ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Smile คืนที่รอยยิ้ม...ฆ่าคน! (บทส่งท้าย) จบบริบูรณ์

    ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 11 : ยิ้มรับความบ้าคลั่ง

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 56


     

     

                             
     

                                       

                                   มีสำนวนหนึ่ง ที่อธิบายถึงความอึดอัด ความกระวนกระวายใจซึ่งเกิดขึ้นในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคยว่า
    ปลาน้อยที่ดิ้นอยู่นอกบ่อถ้าคุณลองจินตนาการตาม คุณก็จะเห็นภาพของเจ้าปลาที่กำลังดิ้นไปมากระโดดขึ้นลงบนพื้นคอนกรีตร้อนๆ ปากอ้าพยายามหายใจพะงาบๆ อยู่ข้างบ่อที่มันได้จากมา เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมสำหรับการอธิบายเหตุผลว่าทำไมผมจึงรู้สึกแย่เมื่อต้องยืนอยู่ในทางเดินมืดๆ ของแผนกผู้ป่วยอันตรายแห่งโรงพยาบาลบ้าแบล็กวู๊ด

     

                                   ผมรู้ว่าตัวเองคงเหลือเวลาไม่มากที่จะยืนเตร็ดเตร่อยู่แบบนี้ แต่เมื่อมองผ่านลูกกรงเหนือกลอนประตูของห้องขังผู้ป่วยคนที่เราตามหา ผมไม่รู้สึกปลอดภัยแม้แต่นิด ภาพจากหนังเรื่อง หวีดลั่นห้องที่กล่าวถึงวิญญาณอาฆาตผู้สิงสถิตในห้องผู้ป่วยทางจิตแวบเข้ามาในหัว ส่งผลให้ผมอยากจะหันหลังกลับ ถ้าไม่ใช่เพราะไซม่อนที่ยืนถมึงทึง รอว่าเมื่อไหร่ผมจะสอดคีย์การ์ดเปิดประตูเสียทีละก็นะ

     

    “นายจะแน่ใจได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ออกมาทำร้ายเรา” ผมหันกลับไปถามเพราะอยากถ่วงเวลา

     

    “ฉันไม่รู้หรอก” ไซม่อนว่า “นายถึงได้ต้องเข้าไปคนแรกไง”

     

                                   เยี่ยม!... คนหน้าตาดีสมัยนี้พึ่งอะไรไม่ได้เลยจริงๆ คอยดูนะ ถ้าผมโตขึ้นไปเป็นผู้กำกับ ผมจะสร้างหนังสยองขวัญที่พวกหน้าตาดีๆ ตายหมด ส่วนเด็กเนิร์ดจอมเอ๋อ สาวอ้วนขี้อาย และตัวตลกหน้าตาขี้เหร่จะได้เป็นฮีโร่ที่ช่วยกอบกู้สถานการณ์ไว้ พร้อมกับแทรกข้อคิดว่า สวยใสไร้สมอง หรือจะสู้หน้าสยองแต่ของดี

     

                                   “ถ้านายไม่เลิกทำท่าเหมือนนางเอกละครที่ชอบยืนคิดแล้วทำหน้าประกอบตลกๆ ละก็ ฉันจะจับนายโยนเข้าอยู่กับหมอนั้น” ไซม่อนชี้ไปยังตาลุงห้องตรงข้ามผู้ซึ่งทาลิปสติกสีแดงแจ๋และกำลังส่งสายตาวิ๊งๆ ใส่ ผมลุกลี้ลุกลนรีบเสียงคีย์การ์ดเข้าตรงช่องโดยไว เสียงกลอนถูกปลดออกโดยอัตโนมัติดัง กริ๊กบานประตูแง้มออกเองช้าๆ เหมือนจะเชิญชวนให้ผมเข้าไป

     

                                   ไซม่อนกรอกตา ออกแรงดันตัวผม อึดใจต่อมาเราสองคนก็อยู่กลางห้องมืดๆ เล็กๆ มีเพียงแสงน้อยๆ จากช่องติดเพดานจิ๋วที่แม้แต่หนูก็ไม่รู้จะออกไปได้ไหม ในห้องมีเพียงเตียงขนาดพอจะให้เด็กอายุห้าขวบนอนอยู่ตรงมุมห้อง มีอ่างล้างหน้าและกระจกอยู่ตรงข้าม อีกมุมหนึ่งคือโต๊ะไม้เขียนหนังสือที่ไม่มีหนังสือให้เขียนสักเล่ม

                        
                                  ผมหายใจเบาๆ เพราะรู้สึกเหมือนปลาที่นอนดิ้นอยู่นอกบ่อ ขนาดเข้ามาในนี้ได้ไม่ถึงนาที ความรู้สึกอึดอัด หดหู่ ก็ถาโถมเข้ามาเต็มเปี่ยม จึงไม่ต้องพูดถึงผู้ที่อาศัยอยู่ในนี้เป็นเวลาเกือบทั้งชีวิต บางทีก็อาจเป็นไปได้ที่ทุกคนที่อยู่ในแผนกอันตรายเป็นผู้ที่มีจิตปกติแต่แรก ห้องขังนี่ต่างหากที่สร้างให้พวกเขากลายเป็นคนบ้าจริงๆ

     

                   “รอยยิ้ม!!  รอยยิ้ม!! ฉันสาบานว่าจะเต้นหมุนเอวให้ดู ถ้าพวกแกกล้าเข้ามาใกล้ละก็!!...” ผู้หญิงวัยกลางคนผมเผ้ารุงรัง นั่งขัดสมาธิพร้อมกับจ้องมองพวกเราด้วยสายตาอาฆาต ปากบ่นพึมพำในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ แต่น่าจะหมายความว่าเราควรออกไปซะ ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นความคิดที่ดีอย่างยิ่ง

     

                                   “ใจเย็นๆ ครับ พวกเราไม่ต้องการจะทำร้ายคุณ” ผมพยายามปรับเสียงให้นุ่มนวลที่สุด “แค่อยากจะคุยกับคุณดีๆ

     

                                   “อะไรนะ! แกอยากจะมาคุ้ยห้องของฉันงั้นเรอะ! โอ้ เทพเจ้าแห่งขี้ยางลบจะต้องสาปแช่งพวกแกแน่ ฉันสาบาน! ฉันสาบาน!” เธอชูมือสองข้างแล้วทำท่าเหมือนกำลังท่องมนต์บูชาอะไรบางอย่าง “มาโอ มาโอ คราครูด้า!! แก๊กๆๆ เมี้ยวๆๆ แฮ่!!

