ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Smile คืนที่รอยยิ้ม...ฆ่าคน! (บทส่งท้าย) จบบริบูรณ์

    ลำดับตอนที่ #16 : ตอนที่ 14 : และแล้ว... ทุกๆ คนก็ยิ้มได้

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 56


     

     















    ใครกัน!



    ผมคิด จ้องมองไปยังจอคอมฯ ด้วยใจระทึก



    มันเป็นใคร!!


     
          ภาพโทนดำเข้มกำลังเคลื่อนไหวช้าๆ ไม่รู้ผมคิดไปเอง หรือตอนนี้ผมกำลังเห็นทุกอย่างดำเนินไปแบบสโลโมชั่น ทุกสิ่งที่ผมเห็นกำลังช้าลง แม้แต่เม็ดฝนข้างนอกก็หยุดอยู่กลางอากาศเหมือนกำลังลอย มือหนาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ถุงมือดำกำลังเคลื่อนที่อย่างไม่เร่งรีบ จนกระทั้งนิ้วมือของมันสัมผัสได้ถึงขอบหน้ากากหนัง จากนั้นมันก็ค่อยๆ ออกแรงเลื่อนมือขึ้น
    หน้ากากหนังสีซีดกำลังลอกออก ผิวหนังเทียมกำลังแยกออกจากผิวหนังจริงผิวหนังจริงของเจ้าของหน้ากาก หัวใจผมเต้นเป็นจังหวะทุ้ม
     


    ตึก
    ตึก



              เหมือนตัวเองกำลังโดนหลุมดำดูดเข้าไปในความมืดเวิ้งว้าง หน้ากากลอกขึ้นได้นิดหนึ่ง เผยให้เห็นสีเนื้อส่วนคอเพียงแค่เห็นแวบเดียว บางอย่างในหัวก็บอกผมว่าสีผิวตรงคอนั้นช่างดูคุ้นเคยคุ้นเคยจริงๆ





    ตึกตึก





              แล้วหน้ากากก็ลอกขึ้นอีก ขึ้นอีกนิด ลอกขึ้นจากคอ ไปสู่ใบหน้า เริ่มจากเผยให้เห็นคางและริมฝีปาก จนเห็นปากเต็มๆปากนั่น…!! สมองกำลังส่งภาพความทรงจำอันเลือนราง ผมเห็นภาพของปากคู่เดียวกันนี้กำลังพูดอยู่ เพียงแต่ส่วนอื่นของใบหน้ากลับจางจนมองไม่เห็น ผมเคยพูดกับคนๆ นี้งั้นหรือ?






    ตึกตึก





              ใช่แล้วหน้ากากลอกขึ้นอีก ผมเห็นจมูกของมันจมูกที่ยิ่งดูก็ยิ่งคุ้น รู้สึกเหมือนภาพในหัวกำลังถูกเติมเต็ม ความทรงจำที่ผมคุยกับเขาในอดีตแจ่มชัดขึ้นหมอนี่เป็นผู้ชาย! ใช่! เขาเป็นผู้ชาย! เขาคนนั่นคือ…. ใคร?







    ตึกตึก   






                     ว่ากันว่า ดวงตาเป็นอวัยวะส่วนที่บ่งบอกถึงตัวบุคคลได้มากที่สุด แม้คนที่หน้าเหมือนอย่างกับฝาแฝด ก็ยังแยกออกได้ด้วยดวงตา เพราะดวงตาของทุกคนไม่เหมือนกัน มันเปรียบเสมือนลายนิ้วมือที่อยู่บนหน้า เปรียบเสมือนกุญแจที่ไขปริศนา และใช่ ผมกำลังรอดวงตาของมันอยู่ รอดูดวงหน้าคู่นั้น รอให้หน้ากากเลื่อนขึ้นอีกนิดอีกนิด ใกล้จะเห็นดวงตาแล้ว หน้ากากหนังลอกออก อีกเพียงมิลลิเมตรเดียว ผมเห็นขนตาล่าง!... แล้วก็

     









    แล้วก็!

     























    แล้วก็หยุด





    มันหยุด?... ภาพมันหยุด!



             เฮ้ยเฮ้ย! …เฮ้ย!! เดี๋ยวสิ อย่ามาเล่นแบบนี้กับผมเด็ดขาดเลยนะ! อย่าแม้แต่จะคิดเชียว อย่าเด็ดขาด!! เล่นต่อเดี๋ยวนี้ เปิดสิ!! เปิดตาให้ดู!! เล่นต่อสิ ขอร้องล่ะ ให้ผมอ้อนวอน คุกเข่า รั้งขาคุณไว้ก็ได้ พระเจ้าที่ไหนก็ได้ บอกผมทีว่าคลิปมันไม่ได้

     


    “เสีย” โซอี้พูดสั้นๆ

     











    “โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”




              ผมระเบิดเสียงดัง ใช้กำปั้นทุบโต๊ะคอมฯ ด้วยความโกรธ ทั้งอัดอั้น ตันใจ ทำไมปล่อยให้อารมณ์ค้างเติ่งแบบนี้ บอกมาสักทีเซ่! มันเป็นใครๆๆๆๆ แก! ไอ้วิดีโอคลิปบ้า! แกจะเสียเวลาไหนก็ได้ ตอนไหนก็ได้ วินาทีไหนของคลิปก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่วินาทีนี้!!! ต้องไม่ใช่ตอนนี้สิโว้ยยยย ตายซ๊า!!! ผมจะทุบมันให้พังไปเลย ผมจะไปหาไม้มา แล้วก็ฟาดๆๆ ใส่เครื่องเฮงซวย แล้วก็ฟาดๆๆ ใส่ไอ้เทพเจ้าแห่งความซวยให้เลือดตกยางออกไปข้างหนึ่ง!


     

               “เดี๋ยว! แมต ใจเย็นก่อน! เดี๋ยว!” โซอี้ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ถอยออกห่างอย่างรวดเร็ว เธอยื่นมือสองข้างเป็นเชิงปราม และพยายามปลอบผมซึ่งกำลังสติแตกจวนเจียนจะคลุ้มคลั่ง



              “โถ่เว้ยฉันเกลียดชีวิตของตัวเองจริงๆทำไม ทำไม๊ ทำไม” ผมทรุดตัวลงกองกับพื้น ยิ้มแห้งๆ แต่ร้องไห้ในใจ ขอเพียงแค่มันเล่นต่ออีกวินาทีเดียว อีกวินาทีเดียว ขอเถอะ!



