด็กสาวหน้าตาสวยๆ เทพหื่นงั้นหรือ? แล้วเทพแห่งความสุขประเภทไหนถึงชื่นชอบการทรมานให้คนอื่นเป็นทุกข์ เทพแบบไหนที่ต้องทำให้เกิดเรื่องแย่ๆ มากมายขนาดนี้ ไอ้ความเชื่อพวกนี้เหลือรอดมาสู่คนพวกนี้ได้ยังไง? “ไม่มีเทพที่ไหนทั้งนั้นแหละ!!” ผมตะโกนสุดเสียง
“นี่ๆ ฉันอยากตบเด็กคนนี้จังเลย ฮิๆ” ป้าคนนึงในกลุ่มยิ้มกว้าง ทว่ากลับเดินออกมาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด และยิ่งเมื่อผมพบว่าเธอกำลังจะตบผมด้วยไม้เบสบอลฝังตะปูปลายแหลมบนมือ ก็ยิ่งทำให้ผมผงะถอยหลัง ครูใหญ่ผายมือกั้นเป็นเชิงปรามอย่างใจเย็น เขายังยิ้มกว้างและมองผมด้วยสายตาเอ็นดู “ใจเย็นๆ เด็กก็คือเด็ก เขายังไม่รู้ว่าอะไรที่ควรหรือไม่ควรทำ หึๆ… โง่เง่ายิ่งนัก เด็กน้อย” ป้าคนนั้นเดินกลับเข้าไปอย่างว่าง่าย แต่แอบส่งสายตาอาฆาตกลับมา ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตว่าบนมือของทุกคนมีอาวุธน่าหวาดเสียวครบทุกชนิด เลื่อย มีด ขวาน ค้อน นี่พวกเขากำลังจะทำอะไรกันแน่? ครูใหญ่ก้าวออกมาอีกหนึ่งก้าว เขาสูดหายใจลึกเหมือนกำลังตื่นเต้น “ในที่สุด ฉันก็ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่อันแสนมีเกียรตินี้… ฉันจะเป็นคนเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง… ให้ ‘ผู้ถูกเลือกคนสุดท้าย’ ฟัง!”
‘ผู้ถูกเลือกคนสุดท้าย’ งั้นหรือ?
“ฟังใหดี แมต ฟิตซ์ ต่อจากนี้ คือความจริงทั้งหมดที่เธอตามหามานาน” ครูใหญ่กล่าว ผมรู้สึกได้ถึงพลังอะไรบางอย่างกำลังก่อตัวและแผ่ซ่านไปทั่ว จากนั้นทุกอย่างก็พร้อมใจกันเงียบ หรือเพียงความสงบ ราวกับว่าเสียงหัวเราะคิกคักที่มีมาตลอดนั้นไม่เคยดำรงอยู่ เมื่อครูใหญ่แน่ใจว่าผมกำลังตั้งใจฟัง เขาจึงเริ่มเอ่ยปากเล่า
“ย้อนไปหลายร้อยปีก่อน ครั้งที่ยังมีปราสาท เจ้าชายเจ้าหญิง และสงคราม… ต้นตระกูลบรรพบุรุษฟิตซ์ของเรานั้นเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา อาศัยอยู่ในกระท่อมและปลูกพืชสวนทำไร่นา เขาแต่งงานกับหญิงสาวที่ได้ชื่อว่ามีรอยยิ้มที่งดงามที่สุดในเมือง ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกันทั้งหมดสี่คน ไม่นานหลังจากที่ลูกชายของพวกเขาเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ ภรรยาของเขาก็ถูกจับในข้อหาเป็นแม่มดผู้บูชาซาตาน ชาวเมืองพากันจับเธอมัดและเผาเธอทั้งเป็น ท่านบรรพบุรุธเสียใจมาก ก่อนจะพบว่าภรรยาของตนได้ทิ้งบางอย่างไว้
มันคือตำราที่กุมความลับและพลังอำนาจ มันคือ ‘คัมภีร์แห่งการบูชาเทพเมนิคอรัส!’ นั่นเองที่ทำให้เขาและลูกๆ เริ่มเห็นทางสว่าง พวกเขาทำพิธีบูชายัญตามแบบที่ในหนังสือบอก และไม่นานตระกูลฟิตซ์เริ่มร่ำรวย และมีชื่อเสียง ทำมาค้าขายก็รุ่งเรือง ลูกชายทั้งสี่ต่างได้เป็นเศรษฐี บ้างก็กลายเป็นขุนนาง บ้างก็กลายเป็นนักที่ปรึกษาส่วนพระองค์ ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะพรที่เทพเจ้าแห่งรอยยิ้มได้ดลบันดาลให้!”
