คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 13 : ซ่อนอะไร ไว้ใต้รอยยิ้ม...
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ‘สิ่งที่แน่นอนที่สุด คือสิ่งที่ไม่แน่นอน’
มันอาจฟังดูงงๆ นะ แต่ถ้าคุณตั้งใจคิดก็จะรู้ว่ามันหมายถึง ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิตของเรา… เราคาดการณ์อะไรไม่ได้ทั้งนั้น ถึงผมจะเพิ่งลืมตาดูโลกมาได้แค่ 17 ปีก็เถอะ แต่เชื่อผม ผมรู้ความหมายของประโยคนี้ดีเลยล่ะ บ่อยครั้งที่ชีวิตของผมและคุณทั้งหลายต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เหมือนตอนที่คุณตื่นมาแล้วพบว่ามีขี้ตาเยอะกว่าปกติ หรือตอนที่คุณตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามีฆาตกรโรคจิตเยอะกว่าปกติ นั่นก็เรียกว่า ‘สิ่งที่เราไม่คาดฝัน’
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? แปลกจริงๆ นะ คุณว่าไหม? ทั้งๆ ที่ทันทีเมื่อเราเกิดมา โลกก็พยายามยัดเยียดความรู้ การเรียน การศึกษาให้ เพื่อที่เราจะไม่ต้องเจอกับ ‘สิ่งที่เราไม่คาดฝัน’ ให้เราเรียนสูตรพีทาโกรัส เผื่อพรุ่งนี้คุณจะเจอกับมนุษย์ต่างดาวหัวสามเหลี่ยม คุณจะได้หาความยาวของด้านตรงข้ามมุมฉากให้มันไง
แต่ผมจะบอกอะไรให้ ความจริงก็คือ ต่อให้เราเรียนอะไรมากเท่าไหร่ เราก็จะไม่มีวันหลีกหนี ‘สิ่งที่เราไม่คาดฝัน’ พ้น เพราะมันจะไม่สนว่าพ่อแม่เราจะสอนเรามาอย่างไร โรงเรียนสอนมาแบบไหน เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเผลอ ‘สิ่งที่เราไม่คาดฝัน’ จะมา และต่อให้ผมดูหนังสยองขวัญมามากเท่าไหร่ เป็นเซียนในการเดาตัวคนร้ายขนาดไหน เชื่อผมเถอะ ไม่มีทางเลย ที่ผมจะเดาตัวคนร้ายในครั้งนี้ได้… ไม่มีทางเลย
“ช่วยจอดให้พวกเราลงตรงแยกหน้าหน่อยนะครับ” ผมกล่าวขึ้นทำลายความเงียบในรถบัสโรงเรียนคันโตสำหรับอพยพ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นหมอ พยาบาล และผู้ป่วยซึ่งยังมีสติและเดินได้ พวกเขาหันมามองกลุ่มเด็กห้าคนอย่างเราด้วยความอยากรู้อยากเห็น คนขับรถเองก็ส่งสายตาเหมือนคิดว่าเรากำลังล้อเล่น ก็คงไม่แปลก เพราะสภาพรอบข้างเมื่อมองผ่านหน้าต่างรถ คุณจะเห็นกลุ่มคนที่บ้าคลั่งซึ่งอยากจะวิ่งเข้ามากินล้อรถเสียเหลือเกิน บ่อยครั้งที่พวกเราต้องหมอบหลบเพราะสิ่งของมากมายถูกโยนกระแทกเข้ามาจากภายนอก ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมือการขับรถชนิดที่วัดความเร็วเป็นหน่วยปีแสงของคนขับละก็ พวกเราและคนอื่นในรถคงเละไปนานแล้ว
“นี่ไม่ใช่รถประจำทางนะหนู!” ชายคนขับสูงอายุหันมาบอก “ฉันไม่จอดรอใครทั้งนั้น”
“ไม่จำเป็นต้องรอหรอกค่ะ แค่จอดก็พอ… นะคะ ได้โปรด” เมแกนใช้ท่าไม้ตายในการอ้อนคนขับ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีทีท่าลังเลอยู่ดี ผมและไซม่อนจึงตัดสินใจใช้สายตากดดันบ้าง หลังจากสงครามจ้องตากินเวลานานจนเกือบเลยถนนที่เราจะลงไป ชายสูงอายุก็ตัดสินใจเหยียบเบรกทำให้ผมที่ยืนอยู่ล้มคะมำหัวชนกับขอบประตู “รีบลงไปซะ!” เขากล่าว ทันทีที่เมแกนก้าวเท้าลงถึงพื้นเป็นคนสุดท้าย รถบัสก็ไม่ยอมอยู่รอเราส่งคำลา
ไม่ช้าเราก็ถูกทิ้งตามลำพังในเมืองร้างกลางสายฝน…
อาจจะไม่ถูกนัก ถ้าใช้คำว่าลำพัง เพราะกลุ่มคนบ้ากระหายเลือดกำลังวิ่งมาต้อนรับพวกเราจากตรงหัวมุมถนนแล้ว!
