ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Smile คืนที่รอยยิ้ม...ฆ่าคน! (บทส่งท้าย) จบบริบูรณ์

    ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 12 : ยิ้มถอดรหัส

    • อัปเดตล่าสุด 13 เม.ย. 56



     

    ไม่รู้ว่าอะไรฝังหัวให้ผมเป็นคนขี้กลัวหนักหนา




                                   คุณรู้ไหม มันเริ่มตั้งแต่สมัยผมเด็กๆ แล้ว ผู้คนมักจะมองเห็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ชื่อว่า แมต ฟิตซ์เป็นคนน่ารัก และคิดว่าการแกล้งหลอกให้เด็กคนนี้กลัวก็เป็นอะไรที่ น่ารักไม่แพ้กัน พวกเขาจะเริ่มจาก… ‘โอ้ ดูเด็กคนนั้นสิ! แกล้งหยอกว่ามีแมงมุมอยู่ที่หลังของเขาดีไหม?แล้วก็เป็น เด็กคนนี้จี้ชะมัด แกล้งหลอกผีใส่เขาดีกว่า!’ จากนั้นก็ เฮ้ย! ไอ้ห่วยแมต ฟิตต์ นี่หว่า เอามีดไปจ่อคอมันเล่นก็คงไม่เลวนะ ฮ่าๆ




                                   คำขู่เหล่านี้ค่อยๆ หล่อหลอมและฝังใจผมตลอดมา ผมกลายเป็นคนขี้กลัวต่อทุกๆ อย่าง เสียงประตูเลื่อน เสียงของตก เสียงจิ้งหรีดร้อง เสียงแมว หรือแม้แต้เสียงเข็มตกพ่อผมซึ่งไม่เคยภูมิใจเลยที่มีลูกชายอ่อนแอ จึงเรียกผมไปสั่งสอน เขาบอกผีไม่มีจริง และผมควรเลิกกลัวทุกอย่างได้แล้ว คนเราต้องเผชิญหน้ากับความกลัวของตนดังนั้นผมจึงยอมแอบเอาเงินค่าขนมที่สะสมมาไปเช่าวิดีโอหนังสยองขวัญที่ร้านใกล้บ้าน




    และนั่นก็เป็นวินาทีแรกแห่งโลกใบใหม่ ของผม




                                   หากลองจำกัดนิยามของคำว่า โลกใบใหม่ง่ายๆ ก็คงจะหมายถึง คุณอยู่ในโลกเดิม อยู่ในสถานที่เดิมๆ ประสบการณ์แบบเดิม แต่ทว่าคุณกลับมองมันไม่เหมือนเดิม คุณรู้ว่ามีอะไรที่แตกต่างจากเดิม เหมือนตอนที่คุณมองตุ๊กตาหมีตัวเดิมแต่กลับไม่คิดว่ามันน่ารักอีกต่อไป ตรงกันข้าม คุณกลับเห็นมันเป็นฆาตกรโรคจิตจากหนังเรื่อง ของเล่นอสูรอำมหิต 



    แต่ใครจะรู้กัน ว่าบางครั้งมนุษย์เราสามารถค้นพบโลกใบใหม่ได้เสมอ ทุกๆ ครั้งที่คุณลืมตาตื่นขึ้น

     



                                   “เฮ้“ ผมออกเสียงเป็นคำแรกนับตั้งแต่สลบไป ด้วยสภาพรอบข้าง ผมนอนอยู่บนเตียงเหล็กสีขาว สองข้างเตียงมีม่านสีฟ้ากั้น ฝั่งตรงข้ามมีเตียงของผู้ป่วยรายอื่นเช่นกัน ผมกำลังอยู่ในห้องเตียงรวมของโรงพยาบาลนั่นเอง เสียงร้องโอดโอยดังไปทั่วบริเวณ ผู้คนจำนวนมากบาดเจ็บ พยาบาลวิ่งวุ่น และมีคนเข็นเตียงผู้บาดเจ็บเข้ามาเพิ่มอย่างไม่ขาดสาย บ้างก็หัวแตก บ้างก็ขาหัก บ้างก็มีมีดเสียบคาหลัง ความวุ่นวายโกลาหลกระจายไปทั่วจนไม่มีใครสนใจว่าผมฟื้นแล้ว

     



                                   “เฮ้!” ผมร้องซ้ำ ดึงความสนใจของพวกไซม่อน เชย์ โซอี้ และเมแกนซึ่งกำลังยืนเรียงตรงปลายเตียง แต่สายตากลับมองไปยังผู้บาดเจ็บคนอื่นด้วยสีหน้าเสียวไส้

     



                                   “แมต!! นายฟื้นแล้ว! โอ ให้ตายสิ เดี๋ยวฉันจะไปเรียกพยาบาลมาให้” เชย์เดินออกไปสะกิดพยาบาลแถวนั้น แต่ทุกคนคงจะยุ่งกันเกินไป เชย์อาจต้องใช้เวลานิดหน่อยในการหาพยาบาลที่ยังว่างอยู่

     



                                   “นายไม่เป็นไรใช่ไหม?... นายหลับไปสามชั่วโมง นี่ก็ทุ่มนึงแล้ว” โซอี้ถาม ผมหยุดดูตัวเองนิดนึงเพื่อให้แน่ใจว่าขาและแขนไม่ได้ถูกตัดไป จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ




    “ไงไซม่อน” ผมทักเขา “ขอบใจนะ ที่ช่วยฉันไว้”




    เขาพยักรับหน้าสั้นๆ “นายก็ไม่ได้ตัวหนักนักหรอก” เขาเสริม




                                   “ไซม่อนเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลบ้าให้ฟังหมดแล้วนี่มันชักจะไปกันใหญ่!” เมแกนยืนกอดกระเป๋าแบรนด์แนมไว้กับหน้าอกแน่น “ตอนนี้ทั้งเมืองกำลังตกอยู่ในความกลัว คนบ้าพันกว่าคนบุกเข้าไปทำลายข้าวของในใจกลางเมือง ทั้งบ้านคนรวยคนจนก็โดนเหมือนกันหมด โดยเฉพาะในห้าง! ได้ข่าวว่าร้านกระเป๋าหนังแท้ของฉันถูกพังเรียบ!! นี่มันวันโลกาวินาศ!




