ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dark Tales นิทานก่อนตาย

    ลำดับตอนที่ #13 : กักบริเวณท้ายชั่วโมงที่ 3 :: แม่มด VS ผม

    • อัปเดตล่าสุด 19 ส.ค. 55



     

     






     ขับช้าๆหน่อย!”

     

    ผมต้องชะลอความเร็วรถตามคำสั่ง แม้ว่ามันจะฟังดูขัดกับสถานการณ์ตอนนี้ก็ตาม.... เนื่องจากกลุ่มเด็กตัวเล็กๆเป็นสิบคนกำลังเดินข้ามถนนไปมาเป็นว่าเล่น พวกเขาแต่งตัวเป็นสัตว์ประหลาดชนิดต่างๆ แล้ววิ่งไปขอลูกอมและช็อกโกแลตตามบ้านคน 

     

               ผมมองดูบ้านแต่ละหลังที่ถูกตกแต่งด้วยโคมไฟสีส้ม หัวฟักทอง และของน่ากลัวๆ ต่างๆ ที่ผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นทำให้ผมหวนนึกถึงสมัยเด็ก สมัยที่ตัวเองวิ่งไปขอขนมจากบ้านคุณนายนอริส เธอมักอบคุกกี้เองแล้วแจกให้เด็กกินเป็นประจำ แน่นอนว่าวันฮาโลวีน เด็กทุกคนในเมืองรู้ว่า หากอยากกินคุกกี้ที่อร่อยที่สุดในโลกในวันฮาโลวีนละก็ ให้วิ่งไปต่อแถวที่บ้านคุณนายนอริส... 

     

              เด็กๆทุกคนชอบเธอ และขนมของเธอ จนกระทั่ง... วันนึงที่สามีของเธอเกิดคลั่ง เขายิงลูกสาวสองคนเสียชีวิตในบ้าน และคุณนายนอริสถูกทำร้ายปางตาย ว่ากันว่าเธอกลายเป็นโรคจิตเภท แยกตัวเองจากสังคม ไม่พูดคุยกับใคร... และเมื่อถึงคืนฮาโลวีนปีต่อมา  เธอก็ออกมานั่งหน้าบ้าน ตั้งถ้วยคุกกี้ใบใหญ่ไว้บนตัก และเตรียมแจกมันให้กับเด็กๆ... แน่นอนว่าทุกคนดีใจไปต่อแถวรอคุกกี้ของเธอ ผมเองก็เช่นกัน โชคร้ายที่มาช้า ประกอบกับโดนเด็กคนอื่นแซงแถวบ่อย จึงได้อยู่ท้ายแถว... หลังจากรออยู่นาน ในที่สุดก็ถึงผมเสียที  แต่ทว่า... เธอบอกผมด้วยเสียงอันแผ่วเบา หมดแล้วจ๊ะ...  แน่นอนว่าผมเสียดายสุดขีด เธอยิ้มให้ผมเล็กน้อย เหล่าเด็กๆที่อยู่หลังผมก็แตกแถวกันไป ส่วนผมยังยืนอยู่หน้าเธอ จ้องมองเธอ สายตาเธอดูเศร้า โดดเดี่ยว... ในตอนนั้นเองที่เธอหยิบปืนที่ซ่อนไว้หลังเก้าอี้  จ่อขมับตัวเอง และลั่นไก! เลือดกระเซ็นโดนตัวผมอย่างจัง เสียงปืนที่ดังลั่นและภาพเหล่านั้นทำให้ผมสลบลงหน้าบ้านเธอ...  

     

              วันรุ่งขึ้น ผมก็ได้ยินข่าวที่สุดแสนจะน่าตกใจ  คุกกี้ที่เธอแจกในคืนนั้นสารที่มีอันตรายไว้ เด็กที่กินเข้าไปจึงต้องเข้าโรงพยายาบาลอย่างแร่งด่วน ส่วนใหญ่รอด มีเพียงเด็ก 13 คนเท่านั้นที่เสียชีวิต เนื่องจากไม่มีใครพาพวกเขาส่งโรงพยาบาล  หลังจากนั้นไม่นาน... ว่ากันว่า... ผู้คนยังคงเห็นเธอนั่งแจกคุกกี้อยู่หน้าบ้าน ด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น และรอยแผลตรงขมับอันน่าสยดสยอง..   และ.... เอ่อ... ผมสาบานได้เลยว่าเมื่อกี้ตอนที่ผมขับผ่านหน้าบ้านของคุณนายนอริส... ผมคิดว่า... ผมเห็นเธอ...

     

    สถานีตำรวจต้องไปอีกแยกนึงไม่ใช่หรือไง!?ลิลลี่ถาม  ผมมองเธอแวบนึงก่อนจะหันกลับมาดูเส้นทางต่อ  

     

    สถานีตำรวจอยู่อีกใกล... ถ้าเราไปคงไม่ทันแน่ แถมไม่รู้เขาจะเชื่อเราหรือเปล่า...

     

    งั้นเธอจะไปที่ไหน?...