             “แมตคืออย่าเพิ่งหมดหวังนะ” เธอกล่าวเสียงเบา “ไอ้อาการคลิปมีปัญหาแบบนี้ฉันคิดว่าน่าจะซ่อมได้อยู่นะ”



             “จริงเหรอ” ผมผุดลุกขึ้นยืนโดยเร็ว เบิกตาโต มองโซอี้ด้วยความหวัง  “เธอซ่อมได้จริงนะ”

     

              “ให้เวลาฉันสิบนาที
    …  ได้ไหม”




              “อีกชั่วโมงก็ยังได้ ขอเพียงเธอซ่อมเสร็จ รอยยิ้มถูกเปิดเผย แล้วเราก็จะหนีออกไปจากเมืองบ้านี้ทันทีเลย รีบซ่อมเถอะนะๆๆๆ” ผมอ้อนวอน กระโดดขึ้นลง ไม่สามรถควบคุมให้ตัวเองอยู่เฉยๆ ได้ ผมรีบถอยเปิดทางให้โซอี้เข้ามานั่ง และมองดูเธอจัดการรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ ตัวอักษรมากมายปรากฏขึ้นบนจอ หญิงสาวกำลังทำอะไรบางอย่างที่คนอัจฉริยะอย่างเธอเท่านั้นจะเข้าใจ ส่วนผมก็ยืนรอจนเหงื่อออกเต็มตัว




               “นี่” โซอี้ทักในขณะที่ตาเธอยังจดจ่ออยู่กับหน้าจอ “ฉันว่าเมแกน แล้วก็พวกเชย์ที่อยู่ข้างล่างเงียบหายนานเกินไปแล้วนะจะเป็นไรไหม ถ้าระหว่างนี้ เธอช่วยออกไปดูพวกเขาหน่อย”




              “ได้” ผมหยักหน้าพลางคิดในหัวว่าก็จริงแฮะ พวกนั้นดูจะเงียบหายไปนานผิดปรกติ หรือจะเกิดอะไรขึ้น?


             
              ผมผละตัวออกจากโต๊ะคอม เดินออกจากห้องนอน สู่ห้องนั่งเล่น มีร่องรอยการช่วยผมรื้อของจากสาวๆ อยู่เต็มพื้น ผมจึงก้าวข้ามสิ่งของต่างๆ ผ่านทีวีและโซฟากำมะหยี่ ผ่านตู้โชว์ที่ว่างเปล่า และผ่านชั้นวางรองเท้า ไปถึงหน้าประตูห้องพักซึ่งทำจากไม้ ผมหยุดยืนตรงพรมเช็ดเท้าพอดี เอื้อมมือไปจับลูกบิดอย่างเร่งรีบ แล้วทันใดนั้น







    ก๊อก ก๊อก ก๊อก





             ผมหยุดชะงัก เสียงมือหนักๆ เคาะประตูจากด้านนอก ผมรู้ทันทีว่าไม่ใช่ ไซม่อน เมแกน หรือเชย์แน่ๆ ถ้าพวกเขาจะเข้ามา ก็คงจะเข้ามาเลย และคงไม่ใช่คนบ้า เพราะคนบ้าไม่เคาะประตู และคงยิ่งไม่ใช่รอยยิ้มไปใหญ่ เพราะถ้ามันจะมาฆ่าคน มันคงไม่สุภาพเคาะประตูให้เหยื่อรู้ตัว แถมผมก็ไม่ได้ล็อคประตูไว้แต่แรกแล้ว ถ้าใครจะเข้ามาก็เข้ามาได้

     


     ถ้าอย่างนั้นคนข้างนอกเป็นใครกัน

     


              ผมเขย่งขา เอาผิวหน้าแนบประตู มองผ่านในช่องรูตาแมว เมื่อเพ่งมองให้ชัด ผมเห็นใบหน้าของคนๆ หนึ่งที่กำลังยืนรออยู่ เขาไม่ใช่พวกคนบ้า และไม่ใช่พวกเพื่อนผม เขาคือ

     
     

             “นี่ผมเองครับ อัลเฟร็ด อัลเฟร็ด เมอคิวรี่ เจ้าของตึก!” เสียงนั้นตะโกนผ่านเข้ามา เป็นเขานั่นเอง ผู้ดูแลตึกรูปร่างสูงยาวกำลังยืนรอด้วยใบหน้าถมึงทึง เขาจ้องตรงมายังตาแมวราวกับรู้ว่าผมกำลังแอบดูเขาอยู่ ผมผงะเล็กน้อยเพราะรู้สึกถึงบรรยากาศคุกคามที่ออกมาจากตัวเขา



    “คุณทำไมถึง ทำไมคุณยังอยู่ที่นี่?” ผมตะโกนถามผ่านประตู



              “คือผม ผมกำลังจะไปแล้วนั่นเเหละครับ แค่ต้องตรวจดูว่าทุกห้องถูกปิดสนิทปลอดภัยดีหรือเปล่า แล้วก็.. เอ่อ ต้องดูให้แน่ใจด้วยว่าไม่มีใครในตึกตกค้างอยู่” เขาตอบเสียงตะกุกตะกัก “ผมว่าทางที่ดีคุณควรออกมาดีกว่านะครับ! เราต้องรีบอพยพแล้ว”



              ผมยืนนิ่งเงียบ มองเขาด้วยความสงสัย ในหัวคิดว่าชายคนนี้ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย ผมลังเลว่าควรออกไปหรือเปล่า ทุกการกระทำและการเคลื่อนไหวของเขาดูเย็นชา และยิ่งไปกว่านั้นคือมันทำให้ผมขนลุก ไอเย็นยะเยือกจากพายุพัดผ่านทั่วตึก ผมตัวสั่นเพระความหนาว นิ้วมือยังค้างอยู่ที่ลูกบิด



              “ออกมาเถอะครับ” เขาย้ำเสียงเรียบ พร้อมเอื้อมมือเข้ามาหมายจะเปิดประตู ผมที่มองเห็นมือเขาลางๆ จึงรีบกดปุ่มล็อคลูกบิดอย่างรวดเร็ว ดูเขาจะแสดงอาการไม่พอใจอย่างมากเมื่อรู้ว่าผมไม่ยอมให้เขาเข้าไป



    “คุณเห็นเพื่อนของผมหรือเปล่า?” ผมถามลองเชิง



    “อะไรนะครับ?”



    “ผมถามว่าคุณเห็นเพื่อนของผมหรือเปล่า?”



              “ผมเอ่อ ไม่เห็นนะครับ นึกว่าที่นี่มีคุณคนเดียวเสียอีกจะยังไงก็เถอะ ผมว่าคุณควรรีบออกมานะครับ ถ้าออกไปช้ากว่านี้ ข้างนอกจะอันตราย..



