คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 11 :: กลุ่มคนในความมืด
ความประทับใจแรกต่อโรงเตี๊ยมแห่งโลกออนไลน์ไม่ใช่ประสบการณ์ที่เพลิดเพลินสำหรับผมเท่าไหร่
เมื่อเข้าไปถึงก็พบกับห้องกว้างๆ ที่เต็มไปด้วยโต๊ะไม้เป็นสิบๆ ตัว วางกระจายไปทั่ว บรรยากาศข้างในวุ่นวาย เต็มไปด้วยเสียงเอะอะ คนเมา แล้วก็กลิ่นเบียร์ โต๊ะทุกตัวจะมีกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยรื่นเริงกับของกินมากมายที่ผมเคยได้แต่ฝันถึง ไก่ย่างตัวโตๆ หมูหัน ปลาย่าง ขนมปัง ชีส เค้ก ผักผลไม้ ของเหล่านี้ถูกประเคนลงโต๊ะไม่หยุดโดยสาวเสิร์ฟหน้าตาดี มีวงดนตรีอยู่ตรงมุมห้องคอยสีไวโอลินเป็นเพลงบรรเลงจังหวะสนุกสนาน ผนังแต่ละด้านมีตะเกียงไฟติดอยู่ให้พอเห็นแสงสลัวๆ
จะสามารถสังเกตได้ว่าโต๊ะส่วนใหญ่มีแต่กลุ่มชายแก่ที่สลบเหมือดหน้าฟุบคาจานอาหาร แก้วเบียร์หล่นกลิ้งกระจายลงพื้นไม่เป็นระเบียบ พอจะเดาได้ว่าพวกเขาตั้งวงดื่มเหล้าโต้รุ่งกันมาตั้งแต่เมื่อคืน ส่วนพวกที่ยังตื่นอยู่ก็เอาแต่เดินโซเซไปมา พยายามละลาบละล้วงสาวเสิร์ฟทั้งหลาย บ้างก็ครวญครางตะโกนเสียงสูงๆ ต่ำๆ ฟังไม่ได้ศัพท์
แจ็คเดินนำผมผ่านโต๊ะต่างๆ พื้นไม้ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดอยู่รอบๆ เท้าในทุกย่างก้าว หากหญิงสาวเดินผ่านโต๊ะคนเมาจะไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเป็นโต๊ะของวัยรุ่นหรือหนุ่มๆ ชายฉกรรจ์เธอจะได้รับเสียงผิวปากและถ้อยคำจาบจ้วงเล็กน้อย แจ็คไม่ได้โกรธหรือแม้แต่แสดงท่าทีขุ่นเคือง เธอยิ้มกลับให้พวกนั้นแล้วเดินผ่านไปเฉยๆ ตอนแรกผมก็คิดว่าเธอยังคงมีความเป็นผู้หญิงในตัวอยู่บ้าง จนกระทั่งมีเสียงร้องเพราะถูกเหยียบเท้าตามหลังมา
เราเดินเบียดเก้าอี้มาหลายตัวจนกระทั่งผมเริ่มสงสัยว่าพรรคพวกที่แจ็คว่านั้นอยู่ไหน แล้วผมก็มองเห็นโต๊ะนึงที่อยู่ริมสุดของผนัง เป็นโต๊ะที่ดูจะห่างเหินจากโต๊ะอื่นๆ ดูสงบกว่าโต๊ะอื่นๆ และดู… น่าเกรงขามกว่าทุกโต๊ะในโรงเตี๊ยม ผมรู้ได้ทันทีแม้จะอยู่ห่างไกลพอสมควร นั่นคือจุดหมายของเราแน่ๆ กลุ่มคนประมาณสี่ห้าคนที่กำลังนั่งหันหลังให้ผมอยู่นั้นคงเป็นพรรคพวกของแจ็ค
ผมเดินช้าลงเพราะอยากสังเกตดูลักษณะของพวกเขาให้ชัดๆ ก่อนที่จะเข้าไปนั่งร่วมกับพวกนั้น ค่อนข้างยากหากจะบอกลักษณะที่ชัดเจน ผมรู้แต่พวกเขาแตกต่าง ไม่เหมือนใคร เป็นความแตกต่างในแง่ที่มีความหมายดี ดูเหนือกว่าคนอื่นๆ ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความสงสัยว่าพวกเขาจะต้อนรับผมสักแค่ไหนกัน
แจ็คเดินไปถึงที่โต๊ะนั้นก่อน เธอยิ้มและพูดสะกิดให้คนเหล่านั้นรู้ตัว แต่ผมไมได้ยินเสียงเธอ ความอื้ออึงของโรงเตี๊ยมนี่ทำให้ผมต้องเข้าไปประชิดตัวใครสักคนหากอยากได้ยินเสียงของเขา แจ็คนั่งลง กล่าวอะไรบางอย่างกับเพื่อนของเธอก่อนจะเริ่มพยักเพยิดมาทางผม แล้วคนทั้งโต๊ะก็หันมาจ้องผมเป็นตาเดียว
“เจ้านั่นน่ะหรือ?” คือเสียงแรกที่ผมได้ยิน เป็นเสียงที่ดูจะครางแครงใจมากเหลือเกิน
“เจ้าไม่เห็นบอกว่าเป็นชาวเผ่าคนแคระ” ชายคนหนึ่งกล่าว แจ็คทำท่ากลั้นขำในลำคอ กวักมือเป็นการเรียกให้ผมเข้าไปร่วมวง ผมเดินไปหา ลังเลในใจว่าควรจะแสร้งฉีกยิ้มให้ดูเป็นมิตรดีไหม แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ทำ นั่นไม่ใช่ตัวผม
“สวัสดี ข้าชื่ออาคินทร์” ผมกล่าวเรียบๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับสายตาทั้งหลายที่จับจ้องมายังผมอย่างกระตือรือร้น ระดับความเป็นมิตรแตกต่างกันไป ถ้าไม่นับแจ็คแล้ว พวกเขามีกันห้าคน ชายสาม หญิงสอง ผมไม่รู้จะเริ่มจากคนไหนก่อนดีพวกเขาดูไม่เหมือนคนที่ผมเคยเจอในโลกออนไลน์เลย ผมตัดสินใจยื่นมือเข้าไปกลางวงเพื่อทักทาย คอยดูว่าจะมีใครจับมือตอบไหม มือผมค้างอยู่ตรงนั้นสักสิบวินาที พวกเขาเอาแต่มองมือนั่นราวกับกำลังพิจารณาว่ามีเชื้อโรคเปื้อนอยู่หรือเปล่า จนแล้วจนรอด ชายคนหนึ่งก็ยื่นมือมาเขย่า ผมยิ้มให้เขา แล้วเขาก็ยิ้มตอบ
ชายคนนี้ดูจะอายุมากที่สุดในกลุ่ม อายุประมาณยี่สิบกลางๆ ท่าทางเป็นมิตรกว่าใครเพื่อน ผิวซีด ผมสีดำสนิทยาวเล็กน้อย หวีผมเสยไปข้างหลังอย่างเรียบร้อย ดวงตาสีฟ้า จุดเด่นคือชุดที่สวมใส่เป็นสีดำเหมือนผู้ดี ผ้าคลุมสีดำนอกแดงใน คอปกสูงจนเกือบจะบังหน้า ผมสังเกตเห็นว่าตอนที่เขายิ้ม จะมีฟันเขี้ยวสองซี่ที่ยาวแหลมจนดูน่ากลัวโผล่ออกมา ดูรวมๆ แล้วเหมือนกับ…
“ข้าชื่อ ควินท์” เขาแนะนำตัว กล่าวด้วยเสียงสุภาพ เหมือนจะรู้ตัวว่าผมจ้องฟันของเขานานไปหน่อย “ไม่ห่วงนะ ข้าดื่มเลือดมาจนอิ่มแล้ว รับรองว่าไม่กัดเจ้าแน่ อีกอย่าง เช้าๆ แบบนี้ ข้าไม่มีพลังหรอก”