     

              “ฉันรู้จัก....เอ่อ.... เจ้าหน้าที่คนนึง เราใกล้จะถึงบ้านของเขาแล้ว และฉันคิดว่าเราไว้ใจเขาได้.. ผมตอบ พลางลดความเร็วอีกเพื่อสอดส่องหาบ้านของเจ้าหน้าที่เดฟ ผมพักอยู่ที่นั่น... บ้านของเขาเป็นบ้านสองชั้นธรรมดาทั่วไป หลังคากระเบื้องสีน้ำตาล  สวนหน้าบ้านมีดอกคาร์แนชั่นขาวปลูกอยู่ บ้านที่ติดกันมีต้นแอปเปิ้ลขนาดใหญ่ ซึ่งเหี่ยวแห้งตามฤดูกาล บ้านของเขาหาง่ายมากเพราะมันเป็นหลังเดียวที่ไม่มีการตกแต่งใดๆเลย 

     

              “หลังนี้ล่ะ... ผมกล่าวสั้นๆก่อนจะจอดรถเทียบถนน เปิดประตูและก้าวขาลง ผมแสบแผลที่ขาเล็กน้อย ลิลลี่ตามลงมา เธอมองดูบ้านด้วยสีหน้าประหลาดใจ ผมเองก็เช่นกัน เสียงฝีเท้าของเราสองคนเหยียบลงบนใบแห้งดังกรอบแกรบ เมื่อถึงหน้าประตูบ้าน ผมเคาะประตูแล้วเรียกชื่อเขา ส่วนลิลลี่รออยู่ตรงชานบันใด ผ่านไปสักพักผมถึงคิดได้ว่าเขาให้กุญแจสำรองไว้... ผมจึงไขมันแล้วเดินเข้าไป

     

              มันค่อนข้างจะรู้สึกแปลกๆที่ถือวิสาสะเดินเข้าบ้านของคนอื่น แม้ผมจะพักอยุ่ที่นี่ได้ประมาณหนึ่งคืนก็ตาม ภายในบ้านมีสิ่งของตกแต่งราคาแพงมากมาย ผนังไม้ก็ใช่ว่าจะถูกๆ ของทุกอย่างถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อย (อันที่จริง ผมจัดของให้เขาเองเหละ หากคุณเห็นสภาพบ้านเขาในตอนแรกที่ผมเข้ามาละก็ พูดได้ว่า ตรงไหนคือพื้น ผมก็ยังไม่รู้เลย..)

     

              เราตรงเข้าไปยังห้องนั่งเล่น เตาผิงมีไฟคุกรุ่นอยู่  เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ก็พบชายอายุสามสิบต้นๆ กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟากำมะหยี่ เขาเหมือนกำลังละเมอ ส่ายตัวไปมาก่อนจะสะดุ้งขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับทำท่าเหมือนจะชักปืนออกจากเอวของเขา (แม้มันจะไม่มีก็เหอะ)  เราสองคนมองดูตำรวจหน้าตาดีที่เพิ่งจะถูกคนจับได้ว่าละเมอยืนทำท่าเล็งปืนค้างไว้

     

              “พวกเธอ...  เอ่อ .... แมต .... กลับมาแล้วสินะ เขาแก๊กท่าขรึมทันทีเมื่อสังเกตเห็นลิลลี่ยืนอยู่ข้างหลังผม ฉันนึกว่าเธอยังอยู่ที่งานฮาโลวีนซะอีก... แล้วนี่...  เธอพาเพื่อนมาด้วย...เขามองลิลลี่หัวจรดเท้าแล้วพบว่าเธอสวยมากๆ ฉันนึกว่าเธอจะชอบผู้ชายด้วยกันซะอีก

     

              ลิลลี่หันควับมาทางผมอย่างเร็ว....  ตายล่ะ... เขายังคิดแบบนั้นอยู่อีกเหรอเนี่ย แต่ยังไงก็ตาม ผมบอกสาเหตุจริงๆที่ออกมาจากบ้านไม่ได้อยู่ดี จึงต้องพยายามเปลี่ยนเรื่อง

     

              เดฟ... คุณต้องช่วยพวกเรา!!...  ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ในที่สุดเราต้องเสียเวลาสิบนาทีในการเล่าเรื่องย่อๆทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขานั่งฟัง.... แต่ดูสีหน้าก็รู้ว่าเขาไม่เชื่อเราเลย คงคิดว่าเราแต่งเรื่องหลอกเขาเล่นด้วยซ้ำ!