“วิ่งเร็ว!!!” ไซม่อนตะโกน พวกเราวิ่งทันที มันเป็นความรู้สึกที่แปลกเมื่อคุณได้วิ่งกลางถนนกว้างอย่างอิสระ ผมหมายถึง… คุณเคยไหมล่ะ ที่เดินๆ อยู่แล้วก็มองไปตรงถนนกว้างที่มีรถติดเยอะๆ พลางคิดว่าถ้าเราได้นอนกลิ้งเกลือกกลางถนนโดยไม่มีใครว่า ได้เป็นเจ้าของถนนสายนี้อยู่คนเดียวก็คงจะวิเศษไปเลย! เราคงจะได้วิ่งเล่นทั้งวัน และทำให้มันเป็นสนามเด็กเล่นขนาดย่อมๆ ได้แน่ แต่… ท่านผู้อ่านที่รัก มันไม่สนุกเลยถ้าถนนสายนั้นมีซอมบี้กระหายเลือดถืออาวุธเต็มมือวิ่งไล่คุณอยู่
“นั่นอพาร์ทเม้นท์นายใช่ไหม?!” ไซม่อนชี้ไปยังตึกสูงซึ่งเห็นได้จากที่ไกลลิบๆ เหล่าคนบ้าส่งเสียงตะโกนไม่ได้ศัพท์จากข้างหลัง พวกนั้นวิ่งเร็วกว่าเรามาก เหมือนกับคนที่ถูกขังเป็นเวลานานแล้วเก็บแรงไว้ จนถึงเวลาก็ปลดปล่อยพลังกลายเป็นยอดมนุษย์อย่างนั้นเหละ เมแกนตัดสินใจถอดรองเท้าส้นสูงแสนแพงของเธอ (ซึ่งผมคิดว่าเธอควรจะถอดตั้งนานแล้ว) แล้วทิ้งมันไปด้วยสายตาสุดอาลัยอาวรณ์ “ไอ้พวกบ้า! ฉันจะคิดบัญชีที่แกทำให้ฉันต้องทิ้งรองเท้าไป!!” เมแกนตะโกนใส่คนบ้า
“ใกล้ถึงแล้ว!!!” แม้โซอี้จะพูดแบบนั้น จุดหมายยังดูแสนไกล ยิ่งเมื่อเชย์กับไซม่อนต้องออกแรงบู๊ถีบคนบ้าที่วิ่งมาดักทาง ยิ่งทำให้ผมแทบจะยอมแพ้ ตึกรอบข้างอพาร์ทเม้นท์ของผมเกิดเพลิงไหม้จำนวนมาก ที่น่าเสียวไส้คือมันเกือบจะลุกลามสู่อพาร์ทเม้นท์ของผมแล้ว บ้าจริง!! ถ้าไม่รีบละก็… ไซม่อนจับผมไว้เล็กน้อยเพราะผมเกือบโดนซากเก้าอี้ที่คนบ้าโยนลงมาจากตึกข้างๆ กระแทกหัวเอา เสียงหัวเราะวิปริตดังไปทั่ว ผมขนลุกชันเพราะมันทำให้นึกถึงเสียงหัวเราะของใครบางคน
“ถึงแล้ว!!” ผมผลักประตูไม้ใหญ่เข้าไปในอพาร์ทเม้นอย่างรวดเร็ว เหมือนเป็นโชคดีที่ยังไม่มีร่องรอยการบุกรุกของคนบ้า ไซม่อนเข้ามาเป็นคนสุดท้าย เขาปิดประตูดังปังพร้อมกับใช้ตัวดันประตูไว้ กลุ่มซอมบี้วิ่งมาถึงประตูพอดี พวกมันพยายามเข้ามา สามสาวและผมรีบลากโซฟารับแขกมาขวางไม่ให้ประตูถูกเปิดออก พวกคนบ้าเห็นดังนั้นจึงพยายามพังประตูแรงขึ้นอีก ไซม่อนจึงไม่สามารถละจากประตูไปได้ “พวกนายขึ้นไปซะ! เดี๋ยวตรงนี้ฉันจัดการเอง”
“ทำไมต้องทำตัวพระเอกอยู่เรื่อยนะ! ไซม่อน” ให้ตายสิ แถวนี้ไม่มีนางเอกเสียหน่อย ผมว่าหมอนี้จะชอบเสียสละบ่อยไปหรือเปล่า ประมาณว่าดูละครมากไปหรือยังไง? งั้นเขาไม่เคยดูหนังสยองขวัญเหรอ? พวกที่เสียสละมักจะตายเร็วนะ!
“ไม่เป็นไรแมต ฉันจะอยู่ช่วยเอง” เชย์อาสา เธอเดินเข้าไปดันประตูอีกคน คราวนี้ด้วยแรงอันมหาศาลของสาวสวย ประตูที่ทำท่าจะเปิดมิเปิดแหล่ก็ปิดสนิท ผมมองดูสองคนนี้ กลับไม่รู้สึกไว้ใจพวกเขาเท่าไหร่ แค่แรงของเด็กสองคนคงต้านไว้ไม่อยู่แน่ อีกไม่นานหรอก พวกนั้นก็จะเข้ามาจับพวกเราโยนลงหน้าต่างแทนเก้าอี้อันเมื้อกี้ ผมคิดว่าผมต้องรีบให้มากขึ้น โดยเฉพาะอีกสองชั่วโมงพ่อของเมแกนก็จะส่ง ฮ. มารับที่ดาดฟ้าของตึกใกล้ๆ ด้วย
“โชคดีนะ” โซอี้กล่าว ก่อนที่ผมจะกดปุ่มรอลิฟต์ เมื่อมองไปรอบๆ ผมพบว่าอัลเฟร็ด เจ้าของตึก ไม่ได้ขนอะไรออกไปเลยแม้แต่อย่างเดียว ทั้งหมดยังคงสภาพเดิมอยู่ โชคดีแค่ไหนแล้วที่พวกคนบ้าไม่ได้ระเบิดโรงงานไฟฟ้าด้วย ไม่อย่างนั้นเราอาจต้องเหนื่อยกับการเดินขึ้นบันไดหนีไฟไปชั้นที่ยี่สิบแหงๆ
“แล้วนายพอจะนึกออกไหม ว่าในห้องนายพอจะมีส่วนไหนที่อาจมีของพวกนั้นซ่อนอยู่น่ะ?” เมแกนถามพร้อมเดินเข้าไปในลิฟต์ ผมยืนนึกเล็กน้อยในขณะที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวขึ้นไป
“ก็เยอะแยะไป อย่างตู้เสื้อผ้าฉันก็ก็แค่ยัดๆ เสื้อผ้าเข้าไปไม่เคยชะโงกเข้าไปดูหรอก มันมืดจะตาย หรืออาจจะเป็นใต้เตียง ซึ่งเธอคงจะนึกออกนะ ฉากไหนหนังสยองขวัญน่ะ พวกที่ชอบก้มหัวไปดูอะไรใต้เตียงจะเจอดีเสมอแหละ! ไหนจะชั้นหนังสือ แล้วก็ชั้นวางของอีกล่ะ อาจจะมีช่องลับอะไรก็ได้?”
“ให้ตายสิแมต นายรู้ใช่ไหมว่าถ้าเราไม่เจออะไรก็เท่ากับว่าทั้งหมดสูญเปล่า เราเสียค่าเหนื่อยกับการวิ่งหนีคนบ้าฟรีๆ เลยนะ” เมแกนว่า แต่ผมกลับความรู้สึกที่แตกต่าง ไม่รู้ว่าผมไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน แต่ผมคิดว่ามันต้องมีแน่ๆ ให้ตายสิ! ถ้านี่เป็นหนังสยองขวัญละก็ จังหวะของหนังมันก็ลงตัวพอดี เป็นช่วงที่ตัวเองจะได้รู้ความจริงทั้งหมดไงล่ะ!
