คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 10 : ทำไม... คนบ้าถึงต้องยิ้มตลอดเวลาด้วยนะ?
ในตลอดเช้าวันนี้ กลิ่นอายแห่งความหดหู่ใจได้ครอบงำไปทั่วห้องนอนผม ไม่มีเสียงใดๆ ปรากฏขึ้นเลยเป็นเวลาเกือบชั่วโมงเมื่อเรามาถึง
โซอี้นั่งนิ่งตรงโซฟา ดวงตาของเธอเหม่อลอย คราบเครื่องสำอางสีดำเลอะตามรอยไหลของน้ำตา เมแกนที่นั่งข้างๆซบไหล่เธอด้วยอารมณ์เดียวกัน เมื่อมองไปบนเตียงกว้างก็พบเชย์ที่นอนหันหน้าหนีทุกคน อาจเป็นเพราะไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของเธอ ส่วนผมก็ยืนอยู่ตรงมุมห้อง จ้องมองบรรยากาศชวนหดหู่นี้ไปเรื่อยๆ หากแต่คนที่ยืนข้างๆผมกลับเป็นคนที่ไม่แปลกหน้า แต่น่าแปลกเมื่อเขากลับไม่ใช่คนที่ผมเคยรู้จัก
ไซม่อน คือชื่อของเขา ตลอดเวลาที่เขายืนข้างๆ ผมใช้เวลาเพ่งพินิจในตัวเขาอยู่นาน เหตุใดเขาจึงเหมือนอดีตคนที่ผมเคยรู้จักได้มากขนาดนี้ อันที่จริงเขาก็ไม่เชิงว่าเป็นคน แต่การที่หน้าเหมือนกันนั้น ต้องมีเหตุผลอะไรแอบแฝงอยู่แน่.. ผมคอยเงี่ยหูฟังดูเผื่อจะได้ยินเสียงเครื่องจักรหรือกลไกทำงานในตัวหมอนี่ แต่ทั้งหมดที่ได้ยินคือเสียงลมหายใจหนักๆ ด้วยสีหน้าและท่าทาง ผมจึงไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรกับเขา หากมีมีดก็คงจะลองเอามาชำเเหละร่างกายเขาดูสักที แต่มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นความสงสัยนี่อาจต้องเก็บไว้ในใจและสรุปไปก่อนว่าเขาเป็นมนุษย์ของแท้
“มีใครบอกฉันได้ไหม.. ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
ไซม่อนกล่าวขึ้นในที่สุด เขากอดอกและแสดงสีหน้าสงสัย โซอี้กับเมแกนมองหน้ากัน แล้วทั้งคู่ก็หันมามองผมราวกับจะส่งสัญญาณให้ผมเป็นคนตัดสินใจว่าจะพูดดีไหม ผมชั่งใจสักพักก่อนจะส่ายหน้า.. ไม่ควรจะมีใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีก
“รอยยิ้ม” เชย์ที่นอนอยู่กล่าวโดยไม่หันกลับมามองหน้าใครเลย “ฝีมือของมัน..” เสียงเธอแหบเเห้งเนื่องจากไม่ได้พูดอะไรเป็นเวลานาน ไซม่อนได้ฟังก็งุนงง เขาหันมามองผมคล้ายกับหวังว่าผมจะช่วยขยายความเพิ่มได้ เมแกนถอนหายใจแล้วลุกขึ้นมา เธอคุยอะไรบางอย่างกับโซอี้.. จนในที่สุดเธอก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับไซม่อน ผมปล่อยเลยตามเลยแล้วนั่งลงตรงหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ ระหว่างที่เล่า ไซม่อนก็มีการถามขัดจังหวะบ้าง ดูเขาจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ โซอี้กับผมช่วยกันเสริมรายละเอียดในบางจุด ทั้งเรื่องเหตุฆาตกรรมที่ผ่านมา รวมทั้งเรื่องการหายตัวไปของเอ็มมิลี่ โชคดีที่เขารู้เรื่องตำนานของรอยยิ้มอยู่แล้ว การทำความเข้าใจจึงง่ายขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเข้าใจทุกอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์
“ฉันต้องการเอาคืน!” เชย์ลุกขึ้นนั่งในที่สุด สีหน้าเธอดูโกรธ ซึ่งผมไม่แปลกใจเท่าไหร่จากสิ่งที่เธอเพิ่งเจอมา “เราคิดว่าถ้าเราอยู่นิ่งๆไม่ไปยุ่งอะไรอีก มันจะหยุด แล้วเราจะปลอดภัย แต่เราคิดผิด… มันหมายหัวเราไว้แล้ว! ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะหนี” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกฮึดสู้ของเธอดังก้อง
“ตำรวจยังทำอะไรไม่ได้… แล้วพวกเธอจะทำอะไรได้” ไซม่อนกล่าว ดูเขาพยายามที่จะห้ามไม่ให้เชย์หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ซึ่งผมก็คิดแบบเดียวกัน แต่เมแกนเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง “ฉันว่าเชย์พูดถูกนะ ที่ตำรวจทำอะไรไม่ได้ เพราะตำรวจพวกนั้นน่ะเอาแต่สงสัยพวกเรา… เข้าใจไหม? ต่อให้มีรอยยิ้มกระโดดเต้นบัลเลย์ผ่านหน้าเขาไป เขาก็คงยังจะบอกว่าพวกเราเป็นฆาตกรอยู่ดี!”