     

              “เธอจะบอกว่า... แม่มดที่ทำร้ายเธอในคืนนั้น... ฆ่าเพื่อนเธองั้นหรือ?  ผมพยักหน้าตอบ   ในโรงเรียนที่มีนักเรียนเป็นพันคนอยู่เนี่ยนะ?.... เขากล่าวด้วยน้ำเสียงคลางแคลงใจอย่างรุนแรง ผมพยายามกล่อมเขาให้เชื่อ ไม่ว่าจะให้ดูบาดแผลตามตัว หรือรอยเลือดต่างๆที่เปื้อนเสื้อก็ตาม  เขาพยายามพิสูจน์ว่านั่นไม่ใช่ของปลอม ด้วยการเอานิ้วแตะรอยแผลของพวกเรา 

     

              “พูดตามตรงนะ... ฉันทำงานสืบสวนคดีมาเยอะ ศพคนก็เคยเห็นทุกรูปแบบ เลือดก็เห็นจนชินตา แต่เลือดของเธอ.... แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เลือดจริง... เขากล่าว สายตาจ้องเขม็ง  ผมกลอกตา นี่เขาแยกกลิ่นเลือดของจริงๆ หรือแค่พูดเพราะไม่เชื่อเรากันแน่?...   ฉันหมายถึง... เลือดของเธอ... แมต มันเป็นของจริง... แต่เอ่อ...  ของเพื่อนเธอมันไม่ใช่.. 

     

              ลิลลี่ย่นหน้าผาก เธอแปลกใจ และบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผมก็คิดเช่นนั้น แผลที่หลังของเธอมันชัดเจนมาก ดูก็รู้ว่าของจริง.. ผมเห็นตอนที่แม่มดฟาดขวานลงตรงหลังเธอ เห็นตอนที่เลือดซึมออกจากผิวหนังด้วยซ้ำ!..

     

              “ยังไงก็ตาม... ฉันเองก็เพิ่งตื่น อาจจะยังเพลียๆอยู่ ถึงเรื่องที่เธอเล่าจะไม่ค่อยน่าเชื่อเลยก็เถอะ... ฉันจะลองไปตรวจที่โรงเรียนเธอดู.. เขาขยี้ตา ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะ.. เอ้อ! แมต  เมื่อสามสิบนาทีที่แล้วฉันได้รับการติดต่อจากแม่ของเธอ... แม่เขาอยากคุยกับเธอมาก บอกให้รีบโทรกลับด้วย

     

    อะไรนะ!!  แม่เหรอ?  แต่นั่น....... เป็นไปไม่ได้ ?

     

              “นี่ไงแม่เธอโทรมาพอดีเลย.. เขายื่นโทรศัพท์ที่กำลังสั่นให้ผม สายตาเขาดูเหมือนกำลังเห็นใจ ฉันเข้าใจว่าเธอกับแม่มีปัญหากัน แต่... เธอควรคุยกับท่านนะ..  เธอหายไปตั้งสัปดาห์ คนเป็นแม่ย่อมเป็นห่วงอยู่แล้ว  ฉันรู้สึกได้เลยตอนที่คุยกับท่าน...

     

    ผมยื่นมือไปรับโทรศัพท์มือถือแล้วแนบมันลงบนหูช้าๆ  ฮัลโหล....

     

    ลูกรักเสียงนั้นดังมาตามสาย... 

     

    แม่....

     

     

     




    แม่มดน่ะสิ!!!

     

              จะบ้าเรอะ!!  เสียงนี่มันแม่มดชัดๆ!! จะมีใครในโลกที่พูดเพียงสองคำก็ทำให้ขนลุกซู่ได้อีกล่ะ...  ผมนั่งฟังเสียงแหลมๆอันเป็นเอกลักษณ์กล่าวทักทายด้วยความเริงร่า

              “แก!! ต้องการอะไร ผมพูดเสียงแข็ง เจ้าหน้าที่เดฟมองผมตาถลึงเหมือนกับจะบอกว่า เธอไม่ควรพูดกับแม่แบบนั้นนะผมจึงต้องกดปุ่มเปิดเสียงโทรศัพท์ดังๆเพื่อให้เขารู้ และทันทีที่ลิลลี่ได้ยินเสียงแม่มด เธอก็สะดุ้งลุกขึ้นจากโซฟาทันที..

     

    ในที่สุด... ก็มาถึงเกมสุดท้ายของเรา ซิลเดอเรลล่าตัวน้อยของฉัน

     

    แก!... แกทำอะไรกับเจนเซ่น.. ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว

     

              “ถ้าอยากรู้ก็เล่มเกมกับแม่เลี้ยงใจร้ายคนนี้ก่อนสิจ๊ะ..... ผมหันไปมองเจ้าหน้าที่เดฟ เขากำลังตั้งใจฟังเสียงในโทรศัพท์พร้อมกับกระซิบบางอย่าง  ฉันต้องใช้โทรศัพท์ที่ชั้นสอง บอกให้เพื่อนที่ส.น. หาที่อยู่ของคนที่ติดต่อมา เธอต้องถือสายถ่วงเวลาไว้ก่อน! ห้ามวางสายเด็ดขาดนะ!!” เขาเดินออกไป ผมพยักหน้ารับก่อนจะหันมาพูดต่อ 

     

    เกมอะไร?

     

    ได้ยินว่า.....  เธอชอบหนังสยองขวัญมากใช่ไหมเอ่ย? แม่มดพูดน้ำเสียงยียวน งั้นเธออาจเคยได้ยินเกมนี้

     

    ก็รีบบอกมาสิ!...เลิกลีลาซะที

     

    บ้านหลังนี้.. มีประตูเข้าออกอยู่สองบาน...