เปรี้ยง!!!
ฟ้าฝ่าเสียงดังอีกครั้ง คล้ายกับกำลังเร่งให้เรารีบก้าวออกจากลิฟต์และมุ่งตรงไปยังโถงทางเดินยาว สู่ห้องพักห้องสุดท้าย ห้องของผมเอง เป็นเรื่องแปลกที่ประตูนั้นเปิดอ้าซ่า และก็เป็นเรื่องดีเพราะผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมทิ้งกุญแจห้องไว้กับชุดสูทที่ถอดไว้ในโรงพยาบาลบ้า
“ขอให้เจออะไรสักอย่างด้วยเถอะ!” ผมภาวนาเสียงดังด้วยใจเต้น เมื่อมองไปรอบห้องพบว่าเฮนรี่เก็บพวกเอกสารและของสำคัญบางอย่างไปก่อนแล้ว ถึงแม้จะยังมีพวกทีวีและเครื่องเสียงราคาแพงตั้งอยู่ที่เดิมก็เถอะ “ฉันจะไปค้นในห้องนอนตัวเอง พวกเธอสองคนช่วยค้นทุกอย่างในห้องนั่งเล่นให้หน่อยนะ”
“ได้” เมแกนและโซอี้พยักหน้า ผมวิ่งเข้าห้องนอนตัวเองด้วยเวลาที่จำกัด คุ้ยข้าวของทุกอย่างโดยไม่สนอะไรอีก ผมกวาดทุกอย่างจากชั้นวางของลง ค้นทุกซอกในแผ่นไม้ เทหนังสือจากตู้ เปิดมันทุกหน้า เลื่อนตู้ออกเพื่อดูว่ามีอะไรซ่อนไว้หรือไม่ ปากหอบแฮกเพราะความเหนื่อยล้า แต่ไม่เจอ! ผมไม่เจออะไรเลย!! ผมต้องใช้เวลาชั่วครู่เพื่อให้ตัวเองสงบลงก่อนจะหัวใจวาย พยายามมองไปรอบๆ หาอะไรที่พอจะ…
กรี๊ดดด!!
เสียงหวีดร้องสั้นๆ ดังมาจากที่ไกลๆ ตรงไหนสักแห่ง เรียกความสนใจให้ผมหันไปดู มันไม่ได้มากจากสองสาวที่อยู่อีกห้องแน่ เพราะพวกเธอเองก็เข้ามาในห้องผมเพื่อหาที่มาของเสียงเช่นกัน “เสียงเมื้อกี้มัน… เสียงใคร?!” เมแกนถามสีหน้าตระหนก “คล้ายกับเสียงเชย์เลย!”
“อะไรนะ!”
ผมพุ่งตัวไปยังระเบียง ชะโงกหน้าลงไปดูข้างล่าง สองสาววิ่งตามมา พยายามมองดูตรงประตูทางเข้าตึกที่เชย์และไซม่อนเฝ้าไว้ ในตอนแรกผมคิดว่าต้องเป็นพวกคนบ้าแน่ๆ พวกนั้นพยายามพังประตูเข้ามาแน่ๆ แต่ต้องเปลี่ยนความคิดกะทันหัน เพราะแท้จริงแล้วเหล่าคนบ้ากำลังนอนกองอยู่บนพื้นถนนนิ่ง ไม่ไหวติง ด้วยความสูงยี่สิบชั้น ผมจึงมองได้ไม่ชัดนักว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าจะ…
โครม!!
ประตูไม้หน้าตึกข้างล่างถูกกระชากออกอย่างแรง ผมเห็นบานประตูที่อ้าออกด้วยความเกรี้ยวกราด และเงาสีดำผลุบหายเข้ามาในตึกแวบๆ ตามด้วยเสียงโวยวายจากล็อบบี้ชั้นล่างสุด ผมและสองสาวผวายิ่งขึ้นไปอีก! ไม่ว่าใครหรืออะไร… มันฆ่าคนบ้าที่มีอาวุธเต็มมือได้ และมันเข้ามาในนี้ตึกแล้ว!! “ลงไปช่วยพวกเขาเร็วเข้า!” เมแกนวิ่งออกจากห้องไป โซอี้รั้งแขนเธอแล้วกล่าวเสียงแหบว่า “อย่าลงไปนะ! รอที่หน้าลิฟต์ก็พอ พวกเชย์จะต้องขึ้นมาทางลิฟต์แล้วแน่ ถ้าเธอลงไปอาจจะสวนกัน” เมแกนพยักหน้า จากนั้นสองสาวก็วิ่งออกไป
ในขณะที่ผมกำลังลังเลว่าจะทำอะไรต่อ สายตาก็สะดุดเข้ากับของอย่างนึง… ของที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นมาแสนนาน สิ่งเดียวที่ผมคิดมาตลอดว่ามันไม่เคยเข้ากับห้องของผมเลย มันดูแตกต่างซะจนผมมองข้ามมันไป…
นาฬิกาโบราณ!
ใช่แล้ว! ถ้านี่เป็นหนังสยองขวัญละก็!
ผมสาวเท้าไปยังนาฬิกาเรือนใหญ่ พยายามลูบคลำเนื้อไม้ หาส่วนที่อาจจะเป็นช่องลับ สายตาลากผ่านเข็มนาฬิกา มันบอกเวลาว่าผมเหลือเวลาอีกไม่มาก คงไม่มีอะไรอยู่ในตัวหน้าปัดแน่ เพราะมันยังทำงานได้ดีอยู่ ผมยังจำได้ถึงเสียงลูกตุ้มที่ดังทั้งคืนจนต้องพยายามทำใจ กว่าผมจะหลับลงโดยไม่ตื่นมากลางดึกได้ก็เป็นสัปดาห์
ลูกตุ้มงั้นหรือ…
ผมเลื่อนบานกระจกออก มองเหล็กทรงกลมสะท้อนแสงที่เคลื่อนที่ไปมา มันเคลื่อนที่ตามปกติ ดูแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่เมื่อเอื้อมมือไปจับตรงตัวเหล็กกลมๆ ผมก็เริ่มรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แปลก ด้านหน้าเป็นเหล็กธรรมดาแบบที่เห็นตลอดมา แต่ด้านหลัง… ด้านหลังมันมีอะไรสักอย่าง เหมือนเป็นแผ่น… ติดกับลูกตุ้ม ต้องใช่ไอ้นี่แน่ๆ!!