             “คุณจะไม่เห็นเพื่อนของผมได้ไง คนนึงรออยู่ที่ลิฟต์ อีกสองคนอยู่ที่ชั้นล่าง ถ้าคุณกำลังตรวจดูตึกจริง คุณต้องเห็นสิ!



              “ผมไม่เห็นใครจริงๆ นะครับ ตอนขึ้นมา ผมก็เห็นแต่ห้องคุณห้องเดียวที่มีเสียงเอะอะมาจากข้างใน” เขาไม่ได้พูดเปล่า มือยังคงพยายามหมุนลูกบิดต่อ



              “ผมไม่ไว้ใจคุณคุณไปเสียเถอะ” ผมกล่าวแล้วรอดูปฏิกิริยา



              “ถ้าคุณไม่ออกมาผมจะพังเข้าไปนะครับ!…” อัดเฟร็ดหมุนลูกบิดแรงขึ้น อีกมือนึงทุบประตูเสียงดัง ผมถอยออกมาด้วยความตกใจ ลุกลี้ลุกลนมองหาอะไรที่จะช่วยดันประตูได้ไม่มีเลย! ผมจะทำไงดี ต้องรีบวิ่งไปหาอาวุธ ผมพรวดพราดตรงรี่เข้าไปในห้องครัว หยิบมีดเล่มที่คมที่สุดออกมา แล้วกลับไปที่ประตูหน้าด้วยความตื่นเต้น ผู้ดูแลตึกยังคงพยายามพังประตูเข้ามาอยู่ จนกระทั่งเสียงของชายอีกคนดังขึ้นจากข้างนอก เขาทำให้ผมแปลกใจ!




    “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!



              เสียงนั้นตะโกนสั่ง อัลเฟร็ดจึงหยุด ผมคิดว่ารู้สึกคุ้นเสียงนุ่มๆ ของเขาเล็กน้อย เสียงที่ทำให้นึกถึงตัวละครในการ์ตูน ผมพยายามมองผ่านตาแมว แต่เห็นเพียงเจ้าของตึกผู้ซึ่งกำลังหันไปมองใครบางคนจากด้านข้าง เขาคนนั้นเป็นใครกัน



    “กรุณาถอยออกมาจากประตูบานนั้นเดี๋ยวนี้ คุณอัลเฟร็ด เมอคิวรี่”



              “คคุณตำรวจ” สิ้นเสียงอัลเฟร็ด ผมจึงนึกขึ้นได้ในทันทีคุณตำรวจหมีพูห์นั่นเอง! เขามาช่วยผมได้ทันเวลา



    “คือผมแค่จะช่วยพาเขาอพยพออกจากตึกเท่านั้นเองนะครับ แต่เขาไม่ยอมให้ผมเข้าไป ก็เลย เขาแก้ตัว



             “อยู่ให้ห่างจากเด็ก! คุณเมอคิวรี่ ตอนนี้คุณคือหนึ่งในผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมหมู่นักเรียน!” ตำรวจหมีพูห์ประกาศ เขาเดินเข้ามาใกล้ขึ้น ผมจึงเห็นเขาแวบๆ รูตาแมว ตำรวจหมีพูห์กำลังเดินเข้ามาใกล้ประตู ส่วนอัลเฟร็ดก็ถอยออกไปอย่างว่าง่าย ผมรู้สึกโล่งใจเมื่อมีตำรวจเข้ามาช่วย เมื่อแน่ใจว่าอัลเฟร็ดถอยห่างออกไปพอแล้ว คุณตำรวจจึงเข้ามายืนหน้าประตู หันมาคุยกับผมแทน



    “เธอเธอชื่อ แมตฟิตซ์ ใช่ไหม?”



              “ใช่ครับ” ผมตอบ และตอนนั้นเองที่ผมได้เห็นหน้าเขาชัดๆ มันคือใบหน้าที่มีรอยแผลสดๆ และมีคราบเลือดไหลจากหน้าผาก เขาไปได้แผลนั่นมาตอนไหนกัน? ตอนที่เข้าสู้กับพวกคนบ้าข้างนอกหรือเปล่า?



             “เอาล่ะเธอปลอดภัยแล้วนะ” ตำรวจหมีพูห์กล่าวเสียงนุ่ม ฟังดูน่าอุ่นใจ “เปิดประตูให้ฉันเข้าไปหาเธอกับเพื่อนหน่อยสิ”



              “ครับ” ผมกำลังจะปลดล็อคประตูแต่ เดี๋ยวนะ อะไรบางอย่างบอกให้ผมหยุด มือผมค้างไว้ที่ลูกบิด หยุดแล้วลองคิดให้ดีๆ แปลก ผมรู้สึกสะดุดกับคำพูดเมื้อกี้



    “เอ่อคุณตำรวจครับ”



    “หืม?”



    “คุณรู้ไดยังไงว่าผมมีเพื่อน!



    “เอ่อ” ตำรวจหมีพูห์ชะงักไป “คือก็ ก็เธอเป็นแค่เด็กนี่นา เธอคงไม่อยู่ในที่แบบนี้คนเดียวอยู่แล้ว ใช่ไหม?”



              ผมถอยออกห่างประตูอีกครั้ง คำพูดของเขาฟังไม่ขึ้น ผมเริ่มรู้สึกไม่ไว้ใจเขาแล้ว บรรยากาศเยือกแข็งทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก ได้เพียงแต่กอดตัวเองแน่น “แล้วปืนของคุณไปไหนล่ะครับ? คุณตำรวจ”



              “ปืนเหรอ? พอดี กระสุนมันหมดน่ะ ก็เลยไม่ได้พกมา.. เห็นไหม ฉันปลอดภัยนะ รีบเปิดประตูให้ฉันเถอะ”



              “คุณเข้าฝ่ามาถึงที่นี่ ทั้งๆ ที่กระสุนหมดเนี่ยนะ? หรือว่ากระสุนของคุณ หมดไปกับศพคนบ้าที่ผมเห็นข้างนอกตึกกันแน่?”



    “แล้วยิ่งไปกว่านั้น คุณเข้ามาทำอะไรในตึกของผม?” อัลเฟร็ดได้ทีถามบ้าง



              “หุบปากไปเลยนะ!” ตำรวจหมีพูห์หันไปตะคอกใส่เสียงกร้าว ทำเอาทั้งผมและผู้ดูแลตึกสะดุ้งโหยง “หนุ่มน้อย เปิดประตูให้ฉันดีกว่าน่า ฉันเป็นตำรวจนะ รู้ไหม?”



    “เสียใจ! ผมไม่เปิด!



    “เปิดเดี๋ยวนี้นะ!” เขาตะคอกดังขึ้นจนผมรู้สึกกลัว สีหน้าเขาเปลี่ยนไป จากที่เคยดูอบอุ่นกลับคุกคาม

     





    ติ๊ง!