    ประตูหน้า...

    และประตูหลัง   

    ทายมาซิ......

     

    ว่าฉันอยู่ประตูไหน!!!!?

     

     

     

    ผมกับลิลลี่ตัวแข็งทื่อ เรามองหน้ากัน.... มันอยู่... ที่นี่... 

     

    ว่าไงล่ะ? แม่มดถาม

     

              “วิ่งขึ้นไปบอกเจ้าหน้าที่เดฟเร็ว!” ผมกับลิลลี่ออกตัววิ่ง เราออกจากห้องนั่งเล่นไปสู่ทางเดิน ผมสลับมองประตูหน้าและหลังด้วยอย่างตื่นเต้น แม่มดอยู่หลังประตูใดประตูหนึ่ง! ผมบอกให้เธอวิ่งขึ้นไปก่อน..

     

              “ตอบมาสิจ๊ะ...... เด็กน้อย แม่มดเร่งเร้า ผมไม่ตอบ แต่เดินไปเช็คที่ประตูหน้าช้าๆ พยายามมองผ่านกระจกข้างๆ แต่มันเบลอเกินไป ผมจึงเอาหูแนบกับประตู... เสียงลมพัดหวีดหวิวดังอื้ออึงจากข้างนอก ไม่มี... ถ้างั้น... ประตูหลังเหรอ!?...   ผมวิ่งไปที่ประตูหลังซึ่งเป็นห้องครัว  เอาหูแนบประตูอีกรอบเพื่อฟังเสียง...  

     

              “อย่ามาหลอกซะให้ยาก! ฉันรู้ว่าแกไม่ได้อยู่ที่ประตูหน้าหรือหลังทั้งนั้นเหละ!” ผมบอกแม้จะไม่แน่ใจเลยแม้แต่นิดก็ตาม ขอให้ถ่วงเวลามันได้สักนาทีก็ยังดี..

     

             ถูกต้อง!!!!!!!!!” นั่นไม่ใช่เสียงที่ดังมาจากโทรศัพท์!!  มันดังมาจากชั้นบน!! ผมได้ยินเสียงลิลลี่กรีดร้อง พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งลงบันใดมาอย่างรวดเร็ว

     

    ฟิตซ์ !!!” ลิลลี่เลี้ยวตัวเข้ามาในครัว ปิดประตูครัวเลย!!!”

     

              เสี้ยววินาทีก่อนที่ประตูจะปิดลง ผมเห็นใบหน้าของแม่มด... มันวิ่งตรงเข้ามา!!  ลิลลี่กระแทกประตูปิดเสียงดังก่อนที่เธอจะล็อกมันอย่างรวดเร็ว  เราทั้งคู่หอบเสียงดัง ไม่นึกไม่ฝันว่าแม่มดจะตามมาได้   มันอยู่ในบ้าน!!.... เรารีบออกไปทางข้างหลังดี......

     

    ปัง!!!

     

              แม่มดวิ่งอ้อมมายังหลังบ้านแล้วพังประตูเข้ามา!! เราทั้งคู่รีบกระโดดหลบ ก่อนที่มีดเล่มยาวจะพุ่งเข้าเสียบประตูไม้พอดี... ผมคลานไปหยิบแผงมีดที่ตั้งไว้บนเคาน์เตอร์ข้างอ่างล้างจาน เลือกอันที่ยาวที่สุด แม่มดเห็นดังนั้นจึงเงื้อมีดเข้าหมายขัดขวาง  แต่ลิลลี่ที่อยู่อีกด้านหยิบจานในตู้ขว้างใส่แม่มดไม่ยั้ง!! หญิงชราเอามือปัดป้องจานใบหนักที่ปลิวว่อนกระทบผนังอย่างแรงดัง เพล้ง!

     

              ผมได้โอกาส ยันตัวลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่ประตูสู่ทางเดินในบ้าน ขณะเดียวกันลิลลี่วิ่งออกไปข้างนอก แม่มดมองเราทั้งสองคนก่อนจะตัดสินใจวิ่งตามลิลลี่ไป เธอกรีดร้องเสียงดัง ผมจึงวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้านสุดแรง เมื่อไปถึงลิลลี่ก็อ้อมมาถึงหน้าบ้านพอดี

     

              ฟิตซ์!! ออกมาจากบ้านเร็ว!!” เธอตะโกน ผมพยายามเปิดประตู แต่เปิดไม่ออก?  ยิ่งออกแรงประตูก็ยิ่งติดแน่น กลอนมันเสีย!! บ้าจริง!! ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งจะตระหนักได้ว่า แม่มดไม่ได้ตามลิลลี่ที่อยู่ข้างนอก เพราะเสียงฝีเท้าหนักวิ่งตรงมาทางข้ามหลัง!!

     

    ตาย!!!”