ผมหันไปหาแจ็คเพื่อขอคำอธิบายเพิ่มเติม หญิงสาวถอนหายใจ “นั่นสินะ สงสัยข้าคงต้องเสียเวลาสอนเจ้าอีกหลายเรื่อง บนโลกนี้ มีสิ่งที่เรียกว่าเผ่าพันธุ์อยู่ เมื่อเจ้าเข้ามายังโลกนี้ครั้งแรก นอกจากโทเทมและธาตุที่สังกัดแล้ว สิ่งที่โลกนี้จะมอบให้เจ้าผ่านการตรวจลักษณะบุคลิกคือ ‘เผ่าพันธุ์’ โลกนี้มีเผ่าพันธุ์หลายแบบ แต่ละเผ่ามีจุดเด่นและจุดด้อยต่างกันไป อย่างเจ้า ก็ถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ธรรมดา”
“ส่วนควินท์เป็นเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด จุดเด่นของพวกผีดูดเลือดคือจะมีพลังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อท้องฟ้าเข้าสู่ยามรัตติกาล และหากดื่มเลือดก็จะทำให้ท้องอิ่มเป็นสัปดาห์ได้โดยไม่ต้องกินอะไร ข้อเสียคือเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น พลังจะลดลงเช่นกัน ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไหร่นัก”
ผมหันไปมองควินท์อีกครั้ง นึกออกทันทีเลยว่าการแต่งตัวของเขาช่างเหมือนกับผีดูดเลือดที่เคยดูในหนังเสียจริง ยิ่งคทาที่เขาถือไว้ข้างตัวราวกับไม้เท้า การแต่งตัวแบบผู้ดี ผิวขาวซีดเหมือนคนตาย หวีผมเรียบๆ คงได้ความคิดการแต่งตัวมาจากตำนานแวมไพร์ในโลกแห่งความจริงแน่ๆ
“เขาไม่เหมือนที่ข้าคิดไว้เลย” ชายหนุ่มเสียงทุ้มอีกคนกล่าว “ทีแรกข้าคิดว่าจะได้เจอบุรุษที่ดู… แข็งแกร่งกว่านี้ แต่เจ้านี่มันดูผิดไปหมด ตอนที่เห็นเดินเข้ามาครั้งแรก ข้านึกว่าเขาเป็นสตรี แต่แล้วก็รู้ว่าเป็นบุรุษ แต่กลับเป็นบุรุษที่ตัวเล็ก แล้วยังไว้ผมยาวอีก ข้าไม่แน่ใจว่าเขาคือ ‘คนมีฝีมือ’ อย่างที่เจ้าว่านะแจ็ค”
“ทำไมละ เมย์เฮม ถ้าเป็นสตรี เจ้าก็คงคิดหวังจะตีสนิทเหมือนโฉมงามนางอื่นๆ ล่ะสิ” แจ็คกล่าวแล้วกระดกแก้วเบียร์เข้าปาก
“อันนี้ข้าไม่ปฎิเสธหรอกนะ แต่เผื่อเจ้าจะไม่รู้ ส่วนใหญ่ผู้หญิงต่างหากที่เข้าหาข้า” เขาว่า ผมมองรายละเอียดของชายคนที่แจ็คเพิ่งเรียกว่า ‘เมย์เฮม’ อย่างแรกๆ ที่เข้ามาในสายตาเลยก็คือเขาตัวใหญ่มาก ผิวขาว อายุน่าจะมากกว่าผมสักปีสองปี ผมเกรียนสั้นเกือบทั้งหัว ยกเว้นส่วนข้างหน้าที่ชี้ๆ เป็นสีทอง มันเข้ากับดวงตาที่เป็นประกายทองแบบเดียวกันได้ดี แต่ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องความแปลก คงจะเป็นที่เขาเปลือยท่อนบนจนเห็นกล้ามหน้าท้องล่ำเป็นมัดๆ ไม่ใส่เสื้อปกปิด ราวกับตั้งใจจะโชว์สรีระอันแข็งแกร่งของชายหนุ่ม ในขณะที่กางเกงเป็นผ้าธรรมดาที่มีเกราะขาติดอยู่รอบ เขาสวมถุงมือหนังสีดำมีหนามแหลมติดที่หัวกำปั้น ปฎิเสธไม่ได้ว่าเขามีแรงดึงดูดให้สาวๆ ในโรงเตี๊ยมต้องแอบชำเลืองมอง
“อาคินทร์ นี่คือ เมย์เฮม” แจ็คผายมือไปทางเขาอย่างไม่ใส่ใจ เธอกำลังง่วนอยู่กับของกินบนโต๊ะ “เจ้านี่คือจอมพลัง แนวหน้าของกลุ่ม หากอยู่ใกล้ๆ เขา รับรองว่าเจ้ารอดตายแน่ โดยเฉพาะถ้าหากเจ้าเป็นผู้หญิง”
“ยกเว้นเจ้าไว้คนนึงนะแจ็ค” ควินท์พูดติดตลก “ข้าไม่คิดว่าเมย์เฮมจะมองเจ้าเป็นสตรีสักเท่าไหร่”
“เจ้าแน่ใจหรือ ว่าสู้เป็น?” เมย์เฮมตั้งคำถาม สอดส่ายสายตาดูสารร่างของผมโดยไม่สนใจคนอื่นๆ “ไหนมาลองงัดข้อกันดูสักตั้งซิ”
ผมมองแขนที่ใหญ่เท่าท่อนซุงของเขา รู้สึกว่าไม่เป็นการฉลาดเท่าไหร่หากคิดจะไปวัดเรื่องพละกำลังกับผู้ชายคนนี้เลยส่ายหน้าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากวัดกันเรื่องความไวหรือความแม่น ผมมั่นใจว่าน่าจะสู้ได้ คนเรามีสิ่งที่ถนัดแตกต่างกันไป ผมยอมรับว่าเรื่องใช้แรงเยอะๆ ไม่ใช่แนวที่ถนัดเท่าไหร่ แล้วก็เป็นเรื่องดีที่ได้รู้ว่ามีคนประเภทนี้ร่วมอยู่ในกลุ่มด้วย
“เฮ้ ใจเย็นๆ ข้าเปล่าตั้งใจจะขู่ให้เจ้ากลัวนะ ข้ายินดีต้อนรับสมาชิกใหม่เสมอ คนแบบพวกเราต้องเกาะกลุ่มกันไว้ มา! เดี๋ยวข้าจะเลี้ยงเหล้าให้เจ้าสักถังเป็นการฉลอง” เมเฮมทำท่าเหมือนจะเรียกสาวเสิร์ฟ ผมรีบปฎิเสธอีกรอบ ไม่ค่อยถูกกับเครื่องดื่มมึนเมาสักเท่าไหร่ ประสบการณ์ครั้งล่าสุดที่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์คือสมาชิกที่เอาสารพวกนั้นเขาปากไม่มีเคยมีใครรอดจากฝูงหมาป่าในเมืองได้สักราย
“ไม่เอาน่า ต้องครื้นเครงกันหน่อยซี่” เมย์เฮมคะยั้นคะยอ “เฮเซล สีไวโอลินให้ฟังสักเพลงซิ ขอจังหวะแบบที่มันเร้าใจๆ สนุกสนานหน่อยนะ”
ชายอีกคนที่นั่งถัดจากเมเฮมไปทางซ้ายหันมามองเขาเล็กน้อย เอาล่ะ… สองคนเมื่อครู่ก็ว่าแปลกแล้ว แต่หมอนี่เรียกได้เลยว่าแปลกจนหลุดโลก ก็ครั้งสุดท้ายที่คุณเห็นมนุษย์ที่มีเขาอยู่บนหัวน่ะ เมื่อไหร่? ใช่! หมอนี่มี ‘เขา’ ไอ้แท่งๆ ที่โผล่ออกมาจากหัวกระทิงหรือกวางนั่นแหละ เขาแบบนั้นเลย น่าจะเป็นเขาแพะด้วยซ้ำ คล้ายๆ พวกหมาป่าที่วัลคาเนีย เพียงแต่ของหมอนี่เป็นเขาชี้ตรงๆ ไม่ม้วน แล้วอยากรู้มั้ย ว่ามีอะไรอีกที่แปลก… ก็หูไงล่ะ นอกจากมีเขาแพะแล้ว ผู้ชายคนนั้นยังมีหูแพะอีกต่างหาก ตรงตำแหน่งที่น่าจะเป็นหูคน กลับกลายเป็นหูยาวๆ มีขนห้อยตกลู่ลงอยู่ใต้เขาสีดำ ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นหูจริงๆ ไหม เขาได้ยินเสียงจากหูนั่นหรือเปล่า