              นั่นมันเสียงลิฟต์นี่ ใครอีกคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา ผมได้ยินเสียงฝีเท้า ใช่พวกไซม่อนหรือเปล่า? ผมแทบอยากจะคว้านประตูให้มีรูกว้างๆ พอที่จะเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงทางเดินได้



    “คุณเป็นใครน่ะ!” อัลเฟร็ดถาม



              “คุณคุณนี่เอง คุณมาทำอะไรที่นี่?” ตำรวจหมีพูห์หันไปถาม เขาผละออกจากประตูในที่สุด ทำให้ผมมองเห็นผู้ที่กำลังเดินกะเผลกขาเข้ามา.. ชายคนนั้น ชายที่มีอายุ ตัวเล็กและหัวล้าน



              “แค่กๆม แมต ฟิตซ์ แค่กๆ เด็กคนนั้นอยู่ที่ห้องนี้หรือเปล่าครับ” ชายผู้มาใหม่พูดคำไอคำเป็นเอกลักษณ์



    “ครูใหญ่ผมเผลอส่งเสียง ทำให้ครูใหญ่หันมายังประตูทันที เขารีบเดินเข้ามา แต่กลับถูกตำรวจหมีพูห์ดักไว้



              “ขอทางให้ผมหน่อยเถอะครับ! แค่กๆ ผมจะ แค่กๆ ผมจะช่วยหลานของผมออกไป” เขาว่า แต่ชายอ้วนดันเขาออก ผลักครูใหญ่เข้าไปติดผนังอยู่ข้างผู้ดูแลตึก



    “คุณมาที่นี่ได้ยังไงครับครูใหญ่” ผมตะโกนถาม



              “ตอน.. ตอนที่ฉันอยู่ที่ศูนย์อพยพที่นอกเมือง ฉันพยายามนับว่าเด็กในโรงเรียนออกมาครบแล้วยังแค่กๆ ฉันถึงได้รู้ว่าเธอกับเพื่อนๆ ยังไม่ได้ออกมา แค่กๆ พวกเธอยังอยู่ในเมือง! ฉันก็เลยมาตามหาเธอ”



    “หึ! โกหกชัดๆ” อัลเฟร็ดว่า “แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าหลานของคุณอยู่ที่นี่”



              “ก็ แค่กๆ มีผู้ชายคนหนึ่ง เขาบอกว่าแค่กๆ เขาบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ชื่อเฮนรี่ แค่กๆ เขาบอกว่าแมตน่าจะอยู่ที่นี่ ผมก็เลย



    เฮนรี่งั้นหรือ? เขาเจอเฮนรี่ด้วย? ผมควรจะเชื่อเขาดีหรือเปล่า?



    “โกหก! แล้วทำไมเจ้าหน้าที่เดฟถึงไม่ออกมาตามหาเด็กเองล่ะ!” ตำรวจหมีพูห์ถาม



    “ก็เขา.. แค่กๆ บอกผมว่า ต้องอยู่ดูอาการพี่ชายที่ป่วยอยู่”



    “เดี๋ยวนะ! เฮนรี่บอกเรื่องพี่ชายกับคุณหรือ?” ผมตะโกนถามบ้าง ครูใหญ่พยักหน้า



              ถ้าเขาโกหกจริง เขาจะรู้เรื่องพี่ชายของเฮนรี่ได้ยังไงกัน? พี่ชายของเขาเพิ่งฟื้นไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนเองนี่นา หรือว่าครูใหญ่จะพูดความจริง แต่ดูแล้ว ครูใหญ่เป็นคนที่น่าสงสัยมากที่สุด แล้วถ้าหากเขาเป็นคนร้ายล่ะ? หรือถ้าเขาบริสุทธิ์และเป็นห่วงผมจริงๆ ล่ะ? ผมควรทำไงดี จะเชื่อเขาดีไหม?



               “ได้โปรดแค่กๆ” ครูใหญ่กล่าวเสียงเครือ ดูเขาจะยังปวดขาอยู่ ยิ่งต้องเดินขึ้นตึกมาคงยากลำบากหน้าดู “ได้โปรดเถอะ..” เขาอ้อนวอนอีกครั้งด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง “ฉันฉันมีหลานอยู่สามคนแค่กๆ พวกเขาเป็นคนเก่งก็จริง แต่แต่ไม่มีใครทำให้ฉันภูมิใจได้เลยนะ แมต พวกเขาฉลาดแต่กลับเลือกเดินผิดทาง พวกเขาเลือกที่จะใช้ความสามารถของตัวเองในทางไม่ดี แมต แต่เธอ เธอนี่สิ เธอเป็นหลานที่ฉันบอกได้ว่า เป็นคนดีที่สุดแม้ฉันจะอยู่กับเธอได้ไม่นานก็เถอะ ฉะนั้นเปิดประตูให้ฉันเข้าไปเถอะ แล้วเราจะออกไปจากเมืองนี้ด้วยกัน”



              “ครูใหญ่” ผมมองดูใบหน้าที่เหนื่อยอ่อนราวกับคนใกล้ตาย ทั้งๆ ที่เจ็บขา และอ่อนแอขนาดนั้น เขากลับอุตส่าห์ออกมาตามหาผมถึงที่นี่ ผม ไม่รู้จะพูดว่าอะไร นอกจาก “ครูใหญ่คุณ

     
     

    “คุณไม่ไอแล้วเหรอ?”


     

    “หาเอ่อแค่กๆ ฉันก็ไอบ้าง ไม่ไอบ้างนั่นเเหละ แค่กๆ ให้ฉันเข้าไปเถอะนะ แมต”



              “นั่นไงล่ะ แกมันไอ้จอมโกหกจริงๆ” ตำรวจหมีพูห์ว่า “ฉันสงสัยแกมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์ที่ห้องสมุดนั่น แล้วก็แผลที่ขาของแก! แถมแกก็ยังเคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีเด็กที่หายตัวไปเมื่อ 15 ปีก่อนอีก! อย่าคิดว่าฉันจะปล่อยให้แกเข้าไปหาเด็กเชียวนะ!



               “ใครว่า! คุณต่างหากล่ะ ที่น่าสงสัย คุณตำรวจ!” อัลเฟร็ดเถียง “ตอนที่คุณบอกให้ผมเอาหลักฐานกล้องวงจรปิดให้คุณคนเดียว อย่าให้ตำรวจคนอื่น จริงๆ แล้วคุณจะเอาหลักฐานไปทำลายใช่ไหม เพราะคุณคือฆาตกรตัวจริงใช่ไหม?”