     

                                   “จะไหวแน่เหรอ?” ไซม่อนสะกิดหลังผม ผมเริ่มรู้สึกจริงๆ แล้วว่าทุกสิ่งที่เราทำมาช่างไร้ประโยชน์ ผมน่าจะรู้ตัวว่าการมาคุยกับคนบ้า หมายถึง การมาคุยกับคนที่เขา บ้าไม่ใช่มาคุยเรื่องทรงผมกับดาราหนังทางทีวี นี่ผมหวังอะไรกับการมาหาผู้หญิงคนนี้กันแน่ หรือผมควรจะหนีออกไปซะตอนนี้ มากกว่าการที่จะพูดว่า “ได้โปรด! ฟังผมเถอะ ผมอยากคุยกับคุณเกี่ยวกับเรื่องที่คุณเคยเจอมา”

     

                                   “อย่าบอกฉันนะว่าจอห์นก็ถูกกำจัดไปอีกคนน่ะ ฮ่าๆ ฉันบอกแกแล้ว มันคือพลังแห่งเทพเจ้ายุงสีทอง ไอ้หมอฟิตซ์บ้านั่นก็แค่จ้างคนใหม่มาเรื่อยๆ ไม่ช้าแกก็จะต้องกลายเป็นขี้หูในถ้วยซุป ฉันสาบาน! ฉันสาบาน!” คริสเต็น รีฟ ยังคงพล่ามอะไรบางอย่างไม่หยุด “รอยยิ้ม รอยยิ้ม จงออกไปซะ!

     

                                   “ผมเปล่าเป็นลูกน้องของหมอฟิตซ์อะไรนั่น ถ้าคุณหมายความว่าแบบนั้น ผมเป็นแค่คนที่ต้องการความช่วยเหลือ” ผมกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เพราะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรอีก

     

                                   “พวกแกจะมาไม้ไหนอีก! จงออกไปซะก่อนที่แมลงสาบของฉันจะโกรธ พวกมันหิวโหย และรอกินเนื้อสดๆ มานานแล้ว โดยเฉพาะเนื้อของพวกผู้คุมหอมหวานนักแล ออกไปซะ! พวกผู้คุมโฉด ฉันไม่ต้องการยาบำบัด!” คริสเต็นส่ายหัวไปมา มือสั่นระริก หน้าตาดูหวาดกลัว

     

                                   ไซม่อนที่ยืนดูอยู่ดึงไหล่ผมเบาๆ เขาเดินออกมาจากมุมมืดและพยายามจะสื่อสารบ้าง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร เธอก็ขัดจังหวะเสียก่อน

                                  “อ้าว
    ! พวกเธอไม่ใช่ผู้คุมงั้นหรือ? ผู้คุมไม่มีทางหน้าตาดีแบบนี้แน่! ไซม่อนได้ฟังก็พยักหน้า ไม่ช้าหญิงคนนั้นก็ยืนขึ้นพร้อมกับเอามือจัดผมที่ยุ่งเหยิงให้กลับมาเรียบร้อย เธอยืนตรงและไม่มีทีท่าแปลกประหลาดใดๆ พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงใสดังเช่นคนปกติจนผมต้องอ้าปากค้าง

     

    “ขอโทษนะจ๊ะ ฉันก็นึกว่าเธอเป็นผู้คุมเสียอีก” คริสเต็นยิ้มพิมพ์ใจ “อุตส่าห์คิดท่าแสดงแทบตาย”

     

    “เฮ้! เฮ้! เฮ้! เดี๋ยวนะ! นี่คุณไม่ได้บ้างั้นเหรอ?” ผมถามแบบออกอาการตกตะลึง

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                                   ในที่สุด เราก็ใช้เวลาอีกพักใหญ่ ในการทำความเข้าใจกัน พวกเราบอกจุดประสงค์ที่แอบเข้ามา และพูดคุยกับเธอ สรุปแล้วคริสเต็นนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนปกติทั่วไป อันที่จริงเธอค่อนข้างเป็นผู้หญิงที่สุภาพพอสมควร แม้เธอจะใช้คำพูดโบราณไปหน่อย แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเธอจะผุดลุกขึ้นออกมาบีบคอเราแต่อย่างใด

     

    “แล้วทำไมคุณต้องแกล้งทำเป็นแบบว่าบ้าด้วยล่ะ” ผมถาม

     

                                   “เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ฉันปลอดภัย! คริสเต็นกล่าว “มันจะยังไว้ชีวิตฉัน ถ้าหากมันยังคิดว่าฉันเป็นบ้าและไม่มีทางที่จะออกไปแฉความลับให้ใครต่อใครฟัง” หญิงสาวตัวสั่น

     

    “หมายความว่ายังไงครับ?... มัน ที่ว่าคุณหมายถึง

     

                                   “เธอก็รู้ว่าใคร หนุ่มน้อย” เธอกอดเข่าแน่น กระซิบแผ่วเบา “รอยยิ้ม ผมขนลุกทันทีที่เธอพูดคำนั้น คริสเต็นแนบเข่ากับหน้าอกแน่นยิ่งขึ้น สีหน้าอึดอัดและหวาดกลัว “เธออาจจะว่าฉันบ้าก็ได้แต่มันไม่ใช่ภาพหลอน ฉันไม่ได้คิดไปเอง แต่รอยยิ้มไม่เคยปล่อยฉันไป นับตั้งแต่วันที่ฉันรอดออกมาจากป่านั่น มันก็คอยติดตามดูฉันตลอด บางครั้งที่ฉันคิดว่าตัวเองปลอดภัยอยู่ในนี้ รอยยิ้มก็จะโผล่หน้ามาตรงนั้น! ตรงประตู อาจจะเป็นเดือนละครั้ง หรือสัปดาห์ละครั้ง แต่มันไม่เคยหยุดมาการแกล้งทำเป็นคนบ้าจึงเป็นทางเดียวที่มันจะปล่อยฉันมีชีวิตอยู่”

     

                                   “ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี คริสเต็นคุณรู้ความลับอะไรเกิดอะไรขึ้นในวันที่คุณถูกจับตัวไปกันแน่?” ผมเขยิบเข้าไปใกล้เธอมากยิ่งขึ้น คริสเต็นนั่งนิ่ง เธอลังเลใจ แล้วหลับตาลง จากนั้นหญิงสาวก็ทำเหมือนเธอกำลังเจ็บปวดเจ็บปวดที่ต้องนึกถึงอดีต

     

                                   “เธอสัญญาได้ไหมว่าจะพาฉันออกไปจากที่นี่” เธอพูดแล้วลืมตา จับจ้องอยู่กับแสงสว่างที่ส่องผ่านช่องเล็กๆ ติดเพดาน “ได้โปรดเถอะฉันไม่อยากแม้แต่จะทนอยู่ในนี้สักวินาทีเดียว พาฉันออกไปสักที ฉันอยากมีชีวิต! ฉันอยากให้ชีวิตของตัวเองได้เริ่มต้น! ฉันอยากออกไปข้างนอก” น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความหวังและความสดใสอย่างน่าประหลาด ผมกับไซม่อนมองหน้ากัน ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร แต่สำหรับผมแล้ว คริสเต็นก็คงจะเป็นเหมือนปลาที่นอนดิ้นอยู่นอกบ่อเช่นกัน

     

                                   “ย้อนไปวันนั้น ฉันไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่มันยังเป็นความทรงจำที่เด่นชัดที่สุดมันเริ่มต้นที่ฉันมัวแต่ซ้อมสีไวโอลินในห้องดนตรีที่โรงเรียนจนเพลิน ฉันก็อายุเท่าๆ กับพวกเธอนี่ล่ะแวบนึง ฉันคิดว่ากำลังจะเก็บของกลับบ้านแล้วแท้ๆ แต่แต่ใครไม่รู้ มันมาจากทางด้านหลัง พยายามทำให้ฉันหายใจไม่ออก จนฉันสลบลง” หญิงสาวหายใจฟืดฟาดเหมือนเธอรู้สึกว่าเธอเองหายใจไม่ออก ผมและไซม่อนที่ฟังอยู่ก็รู้สึกไม่ต่างกัน