ผมรีบคุกเข่าลง จดจ่อกับการแงะไอ้แผ่นนั่นออกจากลูกตุ้ม มันน่าจะติดกาวไว้ ผมจึงออกแรงให้มากขึ้นอีกในที่สุดมันก็หลุดออกพร้อมกับผมที่กระเด็นหงายหลังไปตามแรง ผมลุกขึ้นแล้วมองสิ่งที่ติดมือตัวเองมา แท้จริงแล้วแผ่นบางๆนั่นก็คือซีดีนี่เอง!! มันถูกห่อด้วยพลาสติกบางๆ อีกทีนึง ซีดีเป็นทรงกลม เอ็มก็เลยเอาไปซ่อนตรงลูกตุ้มสินะ! รอยยิ้มถึงได้หามันไม่เจอ
บนแผ่นซีดีสีขาวสะอาดไม่มีลายใดๆ มีเพียงตัวอักษรซึ่งเขียนด้วยปากกาเมจิกสีแดงลางๆ อ่านได้ใจความว่า
‘ความลับของรอยยิ้ม’
ไม่น่าเชื่อ!! ความลับที่ผมค้นหามาตลอดนอนกับผมอยู่ในห้องนี้ทุกคืน แผ่นซีดีที่เอ็มเปิดในงานปาร์ตี้คืนนั้นห้อยต่องแต่งอยู่ในนาฬิกาเก่าๆ นี่เป็นเดือน ผมทบจะหยุดหายใจเมื่อมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ความจริงทุกอย่างถูกรวมไว้ในแผ่นซีดีแผ่นเดียว ให้ตายสิ! ผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว! ,มือกำลังสั่นและลนลาน แผ่นซีดีเย็นเฉียบพอๆ กับร่างกายผม ต้องเปิดมัน.. ใช่ ต้องเปิดมันเดียวนี้เลย
“แมต!” โซอี้เรียกจากข้างหลัง เธอโผล่หน้าเข้ามาเมื่อดูของที่อยู่บนมือ “ไอ้นี่มัน… นายเจอมันแล้วเหรอ!!” ผมพยักหน้ารัวๆ โซอี้กลืนน้ำลายคล้ายกับกำลังเห็นผมถือระเบิดอยู่
“แล้วเมแกนล่ะ!”
“เมแกนรออยู่หน้าลิฟต์ พวกนั้นยังไม่ขึ้นมา...”
“ว่าไงนะ!!”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น! พวกนั้นอาจหนีไปได้… ถ้าคิดในแง่ดีน่ะนะ…” โซอี้กล่าวเสียงเบา “แต่พวกเขาอึดจะตาย ทั้งคู่เป็นนักกีฬานะ!” แม้จะพูดแบบนั้น โซอี้ก็ยังคงเหมือนเป็นห่วง ผมเองก็เป็นห่วงพวกเขาเช่นกัน เกิดอะไรขึ้นข้างล่างกันแน่!
“ไม่มีเวลาแล้ว ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรอยู่ในแผ่นซีดีนี่!” ผมพูดเสียงดัง “โซอี้เปิดคอมพิวเตอร์ของฉันเร็วเข้า!”
โซอี้เดินไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ตรงมุมห้องแล้วเปิดเครื่อง ผมรอให้มันเริ่มทำงานเต็มที่อย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นเธอก็คว้าซีดีจากมือผม ช่องใส่ซีดีเด้งออกมาจากเครื่องทันทีที่ผมกดปุ่ม โซอี้หันมาสบตาผมแวบนึง ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าพร้อมแล้ว… ผมพร้อมที่จะรู้ความลับของมันแล้ว!
ซีดีเข้าไปในเครื่องเรียบร้อย ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อเครื่องรับรู้ว่ามีข้อมูลเข้ามา โซอี้ก็เปิดมันดูด้วยความรวดเร็ว หน้าจอแสดงไฟล์เด้งขึ้น… ไฟล์ที่ชื่อว่า ‘ความลับของรอยยิ้ม’
“มันเป็นคลิป… คลิปวิดีโอ” โซอี้ว่า
“เปิดเลย…”
โซอี้ลากไฟล์ไปยังโปรแกรมเล่นวิดีโอ เธอขยายโปรแกรมเต็มหน้าจอ แล้วมันก็เริ่มเล่น… สิ่งแรกที่เห็นคือสีดำเปล่าๆ ผมยืนรอด้วยใจระทึก ไม่ช้าภาพแรกก็ปรากฏ! ผมก้มหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ ภาพของสาวสวยผมสีทอง ตาสีฟ้าประกายสะท้อนแสง ใบหน้ากลมได้รูป เธอคือเอ็มมิลี่นั่นเอง… สาวสวยกำลังยืนถือกล้องหันเข้าถ่ายตัวเอง ใบหน้ายิ้มเยาะน้อยๆ เชิดหน้าสูง และดูท่าทางเธอกำลังยืนอยู่ในห้องๆ เดียวกับห้องที่ผมอยู่ เพียงแต่ในนั้นมีของกแบบที่ผู้หญิงชอบใช้ตั้งอยู่เต็มไปหมด ผู้หญิงคนนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัว… ผมบอกได้เลย ผมรู้สึกขนลุกตั้งแต่เธอเริมเอ่ยปากพูดคำแรก
“สวัสดีสาวสวย และหนุ่มหล่อ แห่งโรงเรียนมัธยมแบล็กวู๊ดทุกคน” เอ็มเปล่งเสียงใสร่าเริงแต่ดูมั่นใจในเวลาเดียวกัน ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากจริงๆ ที่พวกเธอมาร่วมสนุกนานปาร์ตี้ของฉันคืนนี้ หวังว่าพวกเธอจะถูกใจกับเบียร์เกรดเอ และการตกแต่งสุดเริ่ดที่เหล่าเด็กกลุ่มปาร์ตี้ได้จัดให้นะ พวกเขารู้ดีเสมอเหละ ว่าต้องจัดยังไง เอาล่ะ… หลังจากปาร์ตี้กันสุดเหวี่ยงมาทั้งคืน พวกเธอคงสงสัยถึงเหตุผลที่ฉันเชิญพวกเธอมา รวมทั้งเรื่องที่ทำไมต้องเชิญมาแค่บางกลุ่มเท่านั้น… จะเริ่มยังไงดีล่ะ?”