     

              หญิงชราหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เผยให้เห็นเขี้ยวแหลมในปากกระทบกัน ผมรีบหลบมีด เธอไม่ยอมแพ้กระโจนเข้าใส่ตัวผม มันพุ่งปลายมีดลงตรงคอหอย ผมเตะเข้าที่ท้องจนเธอหงายหลัง จากนั้นก็ลุกขึ้นวิ่งไปยังหลังบ้าน แต่แม่มดเอื้อมมือมาจับขาไว้จนผมล้มลง เธอจับข้อเท้าแน่น ผมดิ้น หญิงชราพยายามจ้วงมีดเข้าที่ขาแต่พลาดในครั้งแรก ครั้งที่สองไม่ได้โดนตรงๆ แต่มันบาดเนื้อของผมลึกมาก เลือดสีแดงสดไหลออกมาตามปากแผล แม่มดร้องดีใจจนกลบเสียงอันเจ็บปวดของผม... ลิลลี่วิ่งอ้อมมาทางหลังบ้าน เธออุ้มกระถางต้นไม้ดินเผาเข้ามามา พร้อมกับทุ่มมันลงบนหัวแม่มด

     

    กิน....นี่....ซะ!!!”

     

              แม่มดหน้าแนบพื้นตามแรงกระแทก เศษดินกระจายไปทั่ว ลิลลี่รีบพยุงผมขึ้น เธอรีบลากให้ผมออกทางด้านหลัง แต่ผมปฎิเศษ ผมจะขึ้นไปหาเจ้าหน้าที่เดฟ... เขายังอยู่ข้างบน  ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเท่าไหร่ ถ้านี่เป็นหนังสยองขวัญละก็ คนดูจะต้องด่าผมในใจว่า ไอ้โง่เอ้ย!! วิ่งหนีออกไปนอกบ้านตั้งแต่แรกก็จบ จะไปมัวห่วงคนอื่นอีกทำไม? เป็นผมเองผมก็คงคิดแบบนั้น... แต่นี่ไม่ใช่หนัง.. นี่มันเรื่องจริง.. และเจ้าหน้าที่เดฟที่อยู่ข้างบนก็เป็นคนจริงๆ ผมจะวิ่งออกไป แล้วทิ้งเขาไว้ไม่ได้ ต่อให้เขาอาจจะโดนเชือดไปแล้วก็เหอะ

     

              ลิลลี่ไม่เห็นด้วยอย่างแรง  แต่ผมบอกให้เธอหนีออกไปก่อน วิ่งออกไปหาคนช่วย.. เธอมองผมสลับกับร่างของแม่มดที่สลบแน่นิ่งบนพื้นทางเดิน หญิงสาววิ่งออกไปอย่างไม่เต็มใจ ผมยืนนิ่งอยู่สักพัก ไม่แน่ใจว่าแม่มดจะสลบอีกนานไหม... ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ร่างของเธอ

     

    ตาย!!!!!”

     

              แม่มดเงยหน้าจากพื้นพร้อมกับหวีดร้องเสียงดัง ด้วยความตกใจผมฟาดเท้าเข้าที่ใบหน้าเธอเต็มๆหนึ่งที หญิงชรากลับไปสลบดังเดิม... ผมไม่สนเธอแล้วรีบเดินขึ้นบันใดไปชั้นสอง ซึ่งมีห้องนอนอยู่สองห้อง ของเขาและของผม... ภายในบ้านเงียบสงัด กลิ่นไอของความอันตรายยังคุกรุ่นอยู่ ผมเปิดประตูห้องของตัวเอง ซึ่งมีของอยู่น้อย จากนั้นก็ตรงไปยังห้องนอนของเขา ผมผลักประตูเข้าไปอย่างแรง...

     

    ไม่มี...

     

              เขาอยู่ไหน... ผมมองหาทั่วห้อง บนเตียงยังคงถูกจัดไว้เรียบร้อย เหมือนไม่มีคนมาแตะมันเลย  เขาบอกว่าขึ้นมาชั้นสองนี่นา?.. หรือโดดไปทางหน้าต่างแล้ว?.. ผมมองผ่านหน้าต่างลงไป มีเพียงพื้นหญ้าเหี่ยวๆ และใบไม้กรอบแห้งสีน้ำตาล  ผมเดินออกไปจากห้อง ตรงไปที่บันใด...


    แม่มดหายไปแล้ว!!

     

              ผมชะโงกหน้าออกไปดู อันที่จริงผมน่าจะหยิบมีดแทงเธอซะ แทนที่จะแค่ถีบหน้าเฉยๆ... ผมตื่นเต้นจนไม่มีเวลาคิดเรื่องแบบนี้

     

               “แมต....  เสียงเย็นๆดังขึ้นข้างหลัง ผมตกใจรีบหันไป!... เขาคือเจ้าหน้าที่เดฟ.. ผู้ซึ่งตอนนี้ยืนเซไปมา บนหน้าเขามีเลือดใหลลงมาจากหัว ผมรีบเดินไปหาเขาพร้อมกับช่วยจับตัวไม่ให้ล้ม คุณโอเคไหม

     

    เขามองผมนิ่ง สีหน้าดูเลื่อนลอย แต่ผมกลับรู้สึกแปลกๆ แปลกมาก...  คุณไปอยู่ไหนมา เมื่อกี้ผมหาคุณไม่เจอ

     

    ฉัน... เอ่อ อยู่ในห้อง เขาตอบ สายตายังคงจับจ้องมาที่ตัวผม

     

              “ไม่... ผมเข้าไปดูในห้องแล้ว ผมไม่เจอคุณ...   แล้วยิ่งกว่านั้น เท่าที่ผมดูในห้องแล้ว มันไม่มีโทรศัพท์นี่?.. ไหนคุณว่าจะขึ้นมาโทรศัพท์ไง...?