     

                                   “ตื่นขึ้นมาอีกที มันก็มีแต่ห้องมืดๆ ฉันยังจำมันได้ตลอด จำได้แม้กระทั้งรอยขีดข่วนบนพื้นหรือลายบนผนังห้อง มันเหมือนนรกที่ทั้งแคบและเหม็น ห้องที่ว่างเปล่า มีเพียงไฟนีออนหลอดเดียวห้อยต่องแต่งบนเพดาน ฉันพบว่าตัวเองถูกยัดเข้าไปในกรงจับสัตว์ขนาดเล็ก ฉันขยับไม่ได้ ต้องคุดคู้อยู่เพียงท่าเดียว บางครั้งซี่กรงที่ขึ้นสนิมก็บาดเนื้อจนเลือดซึมมันค่อยๆ ทยอยพากรงของคนอื่นมา จนทั้งหมดครบห้ากรง เราทุกคนเป็นเด็กผู้หญิง ต่างหวาดกลัว หวีดร้องขอให้คนช่วย แต่ไม่มีใครมา มันปล่อยเราไว้แบบนั้นนานมาก อาจจะสองไม่สิ สามวัน จากนั้นมันถึงจะเข้ามามันปรากฏตัวด้วยท่าทางแปลกประหลาด และเสียงหัวเราะที่คอยหลอนประสาทฉัน หน้ากากหนังที่กรีดเป็นรอยยิ้ม!!” หญิงสาวเริ่มตะกุกตะกักราวกับกำลังสำลักคำพูดของตน เนื้อตัวสั่นจนเธอแทบจะไม่มีแรงใช้มือโอบเข่าตัวเองด้วยซ้ำ

     

                                   “มันมัน มันเข้ามา แล้วก็เลือกพวกเราหนึ่งคนจากนั้นก็เริ่มทรมานเธอ มันมันชอบเอามีดมากรีดผิวของเธอเล่น เพื่อรอให้เธอร้อง จากนั้นมันก็จะหัวเราะ แล้วสักพักมันก็จะกลับมากรีดอีกเรื่อยๆ และบางครั้ง มันก็จะเอามีดมาเยอะๆ แล้วก็ปิดตาจากนั้นก็สุ่มเสียบมีดเข้าไปในรูกรง ถ้ามันเสียบโดนเธอ มันก็จะหัวเราะอีก เป็นแบบนี้ซ้ำๆ จนเด็กคนนั้นขาดใจตายมันเปรยสั้นๆ ว่า ช่างเถอะ ยังไงคนนี้ก็ไม่ผ่านอยู่แล้ว จากนั้นมันก็เลือกคนต่อไปมันทำรุนแรงขึ้น เพราะเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมเงียบ เธอตะโกนด่ามันตลอดเวลา มันก็เลยเอาเลื่อยมา แล้วมันก็เลื่อยทีละชิ้น เริ่มจากชิ้นที่จะไม่ทำให้เธอตายก่อน เท้า มือ แขน ขา หัว แล้วมันก็ให้เราร้องเพลงวิปริตตาม พอถึงประมาณวันที่ห้า เราสามคนที่เหลือก็จิตตก รอยยิ้มเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้มันกระซิบบอกเด็กผู้หญิงคนที่สวยที่สุดว่า เอาคนนี้เหละ! ที่เหลือก็ฆ่ามันให้หมด ฉันรู้ทันทีว่าเราอีกสองคนนั้นตายแน่ๆแต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เด็กผู้หญิงอีกคนที่ไม่ถูกเลือกหาวิธีพังกรงออกมาได้ เธอเข้ามาช่วยปลดกรงให้ฉันด้วย แต่ทิ้งคนที่ถูกเลือกไว้เพราะคิดว่าทำแบบนั้นรอยยิ้มอาจไม่ตามมา แต่เธอคิดผิด” หญิงสาวรัวคำพูดที่พลั่งพรูออกมาราวกับเป็นการระบาย แม้น้ำตาคลอเบ้าแต่ยังคงฝืนพูดถึงอดีตที่เจ็บปวดต่อ

     

    ครืด

     

                                   “เฮ้! นั่นใช่เสียงประตูของแผนกผู้ป่วยอันตรายหรือเปล่า” ไซม่อนขัดจังหวะ ผมทำท่าจะลุกขึ้นไปดูแต่คริสเต็นกลับคว้าแขนไว้ เหมือนเธอยากให้ฟังเรื่องที่เล่าให้จบก่อน

     

                                   “หลังหลังจากที่เด็กคนนั้นหนีไปรอยยิ้มออกไปตามมันกลับมาพร้อมกับลูกบอลลูกเล็กๆ สองลูกมันโยนมาให้ฉันแล้วบอกว่า ให้เอาไปเล่นซะแต่มันไม่ใช่ลูกบอล มันคือลูกตาเด็กหญิงคนนั้นคงไม่มีทางหาทางออกไปจากป่าได้แน่ คืนนั้นฉันจึงตัดสินใจวิ่งหนีบ้าง แต่ทันทีที่ออกมา รอยยิ้มก็รู้ตัว! ฉันจึงวิ่งวิ่งวิ่งสุดชีวิต มันไล่ตามมาติดๆ ในที่สุดฉันก็เจอโลงศพเปล่าๆ โลงหนึ่งที่อยู่ในหลุม ฉันไปซ่อนในนั้น แต่รอยยิ้มมันรู้! มันรู้! มันหัวเราะชอบใจแล้วกลบดินฝังฉันทั้งเป็นแบบนั้นฉันทรมานเพราะหายใจไม่ออกอยู่สองวันกว่าพ่อกับแม่จะมาเจอหลังจากนั้นฉันก็ช็อกจนบ้าไปเลยในตอนนั้นฉันพบคำตอบเกี่ยวกับรอยยิ้มอยู่อย่างหนึ่ง ความลับเกี่ยวกับตัวมันความลับที่มันไม่ยอมให้ฉันบอกใคร!...

     

    “ความลับอะไรครับ?” หัวใจผมเต้นระรัว ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ถามเธออย่างรวดเร็ว

     

                                   “แมต! เราต้องหาที่ซ่อนแล้วนะ! ใครบางคนกำลังมา! ไซม่อนขัดจังหวะ แต่ผมยังคงพยายามเค้นคำตอบฉากเธอ ถ้านี่เป็นหนังสยองขวัญละก็ ผมรู้ดีว่ามันจะต้องเป็นฉากที่ใครคนหนึ่งกำลังจะบอกความจริง แต่สุดท้ายด้วยความโง่บัดซบเพราะมัวลีลาอยู่พวกตัวเอกจึงไม่เคยรู้ความจริงเสียที “ได้โปรด บอกผมมาคริสเต็น!