                                   “ไม่ใช่แค่นั้นหรอก” โซอี้หยิบไอพ็อดของเธอขึ้นมาเชื่อมสัญญาณอินเตอร์เน็ต จากนั้นก็เปิดช่องข่าวท้องถิ่นออนไลน์ให้ดู ภาพของบ้านเรือนที่เสียหาย ควันไหม้ลุกท่วมเหนือท้องฟ้า บนท้องถนนมีอุบัติเหตุ ผู้คนขนสัมภาระหนีกันจ้าละหวั่น คนจำนวนหนึ่งที่สวมชุดผู้ป่วยทางจิตกำลังช่วยกันพังสิ่งของทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่แปลกเลย ที่ผมจะบอกพวกคุณว่า ยินดีต้อนรับสู่โลกใบใหม่ ภาพต่อมาตัดไปยังผู้สื่อข่าวภาคสนามที่กำลังวิ่งไปและตะโกนจ่อไมค์ไป




                                   “สิ่งที่ทุกท่านได้เห็นคือสภาพของความบ้าคลั่งที่กระจายไปทั่วเมืองแบล็กวู้ดค่ะ! จากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลบำบัดจิตแห่งแบล็กวู๊ดเกิดเหตุขัดข้อง ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากหลุดออกมาก่อเหตุสะเทือนขวัญ ตามรายงานที่ทีมข่าวของเราได้รับแจ้ง ล่าสุดยอดผู้ป่วยที่หนีออกมาได้นั้นเพิ่มจำนวนขึ้นไปอีกเป็นพันห้าร้อยคน และที่กำลังตกเป็นประเด็นคือหนึ่งร้อยคนในนั้นถูกจัดเป็นผู้ป่วยประเภทอันตรายถึงชีวิต! ในตอนนี้ เหล่าประชาชนเมืองแบล็กวู๊ดได้ไปรวมตัวกันที่ชานเมืองเพื่ออพยพครั้งใหญ่ รถยนต์จำนวนมากเบียดเสียดกันจนจะออกนอกถนน ส่งผลให้กองกำลังเสริมและความช่วยเหลือไม่สามารถเข้ามาถึงตัวเมืองได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรายงานว่านอกเหนือจากกลุ่มผู้ป่วยทางจิตแล้ว ยังมีกลุ่มผู้คนบางกลุ่มที่ใช้โอกาสนี้ในการก่อจลาจลขึ้นค่ะ ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งคำเตือนให้รีบอพยพให้เร็วที่สุด โดยให้รวมตัวกันที่ลานกว้างหน้าป่าแบล็กวู๊ดภายในสี่ชั่วโมง คาดว่าภายในคืนนี้ เมืองแบล็กวู๊ดทั้งเมืองจะกลายเป็นเมืองร้างอย่างแน่นอนต่อไปพบกับผู้เชี่ยวชาญที่จะมาแนะนำการอพยพอย่างสงบค่ะ

     



                                   “โรงพยาบาลที่นี่ก็กำลังจะอพยพผู้ป่วยเหมือนกัน” โซอี้กล่าว ในขณะที่ผมรู้สึกถึงร่างกายของตนที่ชาไปทั่วเพราะความตื่นตะลึง เรื่องทั้งหมดนี้แย่กว่าที่ผมคิด มันเป็นเรื่องใหญ่มากใหญ่มากๆผมไม่เคยคาดมาก่อนเลยว่าจู่ๆ เมืองใหญ่ที่ผมย้ายมากำลังจะกลายเป็นเมืองร้างในอีกไม่กี่ชั่วโมง อาจจะดูไม่แปลกนัก เพราะ 90% ของผู้ที่อาศัยในเมืองนี้คือเหล่าเศรษฐีที่พร้อมจะหนีไปอยู่อีกซีกโลกเพียงเพราะมีหนูอยู่ในบ้าน




                                   “พ่อฉันบอกว่าจะส่ง ฮ. มารับที่ดาดฟ้าอพาร์ทเม้นท์ส่วนตัวตั้งแต่เมื่อสองสามชั่วโมงก่อน แต่ฉันขอยืดเวลาไว้ได้อีกสักชั่วโมงนึง ฉันว่าถ้านายไม่เป็นอะไรมาก เราก็ควรไปกันได้แล้วนะ” เมแกนบอก ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงเพื่อยืดเส้นสายเล็กน้อย เชย์เดินกลับมาพร้อมพยาบาลหญิงคนหนึ่ง เธอบอกว่าผมไม่เป็นไรมาก อาจเกิดอาการช็อก แต่กระแสไฟฟ้ายังไม่มากพอที่จะทำให้ผมสุก ซึ่งนั่นหมายความว่าผมออกจากโรงพยาบาลได้ พร้อมทั้งยังแอบเตือนไม่ให้ผมเอานิ้วไปแหย่ปลั๊กไฟอีก ซึ่งผมแน่ใจว่านั่นเป็นข้ออ้างที่ไซม่อนบอกกับพยาบาล



                                   “เอ้า” เมแกนโยนถุงกระดาษช็อปปิ้งใส่เบาๆ ในนั้นมีเสื้อยืดกับกางเกงยี่ห้อหรูอยู่ “เอาไปเปลี่ยนซะ นายอยู่ในชุดคนบ้าไม่ดีแน่ พวกพยาบาลเองก็เริ่มสงสัยบ้างแล้ว ฉันให้คนขับรถไปซื้อให้ระหว่างที่รอนายฟื้น ได้ข่าวว่าเขาแอบหยิบมาฟรีๆ เพราะตอนที่ไปถึงห้าง พวกคนบ้าก็เอาเสื้อมาเผาเล่นเกือบหมด” ผมกล่าวขอบคุณเมแกนก่อนจะมองไปที่ไซม่อนผู้ซึ่งเปลี่ยนชุดก่อนแล้ว ทันทีที่ผมเดินออกจากเตียง พยาบาลก็นำผู้บาดเจ็บอีกคนวางแทนทันที




    “เราจะรอตรงนี้อยู่หน้าห้องเตียงรวมนี่เหละ” โซอี้กล่าวส่งท้าย




                                   หลังจากผมเปลี่ยนชุดเรียบร้อย จึงรีบกลับไปรวมตัวกับทุกคน ใช้เวลาสักพักกว่าผมจะขยับตัวได้ตามปกติ เราทุกคนรีบมุ่งหน้าไปยังลิฟต์โดยเร็ว พร้อมกับบรรยากาศที่ทั้งวุ่นวายและหนาวจับจิต ท้องฟ้ามืดเข้าสู่ยามราตรี ฝนตกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าคราวนี้ฝนตกหนักกว่าที่เคยมันอาจเป็นฝนส่งท้ายของฤดูกาลคืนส่งท้ายพายุจะรุนแรงที่สุดเสมอ