“เมื่อท่านบรรพบุรุษตายไป ลูกชายทั้งสี่ต่างก็แยกกันสร้างครอบครัวของตน ขยายตระกูลออกไปเรื่อยๆ และพวกเขาก็มักจะสอนลูกหลานอย่างลับๆ และชี้ทางสว่างให้เขา ให้สืบทอดพิธีเหล่านี้ต่อไป ด้วยเหตุนี้ ฟิตซ์จึงแบ่งออกเป็นสี่ตระกูลย่อย แต่ละตระกูล จะมีความสามารถและจุดเด่นต่างกันไป ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย ทั้งสี่สาขาก็จะมีหน้าที่ของตน มีจุดเด่นของตน
เริ่มจากตระกูลฟิตซ์ที่มีความสามารถด้านความรู้ มีความฉลาด ปราดเปลื่อง ความสามารถรอบด้าน เป็นตระกูลที่นำความรู้มาสู่พวกเรา ทำให้พวกเราเจริญรุ่งเรือง และนั่นคือตระกูลของฉัน และของเนธานหลานรักของฉัน” ครูใหญ่และเนธานยืดอกอย่างภูมิใจ ในขณะที่ผมเริ่มคิดว่านี่คือความจริงที่ผมอยากได้ยินแน่หรือเปล่า?
“ต่อไปคือตระกูลฟิตซ์ผู้มีความสามารถด้านพละกำลัง เป็นเจ้าคนนายคน มีอำนาจมากล้น คอยปกป้องอันตรายไม่ให้มากร้ำกรายตระกูลของเรา” แล้วคริสเตียนก็ทำท่ายืดอย่างภูมิใจบ้าง รวมถึงตำรวจหมีพูห์ที่กำลังวางมือบนบ่าคริสเตียนเหมือนกันจะบอกว่าเขาเองก็มาจากตระกูลสายนี้เช่นเดียวกัน
“ต่อมาคือฟิตซ์ผู้เป็นที่หลงไหล เป็นมิตร เป็นที่ชื่นชอบ สามารถสื่อสารกับคนรอบตัว คอยเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูล มีความสามารถในการปกปิดความลับและเสแสร้งเป็นอย่างดี” คราวนี้ผมหันไปทางอเล็กซ์ผู้ซึ่งยืนคู่กับอัลเฟร็ดเจ้าของตึกอย่างไม่ต้องคิดมาก ถ้าเรื่องแสแสร้งละก็คงไม่พ้นสองคนนี้ ผมคิดว่ามันแปลกดีที่พวกเขาแบ่งตระกูลของตัวเอง และทำราวกับว่าตระกูลนั้นเป็นเหมือนสาขาบ้านของฮอกวอตส์ในแฮรี่ พ็อตเตอร์
“มาถึงตระกูลสุดท้าย…” ครูใหญ่เว้นจังหวะ จ้องผมแบบเน้นๆ ก่อนจะกล่าวชัดถ้อยชัดคำ “ตระกูลแห่งความ ‘ห่วย ’ “ ผมรู้สึกเหมือนโดนธนูปักหัวดัง ’ฉึก’ เล็กๆ และทุกคนในห้องต่างมองผมราวกับว่า มีตัวอักษร ห่-ว-ย เขียนไว้ผมหน้าผากผม เนธานแอบหัวเราะในลำคอเล็กๆ ครูใหญ่จึงกระแอมให้เขารู้ว่าอย่าเพิ่งขัดจังหวะ “สาขานี้ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ถึงทำก็ทำแต่เรื่องแย่ๆ ถึงไม่แย่ก็ไม่มีใครสน ถึงสนก็ไม่มีใครว่าดี ไม่เคยเดินตามเส้นทางของท่านเทพเจ้า ดีแต่จะต่อต้าน หัวดื้อหัวรั้น เอ้อละเหยลอยชาย วันๆ ไม่ทำอะไร แย่ ชั่ว เลว!” ครูใหญ่กระชากเสียงดัง
ผมตัวแข็งทื่อแล้วรีบหดตัวอยู่ในกระดองด้วยความรู้สึกอึดอัด คล้ายกับจะจมลงไปในคำบรรยายเหล่านั้น เหล่ารอยยิ้มเหมือนจะพอใจเมื่อเห็นผมทำท่าหายใจไม่ออก “แต่… อย่างไรก็ดี” เสียงนั้นกลับมานุ่มนวลอีกครั้งเหมือนสั่งได้ “สาขานี้ก็ยังคงเคยทำประโยชน์ให้ตระกูลเราบ้างเช่นกัน เช่น เป็นคนรับใช้ เป็นเหยื่อล่อ เป็นแพะรับบาป ไม่ก็… เป็นที่ระบายอารมณ์”
“แน่นอน แมต นายมาจากสาขานั้นไง!” คริสเตียนโพร่งขึ้น ครูใหญ่หันควับไปเป็นการปรามอีกครั้ง เออ… แหงล่ะ จะเกิดมาในตระกูลฆาตกรโรคจิตทั้งที ก็ดันถูกจัดอยู่ในจำพวกสาขา ‘ฆาตกรห่วย’ ขอบคุณ!