              “นี่ อย่ามากล่าวหามั่วๆ นะ! ผมเป็นสารวัตรนะ จะไปฆ่าคนทำไม! คุณนั่นเเหละ ที่พยายามจะพังประตูเข้าไปทำร้ายเด็กน่ะ!



    “ว่าไงนะ!



              ผมยืนดูคนสามคนซึ่งกำลังกล่าวหากันไปมาด้วยความสับสนและมึนงง ไม่แน่ใจว่าควรเชื่อใครดี ไม่มีใครน่าเชื่อถือสักคน ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่กำลังโกหกแน่ๆ ผมต้องตัดคนที่น่าสงสัยน้อยที่สุดออกไปก่อนปัญหาคือทุกคนน่าสงสัยเท่ากัน ผมจะยืนอยู่ในห้องนี้ตลอดทั้งคืนไม่ได้แน่ แต่คนที่ขวางประอยู่ตอนนี้ อาจมีคนหนึ่งที่เป็นฆาตกร! และถ้าผมตัดสินใจพลาด คนที่ผมเปิดประตูให้เข้ามาก็อาจจ้วงมีดคว้านไส้ผมออกในทันทีก็เป็นได้



              คิดในแง่ดี ความเป็นไปได้ที่จะหาตัวฆาตกรมีตั้ง 1 ใน 3 ผมแค่ต้องใช้สมองนิดหน่อยต้องเลิกตื่นกลัว แล้วใช้สมองคิดดู ผมก็จะรู้ความจริง มันไม่ยากหรอก ไม่ยากเลยถ้าไม่ใช่เพราะ

     




    ติ๊ง!



    เสียงฝีเท้าคู่ใหม่วิ่งเข้ามา บ้าจริง! ใครกันอีกล่ะเนี่ย!



    “แมต!! เพื่อน” เสียงคุ้นหูตะโกนเรียกชื่อผมมาแต่ไกล


    “แมต!!” และเสียงคุ้นหูใหม่อีกเสียงก็เรียกชื่อผมด้วย



              พวกเขามีสองคน เสียงนั่นเป็นเสียงของเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับผมพวกเขาคือ คริสเตียน กับ อเล็กซ์!! “พวกนาย!! พวกนายมาที่นี่ได้ยังไงน่ะ!

    “แมต!! อย่าไปเชื่อใครสักคนเชียวนะ! หนึ่งในพวกเขานี่เเหละที่เป็นรอยยิ้ม!” คริสเตียนว่า


    “ใช่! อย่าเปิดประตูให้พวกเขาเข้าไปเด็ดขาด!” อเล็กซ์บอก



    “พูดอะไรของพวกเธอน่ะ! แค่กๆ รู้ได้ไง ว่าหนึ่งในพวกเราเป็นฆาตกร!” ครูใหญ่พูด


              “ก็เนธานน่ะสิ! เขาหายตัวไป เขาหายตัวไปจากโรงพยาบาล!” อเล็กซ์อธิบาย ตอนนั้นฉันหลับอยู่ก็เลยไม่รู้ตัว แต่พอตื่นขึ้นมา ฉันก็เจอจดหมายจากรอยยิ้มที่บอกว่าเนธานอยู่ในตึกแห่งนี้  ฉันก็เลยตามมา ฉะนั้น หนึ่งในพวกเขานี่เเหละ ที่เป็นคนเขียนจดหมายนั่น!



               “นายพูดแบบนี้ได้ยังไง อเล็กซ์” คริสเตียนเถียง “ฉันต่างหากที่เป็นคนหลับ พอฉันตื่นขึ้นมา นายก็ตื่นอยู่แล้ว บางที นายอาจจะเป็นคนเขียนจดหมายนั่นขึ้นมาเองก็ได้นี่!



              “เฮ้ย! อย่ามากล่าวหาฉันเชียวนะ! นายเองก็เหมือนกันนั่นเเหละ แรงเยอะอย่างนายต้องมีแรงอุ้มร่างเนธานออกไปตอนฉันเผลอหลับอยู่แล้ว ใช่ไหม!



              “อย่าไปเชื่อมันนะแมต อย่าไปเชื่ออเล็กซ์หรือใครทั้งนั่น เปิดประตูให้ฉันเข้าไปหานายดีกว่า พวกนี้ไว้ใจไม่ได้สักคน!” คริสเตียนตะโกน



              “อ้าว ไอ้หนู พวกแกต่างหากที่อยู่ๆ ก็พรวดพราดเข้ามา อ้างนู่นนี่สารพัด ไหนล่ะหลักฐานที่บอกว่าเพื่อนของพวกแกถูกลักพาตัวไปจริง!” ตำรวจหมีพูห์ข่มเสียงดุ



              “ฉันรู้หมดแล้ว! แค่กๆ ฉันรู้หมดแล้วเรื่องที่พวกเธอสองคนโกงการแข่งขันต่างๆ แค่กๆ พวกเธอคนใดคนหนึ่งมีแรงจูงใจ อาจฆ่าเพื่อนปิดปากก็ได้นี่!” ครูใหญ่ชี้หน้าแล้วขึ้นเสียงบ้าง



              “ออกไปจากตึกของผมเดี๋ยวนี้นะ!! พวกคุณทุกคนเป็นคนแปลกหน้าที่อยู่ๆ ก็อ้างว่าจะมาช่วยเด็ก ไม่มีใครน่าเชื่อสักคน ผมต่างหากที่อยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก เพราะผมเป็นเจ้าของตึก ผมไม่มีแรงจูงใจจะฆ่าใครซะหน่อย!” อัลเฟร็ดร่วมวง



    “ลุงอาจจะรำคาญที่เด็กๆ ชอบจัดปาร์ตี้ตอนดึกๆ รบกวนคนในตึก ก็เลยฆ่าพวกเขาซะก็ได้!!” คริสเตียนว่า



              “ลุงตำรวจเองก็น่าสงสัย! ชอบเรียกพวกเราไปสอบสวน โดยเฉพาะพวกเด็กผู้หญิงสวยๆ จะชอบเรียกไปบ่อย คุณทำตัวเหมือนโรคจิตที่ชอบลักพาตัวเด็กเลยนี่นา บางที คุณนั่นเเหละ ที่ลักพาตัวเด็กเมื่อ 15 ปีก่อน!