“มันคือไฟล์ที่เอ็มอัดไว้สำหรับเปิดในงานปาร์ตี้คืนนั้นแน่…” โซอี้พึมพำเบาๆ สายตาจดจ่อต่อไป
“พวกเธอช่างเป็นกลุ่มที่โดดเด่น เก่ง มีความสามารถ น่าหลงใหล ใครๆ ก็อยากเป็นแบบพวกเธอทั้งนั้น จริงไหม? หรือจะเถียงว่าไม่มีใครอยากจะร่วมปาร์ตี้ที่กลุ่มเด็กปาร์ตี้จัด ใครก็ตามที่ได้รับเชิญก็คงจะเหมือนกับบัตรเชิญเข้าร่วมเป็นคนมีระดับ แล้วก็กลุ่มนักกีฬาที่ผู้ชายทั้งโรงเรียนต่างใฝ่ฝันที่จะเข้าสังกัดอีกล่ะ มันง่ายชะมัดที่พวกเธอจะชวนสาวคนไหนก็ได้ออกเดทนี่ จริงไหม แล้วก็… กลุ่มเด็กเรียน แค่เธอได้อยู่กลุ่มนั้นก็เท่ากับการตีตั๋วได้เข้ามหาลัยชื่อดัง พอๆ กับกลุ่มนักแสดงที่เรียนจบก็จะมีแมวมองมาต่อแถว….” สาวสวยยิ้มมุมปาก คำพูดที่ฟังดูประชดทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกคุกคาม
”พวกเธอน่ะ มีอำนาจน่าดูเลยล่ะรู้ไหม? ช่างดูดี และเป็นที่หมายปอง ตลอดเวลาหลายปีที่ฉันเห็นพวกเธอเดินผ่านไปมาในโรงเรียนด้วยรอยยิ้มที่แสนจะเป็นมิตร… พวกเธอชอบทำแบบนั้น… ยิ้มสร้างภาพเพื่อให้ทุกคนคิดว่าตัวเองดูดี และรู้อะไรไว้… เพราะวินาทีต่อจากนี้ ความลับที่ซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มสวยๆ ของพวกเธอจะถูกเปิดเผยแบบสิ้นซาก!!”
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…” ผมสับสนพอๆ กับโซอี้ สีหน้าขมวดปมของเธอบ่งบอกว่าไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทในมุมนี้มาก่อน เธอไม่ยอมละสายตาจากจอแม้แต่วินาทีเดียว
“พูดไปก็คงจะเสียเวลาเปล่า… ต่อจากนี้เราจะมาดูความจริงแบบไร้การตัดต่อเลยดีกว่า” ทันทีที่สาวสวยพูดจบ ภาพก็ตัดไปอีกสถานการณ์หนึ่ง บรรยากาศโดยรอบค่อนข้างมืด เด็กวัยรุ่นกำลังเต้นอย่างเมามันและมีแสงสีส่ายไปมาพอจะเดาได้ว่าอยู่ในปาร์ตี้ และน่าจะเป็นปาร์ตี้ที่จัดในตึกแห่งนี้ ภาพนั้นค่อนข้างแคบเหมือนกล้องถูกซ่อนไว้ มันเป็นการแอบถ่ายนั่นเอง… ซึ่งดูแล้วเอ็มคงจะแอบเอากล้องของเธอซ่อนไว้ติดตัวตรงไหนสักแห่ง ผมได้ยินเสียงเอ็มทักทายกับเด็กในงานเป็นระยะ พวกเขาคือเด็กกลุ่มปาร์ตี้ แต่ทว่า… นี่ไม่ใช่งานปกติธรรมดาทั่วไป ทุกอย่างเด่นชัดขึ้นเมื่อเด็กบางคนเริ่มหยิบเข็มฉีดยาอันเล็กที่ใส่สารอะไรบางอย่างเข้าเนื้อ บนโต๊ะแทนที่จะมีอาหารกลับมีผงสีขาวเป็นกองๆ ที่พวกเขาพากันหยิบขึ้นมาสูด ทุกคนดูเฮฮาเกินไป ต่างพากันหัวเราะบ้าคลั่ง มันไม่ใช่ปาร์ตี้ธรรมดา มันเป็นปาร์ตี้สารเสพติด!!
“เป็นยังไงล่ะ!” ภาพตัดกลับมาที่เอ็ม ฉีกยิ้มกว้างแสดงหน้าตาเจ้าเล่ห์เหมือนตัวร้ายจากเรื่อง ‘สวย ซ่อน ฆ่า’ เธอหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “ภาพที่พวกเด็กกลุ่มปาร์ตี้ชอบอวดนักหนาว่าเป็นปาร์ตี้ของคนรวย สูงศักดิ์ และมีเกียรติ สุดท้ายก็ไม่ได้ดีไปกว่าปาร์ตี้เมายาขอพวกข้างถนนเลย! ฉันคิดว่าถ้าภาพพวกนี้ถึงตำรวจ พนันได้เลยว่าพ่อแม่ของพวกเธอคงต้องสูญเงินจำนวนมากกับการช่วยไม่ให้พวกเธอติดคุกแน่ๆ อยากรู้จังว่าพวกเธอจะเอาเงินที่ไหนมาจัดปาร์ตี้อีก!”
“นี่หรือว่าเอ็มคิดจะ…” โซอี้พูดค้างไว้ เธอหยุดไว้แค่นั้น
“เอ็มกำลังแบล็กเมล์พวกเขา”
“แต่ทำไม? ทำต้องทำแบบนี้ เพราะเธอต้องการอำนาจหรือ? ตลอดมาพวกเราไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลย ทำไมพวกนั้นถึงชวนแค่เอ็มไปปาร์ตี้แบบนั้น? ทำไมเอ็มไม่เคยบอกอะไรเรา?”