     

    “ความลับของมั

     

    ปัง!!

     

                                   “ไปดูในห้องผู้ป่วยคริสเต็นเร็วเข้า!เสียงหนึ่งตะโกนดังจากด้านนอก แต่ผมไม่ยอมแพ้ ผมต้องรู้ความลับของมันให้ได้

     

                                   “โถ่เอ้ย! เข้ามาหลบในนี้ซะ!” ไซม่อนไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป เขากระชากผมอย่างแรง ดันตัวผมให้แนบลงกับพื้นจากนั้นก็ยัดผมเข้าไปซ่อนอยู่ใต้เตียงเล็กๆ ก่อนจะดันตัวเองเข้าตาม เราสองคนนอนอยู่ในนั้นเงียบๆ รอคอยใครบางคนที่กำลังสอดคีย์การ์ดเข้ามา

     

                                   “คริสเต็นยังอยู่ดีครับหมอฟิตซ์!” ชายคนหนึ่งสวมชุดผู้คุมก้าวเข้ามา ผมจำเสียงเขาได้ เขาคือคนที่ผมแอบขโมยคีย์การ์ดในห้องน้ำนั่นเอง คริสเต็นแสร้งทำเป็นบ้าอีกรอบ เธอบ่นอะไรพึมพำ ทำท่าทางแปลกๆ แล้วก็ส่งเสียงกรีดร้อง “ออกไปซะ!! ออกไป!! รอยยิ้มจะฆ่าแกแน่! ฉันสาบาน! ฉันสาบาน!

     

                                   “เหอะ!... เผอิญหมอฟิตซ์สั่งให้ฉันพาเธอออกไปด่วนเพื่อความปลอดภัย สงสัยคงต้องทำให้สลบก่อนน่าจะง่ายกว่า” ชายคนนั้นหยิบตะบองสีดำยาวที่คาดอยู่ข้างเอวออกมา แล้วฟาดแรงๆ ไปที่หน้าผากหญิงสาว คริสเต็นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่ผมได้แต่แอบดูอยู่ใต้เตียง ไม่สามารถทำอะไรได้

     

    “ปล่อยฉันไปนะ! ปล่อยฉันออกไปจากที่นี่!” เธอกรีดร้อง

     

                                   “ตายซะคงจะง่ายกว่ามั้ง! ผู้คุมโหดเงื้อตะบองขึ้นอีกที คราวนี้ผมรู้ว่าเขาต้องการจะทำให้เธอสลบในครั้งเดียว คริสเต็นงอตัวเตรียมรับความเจ็บปวด ไซม่อนเหมือนจะทนไม่ได้ คราวนี้เขาเป็นฝ่ายที่จะออกไปช่วยคริสเต็นบ้าง แต่ผมจำเป็นต้องรั้งไม่ให้เขาออกไป ทว่า...ในเสี้ยววินาทีเดียวก่อนที่เนื้อตะบองแข็งๆ จะกระแทกกับท้ายทอยของเธอ เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งก็ค่อยๆ ดังขึ้น

     

    พรึ่บ!

     

    'ไฟดับหรือ?' ผมคิด

     

    พรึ่บ!

     

                                   ไฟกลับมาติดอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับแปลกประหลาด เพราะไฟทุกดวงที่เคยปิดรวมทั้งดวงที่เคยทำท่าจะดับๆ ติดๆ ทั้งหลายกลับสว่างวาบเหมือนใหม่ ทางเดินสว่างขึ้นทันตา แต่เสียงที่ทำให้ทุกๆ คนต้องชะงักก็คือเสียงเล็กๆ ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเปลี่ยนแปลงทุกอย่างต่อจากนี้ในแบบที่คุณไม่อาจคาดถึงเลยทีเดียว

     

    กริ๊ก  กริ๊ก…  กริ๊ก  กริ๊ก

     

                                   “ไม่มีทาง! ผู้คุมพึมพำ มันเป็นเสียงที่กำลังไล่มาเรื่อยๆ จากปลายสุดของแผนกผู้ป่วยอันตราย ไล่เข้ามาเข้ามาถ้าผมฟังไม่ผิด มันเป็นเสียงเดียวกับตอนที่ผมสอดคีย์การ์ดเข้าประตูเป็นเสียงของกลอนที่ถูกปลด เดี๋ยวนะ!... อย่าบอกนะว่าประตูทุกบานกำลังเปิดออก ผมรู้สึกได้ว่าไม่ใช่เพียงแค่ที่นี่ แต่เป็นทั่วทั้งโรงพยาบาลเลย!

    เอาแค่คนที่ถูกขังอยู่ในนี้ก็เป็นพวกที่เคยก่อเหตุฆาตกรรมมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความว่า

     

    ฆาตกรโรคจิตเป็นฝูงกำลังจะหลุดออกมา!

     

                                   “ไม่! ซวยแล้ว! ผู้คุมตะโกนด้วยความตระหนกสุดขีด แต่เสียงของเขากลับถูกกลบด้วยเสียงเฮโลครั้งใหญ่ อารมณ์เหมือนตอนที่คุณกำลังนั่งอยู่ในอัฒจันทร์ ดูการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบชิงชนะเลิศ แล้วมีเสียงของผู้คนกำลังตะโกนแข่งกันจนฟ้าแทบถล่ม ใช่เสียงแบบเดียวกันกำลังเกิดขึ้น แต่มันไม่ใช่เสียงเชียร์บอลด้วยความดีใจ มันคือเสียงอันอำมหิตที่กำลังถูกปลดปล่อยออกมาต่างหาก!  “วิ่ง!!... หนีเร็ว!!

     

                                   ผู้คุมคนนั้นไถลตัวออกไปจากห้องเป็นคนแรก ผมกับไซม่อนรีบออกมาจากใต้เตียงโดยไม่สนว่าจะถูกเห็นอีกต่อไป คริสเต็นรีบลุกขึ้น เตรียมจะวิ่งออกไปบ้าง ทว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าประตูคือเหล่าคนบ้าทั้งชายหญิงที่หลุดออกมา วิ่งกระโจนใส่ผู้คุมอย่างบ้าคลั่ง บางคนอ้าปากกว้างแล้วกัดแทะเนื้อจนผู้คุมกรีดร้อง พวกนั้นเริ่มแย่งอาวุธรวมทั้งคีย์การ์ดไป ผมนึกถึงหนังตระกูลซอมบี้ที่เคยผ่านตามาทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องไหนเลวร้ายเท่านี้ เพราะซอมบี้นั้นโง่เง่า ไร้สมอง แต่เหล่าคนบ้าคืออัจฉริยะที่ชอบฆ่าคนเป็นชีวิตจิตใจ!