ถ้าไม่นับพวกของแปลกๆ บนหัวแล้ว ชายคนนี้ก็มีทุกอย่างเหมือนคนปกติทั่วไป จริงๆ เขาน่าอายุน้อยกว่าผมสักปีนึงได้ ผมสั้นสีน้ำเงินเข้มเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงตาเองก็เป็นประกายน้ำเงิน ให้ความรู้ศึกเศร้าขึ้นมาอย่างประหลาด ท่าทางจะดูเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ ตาหลุบลงต่ำ เซื่องซึมอยู่ตลอดเวลา เหมือนกำลังไว้ทุกข์ให้อะไรสักอย่าง พันขนสัตว์สีดำฟูๆ ไว้รอบคอ มันบังปากของเขามิดจนมองเห็นตั้งแต่จมูกขึ้นไปเท่านั้น มือข้างหนึ่งถือไวโอลินขนาดพอดีตัว อีกข้างถือคันชักเตรียมสี ผมเคยเห็นของแบบนั้นที่โลกแห่งความจริง พ่อบอกว่าถ้าเล่นดีๆ มันก็จะส่งเสียงอันแสนไพเราะออกมา แต่เผอิญการเล่นเครื่องดนตรีถือเป็นของเชยในยุคผม
“นั่นคือเฮเซล” แจ็คบอก “เจ้าคงเห็นเขาสัตว์ที่อยู่บนหัวของเฮเซลแล้ว มันคือของจริงนะ เป็นจุดเด่นของชาวเผ่าครึ่งอสูร เผ่านี้จะสามารถแปลงกายเป็นสัตว์อสูรได้ เรื่องพลังน่ะ ข้าบอกได้เลยว่าเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก หากกลายร่างเมื่อไหร่จะเปลี่ยนเป็นคนละคน ข้อเสียคือพวกนี้จะควบคุมการแปลงกายของตนไม่ได้เป็นส่วนใหญ่ และเมื่อแปลงกายแล้วจะไม่มีสติหลงเหลือ จะไม่มีความทรงจำเดิมของเจ้าของร่าง เปลี่ยนเป็นอสูรโดยสมบูรณ์ ไม่ดีเท่าไหร่ถ้าอยู่ใกล้ๆ เพื่อน แต่ถ้าอยู่ใกล้ๆ ศัตรูละก็ รับรองว่าพินาศเละไม่เหลือซาก”
“แล้วเวลาแปลงร่างเขาจะกลายเป็นตัวอะไรกันแน่?” ผมกระซิบถามอย่างเกรงใจ ในขณะเดียวกันก็อยากรู้อยากเห็นไปเสียหมด
“ก็แล้วแต่ว่าเป็นครึ่งอสูรอะไร เสือ สิงโต วัว กระทิง หรืออาจจะเป็นจระเข้ มีทุกแบบนั่นล่ะ อ้อ ครั้งนึงข้าเคยเจอพวกครึ่งแมวนะ พวกนี้จะมีหูแมวเล็กๆ กระดิกอยู่บนหัว น่าเอ็นดูเกินกว่าเจ้าจะจินตนาการออกเลยล่ะ” แจ็คขำน้อยๆ จงใจพูดเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน “ส่วนเจ้านี่ก็เป็นครึ่งแพะ… เฮ้! เฮเซล ทักทายอาคินทร์หน่อยสิ”
ชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่งเงียบๆ ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปาก เขาเพียงแค่สีไวโอลินเป็นทำนองออกมาสองสามพยางค์ แล้วจากนั้นก็พยักหน้าให้ผมเบาๆ แจ็คอธิบายเสริมว่า “เฮเซลเป็นคนไม่ค่อยพูดน่ะ การสีไวโอลินเป็นวิธีนึงที่เจ้านั่นใช้สื่อสารกับเรา ไว้เจ้าอยู่ด้วยกันไปนานๆ แล้วจะเริ่มเข้าใจภาษาไวโอลินเอง เฮเซลเป็นบุรุษเพียงผู้เดียวที่เมย์เฮมจะยอมให้เข้าใกล้ตัวด้วยนะ”
“เพราะเจ้านี่ไม่พูดมากน่ะสิ” เมย์เฮมบอกแล้วชำเลืองสายตาไปยังผู้หญิงที่นั่งถัดจากแจ็ค “ไม่เหมือนนาง”
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าจะแนะนำคนที่เหลือให้หมดเลยแล้วกัน” แจ็คบอก “อย่างที่ข้าได้บอกไปแล้ว นี่คือควินท์ นั่นคือเมย์เฮม แล้วนั่นก็เฮเซล ส่วนโฉมงามที่นั่งข้างๆ ข้าคนนี้คือคาเมรอน”
เธอเริ่มจากผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับผม ตลอดการสนทนา เธอดูจะเป็นคนเดียวที่ให้ความสนใจผมน้อยที่สุด คงเป็นเพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาหน้าอ่านหนังสือเล่มหนาๆ ที่กางอยู่บนโต๊ะ เส้นผมของคาเมรอนเป็นสีขาวโพลน มัดแกละยาวสองข้าง ใบหน้ารูปใข่ของเธอดูเอิบอิ่ม ตาสีมรกตเป็นประกายอยู่หลังกรอบแว่นบางๆ ชุดที่สวมใส่เป็นเดรสกระโปรงยาวสีเขียวลากพื้น ลวดลายบนเสื้อของมีสัญลักษณ์ไม้กางเขนอยู่ตรงหน้าอก
“คาเมรอนเป็น เอ่อ… พวกเจ้าเรียกว่าอะไรนะ ใช่! หนอนหนังสือ นางรู้หลายเรื่องเชียวล่ะ ถ้าสงสัยอะไรคาเมรอนจะมีคำตอบให้เจ้าเสมอ นางใช้เวลาทั้งวันในการหมกมุ่นอยู่กับหนังสือเป็นสิบๆ เล่ม และเชื่อข้าเถอะว่านั่นเป็นเรื่องดีมากๆ เพราะถ้านางละสายตาออกจากหนังสือเมื่อไหร่ นางก็จะ…”
“สวัสดีเจ้าหน้าใหม่!” เสียงเอื่อยๆ ฝันๆ แทรกเข้ากลางบทสนทนา คาเมรอนกำลังจ้องมองผมผ่านเลนส์แว่นท่าทางกระตือรือร้น แจ็คกลอกตาทีนึงอย่างเบื่อหน่าย พึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า เอาอีกแล้วไง