ผมไม่ตอบ แต่คิดในใจว่าสัญชาติญาณของตัวเองไม่เคยพลาด ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจจริงๆ รู้สึกได้ตั้งแต่เห็นเธอแวบเดียวในรูปถ่าย นี่ถ้าผมซื้อหวยละก็คงเป็นเศรษฐีไปนานแล้ว
“มาดูภาพต่อไปกันเลยดีกว่า!” เอ็มมิลี่ส่งสายตาจ้องเขม็งอย่างมีชัยเหมือนจะบอกว่ามันเพิ่งเริ่มต้น ภาพต่อมาเป็นภาพแอบถ่ายเช่นกัน เอ็มกำลังแอบเปิดประตูเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ในโรงยิมของผู้ชาย ดูคราวนี้เธอระมัดระวังตัวไม่ให้ใครเห็น คาดว่าพวกนักกีฬาชายคงกำลังเล่นกีฬาอยู่ เอ็มรีบเดินไปที่ล็อกเกอร์เก็บกระเป๋าทันที ส่วนใหญ่แล้วพวกผู้ชาย(โดยเฉพาะพวกนักกีฬาทีมบาส)มักจะประมาท และไม่ค่อยล็อกตู้ของตัวเองเท่าไหร่ หญิงสาวหยิบกระเป๋าออกมาจากตู้แล้วรูดซิบออก เธอล้วงมือที่สวมถุงมือแล้วลงไปในกระเป๋า หญิงสาวควานหาของโดยไม่สนว่ามันจะรกหรือไม่ ก่อนที่เธอจะหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมา มันคือกระปุกยาพลาสติกสีขาวอันเล็กๆ เธอซูมกล้องเข้าไปให้เห็นตัวอักษรบนฉลากยา ก่อนจะเปิดให้เห็นว่ามียาจริงๆ จากนั้นเอ็มก็ค้นกระเป๋าอีกสองสามอันซึ่งก็พบกระปุกยาแบบเดียวกันหมด
“ฉันถ่ายไอ้นี้ไว้ในวันที่มีการแข่งขันชิงแชมป์บาสระดับเขตครั้งล่าสุด… ใช่ เป็นรอบที่ทีมบาสของโรงเรียนเราได้แชมป์พอดีไงล่ะ และเธอคงไม่ต้องสงสัยเลยล่ะว่ากระเป๋าในล็อกเกอร์ที่ฉันถ่ายไว้เป็นของใคร… โอให้ตายสิ ทำไมทีมบาสถึงบังเอิญมียาโด๊ปในกระเป๋าวันแข่งได้นะ? ฉันละคิดไม่ออกจริงๆ… อะไรนะ? ‘ด้วยเกียรติภูมิของตระกูลฟิตซ์ กัปตันทีมผู้เก่งกล้าจึงทำให้โรงเรียนเราได้แชมป์ทุกปี!’” เอ็มดัดเสียงล้อเสียงจากนั้นก็ระเบิดหัวเราะครั้งใหญ่ เป็นเสียงหัวเราะเย้ยหยันที่บาดหูที่สุดเท่าที่เคยได้ยิน “เกียรติภูมิกับผีน่ะสิ! ฉันไม่แปลกใจเลยที่พวกเธอดูเหมือนหมาที่มีเห็บเกาะหลังตลอดเวลา ยาโด๊ปคงทำให้เธออยากจะดิ้นตลอดเวลาสิท่า…”
“ไม่น่าเชื่อ!...” โซอี้ว่า “พวกเขาแอบโกงแบบนี้มาตลอดเลยเหรอ? ก็เคยได้ยินข่าวลือที่ว่าทีมบาสแอบติดสินบนกรรมการบ่อยๆ แต่นี่มัน…”
คริสเตียนใช้วิธีแบบนี้จริงๆ หรือ ถึงแม้เขาจะดูบ้าพลังตลอดเวลาก็จริง แต่แบบนี้มัน… โกงชัดๆ
“ยังไม่หมดหรอก!... ต่อไปอะไรดีล่ะ อ้อ!! ใช่แล้ว” คราวนี้ภาพตัดไปที่ด้านในของหอประชุมใหญ่ของที่ไหนสักแห่ง ผู้คนมากมายกำลังนั่งมองไปยังข้างหน้า กล้องซูมไปที่ป้ายฝ้าขนาดใหญ่บนเพดานที่เขียนว่า ‘งานแข่งขันตอบคำถามทางวิชาการครั้งที่ 31’ บนเวทีมีเด็กนักเรียนสองกลุ่มยืนอยู่คนละฟาก ตรงกลางคือพิธีกรที่กำลังพูดอะไรบางอย่าง พวกเขากำลังแข่งขันตอบคำถามกัน และเด็กกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มของเนธานนั่นเอง…
คราวนี้เอ็มถือกล้องได้อย่างอิสระ เพราะคนอื่นๆ ก็กำลังถ่ายวิดีโอเก็บภาพการแข่งขันไว้เช่นกัน ที่แปลกคือระหว่างแข่งขัน เอ็มพยายามหันกล้องไปหาเหล่าพนักงานทำความสะอาดที่อยู่ตรงจุดต่างๆ มากเกินไป เธอหันไปถ่ายพวกเขาสลับกับกลุ่มของเนธานที่อยู่บนเวที ผมเริ่มสังเกตว่าพวกเขาสบตากับพนักงานทำความสะอาดบ่อยเกินไป… มันดูมีพิรุธ เหมือนว่าพวกเขากำลังส่งสัญญาณผ่านภาษากายใส่กัน หลังจากการแข่งขันจบ ผลคือกลุ่มเนธานชนะ เอ็มก็รีบลุกตามพนักงานทำความสะอาดไป เธอตามพวกเขาไปถึงห้องน้ำชาย หญิงสาวรอหน้าห้องน้ำเป็นเวลานาน ภาพกรอไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีคนออกมา ทว่า… คนที่ออกมากลับเป็นอเล็กซ์และกลุ่มเพื่อนนักแสดง! หลังจากนั้นก็ไม่มีใครออกมาอีก แล้วภาพก็ตัดไปที่มุมอับของอาคาร เผยให้เห็นภาพลางๆ ของเนธานที่กำลังยื่นเงินก้อนหนึ่งให้อเล็กซ์…
“พวกเขาโกง!” ผมอุทาน “เนธานโกงการแข่งขัน!” เขาให้อเล็กซ์และเพื่อนกลุ่มนักแสดงปลอมตัวเป็นพนักงานทำความสะอาด จากนั้นก็คอยส่งสัญญาณให้พวกเนธานบนเวทีในข้อที่ตอบไม่ได้ พวกอเล็กซ์น่ะ ถนัดเรื่องการแต่งหน้าปลอมตัวอยู่แล้ว ยิ่งการแกล้งแสดงเป็นคนอื่นคงไม่ต้องพูดถึง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย”