     

                                   “ปล่อยนะ! ออกไป!ผู้คุมกรีดร้องหนักกว่าเดิมเมื่อเนื้อแขนของเขาถูกฟันคมๆ กระชากออก คนบ้าที่เหลือจับแขนขาขึงไว้อย่างพร้อมเพรียง รอให้คนบ้าอีกห้าสิบกว่าคนวิ่งผ่านไปออกันที่ลิฟต์ เมื่อแน่ใจว่าทุกคนหนีออกไปได้แล้ว กลุ่มที่จับผู้คุมไว้ก็หัวเราะร่า ชายใส่แว่นคนที่ผมจำได้ว่าชอบท่องสมการอะไรบางอย่างในห้องขังหยิบตะบองของผู้คุมขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์

     

                                   “สมการก็คือสามสิบห้าจุดสองเศษสามส่วนสี่ คูณด้วยปาก!!” เขายัดแท่งนั้นเข้าปากของชายผู้โชคร้าย ผู้คุมสำลักน้ำลายเพราะแท่งนั้นเสียบลึกไปถึงคอหอย “แล้วก็หารด้วย แปดร้อยเก้าสิบจุดเก้าห้า บวกกับ สิบ! สิบ สิบ สิบ สิบ!” ทันใดนั้นเขาก็ใช้มือกระทุ้งไม้เข้าออกตามจำนวนครั้งที่เขานับสิบรัว เลือดสีแดงค่อยๆ ไหลจนเอ่อล้นออกมาทางปาก “ทั้งหมดจะเท่ากับ ตาย!... ฮิๆ ฮ่าๆ แก้สมการสำเร็จ!

     

                                   คริสเต็น ผม และไซม่อนที่ยืนดูความวิปริตตัวแข็งทื่อด้วยความตกตะลึง แต่ไม่มีเวลามากเพราะคนบ้าพวกนั้นหันขวับมาทางเราพร้อมแสยะยิ้มโหดเหี้ยม บนมือถืออาวุธเตรียมพร้อมจะกระโจนเข้ามา!

     

                                   “ปิดประตู! ปิดประตู! เร็วเข้า!!!คริสเต็นถอยหลังติดกำแพงด้วยความกลัว ผมกับไซม่อนรีบคว้าประตูแล้วปิดอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะเดียวกับที่พวกคนบ้าวิ่งเข้ามา และพวกนั้นก็พยายามออกแรงดัน ซึ่งแน่นอนว่าแรงของไซม่อนและผมคงสู้แรงคนบ้าสี่ห้าคนไม่ได้ พวกนั้นจึงเข้ามาได้ทีละนิด เริ่มจากสอดแขนเข้ามาจิกข่วนและกระชากเสื้ออย่างแรง

     

                                   “ช่วยด้วย!! ผมร้อง คริสเต็นที่กำลังโอดครวญอยู่จึงรวบรวมสติและเข้ามาช่วยดันประตูอีกแรง ซึ่งคราวนี้มันช่วยได้มาก พวกคนบ้าเริ่มอ่อนกำลังลงจนยอมแพ้ไปในที่สุด พวกนั้นมองหน้าเราคล้ายกับจะบอกว่า มันยังไม่จบแน่!’  จากนั้นจึงพากันลงลิฟต์ไปชั้นล่าง ผมถอนหายใจ ทรุดลงด้วยความเหนื่อย ไม่ช้าทุกอย่างในแผนกผู้ป้วยอันตรายก็เริ่มสงบคนบ้าออกไปหมดแล้ว และเสียงกรีดร้องจากชั้นล่างๆ ก็กำลังปะทุขึ้น

     

    “เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?!” ผมตะโกน

     

                                   “จะต้องเป็นที่ระบบแน่ๆ!” ไซม่อนว่า“ถ้าไม่ใช่เพราะไฟฟ้าขัดข้อง ก็คงต้องเป็นฝีมือของคน อาการที่ไฟดับไปครั้งนึง ก่อนที่ทุกประตูจะถูกเปิดออก เป็นอาการที่คล้ายกับระบบกำลังถูกแฮก” ผมฟังไซม่อนแล้วส่ายหน้าใครที่ไหนกันจะมาแฮกระบบแบบนี้ เขาต้องการอะไรถึงได้ปล่อยคนบ้าออกมา แล้วทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย

     

    “เราออกไปได้หรือยัง“ คริสเต็นถาม “ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่! ได้โปรด พาฉันออกไปเถอะ”

     

                                   “จะออกไปยังไงข้างล่างมันอันตรายนะ พวกคนบ้าอยู่เต็มไปหมด” ผมแย้ง แม้ลึกๆ จะรู้สึกอยากออกไปมากว่าใครเพื่อน “หรือไม่ก็ต้องหาทางหลบหลีกพวกนั้นเอา”

     

    “ได้โปรดเถอะ“ หญิงสาวร้องไห้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้าปนทรมาน

     

                              ไซม่อนเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจในที่สุด เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ “งั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน ไปรอที่หน้าลิฟต์ ฉันจะลงไปดูลาดเลาที่ชั้นล่างให้ ถ้าทางสะดวกจะขึ้นมาบอกอีกที” ผมทำท่าจะค้าน มันอันตรายไป เหล่าคนบ้ากระหายเลือดจะต้องฉีกเขาเป็นชิ้นๆ แน่ แต่ไซมอนขัดไม่ให้ผมพูด สายตาบ่งบอกว่าให้ผมเชื่อใจเขา 

     

                                   “ขอบคุณ..” คริสเต็นสะอื้น จากนั้นเราสามคนก็เดินออกจากห้องด้วยความระมัดระวัง ภาพตรงหน้าคือทางเดินสว่างจ้าและประตูเหล็กสองข้างทางเปิดออกอ้าซ่าทุกห้อง ผมคอยสอดส่องว่ายังมีคนบ้าเหลืออยู่หรือไม่ แต่เท่าที่เห็น บอกได้แค่ว่าทุกคนลงไปชั้นล่างหมดแล้ว พอพวกเราเดินมาถึงหน้าลิฟต์ ผมก็ถามไซม่อนอีกทีว่าเขาแน่ใจจริงหรือ

     

                                   “นายจะลงไปทำแทนฉันไหมล่ะ” เขาถามกลับ แต่ไม่รอคำตอบ เขาใช้คีย์การ์ดทาบตรงช่องแสกนก่อนที่ประตูจะเปิดออก ข้างในมีร่องรอยของพวกคนบ้าที่อัดกันลงไป ผมค่อยๆ มองประตูลิฟต์เคลื่อนตัวปิดช้าๆ ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่มันจะปิดสนิท ผมก็กล่าวคำส่งท้าย “ระวังตัวด้วยนะ

     

                                   คริสเต็นตัวสั่นระริกด้วยความผวา ผมพยายามปลอบให้เธอใจเย็นลงพร้อมกับถามคำถามที่ยังค้างคาใจ “คริสเต็นคุณจำสิ่งที่คุณพูดค้างไว้ได้ไหม ไอ้ความลับที่คุณรู้น่ะมันคืออะไรกันแน่?” พูดจบคริสเต็นก็สะดุ้ง เธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “ฉันฉันไม่รู้ว่าจะพูดดีหรือเปล่าในตอนนั้น ตอนที่ฉันกำลังถูกขังอยู่ในกรง ฉันก็สังเกตบางอย่างเกี่ยวกับรอยยิ้ม ทุกครั้งที่มันปรากฏตัว รอยยิ้มจะไม่เหมือนเดิมมันเปลี่ยนไป!

     

    “อะไรเปลี่ยนครับ?”