“ถ้าตำรวจทำอะไรไม่ได้ เราทำเอง..” โซอี้เช็ดคราบเครื่องสำอางบนใบหน้าเธอ “มันเป็นวิธีเดียว.. ถ้าเราไม่หามันให้เจอ มันก็จะหาเราเจอ..” โซอี้กล่าวประโยคเด็ดที่ตัวละครในหนังสยองขวัญมักพูดกัน แต่โชคดีที่คนที่พูดบทนี้มันจะเป็นตัวเอก ซึ่งอย่างน้อยก็จะตายในตอนหนังใกล้จบ หรือผมอาจลืมไปว่านี่มันเป็นชีวิตจริง ไม่ใช่หนัง
ไซม่อนทำท่าจะขัดสาวๆซึ่งตอนนี้กำลังลุกเป็นไฟแรงกล้า แต่เชย์สวนกลับก่อนเขาจะพูดอะไรขึ้น
“นายไม่เข้าใจหรอก ความรู้สึกที่เราโดนผู้คนก่นด่าเมื่อกี้น่ะ ตอนที่พวกเขาโห่ไล่ให้พวกเราไปลงนรก แล้วก็สายตาพวกนั้น… มันแย่กว่าโดนฆ่าตายเสียด้วยซ้ำ!”
ผมเองก็จำความรู้สึกโกรธนี้ได้ดี คนในโบสถ์พวกนั้นช่างไร้เหตุผล พวกเขาพร้อมที่จะเชื่ออะไรก็ตามที่ดูเหมือนจะมาเเตะต้องลูกๆพวกเขา ส่วนเด็กๆในโรงเรียนส่วนใหญ่ก็คงจะหมั่นไส้สามสาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทุกอย่างถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้… ทั้งหมดเป็นแผนของมัน…! ‘รอยยิ้ม’
“ได้…!” ผมพยักหน้ากับตัวเอง “ฉันเอาด้วย”
“เยี่ยม!” เมแกนยิ้ม โซอี้ตื่นตัว เชย์ลงจากเตียง.. บรรยากาศเศร้าโศกนั้นจมหายไปหมดแล้ว มันกลับกลายเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟให้ทุกคนลุกขึ้นสู้ จู่ๆเมแกนก็โพล่งเสียงดัง “นางพญา! รวมตัว!” จากนั้นพวกเธอสามสาว ก็มามุงรวมเป็นวง ทำมือเป็นสัญลักษณ์บางอย่างคล้ายพวกเชียร์หลีดเดอร์ที่กำลังเต้น จากนั้นพวกเธอก็เอาหัวชนกัน แล้วพูดพร้อมกันว่า “เรากลุ่มนางพญา สวย เริ่ด ไม่มีใครเกิน ใครมาแหยม ก็จงลงชักโครกพร้อมกับเสื้อเชยๆนั่นไปซะ!! เฮ้!!! ”
ผมรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ไซม่อนจึงแอบกระซิบบอกว่าเป็นท่ารวมพลังประจำกลุ่มนางพญาที่พวกเธอชอบทำ แม้จะอายุจะแก่ถึงปูนนี้แล้วก็ตาม…”
“มาเริ่มกันเลย!...” ทุกคนมารวมตัวกันบนเตียงนอนของผม ส่วนไซม่อนนั้นแค่ยืนอยู่ห่างๆ
“เอาล่ะ… สิ่งที่เราต้องการคือการหาว่าไอ้รอยยิ้มมันเป็นใคร” ผมเกริ่น “งั้นเราพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับมันบ้าง?”