“อย่าเพิ่งน้อยใจไป แมต ฟิตซ์ เรื่องที่ฉันจะเล่ายังไม่จบ” ครูใหญ่ว่า “อย่างที่เธอรู้ ตระกูลเราแบ่งออกเป็นสี่สาขา ทำหน้าที่แตกต่างกันไป ดังนั้น ทุกๆ รุ่น เราจะต้องทำการเลือกผู้นำตระกูลฟิตซ์ โดยให้แต่ละสาขาส่งตัวแทนที่อายุใกล้จะ 18 บริบูรณ์มาทำการเข้าพิธีเลือกผู้นำ สาขาใดก็ตามที่ตัวแทนได้รับเลือก สาขานั้นก็จะได้เป็นหัวหน้าคอยควบคุมสาขาอื่นตลอด จนกว่าจะมีการเลือกรุ่นต่อไป ในรุ่นที่แล้ว ฉันซึ่งเป็นตัวแทนจากสาขาตัวเอง ได้รับเลือก ฉันจึงได้เป็นผู้นำตระกูลตลอดมา… แต่ มันถึงเวลาแล้วสำหรับคนรุ่นใหม่ ครั้งนี้เด็กทั้งสี่คนจะต้องเข้าพิธีเลือกผู้นำอีกครั้ง เขาผู้นั้นจะกลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!!”
“โอ ท่านเทพเจ้ารอยยิ้มมมม” กลุ่มรอยยิ้มส่งเสียงครางเบาๆ จากข้างหลัง
“แล้ว… ทำไมต้องเป็นผม” ผมเริ่มรู้สึกชินกับการพูดทั้งที่ปากยังชา “ทำไมไม่เลือกเด็กคนอื่นที่มาจากสาขาเดียวกัน”
“2 รุ่นก่อน…ไง” คริสเตียนว่า “เหตุการณ์อัปยศที่ไม่มีใครลืม เกิดขึ้นช่วง 2 รุ่นก่อน”
“ถูกต้อง…” ครูใหญ่พยักหน้า “พวกเราตระกูลฟิตซ์ดำเนินส่งผ่านพิธีกันมาอย่างยาวนานไม่ขาดสาย ทว่าสาขา ‘ห่วย’ ก็คงห่วยสมชื่อ เพราะเริ่มมีทายาทน้อยลงๆ ทุกที จนกระทั้ง 2 รุ่นก่อน รุ่นของคุณปู่ฉันเอง มีทายาทจากสาขาห่วยเพียงคนเดียว.. เธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงอ่อนแอ ไร้ค่าคนหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะยังไง พิธีเลือกผู้นำ จำเป็นจะต้องใช้เด็ก 4 คน เราก็เลยเลือกเธอเป็นตัวแทนจากสาขาห่วย เพื่อให้พีธีสมบูรณ์ไปซะ… แต่ทว่า” ครูใหญ่ลดเสียงต่ำลงจนน่ากลัว ส่งเสียงเหมือนคับแค้นในลำคอเล็กๆ
“นังเด็กผู้หญิงคนนั้นเกิดกลัว สติแตก ก็เลยทำในสิ่งที่ตระกูลเราไม่มีวันให้อภัย! … เธอหนีไป! หนีออกไปจากหมู่บ้าน และฝ่าออกไปจากป่าแบล็กวู๊ดด้วยตัวคนเดียว! ทุกคนพยายามออกตามล่าเด็กคนนั้น แต่ไม่มีใครพบ ทุกคนจึงคิดว่าเธอหลงอยู่ในป่าจนตายไปแล้ว เพราะแบบนั้นพิธีถึงไม่เสร็จสมบูรณ์ ตั้งแต่นั้นมาตระกูลเราก็ไม่เคยทำอะไรสำเร็จ มีแต่อุปสรรค ขนาดตอนที่ฉันจับเด็ก 5 คนไปเมื่อ 15 ปีก่อนยังเกือบโดนจับได้! เป็นเพราะสาขาของแก ทำทุกอย่างพังหมด!!”
2 รุ่นก่อนงั้นหรือ เด็กผู้หญิง… เดี๋ยวนะ จะว่าไป คุณยายก็ไม่เคยบอกว่าต้นตระกูลของเรามาจากไหนนี่นา แม่ผมเองก็ใช่นามสกุลนี้ตามคุณยาย อย่าบอกนะว่า… คุณยายของผมก็คือเด็กผู้หญิงที่หนีออกมาเมื่อ 2 รุ่นก่อน? เพราะอย่างนั้นผมถึงมีเชื้อสายจากสาขา ‘ห่วย’ เนี่ยนะ? เอาจริงเรอะ?