                                   “แล้วตกลงเราไม่ได้อะไรจากการบุกเข้าโรงพยาบาลบ้าเลยเหรอ?” เชย์ถามขณะที่เราเดินอยู่ ผมกับไซม่อนพยักหน้าตอบพร้อมกับต้องหลบเตียงคนไข้ฉุกเฉินที่กำลังเข็นผ่านมาอย่างรวดเร็ว ไซม่อนกล่าวต่อว่า “นอกจากเรื่องเล่าของคริสเต็นในช่วงที่เธอถูกจับตัวไป เราก็ไม่ได้อะไรอีกอันที่จริงฉันคิดว่าเธอเคยพยายามจะบอกอะไรบางอย่างแต่เธอก็ไม่ได้บอก”



                                   สิ้นเสียงไซม่อน ผมก็ฉุกคิดได้ทันที ก่อนที่คริสเต็นจะตายเธอพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับผม ให้ตายสิ! ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธอพูดอะไร หรือมันมีความหมายไหม แต่เธอบอกผมว่าเธอจะบอกผมเรื่องตัวตนของรอยยิ้มนี่นา มันต้องใช่แน่ๆ!... เธอพูดว่าอะไรนะ?... ฟ้าดินน้ำ? ไม่สิ ฟ้าถล่มดินทลาย แล้วก็อะไรอีกนะ? บ้าจริง!






    ครืน




                                   เสียงของท้องฟ้าที่กรีดร้องเหมือนมากระตุกต่อมความจำอะไรสักอย่างในหัวผมใช่แล้ว! “ฟ้าถล่ม ดินทลาย ตายตามหลอน ซ่อนความจริง!



    “อะไรนะ?!?” สามสาวรวมทั้งไซม่อนเอ่ยพร้อมกัน “นายจะท่องกลอนเหรอ แมต?”



                                   “ไม่ใช่! ‘ฟ้าถล่ม ดินทลาย ตายตามหลอน ซ่อนความจริง ผมกล่าวซ้ำ “มันเป็นคำใบ้ของคริสเต็นก่อนตาย! เธอกำลังจะบอกตัวตนของรอยยิ้ม แต่เธอไม่อยากให้มันรู้ตัว เลยบอกเป็นรหัสกับฉันฉันคิดว่าแบบนั้นนะ!” สามสาวทำหน้างงงวย อาจเพราะคิดว่ามันเป็นคำใบ้ที่ไม่เข้าท่า ส่วนไซม่อนก็หลุบตาลงอย่างครุ่นคิด สาวๆ เห็นดังนั้นจึงหยุดเดินแล้วคิดตาม

     

                                  “ฉันไม่เห็นจะเข้าใจอะไรเลย?” เชย์ว่า “ไอ้ประโยคคล้องจองพวกนี้จะใบ้เรายังไง? ไอ้คำว่า ซ่อนความจริงอาจจะเป็นกุญแจหรือเปล่า มันอาจจะบอกว่ามีคำใบ้อยู่ในดินที่ถล่มแถวเขตก่อสร้างหรือเปล่า?”



    “หรืออาจเป็นที่สุสาน? เพราะมีคำว่า ตายตามหลอนด้วยนี่” เมแกนเสริม



                                   “ฉันว่าไม่ใช่นะ“ โซอี้ส่ายหน้า “จริงสิ! โน๊ตบุ๊คของฉันมีโปรแกรมประมวลผลถอดรหัสอยู่นะ แต่ฉันฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ด้านล่างน่ะ รีบไปเอากันเถอะ”



                                   “นี่“ ไซม่อนกล่าวบ้างหลังจากเงียบมานาน “คริสเต็นน่ะ ถูกขังอยู่ในโรงพยาบาลบ้ามาตลอดสิบห้าปีเลยนะ ไอ้พวกคำใบ้ที่เกี่ยวกับสถานที่ในเมืองคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก สมัยของเธอน่ะ เมืองนี้ยังเป็นเมืองเล็กๆ อยู่เลยมันน่าจะมีพวกคำใบ้หรือเกมปริศนาที่คนสมัยก่อนเขาฮิตเล่นกันหรือเปล่า? คริสเต็นอาจเอาวิธีพวกนั้นมาใบ้คำก็ได้” พูดจบเราก็รู้สึกเหมือนจะจับเค้าอะไรได้ลางๆ แต่ก็ยังไม่ได้เสียที ทุกคนกลับไปเงียบเป็นนาทีเพราะมัวแต่ครุ่นคิดอีกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนไม่ได้ยินเสียงตะโกนไปมาระหว่างพยาบาลและหมอเลยด้วยซ้ำ มีเพียงความเงียบและความตื่นเต้นอันแปลกประหลาด ความจริงบางอย่างกำลังจะปรากฏ

     



     




    “ฟิตซ์” เสียงเมแกนแทรกผ่านความเงียบในหัวทุกคน



    “อะไรเหรอ?” ผมแปลกใจเล็กน้อยที่เธอเรียกนามสกุลแทนที่จะเป็นชื่อต้น



    “ไม่ใช่ฉันหมายถึง ฟิตซ์ไงล่ะ! ฟิตซ์!



                                   “อะไรของเธอน่ะ เมแกน” โซอี้ถาม ส่วนเชย์ก็มองด้วยสายตาสงสัยๆ ไม่แพ้กัน เมแกนจึงรีบหันไปพูดกับพวกเธอ “นี่.. จำได้ไหมล่ะ! สมัยที่เรายังเป็นน้องใหม่ของโรงเรียน พวกรุ่นพี่สอนวิธีที่จะนินทาคนอื่นต่อหน้าโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวไง ฉันจำได้ว่ามันเป็นวิธีที่ใช้ต่อกันมาในหมู่สาวๆ ตั้งแต่สมัยที่โรงเรียนเพิ่มถูกก่อตั้งเลยนะ”

     
                                  “อ๋อ
    !... จริงด้วย ที่ให้เอาตัวอักษรแต่ละตัวมาสร้างแยกเป็นคำใช่ไหมล่ะ และเวลาจะถอดรหัส ก็ให้ดูเฉพาะตัวหน้าของแต่ละคำ แล้วเอามารวมกันเธออย่าบอกนะ! ว่านี่คือวิธีถอดรหัสของคริสเต็นน่ะ!” โซอี้ทำท่าตื่นเต้น