“มันเป็นคน.. ไม่ระบุเพศ ใส่หน้ากากหนังแปลกๆ กรีดเป็นรูปรอยยิ้ม ชอบถือมีดแล้วก็ฆ่าคน” เชย์กล่าว
“รอยยิ้มเป็นเรื่องเล่าจากเหตุการณ์เมื่อสิบห้าปีก่อน เกี่ยวกับเด็กที่มักหายตัวไปปีละคนในโรงเรียนของเรา” โซอี้พูด “และมันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เอ็มหายตัวไปเพราะเธอบอกว่าเธอจะแฉความลับของรอยยิ้มให้ทุกคนได้รู้ แถมคนที่อยู่ในปาร์ตี้คืนนั้นก็ตายไปเกินครึ่งแล้ว ส่วนพวกเราก็ไปขวางทางมันเข้า ถึงได้เจอดีแบบนี้” โซอี้สรุปทุกอย่างออกมาเหมือนจะมีประโยชน์ เธอหันไปหาเมแกนเผื่อเมแกนจะรู้อะไรเพิ่ม
“มันกวนตีน” เมแกนกล่าว
“ใช่… เอาล่ะ งั้นสิ่งที่เราไม่รู้ก็คือ เจ้ารอยยิ้มนี้ลักพาตัวคนไปตลอดสิบห้าปีทำไม และความลับอะไร ที่ทำให้มันต้องฆ่าเด็กทุกคนที่รู้เรื่องเหล่านี้…” ผมครุ่นคิด สองคำถามนี้คือคำถามที่เราต้องการจะรู้มากที่สุดเพื่อหาตัวตนของมัน แล้วเราจะหาคำตอบพวกนี้ยังไงนะ? ถ้าเป็นหนังสยองขวัญ หรือหนังสืบสวนละก็ ส่วนใหญ่ตัวเอกก็จะต้องเริ่มด้วยการหาร่องรอยจากที่เกิดเหตุ แต่ที่เกิดเหตุแรกก็คือห้องข้างบน ซึ่งถูกทำความสะอาดไปหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงห้องสมุดโรงเรียนซึ่งตอนนี้ถูกปิดตาย “นี่…ถ้าหากเรารู้พวกข้อมูลในที่เกิดเหตุของตำรวจก็คงจะดี… “
“เรื่องนั้น ฉันจัดให้ได้” โซอี้บอกพร้อมกับอมยิ้มเล็กๆ “การแฮ็กเข้าไปดูข้อมูลของพวกตำรวจน่ะ ฉันทำได้ตั้งแต่อายุยัง 14 แล้ว” ผมพยักหน้าแล้วหมอบหมายหน้าที่นั่นให้เธอ ในใจแอบทึ่งเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงมักจะต้องเกี่ยวข้องกับพวกอัจฉริยะด้านนู่นนี่ตลอด หรือเป็นเพราะผมห่วยเองกันแน่ก็ไม่รู้สิ โซอี้บอกผมว่าเดี๋ยวจะไปเอาโน้ตบุ๊คเฉพาะของเธอที่บ้านมาให้
“อีกเรื่องนึง” ผมกล่าวต่อ “ฉันต้องการข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อน อะไรก็ได้ จดหมาย บันทึก ข่าวในหนังสือพิมพ์ หรือพยานที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น อะไรก็ได้…”
“เท่าที่จำได้ สมัยนั้นมีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเก่าๆที่บันทึกเรื่องพวกนี้ไว้นะ” โซอี้ว่า “ถ้านายอยากได้ละก็ ที่หอสมุดประจำเมืองน่าจะมีเก็บไว้อยู่ แต่คงจะใช้เวลานานในการหาหน่อย”
“งั้นฉันให้เมแกนเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ก็แล้วกัน “ ผมมองเธอ เมแกนที่กำลังจ้องสีเล็บมือนิ้วตัวเองรีบเงยหน้าเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าเพิ่งถูกมอบหมายงานแปลกๆให้
“อะไรนะ?! นายคิดยังให้ไงฉันไปห้องสมุดน่ะ ฉันกับห้องสมุด ต่างกันเหมือนกับกระเป๋าของชาแนลกับรองเท้าเตะเลยนะยะ!” เมแกนรีบปฎิเสธเสียงแข็ง โซอี้จึงปลอบเธอว่า “งั้นเดี๋ยวฉันจะยกโน๊ตบุ๊คไปทำในหอสมุดเป็นเพื่อนเธอก็ได้ ยังไงที่นั้นก็มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้ใช้ฟรีอยู่แล้วนี่”
“แจ๋วเลย!... จะขาดก็แต่พยานนี่ล่ะ ฉันอยากคุยคนที่อยู่ในเหตุการณ์สมัยนั้นโดยตรงเลยน่ะ พวกเธอมีใครพอที่จะรู้จักสักคนบ้างไหม?” ผมมองสามสาวอย่างคาดหวัง แต่เพียงแค่มองจากแววตาก็รู้ว่าคงจะยากที่จะหาใครมาสอบถาม ส่วนใหญ่ก็คงแก่กันหมดแล้ว แถมตอนนี้ประชากรที่ยังเหลืออยู่ในเมืองเกือบครึ่งคงจะเกลียดเราเป็นที่เรียบร้อย
“นี่…” ไซมอนที่เงียบอยู่นานกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ฉันพอจะรู้จักคนๆนึงที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นนะ..”
“เดี๋ยว!... เจนเซ่…. เอ้อ ไซม่อน นายรู้เหรอ” ผมตาโต ดีใจจนเกือบหลุดปากและคิดว่าเยี่ยมไปเลย งั้นก็ยินดีต้อนรับหมอนี่เข้าสู่ขบวนการกระชากหน้ากากเจ้ารอยยิ้มโดยสมบูรณ์ ผมกวักมือให้เขาเข้ามาร่วมวง “ ใครกันล่ะ?”
“จำเรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อนกันได้ใช่ไหม? ตอนที่เด็กห้าคนถูกลักพาตัวน่ะ” ผมนึกอยู่สักพัก “มีคนนึงที่รอดออกมาไม่ใช่หรือไง” เขากล่าว
“ใช่คนที่เป็นเด็กผู้หญิงหรือเปล่า?” เมแกนนึก
“นายจะบ้าหรือไง?” โซอี้เถียง “นั่นมันนานมากแล้วนะ ผ่านไปตั้งสิบห้าปีแล้ว เขาอยู่ที่ไหนเราก็ไม่รู้ แถมเท่าที่จำได้ เด็กคนนั้นก็พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง สติฟั่นเฟือนไปเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าจะยังอยู่ ป่านนี้ก็คงจะอยู่ที่….” โซอี้ชะงักไปราวกับเพิ่งจะนึกอะไรออก
“อะไรเหรอ? ที่ไหน?” เมแกนถามพลางมองไซม่อนสลับกับโซอี้ที่เหมือนจะรู้อะไรสักอย่างกันสองคน
“แม่ฉันเล่าว่า ตั้งแต่นั้น เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ถูกส่งตัวไปอยู่ในที่ๆนึง…” เชย์กล่าวลอยๆ
“แล้ว… ตกลงจะบอกได้หรือยังล่ะ ว่าที่ไหน?” ผมมองหน้าไซม่อน…
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
'โรงพยาบาลบำบัดจิตเสริมสร้างความสุขแห่งแบล็ควู๊ด'
ผมอ่านตัวอักษรจากแผ่นป้ายไม้ใหญ่ๆ และพลางสงสัยว่าผู้ก่อตั้งที่นี่นึกยังไงถึงตั้งชื่อซะลิเกแบบนี้ โอ… ให้ตายสิ ผมไม่นึกเลยว่าชีวิตตัวเองจะได้มีโอกาสเข้ามายุ่งเกี่ยวกับที่แบบนี้ และไม่ว่าเขาจะพยายามตั้งชื่อให้ดูหรูหรายังไง เช่น โรงพยาบาลบำบัดจิตเสริม… อะไรนะ … เสริมสร้างความสุข มันก็ยังเป็นโรงพยาบาลบ้าดีๆนี่เองนั่นเหละ
รู้มั้ย… สมัยตอนอายุหกขวบ ผมเคยไปเยี่ยมคุณยายที่โรงพยาบาลประเภทนี้ครั้งนึง พ่อกับแม่เล่าว่า อยู่มาวันนึงท่านก็เอาแต่จ้อไม่หยุดว่ามีตัว ‘เมนิคอรัส’ อยู่ในตู้เสื้อผ้าห้องนอนของท่าน ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันเป็นตัวอะไร รู้แต่ว่าท่านกลัวมันมาก จนกระทั่งคืนนึงท่านก็จุดไฟเผาตู้เสื้อผ้าตัวเอง วันนั้นเหละที่ท่านได้ไปอยู่ในโรงพยาบาลบำบัดจิต และเป็นวันเดียวกับที่ผมได้ห้องนอนใหม่เป็นของตัวเอง (แม้ว่าจะมีรอยไหม้เหลืออยู่ตรงผนังก็ตาม)
“แล้ว… แผนของนายก็คือเดินเข้าไป แล้วบอกว่าจะมาเยี่ยมคนไข้ที่เราไม่เคยรู้จักหรือเคยเห็นหน้าเลยงั้นหรือ?” ผมถามไซม่อน
“ก็ลองดู..” เขาตอบเบาๆ ในขณะที่เชย์มัวแต่เงยหน้าจ้องมองสถาปัตยกรรมเก่าแก่สักแปดสิบกว่าปีเห็นจะได้ ผมคาดว่าที่นี่คงจะเคยเป็นคฤหาสน์หรูของพวกคนรวยมาก่อนแน่ เพราะความใหญ่และสวยงามแบบย้อนยุคของอาคารประมาณหกชั้น แต่กินพื้นที่กว้างกว่าโรงเรียนของผมเสียอีก หน้าอาคารมีสวนดอกไม้ใหญ่ๆ ที่มีคนสวนใส่ชุดเหมือนคนไข้กำลังตัดแต่งกิ่งพร้อมกับยิ้มแบบเหม่อลอย.. แต่นั่นคงเทียบกับบรรยากาศข้างในไม่ได้เมื่อเราเดินเข้าไป
ใช่.. หากคุณได้เข้ามาข้างในนี้ละก็ คุณจะเห็นว่ามันไม่ต่างจากโรงพยาบาลธรรมดาเท่าไหร่นัก ผนังและพื้นห้องโถงเป็นสีขาวหม่นๆ มีเจ้าหน้าพยาบาล(ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย)ใส่ชุดสีขาวสี่ห้าคน กำลังพยายามจัดการกับเหล่าคนไข้ที่ตะโกนเรียกร้องให้เพิ่มเยลลี่ลงในซุปเนื้อ ส่วนคนไข้ที่เหลือซึ่งต่างใส่เสื้อและกางเกงบางๆเหมือนชุดนอน บ้างก็กำลังลากเสาแขวนสายน้ำเกลือ บ้างก็กำลังนั่งบนรถเข็นและบ่นงึมงำ เป็นภาพที่คงจะดูเหมือนแดนพิศวงสำหรับคุณเลยทีเดียวเชียวล่ะ
เชย์เป็นคนแรกที่เดินตรงเข้าไปยังเคาน์เตอร์ มีเจ้าหน้าที่ชายอ้วนๆ อายุประมาณสามสิบยืนนิ่งและมองจอคอมของตัวเองด้วยสีหน้าหื่นกระหายอยู่ ผมและไซม่อนที่เดินตามเชย์ไปเริ่มจะไม่แน่ใจว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่หรือคนบ้ากันแน่ “สวัสดีค่ะ มาขอเยี่ยมคนไข้คนนึงค่ะ เป็นผู้หญิง ชื่อ… เอ่อ ชื่ออะไรนะ?.. คริสเต็น.. ชื่อคริสเต็น รีฟเหรอ?.. ใช่ค่ะ.. คริสเต็น รีฟ..”