“ข้าชื่อคาเมรอน ข้ายินดีอย่างยิ่งที่จะได้พันธมิตรเพิ่มมาอีกคน รู้ไหม แวบแรกข้านึกว่าเจ้าเป็นพวกกริมโมเลี่ยน แต่แล้วก็นึกได้ว่าพวกกริมโมเลี่ยมจะทำตัวโสโครก ไม่เหมือนเจ้า ต่อมาข้าก็คิดว่าคงเป็นชาวกิมเฟีย เพราะคนในเมืองนั้นชอบแต่งตัวแปลกๆ น่ะ แต่ก็ผิดถนัด สุดท้ายข้าก็เห็นแจ็กเก็ตของเจ้า มันมีซิปอยู่ ซิปเป็นสิ่งประดิษที่มนุษย์ในโลกแห่งความจริงคิดค้นขึ้นมานานแล้ว ข้าเคยอ่านประวัติศาสตร์ของซิปด้วยนะรู้ไหม คนที่ประดิฐษ์มันขึ้นมาชื่อกิเดียน ซุนด์แบกด์ ข้าเลยสรุปได้ว่าเจ้าไม่ใช่ทั้งกริมโมเลี่ยนและกิมเฟีย แต่เป็นมนุษย์ที่มาจากอีกโลกหนึ่ง”
“อะไรนะ?” ผมอุทาน ฟังไม่ออกว่าหญิงสาวพูดอะไร เธอรัวคำพูดใส่ซะจนสมองผมด้านชาไปชั่วขณะ คล้ายกับโดนโจมตีด้วยการออกเสียงทางปาก ดวงตาสีมรกตของคาเมรอนล่องลอยเหมือนเพ้อฝันอยู่ในจินตนาการ และดีใจจนเนื้อเต้นที่จะถ่ายทอดจินตนาการนั้นออกมาให้คนอื่นฟัง
“นางก็จะพูดไม่หยุด” แจ็คกล่าวเหมือนไปหยิบยกคำพูดมาต่อจากที่ไหนสักแห่ง “ข้าเตือนนางเสมอนะ ว่าการอ่านหนังสือเยอะไปจะทำให้คนเราจมอยู่กับโลกส่วนตัว คิดดูสิ จมอยู่ในจินตนาการ ในโลกแห่งจินตนาการอีกที แต่ก็ว่านางมากไม่ได้ เพราะความรู้ของนางเป็นประโยชน์กับพวกเราเสมอ”
“ใช่แล้ว ข้าบอกได้เลยว่า…” คาเมรอนอ้าปากจะพูดอีกรอบ แจ็คยกมือไปอุดปากเธอได้ทัน จากนั้นก็บุ้ยหน้าไปที่หนังสือเหมือนจะบอกให้หญิงสาวกลับไปอ่านหนังสือของตนดังเดิมเสียดีกว่า คาเมรอนยิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วยอมทำตามแต่โดยดี
“คนสุดท้าย…”
คราวนี้ไม่เหลือใครให้มองแล้ว มีเพียงหญิงสาวคนสุดท้ายเท่านั้นที่นั่งอยู่ ไม่สิ เด็กหญิงต่างหาก เด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งเก้าอี้ผู้ใหญ่จนหัวโผล่ขึ้นมาจากขอบโต๊ะแค่ครึ่งหน้า อายุคงแค่สิบสองหรือสิบสาม ดูไม่เข้ากับสถานที่แบบนี้เลยสักนิด เด็กที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในโลกออนไลน์เลย ปกติที่นี่จะมีแต่วัยรุ่น เพราะแปดปีมาแล้วที่มนุษย์โดนจับตัวมาที่นี่ คนที่เด็กที่สุดก็คงโตกันหมดแล้ว คนที่เด็กมากๆ ก็คงยังโดนกักตัวอยู่ที่อีกโลก รอคอยให้พวกยูนิตี้ล้างสมองอย่างสมบูรณ์แบบแล้วถึงค่อยส่งตัวมา
ดวงตาโตสีฟ้าสดใสมองมายังผมอย่างเป็นมิตร เธอยิ้มให้ เป็นยิ้มที่ดูจริงใจที่สุด ผมของเด็กหญิงมัดหางม้าแต่ยาวตกลงไปจนเกือบถึงพื้น และมันเป็นสีฟ้าแกมขาวราวกับน้ำแข็ง ไม่เคยเห็นเส้นผมที่เป็นสีนี้มาก่อน อาจเกิดจากการย้อม แต่พวกยูนิตี้จะยอมให้เด็กๆ ย้อมผมหรือ? เรย์ใสชุดกระโปรงน้ำเงินเล็กๆ สำหรับเด็กที่ไม่มีการตกแต่งอะไรมากมายนัก ดูธรรมชาติในแบบที่เธอเป็น ทำให้ผมนึกถึงตัวเองสมัยเด็กๆ
“เรย์เป็นสมาชิกคนล่าสุดของสมาชิกเรา ถูกส่งตัวมาโดยพวกยูนิตี้เมื่อสองปีก่อน และเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเราตั้งแต่ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่เราเริ่มตั้งกลุ่มแบบจริงๆ จังๆ พอดี” แจ็คแนะนำ “ถึงตัวจะเล็กแต่ข้าสาบานได้เลยว่าใจสู้กว่าพวกเราคนไหนในกลุ่มแน่นอน”
“ยกเว้นข้า” เมย์เฮมกล่าว เอาหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ
“ไม่มีทาง” แจ็คปฎิเสธ เฮเซลสีไวโอลินเป็นเสียงแหลมๆ แสบหูหนึ่งที ซึ่งเเจ็คแปลหมายความให้ว่า “ขี้โม้”
“สวัสดีค่ะ” เรย์ส่งเสียงเล็กๆ ใสๆ คล้ายนกร้องเพลงยามเช้า รอยยิ้มของเธอช่างดูบริสุทธิ์ “พี่เพิ่งมาจากโลกแห่งความจริงใช่ไหม?”
ผมพยักหน้าแล้วยิ้มตอบ ผมชอบเธอ เด็กหญิงไม่พยายามที่จะพูดสำเนียงของคนในโลกออนไลน์เลย ผมคิดถึงสำเนียงของโลกมนุษย์ และหวังว่าจะได้ยินสำเนียงแบบนี้จากคนอื่นอีกบ่อยๆ ก่อนที่วิถีชีวิตในโลกออนไลน์จะกลืนกินตัวตนของผมไปหมด เรย์เหมือนพยายามจะยื่นแขนข้ามโต๊ะมาจับมือ แต่มันสั้นเกิน ผมลุกขึ้นแล้วโน้มตัวไปให้ถึงเธอ เราจับมือกัน เป็นสัญญาณของพันธมิตรที่ดี
“เรย์เชี่ยวชาญด้านการปรุงยา และทำอาหารเก่งเช่นกัน เป็นพรสวรรค์เลยล่ะ” ควินท์บอก พยายามจงใจยิ้มโดยไม่ให้เขี้ยวโผล่ออกมา อาจเพราะไม่อยากทำให้ผมกลัว ซึ่งผมก็ซาบซึ้งนะ “ผมสี้ฟ้าที่เห็นนั่นก็เป็นผลมาจากยาย้อมที่เรย์คิดค้นขึ้นเอง ถ้าหากเจ้าอยากเปลี่ยนสีผมบ้างก็บอกนางเอาแล้วกัน”
ผมเริ่มจะสับสนแล้ว ไม่มีทางที่จะจำทุกคนได้ในคราวเดียวกันแน่ๆ ผมห่วยชะมัดในเรื่องการจำใบหน้าใหม่ๆ บนโลกแห่งความจริงไม่มีคนให้ผมฝึกทักษะนี้มากนักหรอก มั่นใจว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักวันสองวันถึงจะเริ่มเรียกชื่อแต่ละคนถูก อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าน่าจะต้องใช้วิธีการจำแบบลัดไปก่อน อย่างน้อยก็ต้องนึกภาพลางๆ ของพวกเขาในหัวออก เริ่มด้วยการตั้งฉายาจากจุดเด่นให้พอจำง่ายๆ
เอาล่ะ เรามีใครบ้าง? แวมไพร์ กล้ามโต เขาแพะ หนอนหนังสือ และเด็กน้อย ใช่! จำแบบนี้แหละ
“แจ็ค” ผมสะกิดเธอ “ยังมีอะไรที่ฉันต้องรู้อีกไหม ในนี้ยังมีใครที่ เอ่อ… มีเผ่าพันธุ์แปลกๆ อีกหรือเปล่า?”