                ผมฟังเสียงตะโกนสาดใส่กันไปมา ทว่าในหัวกลับมีเพียงสีขาวโล่ง สายตาจ้องสลับพวกเขาไปทีละคน ทีละคน ความสับสนและมึนงงแล่นสู่จิตใจ มันกำลังกัดกินผมอย่างสนุกสนาน สมองสั่งการให้ผมรีบตัดสินใจทันที ผมคิดอะไรไม่ออก มีคนห้าคนยืนอยู่หน้าประตู และหนึ่งในนั่นคือฆาตกรโรคจิต ถ้าผมตัดสินใจถูก ผมจะปลอดภัย แต่ถ้าผิดล่ะ? ถ้าผมเลือกเชื่อใจคนผิดล่ะ? ถ้าคนที่เข้ามา คือ สิ่งที่เราไม่คาดฝันล่ะ? ผมจะทำยังไง? ผมจะทำยังไง?  



    ใครกันแน่ที่โกหก?


     



    “เปิดประตูให้ผม ผมบริสุทธิ์นะครับ” อัลเฟร็ดทุบประตู


    “ไม่ๆ อย่าไปฟังพวกเขา แค่กๆ เปิดประตูให้ฉันดีกว่า!!” ครูใหญ่ทุบประตู


     “เฮ้ย! ฉันต่างหากที่เป็นตำรวจ เธอต้องเปิดประตูให้ฉันเข้าไป” ตำรวจหมีพูห์ทุบประตู


    “ฉันเป็นเพื่อนนายนะแมต! เราอยู่ทีมบาสด้วยกัน จำได้ไหม เชื่อใจฉันเถอะ เปิดประตูนะ” คริสเตียนทุบประตู


    “อย่าไปเชื่อมัน ฉันเคยแนะนำวิธีพอกหน้าให้นายไง ฆาตกรไม่แนะนำวิธีทำหน้าใสให้เหยื่อหรอก” อเล็กซ์ก็ทุบประตู

      

     








     

     “ไปตายกันซะให้หมดนั่นเเหละโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!





               ผมตะโกนสุดเสียงทุบประตูกลับไปอย่างแรงจนเกิดเสียงดังก้อง ทุกคนเงียบทันที และผมไม่แม้แต่จะหยุดพลังพวกเขาพล่ามต่อ ผมเดินไปที่ตู้วางของเปล่า แล้วออกแรงถีบมันให้ลงมาขวางประตูไว้ด้วยอารมณ์หงุดหงิด ตู้ล้มลงดังโครม ไม่ว่ารอยยิ้มจะเป็นใคร ก็ให้มันอยู่ข้างนอกไปอย่างนั้นเเหละ!



              ผมหาของหนักๆ มาวางซ้อนกันอีกหลายๆ ชั้นจนมากพอที่แม้แต่ช้างก็ไม่สามารถพังเข้ามาได้ ผมเหนื่อยหอบและทรุดลงตรงหน้าประตู นึกเสียใจที่พาตัวเองเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่แรก ผมจะออกไปยังไง ในเมื่อพวกเขาขวางผมไว้? ผมจะหนียังไง? แล้วทุกคนล่ะ? ไซม่อน เชย์ เมแกนล่ะ? ยังปลอดภัยอยู่หรือเปล่า? เมื่อมองไปยังนาฬิกา ผมก็รู้ตัวว่าไม่มีเวลาเหลือแล้ว! อีกไม่นานผมจะหมดทางหนีไปจากเมืองนี้ และติดอยู่กับเหล่าคนบ้า ฆาตกร และซากศพเหม็นเน่า  

     

     

    “โซอี้” ผมตะโกนเรียกเธออย่างเร่งรีบ “เสร็จแล้วยัง?”



              ไม่มีเสียงตอบ?... ทำไมถึงไม่มีเสียงตอบ? อันที่จริงเธอน่าจะออกมาดูเหตุการณ์ตั้งแต่ได้ยินเสียงเอะอะหน้าห้องด้วยซ้ำไป เกิดอะไรขึ้นกับเธอ? ผมยังคงถือมีดแนบไว้ข้างตัว เดินผ่านห้องนั่งเล่น มุ่งเข้าสู้หน้าห้องนอนตัวเองอย่างระมัดระวัง ผมหยุดอยู่ตรงนั้น มองประตูที่ปิดอยู่ พยายามเงี่ยหูฟังดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย?... มีเพียงความเงียบ และเสียงห่าฝนที่พัดกระหน่ำเข้ามา



    ตึกตึก



              หัวใจผมเต้นอีกครั้ง กลิ่นแปลกลอยเข้าแตะจมูก เป็นกลิ่นที่ไม่น่าพิสมัย น่าสะอิดสะเอียนกลิ่นเหมือนหนังเน่าๆ ที่ตากแห้งมานาน กลิ่นเหมือนหน้ากากหนังของมัน!



    แอ๊ด….



              ผมผลักประตูออกช้าๆ สายตาจับจ้องสิ่งที่อยู่ข้างในในห้องนอน ที่มีเตียงกว้าง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะ และคอมพิวเตอร์ แต่กลับไม่มีคนโซอี้หายไปแล้ว! เหลือเพียงห้องที่ไร้ชีวิต! ไม่มีร่องรอยของคนเหลืออยู่ แต่เธอจะไปไหน? เธอจะไปไหนได้ ก็เธอไม่ได้ออกมาจากห้องเลยนี่นา.. หรือจะอยู่ในห้องน้ำ? ผมก้าวเท้าเดินด้วยหัวใจที่ใกล้จะระเบิดได้ทุกเมื่อ



    “โซอี้



               ผมเรียกเธออีกครั้ง แม้จะรู้ลึกๆ ว่าคงไม่มีเสียงตอบกลับมา บรรยากาศเย็นเฉียบเพิ่มความรู้สึกเสียวสันหลังวาบ รังศีอำมหิตแผ่ซ่านไปทั่ว มันอยู่ในนี้!... ในห้องนี้อยู่ในนี้ตั้งแต่แรกแล้ว! ผมหยุดนิ่ง ไม่กล้าเดินต่อ




    เปรี้ยง!!



     
             สายฟ้าฟาดดังสนั่นหวั่นไหว กรีดลึกลงไปถึงหัวใจ แสงสว่างสุดท้ายในห้องดับพรึ่บพร้อมความมืดที่เข้ามาแทนที ทั้งหมดที่ผมรู้สึกได้ในห้อง
    คือตัวเองกับ มัน




              ผมถอยหลังติดผนัง มองซ้ายขวาแม้จะไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด มือข้างหนึ่งถือมีดเหยียดไปข้างหน้าเพื่อป้องกันตัว ผมพยายามบังคับไม่ให้ร่างกายของตัวเองสั่น เสียงขยับในความมืดดังแทรกทุกอย่างในโสตประสาท นอกจากลมหายใจของตัวเอง ยังมีลมหายใจของอีกคน อีกคนที่อยู่ในห้องนี้ ในความมืด



     


    เปรี้ยง!!