     
    “ตัวอักษรรวมๆ กันก็
    เอ่อ.... ต ซ ก็ยังไม่เห็นจะมีความหมายอยู่ดี?” ผมพยายามจะคิดตามพวกเธอ



                                   “บางครั้งก็อาจจะไม่ใช่ตัวอักษรนะ” เชย์บอก “บางครั้งก็ให้ลองดูที่ตัวสระ ลองแบบนี้เป็นไงตัว จากฟ้า สระอิ จากดิน จากตาย และซ่ จากซ่อน ถ้าเอามารวมกัน แล้วเปลี่ยน ซ่ เป็น ซ์ ละก็ จะเท่ากับ





    “ฟิตซ์!! อีกครั้งที่ทุกคนพร้อมใจกับพูดโดยมิได้นัดหมาย



                                   ฆาตกรคือคนในตระกูลฟิตซ์งั้นหรือ? ไม่ไม่มีทาหรือว่าคริสเต็นอาจจะหมายถึงผม? แต่ผมก็ไม่เคยบอกชื่อจริงกับเธอนี่นา ถ้าเธอจะหมายถึงฆาตกรจริงๆ ละก็ ทำไมถึงไม่บอกชื่อจริงไปเลย? ทำไมถึงบอกแค่นามสกุล? ผมชักจะเวียนหัวแล้ว

     

                                  “ฟิตซ์นี่
    หมายถึงคนที่อยู่ในตระกูลฟิตซ์ใช่ไหม?” เชย์ถามซ้ำ “มันก็อาจเป็นไปได้นะฉันหมายถึง ตระกูลนี้อยู่คู่กับเมืองแบล็กวู๊ดมาตั้งแต่เริ่มตั้งถิ่นฐานเลยด้วยซ้ำคำถามคือ เราจะรู้ได้ไงว่าฟิตซ์คนไหนเป็นฆาตกร?”



                                   “ต้องเป็นฟิตซ์ที่ยังคงอยู่ที่เมืองตอนนี้ และอยู่ที่นี้ด้วยเมื่อสิบห้าปีก่อน” ผมเริ่มสันนิษฐาน “ตัดพวกเนธาน อเล็กซ์ และคริสเตียนออกไปตัดพ่อแม่ของบางคนที่ไปทำงานต่างเมืองบ่อยๆ คนเดียวที่ฉันพอจะนึกออกตอนนี้ก็ครูใหญ่” ใช่ผมคิดว่าบางทีอาจเป็นเขา คิดให้ดีๆ ครูใหญ่มักจะอยู่ในที่เกิดเหตุตลอด ทั้งที่โรงเรียนคืนนั้น และในงานศพ แต่ครูใหญ่เนี่ยนะ? ผมนึกไม่ออกว่าคนที่ไอทุกๆ สามนาทีจะเป็นฆาตกรได้อย่างไร



                                   “ไม่น่าจะใช่หรอกนะแมต“ โซอี้ขัด “จากที่ฉันแฮกข้อมูลคดีที่เกิดขึ้นเมื่อสิบห้าปีก่อน ครูใหญ่เป็นผู้ต้องสงสัยคนแรกๆ เลยล่ะ เพราะเขาเข้ามารับตำแหน่งในช่วงที่เกิดเหตุพอดี แถมวันที่คริสเต็นหายตัวไป เขาก็อ้างว่าทำงานอยู่ในห้องที่โรงเรียนด้วย ในช่วงที่เด็กๆ ห้าคนยังหายไป ครูใหญ่จึงถูกตำรวจกักตัวไว้ และถูกปล่อยออกมาก่อนที่จะพบคริสเต็นเพียงสองวัน เขาจึงบริสุทธิ์ เพราะรอยยิ้มอยู่กับพวกเด็กๆ ที่หายตัวไปตลอด”



    “ถ้างั้นฉันก็หมดปัญญา” ผมถอนหายใจ “ไม่รู้สิ นี่ยังไม่นับคนที่อาจจะเปลี่ยนนามสกุลเอาทีหลังด้วยนะ”



                                   “ก็ไม่แน่หรอก” เชย์หลีกทางให้พยาบาลและหมอกลุ่มหนึ่งเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “คืนนั้นในห้องสมุดน่ะ พวกเรายังสงสัยกันอยู่เลยใช่ไหมล่ะ ว่าทั้งๆ ที่เนธานตกลงมาบาดเจ็บสาหัส แต่ทำไมรอยยิ้มถึงไม่เป็นอะไรแล้วถ้าหากเขาเป็นล่ะ ถ้าหากคืนนั้นรอยยิ้มเองก็บาดเจ็บเหมือนกันล่ะ? ลองนึกดูสิ ว่าใครบ้างที่พวกเรารู้จัก ที่หลังจากคืนนั้น ก็มีอาการบาดเจ็บ หรือมีแผลแปลกๆ”



    ครูใหญ่ ก็เดินขากะเผลกอยู่นี่” ไซม่อนว่า “ฉันจำได้ตอนไปโบสถ์”



                                   “พูดถึงขา ตำรวจอ้วนคนนั้นก็เจ็บที่ขาเหมือนกันนะ!” เมแกนพูดบ้าง “ตอนที่ฉันทักเขาเรื่องขา แล้วเขาก็ตอบกลับมาแบบถ่อยๆ ไง ต้องใช่ตานี่แน่ๆ”



                                   “ฉันไม่รู้ว่าจะเกี่ยวไหมนะ” โซอี้หันมามองหน้าผม “แต่เมื่อเช้า ตอนที่พวกเราไปหาเธอที่อพาร์ทเม้นท์ คนดูแลตึกที่น่ากลัวๆ คนนั้น เขาเองก็ใส่เฝือกที่ขาเหมือนกัน” ผมค่อนข้างแน่ใจว่าโซอี้หมายถึง อัลเฟร็ด เมอร์คิวรี่ผู้ดูแลตึกคนนั้น คนที่ชอบมองผมแบบแปลกๆ แล้วก็ทำเหมือนรู้ทุกครั้ง ว่าผมจะออกไปไหนมาไหน