     

                                   “คือคือฉันก็บอกไม่ถูกแต่ฉันคิดว่าในตอนที่ฉันมองดูมันทรมานเด็กคนอื่น ฉันก็เกิดเห็นพฤติกรรมบางอย่างที่ทำให้นึกออก ถึงตัวจริงของมัน

     

    ติ๊ง!

     

                                   เสียงเตือนของลิฟต์ที่กำลังเลื่อนขึ้นมาทำเอาผมและคริสเต็นสะดุ้งสุดตัว ไซม่อนขึ้นมาแล้วไม่รู้ว่าเขาจะปลอดภัยดีหรือไม่ บางทีเราอาจจะต้องหาทางอื่นแทน  ไซม่อนต้องขึ้นมาบอกแบบนั้นแน่ๆ ประตูลิฟต์ค่อยๆ แง้มออก ผมเดินเข้าไปหาไซม่อนโดยไม่รีรอเพื่อดูว่าเขาปลอดภัยหรือไม่แต่ช่างเป็นการกระทำที่โง่ที่สุด เพราะผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าคนที่อยู่ในลิฟต์ไม่ใช่ไซม่อน! แต่กลับเป็นชายที่สวมชุดสีดำชายคนที่ควงมีดเล่มยาวและหัวเราะครางอยู่ในลำคอร่างสีดำที่ยื่นหน้าเข้ามาติดๆ จนผมรู้สึกถึงลมหายใจที่ออกมาทางรูของหน้ากากหนัง!... หน้ากากของ

     

     

     

     

    รอยยิ้ม!

     

                                   “กรี๊ดดดดดด!" คริสเต็นกรีดร้อง เธอวิ่งหนีกลับเข้าไปในทางเดิน ส่วนผมผงะถอยหลังอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มเขยิบตามเข้ามาจนผมสะดุดหงายหลังล้มลงกับพื้น เจ้าของเสียงหัวเราะเลือดเย็นแกว่งไกวมีดไปมาเหมือนจะรอให้ผมยอมโดนมันฆ่าเสียดีๆ ผมจึงคลานออกจากลิฟต์ก่อนที่มันจะปิดลง รอยยิ้มหัวเราะแล้วเดินตามมาเพื่อดูว่าผมจะคลานไปได้ไกลแค่ไหน ท้ายที่สุดมันก้มลงมาจับที่ข้อเท้าผม บีบอย่างแรงจนผมร้องด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็ลากผมกลับเข้าไปในลิฟต์ ผมพยายามใช้เล็บจิกพื้นตลอดทางจนแสบทั่วนิ้ว

     

                                   “ไม่!!!! ผมกระทุ้งเท้า และดิ้นไม่หยุด แต่มันแรงเยอะเกินไป รอยยิ้มยกตัวผมขึ้นแล้วกระแทกผมเข้ากับผนังอย่างแรง หนึ่งครั้งสองครั้งสามครั้งผมเริ่มรู้สึกถึงรสชาติของคาวเลือดที่ไหลเข้าปากก่อนจะกองลงไปกับพื้นในที่สุดผมขยับตัวไม่ได้ รอยยิ้มยืนมองด้วยความพึงพอใจ ในขณะที่ผมนอนนิ่งอย่างหวาดผวา ไม่ช้าภาพตรงหน้าก็ค่อยๆ เลือนลาง สิ่งสุดท้ายที่เห็นก็คือรอยยิ้มกำลังย่างไปหาคริสเต็นซึ่งกำลังกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงเหลือเพียงสีดำไร้จุดสิ้นสุด

     

    ไม่…..

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                                   บางครั้งผมก็นึกว่าตัวเองยังคงนอนอยู่ในบ้านราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางครั้งผมตื่นขึ้นและคิดว่าจะต้องลงไปเตรียมอาหารเช้าที่ครัวชั้นล่าง จากนั้นก็เอาของกินกลับขึ้นมารับประทานพร้อมดูหนังสยองขวัญที่ห้องของตัวเองแบบที่ทำอยู่บ่อยๆ ทุกๆ ครั้งที่กลับ ผมยังคงอยู่เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยตั้งแต่แรก ขอทุกอย่างเป็นเพียงฝันอันยาวนานที่เกิดจากการกินของเผ็ดมากเกินไป ผมอยากตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในช่วยปิดเทอมฤดูร้อน พร้อมกับกองหนังสยองขวัญที่ตัวเองวางแผนว่าจะดูวันนี้

     

                                   หรือใครจะรู้บางทีผมอาจจะฝันอยู่ก็ได้ คุณก็รู้นี่ บางครั้งฝันมันก็เหมือนจริงจนคุณสับสน ผมเคยฝันว่าตัวเองกำลังเดินกลับบ้านในวันฝนตกแล้วพบว่ากองทัพกิ้งกือ หนอน ตะขาบหลากสีกำลังไต่ยั้วเยี้ยและเต้นระบำอยู่ใต้เท้าผม หลังจากผมตื่นขึ้น ผมก็ยังคงโวยวายว่าพวกมันยังอยู่นอนบ้านแม้พ่อจะปลอบสั้นๆ ว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันก็ตาม

     

                                   ให้ตายสิผมคิดถึงเจ้า เจเรมี่ตุ๊กตาไม้ที่มีข้อต่อใช้ปรับท่าทางแบบต่างๆ ได้ ซึ่งผมใช้ในการออกแบบท่าการตายประจำ คงจะถึงเวลาแล้วล่ะมั้งที่ผมจะตื่นขึ้น ตื่นจากฝันร้าย แล้วกลับไปใช้ชีวิตห่วยๆ ตามแบบฉบับของนาย แมต ฟิตซ์ ตามเดิมเสียที ลาก่อนคุณผู้อ่าน ผมรู้ว่าการทิ้งฝันสนุกๆ ไว้กลางคันแบบนี้ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย แต่ผมเองก็รอไม่ไหวแล้วที่จะตื่นลงไปหาของกินมากินเล่นรองท้องเสียหน่อย ไม่รู้ตื่นไปแล้ว แม่จะว่าหรือเปล่าที่ผมงีบนานขนาดนี้

     

    แล้วผมก็ตื่นขึ้นกลับสู่โลกแห่งความจริง... กลับสู่บ้าน

     

                                   ทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นเพียงฝันร้ายจริงๆผมสูดอากาศที่คุ้นเคยเต็มปอด ไม่เคยรู้สึก จริงเท่านี้มาก่อน ผมลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงสีขาวนุ่มๆ เหมือนปกติทุกเช้า และกำลังนอนท่าเดิมเหมือนเคย สวมชุดเดิมที่เคยใส่เหมือนเดิม ไฟตรงเพดานนั้นก็ยังคงส่องแยงตาเหมือนปกติ อากาศก็อบอุ่นเหมือนที่เป็นมา มีเข็มขัดหนังรัดศีรษะและข้อมือข้อเท้าให้ผมขยับไปไหนไม่ได้เหมือนปกติเอ๊ะ! เดี๋ยวนะ!?!