“และตอนนี้… แมตฟิตซ์ เธอกลับมาแล้ว!! เด็กตระกูลฟิตซ์กลับมาครบทั้ง 4 คนอีกครั้ง นั่นจะทำให้พิธีของเราเสร็จสมบูรณ์ ตระกูลฟิตซ์จะยิ่งใหญ่อีกครั้งตามคำทำนาย!” แล้วทุกคนก็หัวเราะชอบใจอย่างบ้าคลั่ง ชูมือขึ้นเหนือหัวแล้วโห่ร้องดีใจ “เคยมีคำทำนายที่กล่าวไว้ รู้ไหมเอ่ยเด็กน้อย?... เป็นคำทำนายที่อยู่ในหนังสือคัมภีร์บูชาเทพแห่งรอยยิ้มมาตั้งแต่สมัยโบราณ! เมื่อใดที่ก็ตามตระกูลฟิตซ์ทำพิธีเลือกผู้นำไม่สมบูรณ์ จงรู้ไว้ว่า มันจะถือเป็นลางร้าย และเป็นสัญญาณของวันโลกาวินาศ!! มันจะเป็นวันล่มสลายของอารยธรรมทั้งมวล และจะไม่มีใครหนีมันไปได้ ทุกสิ่งจะถูกกลืนกินจนหมดสิ้น! ให้นับต่อไปภายใน 2 รุ่น วันโลกแตกจะเกิดขึ้นในรุ่นที่เด็กในพิธีจะกลับมารวมตัวครบ 4 คน!!”
มันจะจินตนาการล้ำยุคไปหน่อยหรือเปล่า? โลกแตกเนี่ยนะ? พูดตรงๆ เลยนะ ผมว่าพวกเขารวมถึงบรรพบุรุษทั้งโครตเหง้าควรจะเอาเวลาไปแต่งนิยายขาย คงจะได้รายได้ดีกว่าการมาบูชาเทพบ้าๆ นี่แหง
“เราหนีวันโลกแตกไม่พ้นแล้ว หนุ่มน้อย… ทุกคนจะต้องตายอย่างทรมาน และตกนรกชั่วกัลป์ ถูกเพลิงแห่งมารเผาผลาญตลอดกาล! มันถูกกำหนดไว้ให้เป็นแบบนี้ และทางแก้เดียวที่เราจะรอดพ้นจากเงื้อมมือนรกตามที่คัมภีร์บอก หากพิธีเลือกผู้นำของรุ่นนี้เสร็จสมบูรณ์อีกครั้ง เมื่อถึงวันโลกแตกตามคำทำนาย เราทุกคนก็จะตายอย่างสงบ ไม่เจ็บปวด และเทพเมนิคอรัส จะนำเราไปอยู่ในแดนแห่งสวรรค์!!
และในช่วงการทำพิธี จะต้องมีคนตายมากที่สุด! ทรมานที่สุด! เยอะที่สุด! และเจ็บปวดที่สุด! เพื่อให้เทพเจ้าพอใจ! ฉะนั้น… แมต ฟิตซ์ การกลับมาของเธอจึงสำคัญมาก!! และการฆาตกรรมหมู่ในครั้งนี้ก็สำคัญมากเช่นเดียวกัน! “
“เดี๋ยวนะ… พวกคุณฆ่าทุกคนเพียงเพราะเหตุผลแค่นี้น่ะเหรอ?” ผมเปล่งเสียงแห้งๆ ออกมา “แค่ความเชื่อลอยๆ พวกนี้เนี่ยนะ”
“มันไม่ใช่ความเชื่อลอยๆ… พ่อหนุ่ม” อัลเฟร็ด เมอคิวรี่เป็นฝ่ายพูดบ้าง แม้จะดูเป็นสาวกรอยยิ้มโรคจิตอย่างเต็มที่ แต่เขายังคงบุคลิคสุภาพ และเสียงนุ่มนวลแบบปลอมๆ ของตนเอาไว้ “การจะฆ่าใครสักคนไม่ใช่แค่อยู่ๆ คิดอยากจะทำก็ทำ เราวางแผนอย่างดี ไร้ช่องโหว่ และทำทุกอย่างให้แนบเนียนมากที่สุด…” เขาถอนหายใจช้าๆ ครูใหญ่เหมือนจะอนุญาตให้อัลเฟร็ดเป็นฝ่ายเล่าบ้างด้วยการถอยกลับเข้ากลุ่ม และส่งสัญญาณให้อัลเฟร็ดก้าวออกมาพูดข้างหน้าแทน “มันเริ่มตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนนั่นแหละ… คืนนั้นเป็นคืนที่เหล่ารอยยิ้มทุกคนจะมารวมตัวกันเพื่อนทำพิธีสวดบูชาประจำเดือน…”
“ใช่… แล้วนังนั่นก็เข้ามาทำให้เสียเรื่อง” เนธานกล่าวแทรก
“เอ็มมิลี่… คงจะจริงที่เขาว่าคนสวย ใส มักจะไร้สมอง เด็กคนนั้นอาศัยอยู่ที่ชั้น 19 ตำแหน่งตรงกับห้องสวดบูชาพอดี เราไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะถูกจับได้… ไม่เลย เพียงแค่เธอเห็นพิธีของพวกเรา เธอก็ปะติดปะต่อเรื่องได้เอง ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่ากำลังถูกกล้องที่หย่อนมาจากหน้าต่างจับภาพไว้ เราทุกคนแตกตื่นกันมาก ตอนที่นังเด็กคนนั้นประกาศว่าจะจัดปาร์ตี้เปิงโปงความจริงของรอยยิ้ม”