                                   “ฉันว่าอุบัติเหตุมันก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลานั่นแหละ อย่างคริสเตียนเองก็ข้อเท้าอักเสบเพราะเอาแต่ซ้อมบาส อเล็กซ์เองก็บอกว่าเดินตกบันใดเวทีตอนท่องบทละครอยู่ ถึงได้เดินไม่ค่อยสะดวก” ผมพูดจบ ทุกคนก็เริ่มจะรู้สึกจริงๆ แล้วว่าเรามาถึงทางตัน มองในแง่ดีคำใบ้ของคริสเต็นอาจช่วยจำกัดความเป็นไปได้ แต่เอาจริงๆ เรื่องนี้ก็ยังลึกลับเกินกว่าที่เด็กอายุสิบเจ็ดห้าคนจะไขออก ผมยอมแพ้ในที่สุด แล้วก็เริ่มออกเดินนำที่เหลือไปยืนรอลิฟต์ เมแกนเกือบชนเข้ากับเตียงคนไข้อีกเตียงที่พุ่งออกมาจากลิฟต์แบบไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่เชย์และไซม่อนช่วยพยุงเธอไว้ ส่วนผมก็นึกอะไรบางอย่างได้ “พูดถึงพวกญาติๆ ฉันเนธานยังอยู่ในโรงพยาบาลนี้นี่นา! มีใครอพยพเขาออกไปแล้วยังเนี่ย?! ฉันว่าเราต้องขึ้นไปดูหน่อยนะ!



                                   “งั้นนายต้องรีบหน่อยนะฟิตซ์คนขับรถฉันบอกว่าถ้าฉันลงมาไม่ทัน เขาจำเป็นต้องขับออกนอกเมืองไปก่อน ถ้าเป็นแบบนั้น เราคงต้องรอให้พ่อเอา ฮ. มาลงจอดจริงๆ ซึ่งก็คงจะดึกอยู่” เมแกนพูดพลางปัดเสื้อตัวเอง “เนธานอยู่ตั้งชั้น 11 เลยใช่ไหม?”



                                   “อืม“ ผมครางรับเบาๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก ทุกคนตั้งท่าเตรียมหลบเตียงคนไข้ที่จะพุ่งออกมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ผู้ที่ยืนอยู่ในลิฟต์กลับไปไม่ใช่คนแปลกหน้าแต่อย่างใด ชายที่สวมโค้ทน้ำตาลและผมทองยุ่งๆ นั่นเองที่กำลังยืนมองพวกเราอยู่

     

                                  “พวกเธอ
    มาทำอะไรที่นี่น่ะ?” เฮนรี่เลิกคิ้วสองข้างด้วยความแปลกใจ ดูเหมือนเขากำลังวุ่นกับการกดโทรศัพท์มือถือของตน ดูไม่น่าแปลกเท่าไหร่ เพราะคืนแบบนี้พวกตำรวจคงงานยุ่งชนิดหูดับตับไหม้ “ฉันนึกว่าพวกเธอจะอพยพไปเป็นพวกแรกๆ เสียอีกให้ตายสิ! รีบออกไปจากเมืองเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตราย”



                                   “เราเอ่อ” ผมลังเลเล็กน้อย ไอ้เรื่องที่พวกเราแอบไปทำอะไรมาคงจะบอกเฮนรี่ไม่ได้แน่ “เรามาดูว่าเนธานปลอดภัยหรือเปล่าน่ะ เดี๋ยวก็ไปแล้ว ว่าแต่เฮนรี่คุณล่ะมาทำอะไรที่นี่?” ผมถามกลับบ้าง เฮนรี่มีสีหน้าอึกอักอย่างเห็นได้ชัด เขาบอกสั้นๆ ว่ามาทำธุระ แต่ทุกคนคงคิดเหมือนกันว่านั่นไม่ใช่คำตอบที่ดีเท่าไหร่ เฮนรี่เอื้อมมือไปกดปุ่มชั้น 11 ลิฟต์เคลื่อนตัวทันที ผมรู้ดีว่าชั้น 11 คือชั้นห้องพักสำหรับพวกผู้ป่วยเศรษฐีมีอันจะกิน ในห้องหรูยิ่งกว่าโรงแรมห้าดาวเสียอีก ระหว่างที่กำลังรอ ทุกคนเงียบกริบ ไม่พูดอะไร บรรยากาศอึดอัดก่อตัวขึ้นในแบบที่ไม่น่าจะเป็น

     




    เปรี้ยง!!



                                   เสียงฟ้าผ่าหนักดังทุ้มเข้ามาถึงข้างในเป็นจังหวะเดียวกับที่เรามาถึงชั้นจุดหมาย พวกสาวๆ ทำท่าทางตื่นกลัวเล็กน้อย ในขณะที่ผมสะดุ้งโหยงจนเกินงาม เฮนรี่เดินออกไปเป็นคนแรก เขาเลี้ยวแยกกับพวกเราไปอีกทางทันทีและทิ้งท้ายโดยไม่หันกลับมามองว่า “รีบออกไปจากเมืองซะ!



                                   “น่าสงสัยแฮะ” ผมพึมพำ แต่ไม่มีเวลาสนใจเขามาก เราทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังห้องพักของเนธานซึ่งอยู่ริมสุดทันที ระหว่างทาง ผมมองผ่านประตูเข้าไปก็เห็นว่าหลายๆ ห้องมีพวกพยาบาลเคลื่อนย้ายเตียงผู้ป่วยออกไปบ้างแล้ว ที่แปลกก็คือห้องของเนธานยังคงเงียบสนิท ประตูยังคงปิด ซึ่งนั่นทำให้ผมเดินเร็วขึ้น เมื่อผมผลักประตูเข้าไป ก็พบกับห้องว่างเปล่า….



    “เนธานถูกพาออกไปแล้วล่ะมั้ง”  เชย์ว่า



                                   ผมเกือบจะรู้สึกโล่งใจแล้วเชียว ถ้าไม่ใช่เพราะสังเกตเห็นว่าในห้องยังคงมีเสาน้ำเกลือตั้งอยู่ และสายเข็มต่างๆ ที่ใช้เจาะเข้าเส้นเลือดก็ตั้งไว้สะเปะสะปะ ที่สำคัญคือมีร่องรอยของคราบเลือด บ่งบอกว่าเข็มสายนั้นไม่ได้ถูกถอดออกไปแบบดีๆใครบางคนกระชากเข็มพวกนี้ออกแบบลวกๆ “นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่”

     



    เปรี้ยง!!