     

              “ฉัน...  ฟังนะ   คือฉันลืมไปว่าโทรศัพท์มันเสียฉันก็เลยทิ้งมันไปแล้ว เพราะไม่ค่อยได้ใช้น่ะ เขาอธิบาย เมื่อกี้ตอนฉันขึ้นมาข้างบน.... มีคนเอาอะไรไม่รู้ตีหัวฉัน ฉันก็เลยสลบ พอรู้สึกตัวอีกทีก็ถูกหมกอยู่ในตู้เสื้อผ้าห้องตัวเองน่ะ… ” เขาเดินเข้ามาใกล้  แต่ผมถอยกลับ

     

              “ทำแบบนั้นหมายความว่ายังไง? เขาถามเสียงเบาพร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้อีก ความรู้สึกบอกให้ผมรีบถอย เขาจึงยิ่งรุกเร้าเข้ามาใกล้  เธอกลัวอะไร…”  ผมมองตรง และยืนนิ่ง...

     

    อย่าเข้ามาใกล้นะ!!” ผมตะโกน

     

    ทำไมฉันถึงเข้าใกล้เธอไม่ได้!!..... เขาขึ้นเสียงพร้อมกระชากแขนอย่างแรง

     

    ปัดโถ่เว้ย!!! ผมไม่ได้หมายถึงคุณ.. ข้างหลังคุณต่างหาก!!!”  แม่มดโผล่ออกมาจากประตูห้องนอนของผม มันตรงมาที่เจ้าหน้าที่เดฟ พร้อมกับเสียบมีดเข้าที่แขน เจ้าหน้าที่เดฟร้องเสียงดัง! แต่เขาชกแม่มดกลับ แม่มดไม่สะทกสะท้าน มันจิกผมเขาแล้วเขกหัวกับผนังอย่างแรง จากนั้นก็แทงเข่าเข้าที่ท้องจนชายหนุ่มล้มลง ผมยืนมองเหตุการณ์ด้วยความตกใจ แม่มดตรงเข้ามาหาผมทันที แต่ผมใช้ขาถีบเข้าก่อนที่เธอจะมาถึงตัว แม่มดพุ่งเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ผมหลบ แม่มดจึงวิ่งเลยไปข้างหน้า ผมผลักเธอซ้ำจนเธอหัวคะมำลงไป ผมรีบเข้าไปดูอาการของเจ้าหน้าที่เดฟ เขายังไม่ตาย!!

     

              “อ... เอานี่ไปชายหนุ่มพูดเสียงแหบอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาล้วงเข้าที่เอว เผยให้เห็นปืนพก แต่ยังไม่ทันจะมอบให้ผม เขาก็หยิบมันขึ้นมา ยิงผ่านหัวผมไปหนึ่งนัด

     

    ปัง!!!

     

               เสียงของแม่มดล้มลงข้างหลัง ผมหันไปดู... ร่างนั้นแน่นิ่งไป...เธอถูกยิง!...  ผมรับปืนมา เล็งที่แม่มดเพื่อดูท่าที เผื่อเธอจะยังไม่ตาย..

     

    กรี๊ดดดดดดด!!!!”

     

              เหมือนในหนังสยองขวัญเป๊ะ! ฆาตกรมักจะมีก๊อกสองเสมอ ดังนั้นกฎข้อสุดท้ายของหนังทุกเรื่องก็คือ ให้ยิงที่หัว!”  ผมกระหน่ำลั่นไกมั่วๆ สาดกระสุนใส่ร่างของแม่มด เธอชักกระตุกเหมือนโดนไฟช๊อตก่อนจะล้มลงตรงบันใดพอดี ร่างนั้นไถลลงตามขั้นบันไดดัง กึก.. กึก.. กึก.. กึก.. กร๊อบ!...

     

              ผมมองสภาพของเธออย่างน่าเวทนา คอที่พับลงจนดูเหมือนไม่มีกระดูก ดวงตามันยังคงเบิกโพลงและจ้องเขม็งขึ้นมา ผมรีบเข้าไปหาเจ้าหน้าที่เดฟอีกครั้ง เขาอาการหนัก แผลที่หัวทำให้เขาเสียเลือดมากเกินไป เขากำลังจะสลบ.. ผมแทบจำไม่ได้แล้วว่าผมวางโทรศัพท์ไว้ที่ไหน  อาจจะอยู่ในห้.....