     

                                   “ปล่อยฉัน!!!!”  คริสเต็นหวีดเสียงจากข้างๆ พลันบรรยากาศที่เคยคิดว่าปกติก็แปรเปลี่ยนไป กลิ่นเหม็นหืนโชยทั่วห้อง และไอเย็นยะเยือกจับตัวบนผิวหนังเหมือนว่ากำลังนอนอยู่ในห้องดับจิต ผมรู้ตัวว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงแข็งสำหรับคนบ้า มีสายหนังรัดที่มัดให้ข้อมือและข้อเท้าอยู่ติดกับขอบเตียงจนขยับไม่ได้ รวมทั้งสายที่ยาวที่สุดซึ่งรัดตรงหน้าผากแน่นเป็นการบังคับไม่ให้ลุกไปไหน ผมออกแรงดิ้นสุดชีวิต และพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องที่มีลักษณะคล้ายห้องผ่าตัด เพียงแต่ตรงกลางห้องมีเตียงอยู่สองเตียง และมีเครื่องมือคล้ายกล่องวิทยุสมัยก่อนตั้งอยู่เลยหัวเตียงเล็กน้อย คริสเต็นนอนอยู่เตียงข้างๆ ในลักษณะเดียวกัน เราทั้งคู่กำลังติดกับ!

     

    “ผมผมอยู่ที่ไหน!!

     

    “ห้…. ห้อ…. ห้องบำบัดอาการทางจิต!” คริสเต็นสะอึกสะอื้น

     

    “บำบัดแบบไหนกัน?!” ผมถาม

     

    “โดยการช็อตไฟฟ้า!!!

                                      คริสเต็นตอบแล้วส่งสายตาไปยังเครื่องมือคล้ายกล่องวิทยุอันนั้น ผมสังเกตเห็นมารตวัดระดับปริมาณอะไรบางอย่าง และปุ่มกลมๆ เหมือนจะเอาไว้เร่งเสียงเพลงหากมันวิทยุ หากแต่มันกลับใช้เร่งกำลังไฟฟ้าต่างหาก ไม่ไม่ผมซวยแล้ว! ซวยของแท้เลย! ผมขยับไม่ได้! ไม่มีทางหนีไปไหนได้ ผมจะทำยังไงดี?

     

                                   “หนุ่มน้อย!..” คริสเต็นเค้นเสียงกระซิบ “ฟังนะ หนุ่มน้อยฉันฉันขอบคุณที่เธอเคยตั้งใจจะพาฉันหนี.. แต่ ฉันคงไปไหนไม่ได้อีกแล้ว ฉันหนีไม่ได้แล้วบางทีการตายอาจจะเป็นทางหนีที่ดีที่สุด บางทีฉันอาจจะเป็นเจ้าปลาน้อยที่ยอมกระโดดออกมาดิ้นนอกบ่อก็ได้.. ฉะนั้น ฉันจะบอกสิ่งสุดท้ายเกี่ยวกับรอยยิ้มให้เธ….

     

    ปัง!!!

     

                                   ประตูกระแทกออก มันเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่เตรียมพร้อม! เตรียมพร้อมที่จะฆ่า! ผมสบถด่ามันแต่ก็ไม่ช่วยอะไร รอยยิ้มย่างเท้าเข้าใกล้เตียงพร้อมมีดบนมือเล่มนั้น ทำเอาผมเสียววาบไปถึงอวัยวะภายในอย่างรุนแรง ผมพยายามดิ้นแล้วดิ้นอีก หวังว่าตัวเองจะโชคดีหลุดออกมาได้เหมือนตัวเอกในหนัง แต่รอยยิ้มหายใจฟืดฟาดด้วยความดีใจ โน้มหน้าลงมาใกล้ๆ สูดกลิ่นของความกลัวน่าขนลุก ผมจึงนิ่งเพราะความผวาในที่สุด รอยยิ้มหันไปสนใจคริสเต็น หญิงสาวกำลังร้องไห้ ไร้ความหวัง เธอกำลังยอมรับชะตากรรมของตัวเองทั้งน้ำตา

     

    “ไม่!! อย่าทำอะไรเธอนะ!!” ผมหวีดเสียงร้องดัง

     

                                   รอยยิ้มใช้มือนั่นลูบหัวของหญิงสาวราวกับเอ็นดู มันปัดผมเธอลงและจัดให้ดูดี ผมคิดว่าแบบนั้นจนกระทั้งมันเอื้อมมือไปหยิบสายอะไรบางอย่างมาจากเครื่องช็อตไฟฟ้า ที่ปลายสายมีขั้วเหล็กสองขั้ว ห่างพอๆ กับขนาดของศีรษะคน เจ้าฆาตกรบรรจงต่อขั้วนั้นเข้ากับขมับทีละข้าง แล้วตบหัวเธอเบาๆ ด้วยความรักครั้งสุดท้าย

     

                                   “ฟฟ้า..ฟ้า ฟ้าถล่ม ดินทลาย ตายตามหลอน ซ่ ซ่อนความจริง!!คริสเต็นตะโกนอะไรบางอย่างออกมาเสียงดังโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เธอกล่าวประโยคนั้นซ้ำไปมา “ฟ้าถล่ม ดินทลาย ตายตามหลอน ซ่อนความจริง!!!

     

                                   ในตอนแรกผมคิดว่าเธอเพียงแสดงเป็นคนบ้าให้รอยยิ้มเห็น เพื่อที่มันจะได้ไว้ชีวิตเธอหรือเปล่า แต่ต้องเปลี่ยนความคิด เพราะเธอพูดย้ำซ้ำๆ อยู่แบบนั้น ในขณะที่พูดเธอจ้องตาผมไม่ปล่อย ราวกับเธอพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับผม ราวกับคำพูดนั้นมีนัยยะอะไรที่สำคัญ มันคือคำใบ้สุดท้ายของเธอ!?!

     

    “ลาก่อน” เธอกล่าวส่งท้าย

     

    “ไม่!!!

     

                                   รอยยิ้มดีดปุ่มเปิดเครื่องเบาๆ ทันใดนั้นเสียงกระแสไฟฟ้าก็ดังซ่าเหมือนกำลังแล่นเข้าสู่ร่างกายของเธอ หญิงสาวสะดุ้งสุดขีดกรีดร้องรุนแรง ร่างกายเธอกำลังเกร็ง มือสองข้างกำหมัดแน่น เสียงกระแสไฟฟ้าดังมากขึ้นเรื่อยๆ จนแก้วหูผมจะแตก รอยยิ้มค่อยหมุนเร่งกำลังไฟฟ้าอย่างใจเย็น กล้ามเนื้อของหญิงสาวกระตุกรัวเหมือนกับเจ้าปลาน้อยที่ไร้อากาศหายใจ เข็มบนหน้าปัดมาตรวัดกำลังไฟฟ้าบ่งบอกถึงความแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าเส้นเลือดบนใบหน้าของเธอก็สุกจนเกิดเป็นรอย น้ำตาที่ไหลบนแก้มระเหยไปเพราะความร้อน ร่างกายชักกระตุกอย่างบ้าคลั่ง คริสเต็นกัดฟันแน่นหวีดร้องไม่ออก ยิ่งรอยยิ้มเร่งกำลัง ไฟฟ้าทั่วตึกก็เริ่มกระพริบติดๆ ดับๆ ควันไหม้ค่อยๆ ลอยออกมาจากร่างกายของหญิงสาวผู้โชคร้าย เธอกำลังสุกจากภายใน! กระทั่งเมื่อกำลังไฟถึงจุดสูงสุด เลือดสีแดงสดก็ไหลออกมาทางตา จมูกและปาก