                                   ฟ้าผ่าอีกครั้ง สายฝนพัดเอาความเย็นผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้าซ่า ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังขนลุก เป็นความรู้สึกที่แย่มากๆ เหมือนใจกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่แล้วร้าย เหมือนว่าตัวเองกำลังกลัว


    “กาแฟบนโต๊ะนี่ยังร้อนอยู่เลย” ไซม่อนทัก เขาชี้ไปยังถ้วยแก้วเล็กๆ บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาสำหรับญาติผู้ป่วย



    “พวกอเล็กซ์กับคริสเตียนยังอยู่แถวนี้แน่” ผมว่า “พวกเขาชอบชงกาแฟตอนที่เฝ้าเนธาน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”



                                   “ไปแจ้งตำรวจดีไหม?” เมแกนถาม แต่เธอก็นึกออกทีหลังว่าในคืนแบบนี้ไม่มีตำรวจที่ไหนจะว่างมาช่วยแน่ “งั้นเฮนรี่ของเธอล่ะ แมต เขาน่าจะอยู่ใกล้ๆ นี้นะ ไปหาเขาเถอะ”



                                   ผมพยักหน้า ทุกคนรีบเดินออกจากห้องเนธาน พวกเราเดินเร็วขึ้นด้วยหัวใจที่เต้นไม่หยุด บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงความกังวลใจส่วนตัว หรือเป็นลางสังหรณ์จริงๆ ผมเดินเร็วขึ้นอีก มองหาเฮนรี่จากห้องผู้ป่วยที่เริ่มว่างเปล่า อีกไม่ช้าผู้ป่วยชั้นนี้ก็จะถูกย้ายออกไปหมด หลังจากเดินหาจนแทบสุดทาง สายตาก็พบเข้ากับเฮนรี่ซึ่งยืนหันหลังอยู่ในห้องหนึ่ง พวกเรารีบเข้าไปหาเขาทันที



    “เฮนรี่“ ผมเรียก “เกิดเรื่องแล้ว เนธานหายไป”



                                   ยังไม่ทันที่เฮนรี่จะหันกลับมา เราทุกคนก็เพิ่งจะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ภายในห้องผู้ป่วย มีชายอายุสามสิบกว่านอนนิ่งอยู่บนเตียง ร่างกายซูบผอมเล็กน้อย และมีเครื่องช่วยหายใจครอบอยู่บนปาก ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่จากสีผมและหน้าตาแล้ว ผมว่าเขาค่อนข้างเหมือนเฮนรี่ ผู้ซึ่งมีท่าทางตกใจอย่างแรงที่เห็นเราบุกเข้ามา



    “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เนธานหายตั









    ตู้ม!!!!



                                   เสียงระเบิดดังกัมปนาท สนั่นหวั่นไหวไปทั่ว ทุกคนหมอบลงโดยอัตโนมัติ ผมรู้สึกได้ถึงแรงสั่นทะเทือนชั่วครู่ ไซม่อนเดินอ้อมไปที่หน้าต่าง เลิกม่านออกก็พบว่าไกลออกไปมีเสาสัญญาณขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะกำลังลุกไหม้ ควันสีดำลอยโขมงขึ้นท้องฟ้า



                                   “ฝีมือพวกก่อจลาจลหรือไม่ก็พวกคนบ้าแน่” เฮนรี่จ้องไปยังนอกหน้าต่าง ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู “บ้าเอ้ย! นั่นมันเสาสัญญาณโทรศัพท์ซะด้วย แบบนี้ก็ติดต่อไปไหนไม่ได้น่ะสิ!” โซอี้หยิบไอพ็อดมาเช็คสัญญาณอินเตอร์เน็ตบ้างมันใช้ไม่ได้ เมืองนี้ถูกตัดขาดแล้วหรือ? ชักจะบ้าไปใหญ่แล้ว!



    “เฮนรี่เรื่องเนธาน ผมไปหาเขา แต่เขาหายตัวไป มีร่องรอยเหมือนเขาถูกกระชากออกจากเตียง!



                                   “พวกพยาบาลอาจจะรีบมากก็ได้ ในเวลาแบบนี้ใครๆ ก็รีบทั้งนั้นเหละ” เฮนรี่ดูเหมือนจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ เขาเดินกลับมายังข้างเตียง จ้องมองไปยังผู้ชายที่หน้าตาคล้ายกัน ผมจ้องมองด้วยความสงสัย เฮนรี่เบือนหน้าหนีทุกคน ก่อนจะอธิบายด้วยเสียงเบา และสั้น



    “เขาเป็นพี่ชายของฉันเอง



    “พี่ชายคุณหมายถึง”



                                   “ใช่ พี่ชายแท้ๆ” เฮนรี่พยักหน้าให้ ผมเข้าใจในทันที ผู้ชายคนที่นอนป่วยอยู่นี่ก็คือมหาเศรษฐีคนที่ให้เป็นเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ที่ผมอยู่นั่นเอง เพราะแบบนี้ผมถึงอยู่ที่นั่นได้ง่ายๆ เพราะเจ้าของห้องนอนไม่ได้สติอยู่ในโรงพยาบาลตลอด เฮนรี่ถอนหายใจ เขาเดินไปนั่งลงตรงโซฟาคล้ายหมดแรง “หนึ่งสองปีก่อนพี่ชายฉันประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ได้ข่าวว่าตอนนั้นเขาแอบพาผู้หญิงคนอื่นนั่งไปด้วย แต่เธอไม่เป็นไร พอภรรยาของเขารู้เขา ก็หนีไปพร้อมกับลูกสาว ฉันไม่ทันเห็นหน้าครอบครัวเขาเพราะมัวแต่ทำงานที่เมืองเก่า เดือนแรกๆ เขายังคงมีสติ แต่พอหลังจากนั้นเขาก็เข้าขั้นโคม่าไม่ฟื้นอีกเลย ได้แต่รอปาฏิหาริย์ ฉันกลับมาหาไม่ทันตอนที่เขายังมีสติ เพราะฉันคิดว่ายังไงเขาต้องรอดอยู่แล้วเขามักจะรอดตลอด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่คราวนี้ไม่ใช่



                                   “ผมเสียใจด้วย” ผมกล่าวสั้นๆ ด้วยเสียงสลด เฮนรี่ก้มหน้านิ่ง ถึงแม้เขาจะบอกว่าไม่ค่อยถูกกับพี่ชายเท่าไหร่ แต่เฮนรี่ก็ยังคงเป็นห่วงพี่ชายตัวเอง นั่นทำให้ผมเศร้าเล็กๆ นี่หรือเปล่า ที่เป็นสาเหตุทำให้เฮนรี่อึดอัดทุกครั้งที่พูดถึงพี่ชาย เขาโทษตัวเองเรื่องที่ไม่ยอมไปเยี่ยมพี่ชายตอนยังมีโอกาส บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเงียบปนเศร้า



    “ขอโทษนะคะ” เชย์ขัดจังหวะ “คุณบอกว่าพี่ชายคุณอยู่ในอาการโคม่า ไม้ฟื้นอีกเลยหรือคะ?”