     

    ครืดดดดด

     

              ผมหันควับไปดูตรงบันใด  แม่มดเธอยังไม่ตาย และตอนนี้กำลังใช้เล็บแหลมจิกลงบนบันใดไม้ ลากตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  ผมรีบหยิบปืนขึ้นมายิงอีกครั้ง.. แต่กระสุนหมด ในที่สุดแม่มดก็ลุกขึ้นยืน เธอยิ้มและเดินขึ้นมาตามขั้นบันใดอย่างช้าๆ สายตาบ่งบอกว่าผมไม่มีทางฆ่าเธอได้!! และไม่มีทางหนีไปไหนได้!!

     

             มามะ!!” เสียงของแม่มดฟังดูแปลก ฟังคล้ายกับเสียงของผู้ชายและผู้หญิงหลายเสียงพูดพร้อมๆกัน ผมพยายามมองหาช่องทางหนี  แต่ไม่มี!! ผมติดอยู่บนชั้นสองนี่!... แม่มดเดินขึ้นมาใกล้เรื่อยๆ  ในที่สุดผมเงยหน้าขึ้นมองข้างบน แล้วพบว่ามีเชือกและประตูให้ขึ้นไปบนห้องใต้หลังคา... ผมรีบดึงเชือก ประตูเปิดออก และบันไดเหล็กสั้นๆก็หล่นลงมา ผมปีนขึ้นไปโดยไม่ลังเล  

     

              ห้องใต้หลังคานั้นมืดมาก ผมมองไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงเงาลางๆที่พอจะทำให้รู้ได้ว่าในห้องเต็มไปด้วยของเก่าๆมากมาย ผมมองหาของที่พอจะเป็นอาวุธได้ ข้างตัวผมมีไม้เบสบอลอันใหญ่พอดี ผมหยิบมันขึ้นมา ก้มมองลงดูตรงบันใด แม่มดกำลังปีนขึ้นมา!! ผมจึงใช้ไม้กระทุ้งให้เธอลงไป แม่มดกรีดร้องแล้วลื่นตกลงไป เธอกัดฟันกรอดๆ จากนั้นก็เดินหายไป...

              ผมมองดูเหตุการณ์สักพัก แม่มดเดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับที่เขี่ยเตาผิงด้ามยาวปลายแหลม เธอแทงมันขึ้นมาบนเพดานอย่างแรงจนปลายเหล็กทะลุเพดานไม้ขึ้นมาละเสียบเข้าที่มือผมพอดี ผมร้อง.. พยายามขยับมือ แต่ขยับไม่ได้เนื่องจากมันถูกยึดให้ติดกับพื้น แม่มดเห็นดังนั้นก็ยิ้มเยาะ มันเดินขึ้นบันไดมา ผมมองแม่มดที่ขึ้นมาถึงห้องใต้หลังคา เธอวิ่งมา!!  ผมใช้มืออีกข้างหยิบไม้เบสบอลฟาดจนเธอล้มลง แม่มดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวด ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องดึงมือตัวเองออกจากเหล็กที่เสียบอยู่ เมื่อผิวหนังรู้สึกถึงเหล็กที่กำลังเคลื่อนตัวออกไปเสียดสีกับแผล ความรู้สึกเจ็บปวดก็แล่นเข้ามา

     

             ตา...ตา...ตา...ตา...ตา...ตา..ตา...ตา..ตา.ต.ตา..ตาย!!!” หญิงชราส่งเสียงแปลกๆเหมือนซีดีหนังที่แผ่นสะดุด เธอลุกขึ้นเดินด้วยท่าที่บิดเบี้ยวน่าขนลุก ผมฝืนความเจ็บปวดวิ่งไปจนถึงสุดห้อง ซึ่งมีหน้าต่างสามเหลี่ยมอยู่เพียงบานเดียว ผมใช้ไม้เบสบอลพังกระจก จากนั้นก็ตัดสินใจปีนออกไป เศษกระจกเกี่ยวเสื้อทำให้ผมติดเล็กน้อย ลมแรงพัดเข้ามาพร้อมกับแสงจันทร์ในยามค่ำคืนที่กำลังสาดส่อง แม่มดวิ่งเข้ามาแล้ว!! ผมออกไปจากหน้าต่าง โดยไม่รู้เลยว่าข้างนอกเป็นเพียงหลังคากระเบื้องที่ลาดชัน ผมจับขอบหน้าต่างไว้ด้วยความระมัดระวัง จากนั้นจึงไต่หลังคาขึ้นไปสู่จุดสูงสุด แม่มดตามมาอย่างไม่ลดละ เธอออกมาจากหน้าต่าง แต่ปีนหลังคาขึ้นมา

     

              “ไปตายได้แล้วโว้ย!!” ผมตะโกนในขณะที่แม่มดเกือบจะจับข้อเท้าผมได้อีกครั้ง มือทั้งสองข้างไขว่คว้ากระเบื้องจนมันหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ  ผมได้ทีจึงหยิบกระเบื้องบางอันแล้วขว้างมันลงใส่หัวเธอ แม่มดกรีดร้อง เธอไถลลงตามกระเบื้องจนเกือบตก มีเพียงมือเหี่ยวๆที่จับขอบหลังคาไว้

     

              ช่วยฉันหน่อยสิจ๊ะ!... เด็กดี เธอกล่าวน้ำเสียงสั่นๆ สายตามองลงไปข้างล่าง ด้วยความสูงขนาดนี้เธอไม่รอดแน่ หญิงชราพยายามฉีกยิ้มที่ตนเองคิดว่าดู อบอุ่น แม้อันที่จริงมันจะ น่าขยะแขยง มากกว่า  เอื้อมมือมาช่วยฉันหน่อยเถอะ!!”