“อ๋อมีสิ... ข้าเอง” แจ็คตอบ ผมหันไปหาเธอ เห็นหญิงสาวเอามือแหวกผมดำๆ ตรงข้างๆ หัว เผยให้เห็นใบหูที่ปกติจะโดนเส้นผมกลบสนิท มันไม่ใช่หูคนปกติแต่เป็นใบหูแหลมๆ ยาวๆ ผมแปลกใจเพราะไม่เคยสังเกตมาก่อน หรือบางทีแจ็คก็คงตั้งใจจะไม่ให้ผมเห็นมาตลอดทาง “ข้าไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เจ้าก็คงเห็นแล้ว ข้าเป็นคนของเผ่าพันธุ์พราย ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อนางไม้ แต่นั่นเอาไว้ใช้เรียกเฉพาะสตรี ถ้าเรียกรวมๆ ทั้งสองเพศก็จะเรียกว่าพราย ถึงเผ่าพันธุ์ของข้าจะหาผู้เป็นบุรุษได้ยากมากก็เถอะ”
“ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย” ผมพูดด้วยความรู้สึกทึ่ง “แล้วเผ่าพันธุ์ของเจ้าทำอะไรได้ล่ะ แจ็ค”
“ก็… เผ่าพันธุ์พรายส่วนใหญ่จะมีรูปโฉมที่งดงาม เป็นที่หลงใหล เฮ้! ข้าเปล่าชมตัวเองนะ แค่พูดความจริง เผ่าพันธุ์พรายจะโดดเด่นเรื่องความว่องไว รวดเร็วเหนือใคร เคลื่อนตัวได้อย่างพริ้วไหว เชี่ยวชาญอาวุธธนูเป็นพิเศษ”
“เผ่าพันธุ์ขี้โกงน่ะสิ” เมย์เฮมบอก “พวกเจ้าไม่มีข้อเสียเหมือนเผ่าพันธุ์อื่นๆ เลย”
“ข้อเสียก็มีซี่! เผ่าพันธุ์อย่างข้าน่ะ รูปงามเกินไปนะรู้ไหม มีแต่คนอยากหมายปอง ถือเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง ทำให้ข้าต้องลำบากใจทุกครั้งที่ต้องเลือกคบกับชายหนุ่มสักคน พูดก็พูดเถอะ นี่ข้านั่งอยู่ตรงนี้มาได้สิบกว่านาทีแล้ว ทำไมถึงเพิ่งจะโดนพวกบุรุษทั้งหลายส่งสายตาให้แค่สองสามคนเองล่ะ ปกติจะเยอะกว่านี้”
“ความนิยมตกน่ะสิ” เมย์เฮมว่า ควินท์กลั้นขำ เฮเซลสีไวโอลินสั้นๆ หนึ่งครั้ง แจ็คไม่ยอมแปล ผมเดาว่ามันหมายถึง “ข้าเห็นด้วย”
“ยังไงก็ตาม” แจ็คพยายามเปลี่ยนบทสนทนา “ทุกคนในกลุ่มของเราจะมีหน้าที่รับผิดชอบแตกต่างกันไป ตามอาชีพและจุดเด่นของแต่ละคน ข้าจะอธิบายให้ฟังเผื่อเจ้าจะเข้าใจว่าเราทำงานกันยังไง อย่างแรก -เมย์เฮม อาชีพนักดาบ พละกำลังเยอะ ทำหน้าที่เป็นแนวหน้า คอยรับมือกับศัตรูเป็นคนแรก -คนต่อมาคือข้า อาชีพจอมโจร ใช้ธนูเป็นอาวุธ ว่องไว ทำหน้าที่ในการโจมตีระยะไกล ช่วยทำความเสียหายให้ศัตรู ป้องกันไม่ให้มีตัวไหนหลุดไปทำร้ายคนอื่นๆ -ควินท์ อาชีพจอมเวทย์ คอยใช้พลังเวทย์โจมตีเสริม รับมือได้ดีในสถานการณ์ที่มีศัตรูจำนวนมาก”
“คาเมรอน อาชีพนักบวช มีพลังที่สามารถรักษาบาดแผลของคนอื่นได้ จะอยู่แนวหลัง คอยช่วยส่งเสริมทุกคนในกลุ่ม -เฮเซล อาชีพนักกวี อยู่แนวหลังเช่นกัน มีเวทมนต์ที่ช่วยเพิ่มพละกำลังของคนในทีม และช่วยสาปแช่งศัตรูให้เสียเปรียบได้ คนสุดท้าย -เรย์ นางยังเด็ก ข้าไม่อนุญาตให้เข้าร่วมในสนามต่อสู้ ยังไม่เลือกอาชีพ แต่มีความสามารถใกล้เคียงกับนักปรุงยา ฉะนั้นยาของนางก็มีส่วนช่วยในการเพิ่มพลังให้คนในกลุ่มเช่นกัน”
“ปัญหาก็คือเจ้า สมาชิกใหม่ของเรา ข้าอยากรู้ว่าเจ้ามีความสามารถอะไร” ควินท์ว่า “ข้าไม่ใช่พวกเชื่อคนง่ายนะรู้ไหม เมื่อคืนตอนที่แจ็คแอบลอบมาหาพวกข้า นางบอกเราเรื่องที่เจ้าเป็น… เอ่อ ผู้ใช้บัค”
“ข้าแน่ใจว่านี่คือเรื่องที่แจ็คขุดขึ้นมาล้อพวกข้าเล่น” เมย์เฮมบอก ”เหมือนครั้งก่อนนั่นไง ที่หลอกข้าเรื่องแมงมุม”
“พนันกันไหมล่ะ?” แจ็คท้าทาย “ถ้าเจ้าแพ้ ต้องยอมเลิกชายตามองสรีนางอื่นๆ เป็นเวลาสองชั่วโมง”
“ยิ่งทำให้ข้าอยากรู้แล้วสิ ว่าอะไรทำให้เจ้ากล้าพูดเช่นนั้น” เมย์เฮมยิ้มมุมปาก เฮเซลสีไวโอลิน ไม่มีใครแปลให้และผมก็เดาไม่ออกว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร รู้แต่ตอนนี้ความกดดันตกมาอยู่ที่ผมเต็มๆ พวกเขาทุกคนจ้องมาไม่ละสายตา คาดหวังอะไรบางอย่าง ทำให้รู้สึกอึดอัดตรงหน้าอกชอบกล
“เอาสิ ข้าก็อยากรู้ว่ามันเป็นไปได้จริงหรือ จะมีผู้ใช้บัคคนใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกจริงหรือ?” ควินท์ตื่นเต้นจนลืมหุบเขี้ยว
“ไม่ ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ต่อหน้าผู้คน พวกเจ้าก็รู้ว่าเพราะอะไร” แจ็คบอก กวาดตามองไปรอบโรงเตี๊ยม โต๊ะทุกตัวเต็มไปด้วยลูกค้าที่ส่งเสียงเอะอะดังพอๆ กัน คนเยอะเกินไป เธอกับคนอื่นๆ สบตากันราวกับสื่อสารกันได้ผ่านสายตา ผมรอดู นึกสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ได้ เดี๋ยวข้าจัดการให้!” เมย์เฮมผุดลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ก่อนจะตะโกนเสียงดังก้องกังวานไปทั่ว
“เจ้าพวกกิ๊กก๊อกทั้งหลาย ข้ามีความยินดีที่จะประกาศว่าข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า หากพวกเจ้าไสหัวออกไปจากโรงเตี๊ยมได้ทันเวลาก่อนที่ข้าจะเชือดคอพวกเจ้ารายตัว!!”