“ตอนแรกฉันคิดว่าเอ็มมิลี่ก็แค่พยายามสร้างกระแส… ใครจะรู้ว่านังนั่นคอยจับตาดูพวกเรามาตลอดเวลา ทุกอย่างที่พวกเราทำ นังนั่นก็ถ่ายไว้หมด “ คริสเตียนแฝงน้ำเสียงโกรธแค้นไว้ในถ้อยคำ “ที่อภัยให้ไม่ได้คือนังนั่นเอาเรื่องตัวจริงของรอยยิ้มให้เพื่อนๆ ในกลุ่มของฉันดู นั่นทำให้เราไม่สามารถปล่อยทุกคนไปได้ จริงอยู่ที่พวกนี้บอกเรื่องรอยยิ้มกับใครไม่ได้เพราะมีเรื่องที่พวกเราโกงการแข่งขันค้ำคอไว้พวกกับที่เราพยายามกล่อมให้พวกเขาเชื่อว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด… แต่เรายอมเสี่ยงไม่ได้”
“ถูกต้อง เราวางแผนฆ่าทุกคนมานานแล้ว… “ อัลเฟร็ดกล่าวต่อ “ตั้งแต่คืนนั้น คืนที่เราตัดสินใจจะจัดการกับพวกเด็กกลุ่มปาร์ตี้เป็นกลุ่มแรก พวกนี้น่ะจัดการง่ายมาก พวกนี้น่ะจัดปาร์ตี้กันวันเดิม เวลาเดิมอยู่แล้ว และทุกๆ ครั้งที่พวกนั้นจัดปาร์ตี้ก็จะต้องสั่งอาหารที่มีบริการส่งถึงที่มาด้วย คืนนั้น แทนที่ฉันจะปล่อยให้พนักงานส่งอาหารขึ้นไปส่งถึงห้อง ฉันก็รับอาหารจากพนักงานไว้แทน แล้วแอบใส่ยานอนหลับลงในอาหารซะ จากนั้นก็โทรให้เด็กพวกนั้นลงมาเอาอาหารที่เคาน์เตอร์… พวกนั้นไม่สงสัยฉันเลยสักนิด ที่เหลือก็แค่รอให้ยานอนหลับออกฤทธิ์ แล้วฉันก็ขึ้นไปจัดการพวกนั้นซะ…
ส่วนเรื่องกล้องวงจรปิด ฉันเป็นเจ้าของตึก จะตัดต่อมันยังไงก็ได้อยู่แล้ว มีคนฝีมือดีๆ ในตระกูลตั้งเยอะ แถมคนที่ตรวจหลักฐานกล้องวงจรปิดจะเป็นใครล่ะ ถ้าไม่ใช่แลรีย์ สารวัตรใหญ่… ซึ่งบังเอิญเป็นพวกของเราเหมือนกัน” พูดจบ แลรีย์หรือตำรวจหมีพูห์ก็แอบขำเล็กๆ
ถ้าอย่างนั้น… รอยยิ้มที่ผมเห็นในคืนแรก… ก็คืออัลเฟร็ดน่ะสิ
“ในตอนนั้นแหละ… ที่ฉันได้เห็นเธอจากระเบียง แค่แวบเดียวเท่านั้นฉันก็รู้ว่าเธอมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเราแน่ๆ ทันทีที่ฉันรู้ว่าเธอคือคนในตระกูลของเรา ทุกคนก็มั่นใจว่านี่คือนิมิตหมายที่ดี เป็นสารจากเทพเจ้าแห่งรอยยิ้มที่กำลังบอกให้เราเตรียมตัวสำหรับพิธีเลือกผู้นำครั้งใหม่ เราตัดสินใจเดินหน้าสังเวยเด็กๆ ต่อทันที…” อัลเฟร็ดกล่าว
“วันต่อมา ฉันรู้ว่ายังมีเด็กปาร์ตี้คนนึงที่ยังเหลือรอดอยู่” อเล็กซ์รับช่วงอธิบายต่อ “วิเวียร.... จะจัดการเธอคนนี้น่ะง่ายนิดเดียว ฉันรู้อยู่แล้วว่าที่จริงน่ะ วิเวียรแอบชอบฉันมานานแล้ว เรื่องมันก็ง่ายขึ้น จะวางยาในกล่องอาหารให้เธอกิน ก็ใช้วิธีง่ายๆ ฉันแค่ไปซื้อกล่องอาหารแบบเดียวกับที่วิเวียรใช้ ทำอาหารแบบเดียวกับที่วิเวียรกินเป็นประจำ ใส่ยาพิษลงไป ทำให้กล่องอาหารอันนั้นดูเหมือนกับกล่องอาหารของวิเวียรที่สุด จากนั้นวันรุ่งขึ้น ก่อนพักเที่ยง ฉันก็ใช้คารมส่วนตัว บวกเสน่ห์ที่ฉันมีอยู่แล้ว บอกวิเวียรว่า
“เฮ้ คนสวย อยากจะแลกกล่องอาหารกินกันดูมั้ย… ฉันอยากจะรู้จังว่าเธอทำอาหารอร่อยหรือเปล่า?”