     

    ผมไถลตัวลงไปช้าๆจนใกล้พอที่จะเอื้อมตัวถึงขอบ ผมโน้มตัวลง มองลงไปข้างล่าง... ลิลลี่!!.... ร่างของลิลลี่นอนคว่ำอยู่บนพื้นหญ้าข้างล่าง!!...  เธอไม่ได้ออกไปแจ้งตำรวจ!!... เธอ....   หรือว่า.... แม่มดวิ่งตามเธอไปตอนที่ผมขึ้นไปหาเจ้าหน้าที่เดฟ...

     

              ผมหันไปมองแม่มดที่กำลังฉีกยิ้มซีดๆสุดริด เธอมองใบหน้าผมก่อนจะค่อยๆหุบยิ้มช้าๆเพราะรู้ว่าผมในตอนนี้กำลังโกรธจัดสุดขีด ในหัวนึกถึงความแค้นทั้งหมด สิ่งที่เธอทำกับผม และคนอื่นๆ... ผมควรจะเป็นไอ้ห่วยที่ยืนเต้นอยู่ในงานฮาโลวีนบ้าๆนั่น!  มากกว่าที่จะมาสู้กับแม่มดทุเรศแบบนี้!!!! ผมจ้องตาเธอ แม่มดรู้สึกถึงรังสีอำมหิต เธอพูดด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน จะ.... จะ  จะทำอะไร!!”

     

    นิทาน...

     

    จบ

     

    แล้ว

     

    เว้ย!!

     

     

    ผัวะ!!!

     

              ฝ่าเท้าของถีบเข้าที่ใบหน้าของหญิงแก่สุดแรง แม่มดกรีดร้อยแล้วปล่อยมือออก ร่างของเธอร่วงลงจากหลังคาเป็นภาพสโลโมชั่น ผมปิดตา ก่อนที่จะได้ยินเสียงของหนักๆแตกกระจายบนพื้นหญ้า...

     

              หลังจากนั้นผมใช้เวลานาทีกว่าๆที่จากลับเข้าไปทางหน้าต่างและเดินลงมา เจ้าหน้าที่เดฟยังหายใจอยู่.. ผมจึงเดินลงไปข้างล่าง ออกทางประตูหลัง และตรงเข้าไปตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน... ลิลลี่  เธอยังคงนอนคว่ำอยู่ที่เดิม รอยแผลใหญ่ตรงท้องทำให้ผมรู้โดยทันที... ผมไม่แม้แต่จะยากพลิกตัวเธอขึ้นมาดู ถ้าผมไม่ทิ้งเธอละก็....

     

              ผมนั่งกองลงตรงนั้น ตรงผืนหญ้า... ความรู้สึกเศร้า เจ็บปวด เหนื่อยล้า และโล่งใจผสมกันไป ผมแทบจะไม่มีแรงแม้แต่จะหายใจ หนังตาเริ่มหย่อน... ผมเหมือนอยากจะหลับ ความเหนื่อยรุมเร้า  จึงคิดว่าก่อนจะนอนลงขอดูหน้าแม่มดที่ตายแล้วอีกสักครั้งเพื่อความแน่ใจ... ผมหันไป.. และมองสภาพของเธอ หญิงชราตัวบิดเบี้ยว มือบิดหงิกงอ ใบหน้านั้นยังคงยิ้ม... แต่เป็นยิ้มที่ไร้ชีวิต...  เป็นยิ้มสุดท้ายของเธอ.. 

     

              แต่เอ๊ะ!!...  ผมสังเกต...  เห็นรอย... รอยรอบๆคอเธอ เป็นรอยของขอบหน้ากาก!!...  เดี๋ยวนะ!! แม่มดใส่หน้ากากเหรอ.. หมายความว่า.. นี่ไม่ใช่แม่มดจริงๆงั้นเหรอ?    ผมเอื้อมมือช้าๆ ดึงขอบหน้ากากนั้นออก ซึ่งค่อยๆเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอทีละนิด ทีละนิด อารมณ์ในตอนนี้ไม่ต่างกับหนังสยองขวัญ ที่ตัวเอกกำลังจะได้รู้ถึงตัวจริงของฆาตกร... เรากำลังเปิดหน้ากากของฆาตกร....

     

    นี่มัน...

     

    พระเจ้า!!!!! 



    KiT Ta
    ขอขอบคุณธีมสวยๆจากคุณ
    THE'KITTA .ด้วยครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×