เขาทำสีหน้าบูดบึ้งเมื่อรู้ตัวว่ามีคนมาขัดจังหวะ ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นหื่นกระหายอีกครั้งเมื่อเห็นสาวสวยอย่างเชย์ที่กำลังรอคำตอบ เจ้าหน้าที่คนนั้นยืนเหม่อและจ้องเชย์นานเกินไปจนผมกระแอมไอเพื่อเตือนให้เข้าเลิก เขาจึงละสายตามาค้นข้อมูลในจอคอมของเขาเล็กน้อย แล้วก็กล่าวแบบเจาะจงกับเชย์ว่า “ต้องขอโทษจริงๆนะจ๊ะ แม่หนู คนไข้คนนี้เป็นคนไข้พิเศษในแผนกผู้ป่วยอันตราย ไม่สามารถให้ใครเข้าไปเยี่ยมได้หรอกนะจ๊ะ”
“แต่… เราต้องการพบเธอจริงๆนะคะ” เชย์โอดครวญ “ได้โปรด…” เธอทำเสียงเล็กๆเหมือนเด็กที่ร้องขอซื้อตุ๊กตาจากแม่ ผมเองก็คิดจะเสริม แต่คงไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ เพราะตอนนี้สายตาของเขาเลื่อนต่ำลงไปตรงหน้าหน้าของเชย์ ซึ่งนั่นทำให้ไซม่อนตบโต๊ะดังๆครั้งนึง “ฟังนะ.. ไอ้หื่น ถ้านายยังไม่ยอมให้เลิกลวนลามเธอด้วยสายตาแล้วให้เราเข้าไปซะดีๆละก็ ฉันจะควักลูกตานายออกมา แล้วเอาไปใส่ลงในซุปให้คนบ้าพวกนั้นกิน” เขาขู่ด้วยน้ำเสียงกระชากเข้มจนคนรอบข้างหันมามอง แม้แต่ผมเองก็ยังแอบกลัว
“ให้ตายสิ… นายเหมือนคนที่ฉันรู้จักจริงๆ ไซม่อน” ผมบอกเขา
“เอ่อ… อะแฮ่ม … ยังไงฉันก็ให้พวกเธอเขาไปไม่ได้อยู่ดี.. มันเป็นกฎน่ะ” เจ้าหน้าที่บอกด้วยน้ำเสียงข่ม “ถ้าขืนยังโวยวายอีกละก็ฉันจะให้เจ้าหน้าที่โยนก้นพวกเธอออกไปกองตรงถนนข้างหน้านู้น” เขาชี้ไปที่เพื่อนพยาบาลซึ่งกำลังสาละวนกับการเล่นจ๊ะเอ๋กับผู้ป่วยอยู่ เราสามคนมองหน้ากันแล้วตัดสินใจถอยออกมา จากนั้นก็รวมหัวกันปรึกษาหาทางออก
“เอาไงดี?” เชย์ถาม
“ยังไง… ฉันก็ต้องเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นให้ได้ สิ่งที่เธอรู้และเจอมามันสำคัญมากกับสิ่งที่เราพยายามหาคำตอบกันอยู่” ผมบอก
“ก็เห็นๆอยู่ว่าตาหื่นนั่นไม่ยอมให้เราเข้าไป” เชย์เถียง
“จะยากอะไร งั้นก็แอบเข้าไปซะก็สิ้นเรื่อง” ไซม่อนเสนอ ผมมองหน้าเขา และคัดค้านอย่างรวดเร็ว “บ้าน่ะสิ… ถูกจับได้ละก็คงไปนอนอยู่ในคุกแหงๆ แถมไอ้แผนกผู้ป่วยอันตราย ชื่อก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องป้องกันหนาแน่น จะเข้าไปได้ยังไง เจ้าหน้าที่ก็ออกจะก็… เยอะ” อันที่จริงถึงจะเยอะตามที่ผมบอก แต่เจ้าหน้าที่รอบข้างส่วนใหญ่กำลังวุ่นอยู่กับกลุ่มคนไข้มากเรื่อง เห็นจะมีเพียงแต่ตาหื่นที่เคาน์เตอร์เท่านั้นที่กำลังจ้องพวกเราแบบไม่วางตา
“นั่นไง ไม่ยากอย่างที่คิดหรอก” ไซม่อนบอก