     

                                   ผมหลับตา ไม่ต้องการมองสิ่งที่เกิดขึ้นอีก ตอนนี้คริสเต็นเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณที่ถูกกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าเท่านั้น พอรอยยิ้มปิดเครื่อง ร่างที่เกร็งมานานก็ทิ้งตัวลงบนเตียงและไม่ขยับเขยื้อนอีก ผมร้องไม่เป็นภาษา อารมณ์ในใจปนกันจนสับสน ทั้งกลัว ทั้งโกรธ และทั้งเศร้า กว่าจะรู้ตัวอีกทีรอยยิ้มก็กำลังดึงสายขั้วไฟฟ้าออกจากขมับของเธอแล้วหันมามองที่ผมผมเป็นรายต่อไป!!

     

                                   รอยยิ้มดูจะร่าเริงขึ้นเมื่อได้ฆ่าคนไปแล้วหนึ่ง และตอนนี้มันกำลังหาความสุขสำราญต่อ ซึ่งก็คือผม มันบรรจงต่อขั้วไฟฟ้าเข้าที่ขมับของเหยื่ออีกครั้ง และคราวนี้มันดึงสายรัดข้อมือและเท้าให้แน่นขึ้นเพื่อความแน่ใจ ผมดิ้นไม่หลุดแล้ว!

     

                                   ฆาตกรโหดเดินไปยังเครื่องช็อตไฟฟ้า มันเอื้อมมือไปยังปุ่มเปิด แต่ยังไม่กด มันหยุดค้างไว้แบบนั้นเพื่อจะดูสีหน้าของผมขณะที่กำลังผวา เมื่อมันพอใจแล้ว สิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็เริ่มขึ้น รอยยิ้มกดปุ่มทำงาน ไฟฟ้าไหลเข้าที่ขมับและช็อตทั่วร่างกาย มันเจ็บกว่าที่ผมคิดไว้มาก เหมือนกับมีใครเอาเหล็กแหลมเสียบเข้าที่ขมับคุณลึกๆ ทั้งสองข้าง กล้ามเนื้อมันเกร็งแน่นและบีบปวดไปหมด ปวดเหมือนจะระเบิด ผมรู้สึกว่าตัวเองร้อน ร้อนจากข้างใน มันทรมานจนแทบจะขาดใจตาย ผมปิดตาสนิท และกัดฟันแน่น

     

                                   ความเจ็บปวดนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ จนผมใกล้จะเห็นแสงจากปลายทางรำไร หรือว่าคราวนี้ผมกำลังจะตื่นจริงๆ กันแน่ ตื่นกลับไปยังสู่โลกแห่งความจริง สู่ห้องนอนของเด็กมัธยมปลายสุดห่วย แมต ฟิตซ์’…

     

                                   “แมต!...”  เสียงนั้นเรียกผม ใช่เสียงแม่ที่มาปลุกให้ผมตื่นนอนหรือเปล่า? ผมรู้สึกสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ร่างกายไม่เกร็งอีกต่อไป ไม่รู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าอีกแล้ว ผมตื่นแล้วใช่ไหมผมลืมตา

     

                                   “แมต! โถ่เว้ย!ภาพลางๆ ของไซม่อนที่เพิ่งจะปิดเครื่องช็อตไฟฟ้าเสร็จ เขย่าตัวผม แน่นอนผมไม่มีแรงขยับอีกต่อไป ไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตารอยยิ้มหายไปแล้ว ไซม่อนค่อยๆ อุ้มผมแล้วพาออกไปจากห้อง ผมจำภาพต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในสายตาได้ไม่มาก รู้สึกจะเห็นเพียงแค่สภาพของโรงพยาบาลที่พังทลาย ของทุกอย่างระเกะระกะ มีร่างของคนไข้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่หลายคนนอนเกลื่อน ผนังบางจุดมีเลือดเปรอะ ทำให้ผมนึกว่าเรากำลังอยู่ในหนังประเภทหนีซอมบี้จริงๆ เมื่อไซม่อนพาลงมายังชั้นหนึ่ง เขาก็เริ่มออกตัววิ่ง เพราะคนบ้าบางคนยังกำลังวุ่นอยู่กับการกัดกินเนื้อดิบๆ ของเจ้าหน้าที่ บางครั้งไซม่อนจำเป็นต้องเอาไหล่พุ่งกระแทกกับพวกคนบ้าที่วิ่งเข้ามา เมื่อมาถึงเคาน์เตอร์หน้าประตูทางออก เจ้าหน้าที่จอมหื่นคนนั้นก็กำลังร้องโหยหวนเนื่องจากถูกรุมทึ้งจากทุกทิศ

     

                                   ไซม่อนวิ่งออกจากประตูได้ในที่สุด สภาพข้างนอกยากจะบรรยาย ผู้คนที่ปกติ(และไม่ปกติ แต่ก็ไม่บ้าเลือด) ส่วนใหญ่กำลังอพยพออก มีเพลิงไหม้จากด้านบนของอาคาร เขาวิ่งต่อไปไม่หยุดไปรวมกลุ่มกับผู้รอดชีวิตที่ริมถนน โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ได้อุบัติขึ้นแล้ว มีอุบัติเหตุรถชนเกลื่อนกลาดจากการวิ่งหนีไม่คิดชีวิตของผู้รอดชีวิต

     

                                   “ไซม่อน!!! เสียงคุ้นๆ ดังมาจากรถลีมูซีนสีดำคันยาวที่จอดรออีกฟากของถนน เมแกนนั่นเอง เธอโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่าง กวักมือเรียกให้พวกเรารีบเข้าไป ไซม่อนวิ่งไปถึงและโยนผมเข้าเบาะหลังก่อนที่จะเข้าไปนั่งแล้วปิดประตูตาม เมแกนสั่งให้คนขับออกรถ เชย์และโซอี้ก็อยู่ในรถด้วย  

     

                                   ผมปิดตาไม่สนอะไรอีก เหนื่อยเหลือเกินผมจึงฟังเพียงเสียงประกาศจากวิทยุรถ ที่กำลังเตือนถึงข่าวของผู้ป่วยจิตไม่สมประกอบหนีออกมาจากโรงพยาบาลบ้าได้พันกว่าคน และร้อยกว่าคนถูกพิจารณาให้เป็นอันตรายต่อชีวิต การอพยพของชาวเมืองครั้งใหญ่กำลังจะบังเกิดขึ้นแล้ว….

     

    - - - - -- - - - - - - - - - -- - - - - 

    โปรดติดตามตอนต่อไป


    ป.ล. ตอนนี้เริ่มมีแฟนอาร์ตส่งกันมาบ้างแล้ว
    เดี๋ยวไรท์เตอร์จะเอามาลงให้ดูภายในวันนี้น๊าาาา


     
    KiT Ta
    THE'KITTA .

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×