ในตอนแรกไม่มีใครทำอะไร สักพักเสียงที่ดังอื้ออึงอยู่ก็เริ่มเงียบ ทุกคนหันมาให้ความสนใจ โต๊ะพวกเรากลายเป็นจุดรวมสายตาของทั้งโรงเตี๊ยม สีหน้าของแต่ละคนเหมือนกำลังถามว่า นี่หมอนั่นจริงจังหรือเปล่า? ราวกับท้องฟ้าที่เงียบสงบก่อนพายุเข้า เริ่มมีเสียงฮือฮา ผู้คนกระซิบกระซาบกัน ดังหึ่งๆ เหมือนเสียงแมลงตอมหู แล้วจากนั้นมหกรรมการโวยวายครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น พวกตาลุงแก่ๆ นั่งหัวเราะเยาะราวกับเราเป็นตัวตลกละครสัตว์ ส่วนพวกคนหนุ่มลุกขึ้นมาก่นด่าทำท่าโมโห
“ได้ยินแล้วนี่! งานเลี้ยงเลิกแล้ว เจ้าพวกโง่ ออกไปซะ!” แจ็คช่วยตะโกนให้อีกเสียง ไม่มีใครในกลุ่มเราแสดงอาการสะทกสะท้านแต่อย่างใด รวมทั้งเรย์ด้วย ทุกคนแสยะยิ้มราวกับกำลังจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้น และไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม คงไม่ใช่สิ่งที่ผมใฝ่ฝันหาแน่ ผมคิดว่าควรจะแยกตัวออกไปนั่งอยู่มุมข้างๆ เพื่อความปลอดภัย
“เจ้าพวกโง่พวกนี้อยากมีเรื่องว่ะ!” หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ส่งเสียง พวกนั้นถลกแขนเสื้อขึ้น โชว์กล้ามแขนตัวเอง เอากำปั้นทุบมืออีกข้างแรงๆ เป็นสัญญาณเตือนว่างานเลี้ยงของจริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ แจ็คขยับเท้าของตนเล็กน้อย เหมือนว่าเธอเตรียมพร้อมที่จะพุ่งตัวออกไปอยู่ตลอดเวลา ควินท์หันเก้าอี้ตัวเองออกจากโต๊ะ คงเพราะไม่อยากให้มันมาขวางตอนที่เขาจะเข้าไปกัดคอใครสักคน ผมตวัดตามองซ้ายขวาด้วยความรู้สึกอึดอัด
“สั่งสอนพวกมันสักหน่อยดีไหม?” กลุ่มชายฉกรรจ์ถาม แล้วก็ได้เสียงตอบรับกลับมาอย่างล้นหลาม มียี่สิบหรือสามสิบกว่าคนได้ที่ยินดีจะเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ ทุกคนตั้งท่า ต่างยืนนิ่งจดจ่อเพื่อดูท่าทีของอีกฝ่าย เหมือนงูเห่าที่กำลังจ้องเหยื่อก่อนฉก ผมคิดว่ากำลังได้ยินเสียงกลืนน้ำลาย มันเงียบแม้แต่เสียงเม็ดเหงื่อไหลตกพื้นก็ยังลอยเข้าหู
“ใต้โต๊ะ” แจ็คสะกิดผม
“อะไรนะ?”
“ไปหลบใต้โต๊ะก่อน” หญิงสาวกล่าว ผมไม่แน่ใจว่าเธอพูดเล่นหรือไม่ แต่หลังจากเห็นว่าสถานการณ์กำลังใกล้จะปะทุเต็มที ผมรีบไถลจากเก้าอี้ ย่อตัวเข้าไปหลบอยู่ใต้โต๊ะตามคำส่ะง เป็นจังหวะเดียวกับที่มีแก้วเบียร์ลอยเฉี่ยวหัวผมไป สงครามขนาดย่อมๆ บังเกิดขึ้นทันที ทุกคนวิ่งเข้ามาหมายจะฝากกำปั้นให้พวกเราคนละหมัด เมย์เฮมไม่หวั่นเกรงเดินเข้าหา เขาหลบตัวแล้วออกหมัดอย่างช่ำชอง แจ็คเข้าไปช่วยอีกแรง เฮเซลสีไวโอลินเป็นเสียงสูงเสียดหูยาวๆ คาดว่าอาจกำลังด่าพวกนั้นเป็นภาษาดนตรี
ข้าวของ อาหาร จานชาม ถูกขว้างปาใส่กัน เหมือนว่ามหกรรมครั้งนี้ไม่ได้มีการเจาะจงที่พวกเราเป็นพิเศษ เริ่มมีการทำร้ายกันเองของกลุ่มตาแก่จากโต๊ะคนละฝั่ง แล้วจากนั้นกลุ่มสาวๆ ก็กระชากเสื้อตบตีกันเรื่องที่ว่าจะเชียร์ใครดี ทุกอย่างโกลาหลวุ่นวาย แม้จะหลบอยู่ใต้โต๊ะก็ยังต้องคอยหลบพวกเศษอาหาร กระดูกไก่ที่โดนโยนเข้าใส่เป็นลูกหลง ไม่รู้ทำไม พวกนักดนตรีถึงเร่งจังหวะเสียงเพลงให้เร้าใจราวกับว่ามันเป็นเรื่องสนุก ถึงขั้นที่คนนึงโดนโขกหัวจนสลบไป คนอื่นก็ยังคงเล่นต่อได้โดยไม่ใส่ใจนัก
“อยากมาร่วมวงด้วยไหม?!” เมย์เฮมถามตอนที่ยกร่างผู้ชายคนนึงสูงแล้วทุ่มลงใส่เก้าอี้ไม้จนมันพัง
“ไม่เป็นไร ข้าอยู่ตรงนี้สบายดี” ไม่ใช่ว่าผมกลัวหรืออะไรนะ แต่ผมไม่เห็นว่าการหาเรื่องชกต่อยโดยไม่จำเป็นแบบนี้จะทำให้เราได้ที่สงบๆ ส่วนตัวมายังไง นี่เราจะแค่ออกไปหาสถานที่เงียบๆ ที่อื่นไม่ได้เลยหรือ? บางทีพวกเขาอาจจะแค่อยากยืดเส้นยืดสายตั้งแต่แรก อาจเป็นกิจวัตธรรมดาของที่นี่ โลกออนไลน์มีอะไรให้ผมได้แปลกใจเสมอ
“พี่มาถึงที่โลกนี้ตั้งแน่เมื่อไหร่?” เรย์นั่งหลบอยู่ข้างๆ โดยที่ผมไม่รู้ตัว เธอตัวเล็กมากพอที่จะไม่โดนลูกหลงจากสิ่งของที่ถูกปาเข้ามา นอกจากเราสองคนแล้ว คนอื่นๆ ก็สนุกสนานกับการชกต่อยกันดี คาเมรอนหนอนหนังสือท่องมนต์อะไรบางอย่างอยู่ไม่ไกลออกไป ตัวอักษรบนหน้าหนังสือของเธอเรืองแสง เฮเซลสีไวโอลินเป็นเพลงอันไพเราะ ไม่แน่ใจว่าเป็นฝีมือใครกันแน่ แต่จู่ๆ คนกลุ่มหนึ่งก็เหมือนถูกพลังงานบางอย่างผลักให้กระเด็นไปติดผนัง
“เพิ่งมาถึงเมื่อวานน่ะ” ผมตอบเด็กหญิง “นี่ถามหน่อยสิ นี่ถือเป็นเรื่องปกติของพวกเธอเหรอ? แบบว่า เราโดนตามล่าไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่ทำอะไรที่… เงียบๆ กว่านี้ล่ะ?”