“พูดมันง่ายนะ ยังไงฉันก็ไม่แอบเข้าไปแน่ๆ เราจะหาทางอื่นเอา!” ผมยื่นคำขาด เพราะประสบการณ์การแอบ‘เข้าไปสอดแนม’ครั้งล่าสุด ทำเอาผมเกือบตาย และผมไม่อยากนึกถึงเฮนรี่ ซึ่งตอนนี้คงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในโบสถ์เรียบร้อยแล้ว หากผมถูกจับได้อีกมีหวังเขาต้องไล่ผมออกไปแน่ๆ
“เชื่อนายเลยจริงๆ…แมต” เชย์ถอนหายใจ ผมยิ้มเพราะในที่สุดทุกคนก็เหมือนจะยอมทำตาม แต่ทว่า.. เชย์กลับเดินไปที่เคาน์เตอร์โดยไม่บอกไม่กล่าว
“นั่นเธอจะทำอะไรน่ะ?”
เธอแอ่นหลังตรงแล้วเปลี่ยนท่าเดินให้คล้ายนางแบบ เมื่อถึงเคาน์เตอร์ ก็เอามือเท้าคางจากนั้นก็ยิ้มยั่วยวน เป็นที่ถูกอกถูกใจของเจ้าหน้าที่จอมหื่นอย่างแรง
“อย่าบอกนะว่า… “
“นี่… น้าคะ เผอิญหนูสงสัยว่า โรงพยาบาลนี้มีกี่ชั้นเหรอคะ?” เชย์ดัดเสียงให้ดูน่าหลงใหล คนตรงหน้าจึงกลายร่างเป็นสุนัขน้ำลายยืด ซึ่งเพลิดเพลินไปกับสาวสวยแบบไม่วางตา
“บ้าชะมัด!... ทำยังกะในละครไปได้ ถึงมันจะได้ผลก็เหอะ.. ยังไงฉันก็ไม่แอบเข้าไปแน่” ผมยืนนิ่ง และกอดอก
เชย์ยังคงชวนเขาคุยต่อ เธอพยายามเอาตัวบังพวกเราสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง และเมื่อแน่ใจว่าตาหื่นไม่ถอนสายตาไปจากเธอแน่ เธอจึงแอบหันมาขยิบตาให้เป็นสัญญาณ
“ไม่.. ไม่ ฉันไม่…. เหวอ!!” ผมยังไม่ทันกล่าวจบ เจนเซ่น.. ผมหมายถึงไซม่อนก็คว้ามือผมอย่างแรง จากนั้นก็รีบลากผมออกตัววิ่งอย่างรวดเร็ว!... อ… เอาจริงเหรอ? ผมมองหน้าเขาแล้วกลับรู้สึกคุ้นเคยกับสถานการณ์นี้แบบแปลกประหลาด
“เอาเหอะน่า! ฉันจะพานายไปเอง!” ไซม่อนบอก “วิ่งให้เร็วก็แล้วกัน” เขาดึงผมแน่น จากนั้นก็วิ่งเข้าไปยังโถงทางเดินซึ่งมีคนบ้ากำลังเดินท่าทางตลกๆอยู่กันขวักไขว่ ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างแรง โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ตะโกนไล่หลังมาว่าให้รีบตามจับพวกผม
“วิ่งเร็ว!!" เชย์ตะโกน
“ไซม่อน… เหวอ” ผมเกือบชนกับผู้ป่วยแก่ๆคนนึง “นายรู้ทางเหรอ? อ๊ะ! ระวังสิ!” เรารีบแร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เจ้าหน้าที่พยาบาลสองคนตัวใหญ่บึ๊กวิ่งตามมาด้วยความเร็วที่เหนือกว่าและเข้าวิ่งฝ่าเหล่าคนบ้าโดยไม่สนว่าพวกเขาจะกระเด็นไปทางไหน “หยุดนะ ถ้าจับพวกแกได้ละก็ เจอดีแน่!!” เขาขู่ในจังหวะเดียวกับที่ผมและไซม่อนเลี้ยวผ่านห้องทำงานของหมอจนเสียหลักจนหน้าเกือบชนกัน
“ไม่รู้ทางหรอก แต่เชื่อใจฉันเหอะน่า!” เขาบอก ซึ่งผมบอกไม่ถูกว่าจะอุ่นใจดี หรือกลัว หรือตื่นเต้นดี เพราะเจ้าหน้าที่สองคนนั้นเข้ามาใกล้เราสองคนเร็วมาก ผมหลับตา ไม่กล้าคิดว่าผมจะเป็นยังไงต่อเมื่อถูกจับได้ เราสองคนวิ่งต่อไปเรื่อย จนเห็นประตูลิฟต์ตรงสุดทางเดินใกลๆตา