แล้วรู้อะไรมั้ย? นังนั่นแทบจะตอบรับเอากล่องอาหารของฉันไปกินแทนแทบจะทันที แน่นอนว่าฉันเช็ดลายนิ้วมือตัวเองออกจากกล่องนั่นแล้ว พอเธอตายก็ไม่มีใครสงสัยเลยด้วยซ้ำว่ากล่องที่มียาพิษน่ะ เป็นของเธอแน่จริงๆ หรือเปล่า?”
“แต่ก็นั่นแหละ…” คริสเตียนกล่าวบ้าง “เพราะเหตุการณ์นั้น เราถึงเริ่มสังเกตุว่านายกับสามสาวนางพญาจับกลุ่มคุยกันด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีแน่ เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียน ฉันก็เลยไปขู่ขวัญพวกเธอในห้องน้ำหญิงซะหน่อย ให้อเล็กซ์กับเนธานเป็นคนเฝ้าต้นทางไว้ กะว่าจะให้พวกเธอกลัวจนเลิกยุ่ง”
ที่แท้ คนที่ฆ่าวิเวียรที่โรงอาหารคืออเล็กซ์ ส่วนรอยยิ้มในห้องน้ำก็คือ คริสเตียน… ขอชมนะ พวกเขาแบ่งงานอย่างมีระบบกันจริงๆ ทำแบบนี้พวกตำรวจจะหาคนร้ายตัวจริงไม่ได้ก็ไม่แปลก
“หึ… แต่ที่ไหนได้” เนธานปั้นหน้านิ่ง “พวกเธอก็ยังมาจุ้นจ้านกับพวกเราอีก ในคืนนั้น ที่ห้องสมุด ฉันกับครูใหญ่วางแผนฆ่าเพื่อนๆ ในกลุ่มมาอย่างดี ฉันตกลงว่าฉันจะเป็นคนคอยควบคุมทุกคนในกลุ่ม รอจังหวะ แล้วส่งสัญญาณให้ครูใหญ่แต่งตัวเป็นรอยยิ้มออกมาฆ่าทุกคน จากนั้นก็ทำให้ฉันเป็นแผลนิดๆ จะได้ดูเหมือนผู้รอดชีวิต จะไม่มีใครสงสัยฉันแน่ๆ… แต่นายกับพวกนางพญานั้นก็ดันแส่ไม่เข้าเรื่อง!!”
“ถึงจะฆ่าทุกคนได้ตามแผน แต่ก็เล่นเอาฉันแทบแย่” ครูใหญ่ส่ายหน้าและยิ้มไปพลางเหมือนกำลังนึกเรื่องที่ตัวเองทำพลาดไปอย่างขบขัน “โชคดีที่ฉันยังมีสติ กระโจนลงหน้าต่างไป แน่นอนว่าฉันเตรียมฟูกรองไว้อย่างดีแล้ว กะว่าจะดึงเนธาน… หลานของฉันลงไปด้วย ทำให้เขาดูบาดเจ็บนิดหน่อย จะได้ไม่มีใครสงสัยว่าเขามีเอี่ยว”
“แต่แหม… ลุงก็เล่นดึงผมลงไปแบบไม่บอกไม่กล่าวเลยนะครับ หัวผมกระแทกผนังจนสลบไปจริงๆ ตั้งสองวัน” เนธานลูบผ้าพันแผลตรงท้ายทอยเบาๆ “แต่ก็เพราะอย่างนั้นแหละ เราถึงรู้ว่าพวกนายกับสามสาวปัญญาอ่อนนั้นเป็นกองขยะก้อนใหญ่ที่ต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบซะบ้าง เราเลยจัดฉากเรื่องที่งานศพเมื่อเช้าขึ้น หวังว่าพวกเธอจะเข็ดกันจริงๆ สักที”
“ใครจะนึกว่ามันจะเป็นการปลุกไฟแค้นในตัวพวกเธอ” อัลเฟร็ดว่า “รู้ไหม… ฉันน่ะแอบติดเครื่องดักฟังไว้ที่ห้องของเธอตั้งแต่ก่อนเธอจะย้ายเข้ามาอยู่เสียอีก ฉันก็เลยได้ยินแผนที่จะแอบบุกเข้าโรงพยาบาลบ้านั่น เราปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ พวกเธอเป็นตัวอันตรายเกินไป ฉันเลยติดต่อกับฟิตซ์ที่ทำงานอยู่ที่นั้น แล้วส่งมือดีที่สุดของเราไปปิดปากคริสเต็นซะ!”