    “ใช่….



    “แต่ตอนนี้พี่ชายคุณกำลังขยับตัวอยู่นะคะ”



                                   “อะไรนะ!!" เฮนรี่ผุดลุกขึ้นอย่างเร็ว วิ่งไปที่เตียงใช่แล้วเชย์พูดถูก พี่ชายของเฮนรี่กำลังขยับตัว เขากำลังพยายามบังคับร่างกายตัวเอง เริ่มจากเลื่อนแขนช้าๆแบบคนไม่มีแรง จากนั้นปากก็สูดลมเข้าปอด ตาสองข้างค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างยากลำบาก เขาฟื้นแล้ว!



    “พี่ เฮนรี่สะกิดตัวเขาเบาๆ ด้วยความตื่นตะลึงปนดีใจ “ได้ยินไหม?”



                                   ชายคนนั้นเหมือนพยายามเงยหน้า สายตาเพ่งมองไปยังเฮนรี่คล้ายกับยังมองเห็นไม่ชัดนัก เฮนรี่กำลังตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก เขาพึมพำเบาๆ ว่ามันต้องเป็นปาฏิหาริย์แน่ๆ “ฉัน ฉันฉันจะไปเรียกพยาบาลมา!! พยาบาล!!” เฮนรี่กระวีกระวาดวิ่งออกไปจากห้องในที่สุด ทิ้งให้พวกเราที่เหลือเดินเข้าไปมุงดูอาการของชายบนเตียง



                                  “เขากำลังจะพูดอะไรหรือเปล่า?... ฉันว่าเขาพยายามจะพูดนะ” ไซม่อนมองปากที่พะงาบๆ เหมือนจะพูดแต่ไร้เสียง



                                   “เขากำลังจะบอกอะไร?” ผมก้มหน้าเข้าไปใกล้ ชายคนนั้นส่งสัญญาณว่าจะบอกอะไรบางอย่าง ผมมองหน้าทุกคนแล้วเงี่ยหูเข้าไปใกล้อีก ปล่อยให้เสียงกระซิบแห้งๆ ลอดเข้ามา



    “เอลูกสาว” พี่ชายเฮนรี่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนพยายามจะสื่อสารต่อ



    “ฉันว่าเขาพยายามจะพูดเกี่ยวกับลูกสาวเขานะ?” ผมเอาหูเข้าไปใกล้เขาอีก “ลูกสาวคุณทำไมหรือครับ?”



                                   “เอเอเอ็.. เอ็ม” เขาพูดออกมาเป็นคำในที่สุด สิ้นเสียงนั้น ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างไปกระตุกให้สามสาวต่อคำพร้อมกัน







    “เอ็มมิลี่?”






    พี่ชายเฮนรี่พยักหน้าเบาๆ “เอ็ม.... อยู่.. ไหน?”



                                   “เอ็มมิลี่หมายถึงเอ็มมิลี่เพื่อนเธอน่ะเหรอ” ผมหันไปถามสามสาวที่ตอนนี้กำลังตกใจยิ่งกว่า เมแกนแทบจะเข้ามาเขย่าเตียงผู้ป่วย ถ้าไม่ใช่โซอี้ห้ามไว้ แต่ดูเหมือนเธอก็อยากรู้ไม่แพ้กัน “คุณ เป็นพ่อของเอ็มหรือคะ?”



    เขาพยักหน้าอีกครั้ง แล้วถามซ้ำคำเดิม “เอ็มมิลี่.. ลูกฉัน อยู่ไหน?”



                                   “ไม่ผิดแน่! เขาเป็นพ่อของเอ็ม! ต้องใช่แน่ๆ! เชย์ร้องเสียงดัง ผมรู้สึกเหมือนโดนหินก้อนยักษ์ปาใส่หน้าแล้วหัวหมุนกลับหลังร้อยแปดสิบองศา เป็นความรู้สึกที่ยิ่งกว่างง ยังไงกันแน่? เรื่องทุกอย่างตีกันมั่วไปหมด คนบ้าบุกเมือง ทุกคนอพยพ ฆาตกรเป็นคนในตระกูลฟิตซ์ เนธานหายตัวไป เสาสัญญาณถูกทำลาย พี่ชายเฮนรี่ฟื้น และเอ็มมิลี่ที่หายตัวไปก็เป็นลูกสาวของเขา!?!



                                   “ทางนี้ครับ!” เฮนรี่วิ่งนำทางพยาบาลเข้ามาอย่างเร่งรีบจุดสะดุดขาโต๊ะกาแฟล้มหัวคะมำ ผมรีบเข้าไปพยุงเขาขึ้น



                                   “คุณโอเคไหม? ขาคุณเป็นอะไรหรือเปล่า?!” ผมทำท่าจะเลิกขากางเกงดู แต่เฮนรี่รีบปัดมือผมออกอย่างแรงจากนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ฉันไม่เป็นอะไร”

     

                                  “อัตราการเต้นของหัวใจปกติ หายใจได้ปกติ แต่เราต้องรีบย้ายเตียงเขาออกแบบฉุกเฉินเลยนะคะ ที่ชานเมืองซึ่งเป็นจุดรวมคนที่อพยพจะมีหมอรอตรวจอาการอยู่ค่ะ” พยาบาลสาวกวักมือเรียกพนักงานเข็นเตียงให้เข้ามาเคลื่อนย้ายเขาโดยไว พี่ชายเฮนรี่ทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่พยายามบอกให้เขาอยู่นิ่งๆ ไม่นานนักทั้งพยาบาล พี่ชายเฮนรี่ และตัวเฮนรี่ก็ทิ้งพวกเราไว้ในห้องพักว่างเปล่าตามลำพัง