“ขอตบมือหลายเปะให้พวกเธอเลย พวกนายนี่มันเก่งจริงๆ ตระกูลฟิตซ์มันเก่งแบบนี้นี่เอง ถึงได้เป็นใหญ่เป็นโตกันมาหลายรุ่น พวกเธอน่ะมันไร้พรสวรรค์! แต่สิ่งเดียวที่พวกเธอเก่งก็คือการโกง! น่าสมเพชชะมัด! สงสัยจริงๆ ว่ามหาลัยชื่อและโรงเรียนการแสดงดังจะยังรับพวกเธอเข้าไปเรียนอยู่หรือเปล่า บางทีถ้าฉันส่งคลิปนี้ไป ‘ความโกง’ ของพวกเธออาจจะเข้าตากรรมการก็ได้นะ” เอ็มหัวร่องอหายอีกครั้ง จากนั้นก็ทำท่าเช็ดน้ำตาเย้ยหยันใส่ “ขอพูดตรงๆ นะ พวกเธอน่ะ มันจบแล้ว! จบแล้วจริงๆ! ภายใต้รอยยิ้มอันแสนสวยงามของพวกเธอก็ไม่มีอะไรนอกจากความเน่าเฟะที่มีหนอนชอนไช สมควรจะเอาไปล้างลงท่อเสียที…! ตอนนี้ชีวิตของพวกเธอขึ้นอยู่กับฉันแล้ว! ฉันนี่เเหละ จะเป็นคนที่มีอำนาจที่สุดของโรงเรียน ส่วนขยะอย่างพวกเธอก็เป็นได้แค่ลูกไล่คอยตามหลังฉันก็แล้วกัน!! ฮ่าๆๆ”
“บ้า!... บ้าไปแล้ว! เอ็มมิลี่บ้าไปแล้ว” โซอี้ส่ายหน้าปฎิเสธ เลื่อนสายตาหนีจากจอคอมฯ “ทั้งๆ ที่ฉันบอกไปแล้วแท้ๆ ว่าไอ้การมีอำนาจอะไรพวกนั้นน่ะไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเราต่างหาก!... สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราเป็นเพื่อนกัน และยังมีกันและกัน! แล้วทำไม…” ผมวางมือบนบ่าปลอบใจเธอ เพราะแบบนี้นี่เอง พวกเด็กๆ ที่อยู่ในงานถึงไม่เคยยอมบอกสิ่งที่เกิดขึ้น! เพราะความลับของพวกเขาถูกเปิดโปง มันถึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาต้องทำท่าทางแปลกๆ เมื่อได้ยินเรื่องของรอยยิ้ม
“อย่าเพิ่งโวยวายไป…” เสียงของเอ็มมิลี่ดังผ่านลำโพง โซอี้เอามืออุดหู ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น “ฉันยังไม่จบ… ในที่สุดเราก็มาถึงความจริงอันสุดท้าย ฉันเก็บมันไว้หลังสุด เพราะมั่นใจว่าพวกเธอจะต้องช็อกแน่ๆ มันเป็นอะไรที่ขนาดฉันเองก็คาดไม่ถึงมาก่อนเหมือนกัน อยากรู้หรือเปล่าล่ะ! ที่มาของชื่องานปาร์ตี้ครั้งนี้น่ะ! ‘ความลับของรอยยิ้ม’ ไง! ใช่แล้ว! ในที่สุดฉันก็ไขปริศนาเรื่องเล่าประจำโรงเรียนได้! รวมทั้งเหตุการณ์เมื่อสิบห้าปีก่อน ฆาตกรโหดในคราวนั้นคือใคร ฉันก็รู้หมดแล้ว! ฉันจะต้องดังแน่ๆ! ที่ไขปริศนานี่ได้”
เอ็มมิลี่รู้ตัวจริงของฆาตกรจริงๆ ด้วย! มันเป็นใครกัน? ผมแทบอยากจะกรอคลิปไปให้เร็วมากที่สุด
“ฉันจะไม่พูดมากแล้วล่ะนะ… เอาล่ะ ไปดูคลิปต่อไปกันเลยดีกว่า…” แล้วกล้องก็ตัดภาพอีกครั้ง ภาพตัดกลับไปที่เอ็มมิลี่เหมือนเดิม เธอกำลังยืนอยู่ในห้องนอนห้องเดิม แต่ชุดที่เธอใส่ไม่เหมือนกัน ผมว่าเธอคงจะถ่ายคนละวันกัน เอมิลี่ยิ้มให้กล้องเล็กน้อยก่อนจะกล่าวเสียงใสแบบพิธีกรรายการทีวี
“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่รายการ ‘ตามล่าหาความจริง’ ดิฉันชื่อ เอ็มมิลี่” เธอพยายามล้อเลียนพิธีกรรายการทีวีจริงๆ ด้วย “วันนี้ฉันจะมาไขปริศนาที่คาใจฉันมานาน คุณคงจะเห็นแล้วว่าฉันอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ดูสิ! ฉันจัดห้องสวยใช่ไหมล่ะ ที่นี่น่ะมีครบทุกอย่างเลยนะ แต่เอาไว้พูดถึงมันทีหลัง ขอฉันเล่าเรื่องให้ฟังก่อน… คือ… ตั้งแต่ที่ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ ก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น… ทุกๆ เดือน จะมีคืนนึง ที่เสียงสวดแปลกๆ จะดังมาจากห้องข้างล่างในเวลาเดิมแบบตรงเป๊ะๆ ไอ้เรื่องเสียงรบกวนจากพวกที่ชอบจัดปาร์ตี้ข้างบนน่ะ ฉันรับได้อยู่หรอก แต่ไอ้เสียงสวดนี้มันน่ารำคาญยิ่งกว่ายุงซะอีก! ฉันเคยร้องเรียนเจ้าห้องหอโรคจิตคนนั้น เขาก็เอาแต่บอกว่าฉันหูฝาดไปเอง ข้างล่างไม่มีใครอยู่ ชั้นที่ 18 ถูกปิดตายนานแล้ว ปิดตายกับผีน่ะสิ! มันต้องมีแน่ๆ! ใครบางคนส่งเสียงหลอนๆ มาจากข้างล่างนี่! และมันก็เป็นวันนี้เหละ ที่จะมีเสียงดังมาจากข้างล่าง ฉันคอยวันนี้ของเดือนมานานแล้ว และฉันจะต้องรู้ให้ได้ ว่าไอ้โรคจิตที่ไหนกัน ที่ชอบส่งเสียงมาทุกเที่ยงคืน..”