“เสร็จฉันแน่ พวกเด็กเปรต!” ผมแทบจะกรีดร้องเมื่อเจ้าหน้าที่ร่างยักษ์คนนึงกำลังเอื้อมมือออกมาแทบจะคว้าคอเสื้อผมได้อยู่แล้ว! ผมเร่งความเร็วขึ้นอีก รู้สึกเหมือนปอดจะระเบิดเพราะหายใจหอบรัวติดต่อกัน ไซม่อนเห็นดังนั้นก็คว้าเตียงเข็นคนไข้ข้างทาง แล้วกระชากมันออกมาขวางทางไว้ ซึ่งนั่นช่วยชีวิตผมไว้ได้แบบเฉียดฉิว
“เจน… ไซม่อน! น.. นายจะพาฉัน…ป..ไปไหน!!” ผมพูดอย่างลำบากเพราะกำลังหายใจหอบปนกัน ไซม่อนไม่ตอบ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือผม ลิฟต์ตรงหน้ากำลังใกล้เข้ามา เจ้าหน้าที่คนนั้นก็เช่นกัน ดูเขาจะโกรธเสียจนมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนใบหน้า! ให้ตายสิ นี่มันคนแน่หรือเปล่าเนี่ย!
ความตื่นกลัวเต้นตุบๆอยู่ที่ก้นบึ้งของหน้าอก ไม่ช้า เจ้าหน้าที่จอมพลังคนนึงก็คว้าผมไว้ได้ เขาได้โอกาสจึงตะครุบจนผมล้มลงกับพื้น มือผมหลุดจากไซม่อน เขาชะงัก ผมขยับไม่ได้เพราะน้ำหนักที่กดทับนั้นคล้ายกับมีก้อนหินสิบตันบดขยี้ตัวผมอยู่ เขาล็อกแขนผมไว้แล้วรวบมาข้างหลัง ผมจึงตะโกนบอกไซม่อนว่า “ไซม่อน!! วิ่งไปเลย ไม่ต้องสนฉัน!!” ซึ่งรู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรที่เป็นพระเอกละครน้ำเน่าสิ้นดี
“เจ้าโง่เอ๊ย..” ไซม่อนส่ายหน้า เขาถีบรถเข็นข้างทางใส่เจ้าหน้าที่อีกคนด้วยแรงมหาศาลจนเขาล้มลง จากนั้นก็วิ่งมาช่วยแกะผมออกจากปลิงตัวใหญ่ที่ไม่ยอมปล่อยผมไปไหน “จะให้ทิ้งกันได้ไงเล่า!”
“ระวัง!!” ผมบอก เพราะเจ้าหน้าที่อีกคนลุกขึ้นมาด้วยแรงโทสะ เขาลากไซม่อนออกมา ไซม่อนลุกขึ้นประจันหน้า จากนั้นทั้งสองก็ตั้งท่ากำหมัดแน่น ผมพยายามดิ้นให้หลุด และสู้กับแรงของสัตว์ประหลาด สายตาชำเลืองมองดูไซม่อนที่เริ่มแลกหมัดกับเจ้าหน้าที่ เขาดูท่าทางจะถนัดเรื่องต่อสู้ดีทีเดียว อีกครั้งที่ผมรู้สึกว่ารู้จักเขามากกว่าที่เป็น
“ซัดไอ้เด็กนั่นให้น่วมไปเลย!” ร่างที่กดทับผมอยู่เชียร์เสียงดัง มีคนบ้ากลุ่มใหญ่จากไหนไม่รู้เข้ามามุงอัดเต็มทางเดิน ต่างพากันส่งเสียงร้องฮูเร่ราวกับกำลังดูมวย ผมใช้จังหวะที่เขาเผลอ ใช้ท้ายทอยเข้ากระแทกกับจมูกของเขาอย่างจัง
“โอ๊ย!!” เจ้าหน้าที่กรีดร้องอย่างเจ็บปวดจนปล่อยมือผม จึงได้โอกาสลุกหนี
“เย้!!!” กลุ่มคนบ้าโบกมือดีใจ แล้วกระโดดโลดเต้น
“ย้ากส์!!” ไซม่อนร้องพร้อมกับซัดกำปั้นลงใบหน้าเจ้าหน้าที่อย่างมีชัย เขาล้มลงไปกองกับพื้น
“ไปเร็ว!!” ผมร้องบอก คราวนี้ผมเป็นฝ่ายลากมือไซม่อนวิ่งบ้าง เจ้าหน้าที่สองคนทำท่าจะวิ่งตาม แต่กลุ่มคนบ้ากลับเฮโลกันเข้ามาปลอบใจพวกเขาอย่างอ่อนโยนว่า “โอ๋ๆ…. ไม่เปนไรน๊า”