“คงเป็นการคลายเครียดอย่างนึงมั้ง การมีเรื่องในโรงเตี๊ยมเป็นกิจวัตประจำวันที่ธรรมดาพอๆ กับกินข้าวนั่นแหละค่ะ” เรย์มองการต่อสู้ที่เกิดขึ้น เหมือนเธอจะไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่นิด “อีกอย่าง นี่เป็นเมืองเล็กๆ ในทวีปแห่งแสง ค่อนข้างปลอดภัยจากพวกยูนิตี้พอสมควร”
ผมนึกย้อนไปถึงตอนที่ผมยังอายุสิบสองเท่าเธอ ตอนนั้นผมยังอาศัยอยู่ในป่ากับครอบครัว เรายังไม่รู้เลยว่ามีผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ อีก เป็นช่วงที่ผมต้องเรียนรู้วิธีการเอาตัวรอดมาพอสมควร ผมต้องเริ่มฝึกทักษะหลายอย่างที่ไม่เคยทำ เพราะถ้าไม่ทำ ความตายก็อาจยืนจ่อหลังเราได้ทุกขณะ นึกดูดีๆ การกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดของผมก็เริ่มมาตั้งแต่ตอนนั้น สำหรับเรย์เองอาจจะแย่กว่าผม อย่างน้อยผมยังมีสิบปีแรกของชีวิตให้ได้เรียนรู้โลก เรียนรู้วัฒนธรรม เรียนรู้การมีความสุข แต่ผู้เด็กหญิงที่อายุเท่าเรย์คงจะต้องเผชิญหน้ากับยุคโลกาวินาศตั้งแต่เธอเพิ่งจำความได้เลยด้วยซ้ำ
“เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า?” เรย์ถาม ผมได้ยินแล้วก็ลองนึกย้อน คิดว่าตัวเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน มีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยกับเธอ ผมลองมองหน้าเธอชัดๆ จนแล้วจนรอดยังไงก็นึกอะไรไม่ออก ไม่แน่เราอาจเคยเจอกันมาก่อน หรือเธออาจทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ เลยคิดไปเองแบบนั้น “ก็อาจจะ… ไม่รู้สิ เราอาจเคยเจอกันที่ไหนสักแห่ง ในอีกโลกนึง”
“ข้าคิดว่าเจ้าไม่ควรเล่นเพลง ‘คอนเทโก้’ ในนี้นะเฮเซล ประสิทธิภาพของเพลงไม่เหมาะกับการต่อสู้เล่นๆ หรอกรู้ไหม ข้าแนะนำให้เจ้าเล่นเพลง ‘ดีไอรอน’ เป็นการส่งเสริมให้ทุกคนรับอาการบาดเจ็บจากการโจมตีน้อยลง นี่ไง หนังสือหน้านี้บอกไว้” คาเรมอนพูดท่ามกลางเสียงคำรามของคนอื่นๆ
“ข้าไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่เลย” ควินท์ว่า เอาไม้เท้าของตัวเองฟาดใส่ชายคนหนึ่ง “เช้าตรู่แบบนี้ มือไม้ข้าอ่อนปวกเปียกไปหมด”
“ข้าจัดการได้แปดคน เจ้าล่ะเท่าไหร่” เมย์เฮมถามก่อนจะชกอีกคนสลบเหมือด “ตอนนี้เป็นเก้าแล้ว”
“ข้าได้สิบ ข้าชนะ!” แจ็คกล่าวอย่างมีชัย “เหลือคนสุดท้ายตรงนั้น มาแข่งกันว่าใครอัดเจ้านั่นสลบก่อน!”
ไม่นาน การต่อสู้ก็จบลง มีเสียงโอดโอยและครวญครางดังมาเป็นระยะๆ คนส่วนใหญ่พยายามลากตัวเองออกไปจากโรงเตี๊ยมแต่โดยดี แจ็คสำรวจดูความเสียหายบนเครื่องแต่งกายของตน เมย์เฮมนั่งบนเก้าอี้สามอี้ที่จะพังเหล่มิพังเหล่ ควินท์ทรุดตัวลงเหมือนเพิ่งใช้พลังงานไปอย่างหนัก เฮเซลเอาผ้าขี้ริ้วขัดถูเขาของตัวเองจนเป็นเงา คาเมรอนนั่งอ่านหนังสือตามเดิม ผมกับเรย์คลานออกมาจากใต้โต๊ะ
สภาพโรงเตี๊ยมในตอนนี้เกินเยียวยา ทุกอย่างพังและเทะไปหมด เศษอาหาร คราบเครื่องดื่มมากมายเปื้อนทั่วพื้นและผนัง โต๊ะเป็นสิบกว่าตัวล้มไปคนละทิศคนละทาง มีชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมนั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมห้องท่าทางเหมือนผีตายซาก คงเศร้าน่าดูที่พบว่าร้านของตัวเองเปลี่ยนสภาพเป็นแบบนี้
“เยี่ยม! ตอนนี้ข้าก็มีที่ให้คุยกันได้แบบส่วนตัวเสียที” เมย์เฮมกล่าว
“บนซากปรักหักพังนี่น่ะเหรอ?” ผมมองไปรอบๆ เมย์เฮมยิ้ม ไม่พูดอะไร ชี้ไปที่คาเมรอนผู้ซึ่งกำลังพึมพำอะไรในปากอยู่คนเดียว
“คอยดูแล้วกัน” เขาว่า
หนังสือของหญิงสาวเรืองแสงอีกครั้ง บางอย่างเกิดขึ้น ทั่วทั้งห้องสั่นสะเทือน สิ่งของต่างๆ กำลังเคลื่อนไหว จากที่เขย่าไปมาก็เริ่มลอยจากพื้น ทั้งโต๊ะและเก้าอี้กำลังเคลื่อนไหวเอง แม้แต่เศษคราบอาหารก็ลอกออกจากพื้นและผนังอย่างง่ายดาย ของทุกอย่างบินฉบัดเฉวียนอยู่ในอากาศ เก้าอี้ตัวที่เมย์เฮมนั่งอยู่ลากไปตามพื้นโดยที่เขาไม่ขยับออกไปไหน ตอนแรกผมนึกว่ามันเป็นปรากฎการณ์อาถรรพ์ แต่แล้วก็เริ่มเห็นว่าของทุกอย่างกำลังจัดระเบียบในตัวของมันเอง เก้าอี้กลิ้งกลับมาตั้งตรงแล้วสอดเข้าไปในโต๊ะอย่างเรียบร้อย ขาไม้อันที่เคยหักอยู่ก็บินเข้าไปต่อติดดังเดิมได้อย่างน่าอัศจรรย์ แก้ว จาน ชาม ช้อนซ้อม อาหาร เรียงตัวกันใหม่บนโต๊ะอัตโนมัติ ไม่ช้าทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาพปกติอีกครั้ง
“นี่มัน… เป็นไปไม่ได้” ผมพูดไม่ออก ไม่แน่ใจว่าหายใจไม่ออกด้วยหรือเปล่า ขนแขนลุกซู่ ทุกอย่างที่เคยขบคิดอยู่ในหัวก็พลันโล่งหายเป็นสีขาวโพลน โลกออนไลน์ยังคอยโยนเรื่องน่าประหลาดใจเข้าใส่ผมเรื่อยๆ เหมือนเดิม
“หมดแล้ว” คาเมรอนพูดเสียงเนือยๆ
“อะไรหมด?” ควินท์ถาม
“อย่างแรกคือแรงของข้าหมดแล้ว เวทย์คืนสภาพนี่ดูดพลังข้าไปหมด” คาเมรอบตอบปิดหนังสือตรงหน้าลง “อย่างที่สองคือผงควบคุมสสารที่เป็นวัตถุดิบใช้คู่กับมนต์เมื่อกี้ก็หมดแล้วเช่นกัน มันเป็นของหายากมากเลยนะ คงจะอีกสักเดือนสองเดือนกว่าข้าจะหามาใหม่ได้ เพราะฉะนั้น จากนี้เป็นต้นไป จะไม่มีการหาเรื่องสู้โดยที่ไม่จำเป็นอีก ข้าตามเก็บกวาดให้พวกเจ้าไม่ได้แล้ว”
“อ้าว! แล้วทำไมไม่บอกก่อนล่ะ รู้งี้เก็บไว้เผื่อเวลาสำคัญเสียก็ดี” ควินท์พูด “เจ้าไม่ลองไปหาดูในตลาดมืดล่ะ?”