“ซึ่งมือดืที่ว่าก็คือฉันเอง… “ เนธานกระหยิ่งยิ้มย่องอย่างพอใจ “คริสเต็นน่ะ อยู่มานานเกินไปแล้ว ฉันก็เลยไปปิดปากเธอ พร้อมๆกับสั่งสอนนายไปด้วยเลยไง ต่อให้นายจะยังไม่รู้เรื่องอะไรก็เถอะนะ แมต… แต่สิ่งที่นายทำก็ไม่ต่างกับการทรยศคนในตระกูล เรื่องแบบนั้น ฉันยอมไม่ได้!!!”
“พวกเราแน่ใจแล้ว ไม่ว่ายังไง ต้องเป็นคืนนี้เท่านั้น ที่พิธีจะเริ่มขึ้น…” อัลเฟร็ดว่า “เราต้องหาทางกำจัดพวกตัวป่วนอย่างเพื่อนของเธอ ต้องหาทางกันให้พวกตำรวจตัวยุ่งออกไปไกลๆ และต้องการให้คนตายมากที่สุด เพื่อเป็นการสังเวยครั้งใหญ่แก่ท่านเทพเจ้า… เพราะฉะนั้นเราถึงได้จงใจปล่อยพวกคนบ้าออกมา พวกนั้นน่ะ ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว… ตอนนี้ไม่มีใครที่จะมาขัดขวางแผนของเราได้อีกแล้ว!!”
“โอ… ท่านเทพเจ้าแห่งรอยยิ้ม” เหล่าฆาตกรโห่ร้องรับราวกับเป็นเสียงสะท้อน
“ดังนั้น แผนสุดท้ายของพวกเราคือการล่อให้พวกเธอขึ้นมาติดกับในตึกแห่งนี้ให้ได้ ตอนแรกแผนการของพวกเราคือทำทีเป็นสร้างสถานการณ์ให้มีคนจับตัวเนธานไปจากโรงพยาบาล แล้วพอพวกเธอพบว่าเขาหายไป ฉันกะให้คริสเตียนกับอเล็กซ์ โผล่ออกไปหลอกพวกเธอว่า “รอยยิ้มจับตัวเนธานไป มันบอกว่าถ้าอยากให้เนธานมีชีวิตรอด ให้ไปที่อพาร์มเม้นต์ของนาย” พอพวกเธอเชื่อ แล้วตามพวกเรามา เราก็จะจัดการเชือดพวกเธอซะ เป็นอันเรียบร้อย“
“แต่เผอิญ” คริสเตียนส่งเสียงมาจากในกลุ่ม “ยังไม่ทันที่พวกเราจะโผล่ไปหลอกพวกนาย เราก็ดันไปได้ยินที่พวกนายพูดในโรงพยาบาลซะก่อน ตลกชะมัดที่พวกนายวางแผนจะมาที่นี่พอดี ทุกอย่างก็เลยลงล็อกฉันไม่ต้องเสียเวลาหลอกใครให้เปลืองแรง พูดไปก็คล้ายกับเป็นพระประสงค์ของท่านเมนิคอรัสที่กำหนดให้มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว… ท่านเทพเจ้า…! ขอบคุณจริงๆ”
ผมไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้อีก แม้สมองจะไม่อาจประมวลผมกับข้อมูลมากมายที่กำลังแล่นเข้าสู่เซลล์ประสาทอย่างเอาเป็นเอาตายได้ อย่างนึงที่ผมแน่ใจได้ก็คือปริศนาทั้งหมดได้เผยธาตุแท้ของตัวมันเองหมดแล้ว ตำนานของรอยยิ้ม ที่แท้จริงคือลัทธิประหลาดๆ ซึ่งฆ่าสังเวยเด็กสาวทุกปีเป็นการบูชาเทพแห่งรอยยิ้ม และการฆาตกรรมหมู่ในครั้งนี้ก็ทำขึ้นเพื่อปิดปากทุกคน และเป็นการสังเวยแก่พิธีเลือกผู้นำตระกูลคนใหม่บ้าบออะไรนั่นเช่นกัน… เรื่องทั้งหมดมีแค่นี้จริงๆ
“และนั่น… ก็คือความจริงทั้งหมดที่เธอต้องรู้ แมต ฟิตซ์…” ครูใหญ่ประกาศเสียงก้องราวกับกำลังจะเริ่มอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ เสียงทมิฬปลุกให้รอยยิ้มทุกคนนิ่งเงียบและยืนตัวตรงไม่ไหวติง ทุกคนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับบางสิ่ง “ต่อจากนี้จะเป็นการเริ่มต้นพิธีเลือกผู้นำตระกูลครั้งใหม่!”