    “แล้ว ใครพอจะคิดอะไรออกบ้างไหม?” ไซม่อนถาม



                                   “ฉันว่า ฉันพอจะปะติดปะต่อได้บ้างนะ” ผมพูด “เอ็มมิลี่ เพื่อนของพวกเธอก็คือลูกสาวของพี่ชายเฮนรี่ ย้อนไปตอนที่เขาประสบอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน ภรรยาของเขาหนีไปใช่ไหม เฮนรี่คิดว่าลูกสาวของเขาก็คงจะตามไปด้วย แต่ไม่ใช่ เอ็มมิลี่ยังอยู่กับพ่อ เธอไม่ได้ย้ายไปไหน”



                                   “ใช่ โซอี้พยักหน้าเห็นด้วย” คิดดูดีๆ ก็มีช่วงนึงนะ ที่เอ็มดูเหมือนจะเศร้าๆ ตอนแรกเราก็คิดว่าเธอเศร้าเพราะน้ำหนักขึ้น แต่พอนานวันเข้าเธอก็ยังเศร้าอยู่ เอ็มไม่เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ มันจะต้องเป็นช่วงที่พ่อของเอ็มประสบอุบัติเหตุแน่ๆ”



                                   “ช่วงแรกที่พี่ชายเฮนรี่ยังมีสติ เอ็มก็ขอย้ายมาอาศัยคนเดียวอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ซึ่งพ่อเธอเป็นเจ้าของซึ่งก็คืออพาร์ทเม้นท์ของฉันเอง เพราะงั้นในห้องน้ำถึงได้ยังมีของของเอ็มเหลืออยู่ ถ้าเดาไม่ผิด เอ็มก็เคยนอนอยู่ในห้องที่ฉันนอนนี่เหละ แล้วพอหลังจากที่พ่อของเอ็มเข้าขั้นโคม่า เฮนรี่ก็เลยไม่รู้ว่าเอ็มยังคงอยู่ในเมือง”



    “งั้นเฮนรี่กับนายก็ย้ายเข้ามาโดยที่ไม่รู้ว่าเอ็มมิลี่อยู่ห้องนั้นมาก่อน” ไซม่อนทวน



                                   “เฮนรี่คงไม่รู้หรอก เขาอาศัยอยู่ในห้องนั้นคนเดียวตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่ ก็เลยไม่คิดว่าจะมีคนอื่นมาอาศัยตลอดเวลาที่เขาย้ายไปอยู่อีกเมืองนึง” ผมกล่าว “แล้วก็คงจะเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง เอ็มมิลี่ถึงได้ตัดสินใจจัด ปาร์ตี้เปิดโปงความลับของรอยยิ้ม ที่ตึกหลังนั้น เพราะเอ็มก็อาศัยอยู่ที่นั่นเหมือนกัน ดูท่าหลังจากปาร์ตี้ครั้งนั้น เอ็มก็หายตัวไป คงมีใครบางคนแอบเข้ามาเก็บของของเอ็มไปด้วย และมันคงลืมไปเก็บของในห้องน้ำแน่ๆ”



                                   “เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง” เมแกนพูด “เพราะแบบนี้หลังจากที่เอ็มหายตัวไป พ่อของเอ็มถึงไม่เคยออกตามหาเธอเลย เพราะเขานอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาลนี่มาตลอด”




    “นี่เธอว่ามันจะเป็นได้ไหม?” ผมครุ่นคิด “ที่อาจจะมีหลักฐานอะไรหลงเหลืออยู่ในห้องของฉันน่ะ”




    “หลักฐานประเภทไหน?” ไซม่อนถาม                               

     
                                “ก็
    ความลับของรอยยิ้มไงความลับที่เอ็มเอาไปเปิดโปงในงานปาร์ตี้ครั้งนั้นน่ะ” ผมกล่าวด้วยความตื่นเต้น “จะต้องมีแน่ๆ ตลอดเวลาฉันไม่เคยค้นห้องตัวเองดูเลยนี่นา”



    “เฮ้แมต อย่าบอกนะว่า” ไซม่อนเหมือนจะรู้ความคิดผม



    “ฉันจะไปจะกลับไปในอพาร์ทเม้นท์นั่น คืนนี้!



    “ไม่!” โซอี้ปฏิเสธเสียงดัง “คนขับรถไม่อยู่รอให้เราค้นของพวกนั้นเสร็จหรอก!



    “อีกอย่าง ไม่เห็นหรือไงว่าพวกคนบ้าเต็มไปหมด นายถูกพวกนั้นกินแทนอาหารค่ำแน่ๆ!” เมแกนปฏิเสธอีกคน


     
                           “ก็เพราะแบบนั้นไง ถึงต้องเป็นคืนนี้
    ! ถ้าพวกคนบ้าขึ้นไปทำลายห้องฉันก่อน หลักฐานทุกอย่างก็จะหายไป อีกอย่างนะ โซอี้ ดูเหมือนตอนที่ฉันชะโงกลงไปดูข้างล่างจากหน้าต่างเมื้อกี้ คนขับรถคงไม่รอเราแล้วล่ะ



    “ว่าไงนะ!! สามสาวรีบวิ่งไปดูที่หน้าต่างอย่างพร้อมเพรียง “บ้าจริง!



    “จะเอาไงล่ะ?”ผมถาม

     

                                  ทุกคนมองหน้ากัน ความเงียบเข้าครอบงำ เหลือเพียงเสียงของหัวใจที่เต้นดังกลองรัว กลบแม้แต่เสียงสายฝนและความเย็นที่บาดจิต ท้องฟ้ายังคงไม่มีทีท่าจะผ่อนความรุนแรงของพายุ เหมือนที่พวกคนบ้ายิ่งเพิ่มความบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งเหตุการณ์ร้ายๆ ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
    อย่างที่ผมได้บอกคุณ บางครั้งคนเราก็พบโลกใบใหม่ได้เสมอๆ

     

    และวินาทีต่อจากนี้ โลกใบใหม่ที่พวกเรากำลังจะเผชิญ อาจจะน่ากลัวเกินที่ใครจะบรรยายได้



    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ติดตามตอนต่อไป








    ตอนหน้า.... เตรียมพบกับความจริง! ใครกันแน่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของรอยยิ้ม!
    และความลับของรอยยิ้มคืออะไร
    เตรียมตัวหรือยังกับบทสรุปสุดระทึก!





    โพล144269








    ป.ล. อย่าลืมทำโพลนะครับ
    มาโหวตกันว่า ท่านคิดว่าใครกันแน่ ที่เป็น 'รอยยิ้ม'





     
    KiT Ta
    THE'KITTA .

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×