              ฟ้าผ่าอีกครั้ง สาดแสงแวบนึงลงมาจากท้องฟ้า เป็นแสงแวบเดียวที่มาพอจะทำให้เห็นรูปร่างของใครคนหนึ่งในเงามืดกลางห้อง เป็นเพียงแวบเดียวที่แสงสว่างฉาบทาบลงบนหน้ากากหนังที่แสยะรอยยิ้มโหดเหี้ยม!

              มันมาแล้ว! รอยยิ้มซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าตลอดเวลา! มันอยู่ในนั้นตั้งแต่ก่อนที่ผมจะมา! และตอนนี้ มันพุ่งเข้ามาหาผมแล้ว!



              “ไม่!!ผมกรีดร้องด้วยความตื่นกลัว ตวัดมีดไปมาเพื่อป้องกัน แต่มันไร้ผล เพราะร่างสีดำพุ่งเข้ามาอย่างแล้ว ปัดมีดออก จากนั้นก็แทนที่มีดบนมือผมด้วยมีดของมันแทนเพียงแต่คราวนี้มีดเล่มนั้นกำลังปักเกือบทะลุมือ ผมล้มลงกรีดร้องดังกว่าเดิม รีบคลานหนีโดยไร้ทิศทาง แต่ราวกับว่าจอมวิปริตนั้นรู้ตำแหน่งผมเสมอ มันกระชากคอเสื้อผมขึ้น แล้วโยนผมใส่กำแพงด้วยแรงมหาศาล ผมพยายามสู้กลับทั้งจิกทั้งถีบ แต่มันไม่เปิดโอกาส!



              เท้าหนักกดตัวผมไว้กับพื้น มันใส่น้ำหนักลงบนท้องทำเอาแทบสำลัก ผมพยายามเพ่งมองในความมืด มือสองข้างพยายามดันเท้าออก ไม่ช้าไฟฟ้ากลับมาติดอีกครั้ง แสงไฟกระพริบจ้าแสบตา ก่อนที่ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้น รอยยิ้มก้มมองผม และหัวเราะชอบใจ ผมเบือนหน้าหนีด้วยความผวา หันไปเห็นจอคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งรีบู๊ทตัวเองใหม่ หน้าจอกลับมาติดอีกครั้ง โปรแกรมที่ยังคงค้างอยู่จึงกลับมาทำงานอีกรอบ คลิปวิดีโอโผล่ขึ้นและคราวนี้มันกำลังเล่นต่อจากที่เคยค้างไว้



     

    หน้ากากถูกลอกออก เผยให้เห็นดวงตาคู่ที่ผมรอคอยมานาน





    ใช่แล้ว





    สุดท้ายฆาตกรก็ถอดหน้ากากออกจนหมด ใบหน้าที่เป็นคำตอบของเรื่องทุกอย่างกำลังโชว์เด่นหรา






     

    “รอยยิ้มก็คือ….




    “ใช่” เขายิ้มไม่ใช่ยิ้มจากหน้ากาก แต่เป็นยิ้มจากใบหน้าจริงๆ ที่เพิ่งถอดหน้ากากออกต่อหน้าผม

     





    รอยยิ้มก็คือ

     






















     

    เนธาน!!

     









    “นายแปลกใจเหรอ?” เนธานถาม



    “โคตร” ผมงุนงง เบิกตาโต อ้าปากกว้าง “มันเป็นไปไม่ได้! จะเป็นนายได้ยังไง? ก็ตลอดมา



              “พูดมากจัง เอานี่ไปกินหน่อยนะ..” เนธานพูดจบก็จ้วงมีดปลายแหลมเข้าที่หน้าท้อง มีดเสียบลึกลงไปในผิวหนัง ผมร้องไม่ออก มีแต่ความเจ็บปวดเหนือจะบรรยาย หยดน้ำตาไหลลงตามผิวหน้า ทำได้เพียงจ้องตาเขา เนธานยิ้มและมองเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเขากำลังดูผมกินอาหารเที่ยงที่โรงอาหาร



              “ไม่เป็นไรหรอก ฉันศึกษามาแล้ว จุดที่ฉันแทงนายคือจุดที่ไม่มีอวัยวะสำคัญใดๆ นายจะไม่ตายหรอก ก็แค่เจ็บมากๆ จนตายซะยังดีกว่าก็เท่านั้นเอง รู้มั้ยว่าการจะแทงให้โดนจุดนั้นเป๊ะๆ น่ะ ยากมากเลยนะ ที่ถ้าพ่อไม่ให้ฉันศึกษาเรื่องกายวิภาคศาสตร์ ฉันก็คง” ผมไม่สามารถแม้แต่ที่จะฟังในสิ่งที่เนธานกำลังพล่าม ที่รู้อย่างเดียวคือผมเจ็บมากจริงๆ เนธานไม่สนอะไรและยังคงพล่ามต่อไป ระหว่างนั้นเขาก็จัดการรวบขาผม แล้วค่อยๆ ลากผมออกจากห้องนอน สู่ห้องนั่งเล่น เขาไม่สนว่าตัวผมจะครูดกับสิ่งของอะไรบนพื้นบ้าง



    “ททำไม?” ผมรวบรวมแรงเฮือกใหญ่ ถามออกไป



              เนธานตอบกับมาด้วยลูกถีบซ้ำที่หน้าท้อง ผมจึงดิ้นพราดๆ อีกรอบ จนกระทั้งผมเงียบไปเองในที่สุด เขาลากตัวผมจนมาหยุดลงที่หน้าประตู ที่ซึ่งคนอื่นๆ กำลังพยายามบอกให้ผมเปิดประตูให้ เนธานหันมามองผมแวบนึง ยิ้มเล็กๆ แล้วยกตู้และสิ่งของที่ขวางประตูออก เขากำมีดไว้ตรงหน้าอก และเอื้อมมืดอีกข้างไปปลดล็อคกลอนประตู



    นี่เขาคิดจะทำอะไร? เขาจะเปิดให้ทุกคนเข้ามา แล้วก็ฆ่าพวกเขาซะ!!



    “อย่า!!” ผมร้องเสียงแหบ เนธานเอานิ้วมาจุ๊ที่ปากด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์



    “แมต!! นายเปิดประตูให้ฉันเข้าไปเถอะ ฉันไม่ใช่คนร้ายนะ!!