ผมกลืนนำลายอึกใหญ่ รู้สึกถึงคอที่แห้งผากจบแสบราวกับตัวเองเพิ่งกลืนผงดินหยาบๆ เข้าไป ผมเคยรู้สึกแย่มาหลายครั้งในชีวิต… แน่ล่ะ ใครๆ ก็รู้สึกแย่กันทั้งนั้น มันเป็นธรรมชาติของชีวิตใช่ไหม?.. ผมรู้ แต่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นทุกคนหรือเปล่า ที่ทุกครั้ง ความรู้สึกแย่นั้นมักจะก่อตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าชีวิตของผมมีเพียง รู้สึกแย่ แย่มาก แย่มากๆ แย่มากจริงๆ แย่ที่สุด ผมไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้ตัวเองต้องมาเจอกับเรื่องพวกนี้… แต่ต่อให้ผมต้องเผชิญกับมันเป็นอีกพันครั้ง ผมก็ไม่อาจทำใจให้คุ้นชินกับมันเสียที
“แล้ว… แล้วถ้าผมไม่ถูกเลือกล่ะ?” ผมเปล่งเสียงกระซิบเบาๆ กระนั้นเสียงก็ค่อยๆ วนไปกระทบผนังตามลม จนในที่สุดมันก็กลายเป็นเสียงสะท้อนของความสิ้นหวัง “จะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ไม่ถูกเลือก?” ผมถามอีกครั้ง คราวนี้สิ่งที่ตามมาหลังคำถามคือความกดดันก้อนมหึมาที่กำลังกดทับบี้ตัวผมจนแบน อาจจะดูเหมือนตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่า มีเพียงเสียงกระหน่ำของจังหวะหัวใจของใครบางคนที่กำลังเต้นเร่าๆ อยู่บนหน้าอกผมเอง
“คนที่ไม่ถูกเลือกงั้นหรือ?” ผมไม่แน่ใจว่าเสียงที่น่าสะพรึงกลัวอันนี้เป็นของใคร หรือจะมีคนพูดกับผมอยู่จริงๆ หรือไม่ แต่ดูเหมือนโลกทั้งใบจะจุดประกายคำพูดนั้นให้ก้องอยู่ในหู จากหลุมดำมืดสู่สีแดงเลือดแจ่มชัด
“ก็ตายไง…” เสียงนั้นกล่าวเรียบๆ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ติดตามตอนต่อไป!!!
ขอสารภาพว่าเป็นการดองนิยายที่นานที่สุดที่ไรท์เตอร์เคยทำมา แต่สารภาพอีกว่ารู้สึกผิดตลอดเวลาจนถึงขั้นไม่สามารถหยิบนิยายเรื่องไหนมาอ่านได้เลย (มันแสลงที่ตัวเองแต่งไม่เสร็จ)
ไรท์เตอร์กราบขอโทษมากๆ ที่ทำให้ทุกคนต้องรอมานานขนาดนี้ หลายๆ คนอาจจะพอรู้แล้วว่าสาเหตุคือไรท์เตอร์วุ่นกับการติดมหาลัย ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออันยิ่งใหญ่ของเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งจากบ้านนอกที่ต้องย้ายมาอาศัยกรุงเทพคนเดียว และกว่าจะฝ่าฟันชีวิตมหาลัยและพบเจอสมดุลของชีวิตได้ก็เล่นเอาเทพตาย ไม่มีเวลามายุ่งกับนิยายเลยจริงๆนะ (กระนั้นยังคิดถึงและโหยหาการแต่งนิยายอยู่ตลอด
วันนี้จึงเป็นวันที่ไรท์เตอร์ใฝ่ฝันมานานกว่าจะได้ทำ ในที่สุดก็จะได้ลงตอนต่อ ได้สานต่อสิ่งที่ค้างไว้สักที T_T ไม่เอาอีกแล้ว กับการห่างหายจากการแต่งนิยาย ไรท์เตอร์กับนิยายเปนของคู่กานนนนน
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะยังมีคนติดตามต่อหรือไม่ ไรท์เตอร์ก็จะไม่ไปไหน สานต่อนิยายของตัวเองให้จบให้ได้ หากท่านพบว่าไรท์เตอร์ฝีมือตก ก็ขออภัยน๊าา >[]<
ความคิดเห็น