หญิงสาวเลื่อนกล้องไปยังนาฬิกาโบราณ เข็มค่อยเคลื่อนไปเรื่อยๆ จนถึงวินาทีที่เข็มสั้นและเข็มยาวชี้เลขสิบสอง นาฬิกาก็ส่งเสียงดังสิบสองครั้ง เมื่อสิ้นเสียงระฆัง เสียงหนึ่งก็ตามมา… มันคือเสียงสวด… เสียงสวดจริงๆ ด้วย เหมือนเสียงของคนที่กำลังท่องอะไรบางอย่างงึมงำน่าขนลุก เอ็มเดินไปยังระเบียง ส่องกล้องไปดูระเบียงของห้องข้างล่าง ซึ่งเห็นอะไรได้ไม่มากนัก
ผมเผลอหันกลับไปดูระเบียงห้องปัจจุบันของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“เอาล่ะ! แล้วสิ่งที่ฉันจะใช้ก็คือ ไอ้นี่… ‘กล้องเว็บแคมไร้สาย’ ที่ต่อสัญญาณเข้ากับคอมพิวเตอร์ของฉัน” เธอชูกล้องสี่เหลี่ยม มีเลนส์เล็กๆ อยู่ตรงกลาง ผมคิดว่าเคยเห็นมันในลิ้นชักเก็บของนะ… “ฉันจะใช้ด้ายหลายๆ เส้นมาพันเข้ากับกล้องแบบนี้ อย่าลืมใช้เทปกาวติดเพื่อความแน่น จากนั้นก็ใช้มันเป็นเหมือนเชือก ค่อยๆ หย่อนกล้องลงจากระเบียงของฉันยังระเบียงห้องข้างล่าง ภาพมันก็จะมาปรากฏขึ้นที่จอคอมฯ เจ๋งใช่ไหมล่ะ! ง่ายเหมือนเวลาคุณตกปลานั่นแหละ”
กล่าวจบเอ็มมิลี่ก็ถือกล้องวิดีโอมาตั้งไว้หน้าจอคอมฯ จากนั้นเธอก็เดินหายไป ภาพจากกล้องแวบแคมไร้สายปรากฏขึ้นที่จอคอมแทน เธอกำลังถือกล้องนั้นไปที่ระเบียง จากนั้นก็ส่องมันลงไปที่ความมืดเวิ้งว้างด้านล่าง ภาพจากกล้องค่อยๆ ถูกปล่อยลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ กล้องไหวไปมาบ้าง แต่โชคดีที่ไม่มีลม ในที่สุดก็เริ่มปรากฏภาพจากระเบียงหองข้างล่าง ซึ่งสภาพไม่ต่างอะไรกับระเบียงห้องอื่นๆ เพียงแต่ประตูระเบียงถูกเปิดอ้าซ่าราวกับไม่กลัวคนเห็น ซึ่งก็คงไม่แปลกเพราะตึกฝั่งตรงข้ามเป็นตึกสำนักงานจึงไม่มีใครอยู่ กล้องโฟกัสไปที่ห้องด้านใน เป็นห้องที่แปลก เพราะมันไม่เปิดไฟไว้ แต่กลับมีเงาสีดำลางๆ ยืนอยู่… มันคือเจ้าของเสียงสวดนั้น ผมเพ่งมองเข้าไปใกล้ๆ แม้จะรู้ว่าไม่มีทางเห็นอะไรมากไปกว่าที่ความคมชัดของกล้องจะเห็นได้
“บ้าจริง… ไม่เห็นอะไรเลย” เสียงเอ็มบ่นมาจากระเบียง เธอดึงกล้องขึ้นมาใหม่แล้วเดินกลับมาที่กล้องวิดีโอหน้าคอม จากนั้นก็หันกลองเข้าหาตัวเองต่อ “แค่นี้ก็คงมั่นใจได้ว่าฉันไม่ได้หูฝาดไป มีบางคนอยู่ข้างล่างนั่นจริงๆ และ… แน่นอนว่าฉันจะไม่ยอมแพ้ ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นใคร ดังนั้นสิ่งที่ฉันจะใช้อีกอันก็คือไอ้นี่!” เธอชูไฟฉายกระบอกเล็กขนาดเหมาะมือขึ้น จากนั้นก็นำมันมามัดติดกับกล้องเว็บแคมด้วยเทปกาว “ฉันจะส่องไฟเพื่อให้เห็นชัดขึ้น ฉันไม่สนหรอกว่าไอ้คนข้างล่างจะรู้ตัวไหม อันที่จริงฉันอยากให้หมอนี่รู้ตัวด้วยซ้ำว่านี่คือที่พัก ไม่ใช่โบสถ์!”
จากนั้นเอ็มมิลี่ก็เริ่มปฏิบัติการอีกครั้ง เธอหย่อนกล้องลงไปอีกรอบ… และคราวนี้มันสว่างกว่าเดิม
ผมเริ่มมองเห็นระเบียงชั้นล่าง และประตูที่เปิดอ้าซ่า และเงาดำทะมึนนั่น… เดี๋ยว! มันไม่ใช่เงา แต่มันเป็นชุดต่างหาก! ชุดสีดำแบบเดียวกับรอยยิ้ม และแน่นอน… ทันทีที่แสงของไฟฉายส่องแสงเข้าใส่ใบหน้าของร่างนั้น ผมก็ขนลุกซู่ทันที…
รอยยิ้มอยู่ตรงนั้น และมันหันมา
ราวกับว่าแสงฉากไฟฉายส่องเข้าตามันพอดี จึงทำให้มันเผลอเอามือบังแสงโดยไม่รู้ตัว มือสองข้างรีบคลำตรงคอของตัวเอง… และมันกำลังดึง…
รอยยิ้มกำลังดึงหน้ากากออก!
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ติดตามตอนต่อไป
ตอนหน้า.... ตัวตนของรอยยิ้มจะถูกเปิดเผย(จริงๆ แล้วนะ) สิ่งที่คิด อาจไม่ใช่สิ่งที่เห็น
เรื่องราวในอดีตอาจปกปิดบางสิ่ง
คำไบ้ อาจมีความหมายมากกว่าที่รู้
ฉากสุดท้ายกำลังมาถึง เตรียมลุ้นระทึกกันให้ดี!
เ
ป.ล. อย่าลืมทำโพลนะครับ
ความคิดเห็น