    “แค่กๆออกมาเถอะ!! ฉันจะ แค่กๆ ช่วยพาเธอออกไป”



    “ไม่!!ผมร้อง



             แต่สายไปเสียแล้วเสียงปลดล็อคดัง กริ๊กก้องอยู่ในหู ประตูถูกเปิดออก พร้อมกับคนห้าคนที่วิ่งพรวดพราดเข้ามา



    “ไม่” ผมร้องอีกครั้ง



    อเล็กซ์เห็นผมเป็นคนแรก เขาตกใจเมื่อเห็นว่าผมกำลังบาดเจ็บ “แมต!! นาย!!



    “เฮ้ย!... แมต! นายโดนอะไรน่ะ!!” คริสเตียนวิ่งเข้ามาดูอาการผม



    “ขข้างหลัง! ผมเตือน “ ข้างหลัง!



              “อะไรนะ? ข้างหลัง? ข้างหลังฉันเหรอ?” คริสเตียนและคนอื่นๆ หันกลับไปดูเนธานที่ยืนจังก้าขวางประตูออกไว้ เขาถือมีด ฉีกยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจ



    “เนธาน…!!อเล็กซ์อุทาน “นี่นาย!....





    “นายทำได้เยี่ยมมากเลย!!! คริสเตียนยิ้มและตะโกนอย่างดีใจ ส่วนอเล็กซ์ก็พยักหน้าเห็นด้วย



    อะไรนะ!!



              “โอ้โหไม่เบาเหมือนกันนี่ หลานรัก” ครูใหญ่ตบมือให้อย่างยินดี เขาทำท่าเหมือนได้เห็นลูกชายตัวเองหัดเดินเองได้เป็นครั้งแรก และที่สำคัญ เขาเลิกไอแล้ว ด้านเนธานคำนับรับคำชมแล้วแปะมือไฮไฟว์กับญาติๆ ของตน



              “ให้ตายสิ! เลอะเทอะเหมือนกันนะเนี่ย“ อัลเฟร็ดว่า “บอกแล้วไง ว่าอย่าทำให้เลือดออกมาก มันเลอะพรมในอพาร์ทเม้นท์ของฉันหมด ทำความสะอาดยากนะรู้ไหม?”



    “ขอโทษครับลุงอัลเฟร็ด” เนธานกล่าวสั้นๆ เกาหัวเหมือนรู้สึกผิดหน่อยๆ



              “จะไปว่าเขาทำไม?” ตำรวจหมีพูห์หันไปคุยกับอัลเฟร็ด “แกก็โทษว่าเป็นฝีมือพวกคนบ้า แล้วเรียกเงินประกันมาซื้อพรมใหม่ซะก็สิ้นเรื่อง ตอนนี้เราควรจะภูมิใจกับหลานของพวกเรามากกว่า ที่ทำภารกิจสุดท้ายเสร็จน่ะ เป็นเกียรติต่อวงตระกูลฟิตซ์ของเราจริงๆ ฮ่าๆ!



    “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับลุงแลรีย์”



              “จะว่าก็ว่าก็เหอะ” คริสเตียนขัดขึ้น.. “อุตส่าห์พนันไว้ว่า ใครทำให้แมตเชื่อใจได้ก่อน คนนั้นชนะแท้ๆ ไหงกลายเป็นนายมาปิดฉากซะได้ นึกว่านายจะไปเตรียมของอยู่ซะอีก”



    “น้อยๆ หน่อย ระดับฉัน เตรียมการเสร็จไว้ก่อนตั้งนานแล้วล่ะ ว่างๆ ก็เลยมาช่วยงานกันบ้าง”



              “พพวกคุณ ทุกคน..” ผมหายใจไม่ออก แต่ยังอยากพูดต่อ นี่มันบ้าอะไรกัน!!.. หัวผมกระแทกกับกำแพงอย่างแรงจนเห็นภาพหลอนไปแล้วเหรอ? ผมกำลังฝันอยู่หรือเปล่า? เป็นฝันที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะผมฝันว่า



              “ใช่เราทุกคน คือรอยยิ้ม!ครูใหญ่เฉลย “เรา ตระกูลฟิตซ์ทุกคน ก็คือรอยยิ้ม!!!” แล้วทุกคนก็หัวเราะ หัวเราะกรีดเสียงอันแสนชั่วร้าย ทุกคนหัวเราะเป็นเสียงเดียวกัน โทนเดียวกัน โทนแห่งความชั่วร้ายและอำมหิต ใช่แล้วแบบนี้นี่เอง ทั้งอัลเฟร็ดและตำรวจคนนี้ต่างก็เป็นคนในตระกูลฟิตซ์เหมือนกัน เพียงแค่เปลี่ยนนามสกุลเท่านั่น!



              ในหัวนึกย้อนไปถึงคำบอกเล่าของคริสเต็น มีครั้งหนึ่งที่เธอบอกว่า ทุกๆ ครั้งที่รอยยิ้มปรากฏตัว มันจะเปลี่ยนไป! มันไม่เหมือนเดิมใช่แล้ว! มันไม่เหมือนเดิม เพราะรอยยิ้มไม่ใช่คนเดิม! รอยยิ้มมีหลายคน เพราะแบบนี้ครูใหญ่ถึงรอดจากข้อกล่าวหาเมื่อ 15 ปีก่อน เพราะเขามีผู้สมรู้ร่วมคิดอีกหลายคนนี่เอง!



              นี่เอง คือเหตุผลที่คำไบ้ของคริสเต็นถึงบอกแค่คำว่า “ฟิตซ์” เพราะเธอไม่ได้หมายถึงฟิตซ์คนใดคนหนึ่ง เธอหมายถึงฟิตซ์ทุกคน! พวกเขาคือตระกูลคนโรคจิต!!



              “ทำให้เขาสลบ แล้วพาไปหาญาติคนอื่นๆ เถอะ พวกเขารออยู่ที่ชั้นสิบแปดหมดแล้ว! งานนี้เรามากันครบเกือบทุกคนเลยนะ!” อัลเฟร็ดบอก เนธานพยักหน้าเบาๆ แล้วตอบว่า “ได้ครับ”



    ก่อนที่อะไรบางอย่างแข็งๆ จะกระแทกหัวผมอย่างแรง



    แล้วผมก็สลบลง



    ผมภาวนาให้ตัวเองสลบไปตลอดกาล



    เพราะเมื่อผมตื่นขึ้น



    นรกของแท้ก็ได้เริ่มต้น!!


     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ติดตามตอนต่อไป





    ป.ล. อย่พิมคอมเม้นโดยที่มีเนื้อหาเฉลยอยู่นะครับ
    หรือถ้ามีก็ให้คลุมดำ และเขียนเตือนคนอื่นไว้ว่าจะสปอย
    คนที่ยังไม่ได้อ่าน แล้วเผลอมาอ่าน จะได้ไม่เสียอารมณ์ครับ





     
    KiT Ta
    THE'KITTA .

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×