“เจ้าจะจ่ายให้ข้าไหมล่ะ? แพงโขอยู่นะ”
“เอาน่า” แจ็คเดินมาปลอบใจ ทุกคนกลับมารวมตัวกันที่โต๊ะตัวเดิมอีกครั้ง สภาพทุกอย่างไม่ต่างจากสิบนาทีก่อน เพียงแต่คราวนี้ ไม่มีใครอื่นอยู่ในโรงเตี๊ยมเลย (ยกเว้นเจ้าของโรงเตี๊ยม ผู้ซึ่งเพิ่งจะโดนเมย์เฮมถลึงตาใส่จนเดินหนีเข้าครัวไป) “อย่างน้อยพวกเราก็ได้ปลดปล่อยบ้าง จริงไหม?”
“ฉันคิดว่าพวกนายจะต้องเรียนรู้วิธีระบายความเครียดที่ถูกต้องใหม่แล้วล่ะ” ผมถอนหายใจ ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะดัดสำเนียง ผมชักจะรู้สึกไม่แน่ใจแล้วสิว่าตัวเองจะอายุยืนไปอีกนานแค่ไหนหากต้องอยู่กับพวกเขา
= = = = = = = = = = = = = =
โปรด ติด ตาม ตอน ต่อ ไป
รูปตัวละครประจำตอนนี้
ควินท์
จอมเวทย์เเวมไพร์
เมย์เฮม
นักดาบจอมพลัง
เฮเซล
เเพะน้อยนักกวี
คาเมรอน
นักบวชหนอนหนังสือ
เรย์
หนูน้อยนักปรุงยา
คุยกับไรท์เตอร์
ในที่สุด ไรท์คิดว่าเนื้อเรื่องก็ได้ผ่านพ้นจุดเริ่มต้นไปแล้ว ตอไปจะเข้าสู่เนื้อหาหลักของเรื่องเสียที บอกไว้ก่อนว่าอาจจะรั่ว มั่ว บ้าไปตามประสา
เอ้อ ช่วงนี้สำหรับเด็กมัธยมทุกท่านคงเป็นช่วงสอบสินะครับ ลำบากกันหน่อยเนอะ อ่านหนังสือเยอะๆ แล้วอย่าลืมมาอ่านนิยายไรท์เยอะๆ//โดนตบ
หวังว่าจะสอบได้คะแนนดีๆ กันทุกคนนะครับ ขอให้ผ่านทุกวิชา ไม่มีตก ไม่มีซ่อม สาธู้!!!
มีนักอ่านคนนึงเขาท้วงเรื่องที่ไรท์เตอร์เอาภาพมาแล้วไม่ได้ลงเครดิต ไรท์ก็ขอขอบคุณมากเลยนะครับที่เตือน ตอนนี้จะพยายามกลับไปหาเครดิตของรูปต่างๆ ที่เคยลงไว้ครับ แต่ก็คงมีบางรูปที่หาเครดิตไม่เอจเหมือนกัน เพราะเเชร์กันแพร่หลายมากจนไรท์หาที่มาดั้งเดิมไม่เจอ ต้องขออภัยด้วยนะครับ
เรื่องสุดท้าย คือในที่สุด ไรท์ก็ได้คอมเมนต์ครบ 100 เม้นต์แล้ว กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
มุมตอบเม้นต์
bluelikingขอบคุณท่านมากสำหรับคำแนะนำครับ จุดที่ท่านบอกว่าเว้นวรรคผิดจังหวะนี่เป็นประโยชน์มากๆเลย เป็นความผิดพลาดที่ไรท์เองก็ไม่เคยสังเกตมาก่อน อีกอย่างนึง สาเหตุที่ไรท์ลบเวอร์ชั่นรีไรท์ไป เพราะไรท์คิดว่าจะไม่เอามาลงต่อแล้วน่ะครับ กำลังเดินหน้าส่งให้สำนักพิมพ์จนกว่าจะผ่าน ถ้าไม่ผ่านจริงๆ หมดหวังแล้ว เดี๋ยวไรท์คงจะเอาลงครบทุกตอนแน่ครับ
My SonG~ ขอบคุณท่านสำผรับคำชมครับ ดีใจจังที่ท่านติดตามมาตั้งแต่เรื่องที่แล้ว อิๆ
Amo i ta ★คิงเดสซึ★ ชอบเม้นต์ยาวๆ ของท่านจังเลยอ่ะ 55 ยังทำให้ขาพเจ้าแอบขำเช่นเคย ส่วนคำติชมเรื่องการบรรยายของขาพเจ้าก็เป็นประโยชน์มากๆเลยครับ แบบพวกทีเด็ดระหว่างช่วงประโยคที่ท่านพูดถึงนี่ ขาพเจ้าเก็ทเลย เดี๋ยวครั้งหลังจะทำตามที่ท่านว่านะ อิๆ
เสี่ยวหลัน นักอ่านที่รักอย่างท่านเสี่ยวหลันกลับมาแล้วววว ขอบคุณท่านมากๆสำหรับเตือนคำผิดครับ ส่วรที่ท่านเดานั้น ไรท์ยังไม่เฉลยนะ อิๆ ส่วนที่ลบรีไรท์เเมตภาคหนี่งไป เพราะไรท์กะจะรอส่งพิจารณาให้สำนักพิมพ์ทีเดียวเลยอ่ะท่าน ยกเว้นถ้ามีเสียงเรียกร้องสูง ไรท์ก็อาจะเอาลงให้ครบทุกตอนก็ได้นะ เอ้อ ที่ท่านทักเรื่องลำปางนี่ ไรท์คงไม่ใช่อ่ะ ไรท์อยู่ไกลจากที่นันมากแล้วก็ไม่เคยไปมาก่อนเลยครับ
El Dorado Bz อยากให้เป็นสัตว์เลี้ยงอะไรเหรอท่าน? 55555
กุงจิ :'D 6886 ' ถ้าเป็นบทหนังสยองขวัญอาจจได้อยู่นะ แฟนตาซีคงไม่รอด ฮ่าๆๆ
ความคิดเห็น