เราสองคนวิ่งไปถึงลิฟต์ในที่สุด แต่ปัญหาก็คือตัวลิฟต์นั้นยังคงอยู่ที่ชั้นสูงสุด ไซม่อนกดปุ่มหน้าลิฟต์ซ้ำๆเพื่อเร่งให้มันลงมาเร็วๆ ผมแทบยืนอยู่ไม่สุข ภาวนาให้มันมีจรวดพุ่งลงมาชั้นล่างไวๆ เมื่อกันกลับไปข้างหลังก็พบว่าสองคนนั้นสลัดกลุ่มคนบ้าออกจนหลุด และพวกเขากำลังวิ่งมา! ไม่นะ…. คุณลิฟต์ที่รัก!! ได้โปรด จะให้ทำอะไรก็ได้ แต่ช่วยลงมาเร็วๆหน่อยเหอะ!! แม้กระนั้น ลิฟต์เจ้ากรรมก็ยังคงเคลื่อนที่ราวกับเต่าคลาน
“แบบนี้คงต้องเอาให้พิการแล้วล่ะ!!” เจ้าหน้าที่ข้างหลังหยิบแท่งตะบองสีดำยาวยาวทมิฬ พวกเขาเงื้อมันขึ้น แล้ววิ่งเข้ามา หมายจะฟาดให้พวกเราบาดเจ็บ!! ผมผงะถอยจนหลังแนบกับประตูลิฟต์
“ไซม่อน… มันยังไม่มาอีกเหรอ!!”
“ใกล้แล้ว..” เขากล่าว
“พวกนั้นวิ่งมาแล้วนะ!”
“ใกล้แล้ว!…” เขากล่าวซ้ำ
“พวกแกตายแน่!!!” พวกนี้ก็กล่าวซ้ำเช่นกัน
“พวกเราตายแน่!” ผมกล่าวซ้ำกับพวกมัน
“อีกนิดเดียว!...” ไซม่อนบอก
“ย๊ากกกกกก!” พวกนั้นส่งเสียง
...........
........
.....
...
.
“มาแล้ว!!”
ติ๊ง!!
เสียงกริ่งลิฟต์เตือน! ประตูเปิด! ผมโผเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับไซม่อนอย่างรวดเร็ว เขารีบสุ่มกดชั้นมั่วๆ เจ้าหน้าที่สองคนยื่นหน้าเข้ามาในลิฟต์ด้วย! ผมกับไซม่อนจึงพร้อมใจกันใช้สองเท้าถีบเข้ายอดหน้าอย่างแรง! พวกนั้นกระเด็นไปข้างหลัง พร้อมกับลิฟต์ที่ปิดลง…
ทุกอย่างเงียบลงในที่สุด เหลือเพียงแต่เสียงหอบแฮ่กๆของผมและไซม่อนที่กำลังทรุดนั่งลงบนพื้น เราสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม จากนั้นก็หัวเราะ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่จู่ๆเราก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ผมผ่อนคลายตัวลง ไร้เรี่ยวแรงจะขยับตัว
“ฉันนี่มันโง่ชะมัด” ผมกล่าว
“เราโง่ทั้งคู่…” ไซม่อนกล่าว
จากนั้นเราก็ไม่พูดอะไรกันอีก คอยฟังเสียงลิฟต์ที่เคลื่อนตัวผ่านปล่อง หลังพักหายใจหายคอได้ไม่นาน อึดใจต่อมา เราก็มาถึงชั้นที่กดไว้ ผมคิดว่าน่าจะเป็นชั้นสาม ประตูลิฟต์เปิดออก ปฎิบัติการก็เริ่มอีกครั้ง คราวนี้… ทันทีที่เราก้าวออกจากลิฟต์ เราก็ได้ยินเสียงตามสายประกาศก้องดังไปทั่วทั้งอาคาร
“ประกาศเตือน! ขณะนี้มีเด็กอายุประมาณสิบเจ็ดน่าสงสัยสองคน คนนึงตัวสูง อีกคนตัวเตี้ยมากๆ คาดว่าน่าจะแอบเข้าไปในเขตหวงห้าม หากเจ้าหน้าที่คนใดพบเห็น กรุณาแจ้งเบาะแส หรือรีบขัดขวางโดยด่วน!” สิ้นเสียงประกาศ ผมก็แอบฉุนเล็กน้อยที่เขาดันเน้นคำว่า‘เตี้ย’ซะดังเชียว
ชั้นที่สามนั้นไม่ต่างกับชั้นแรก ผนังสีขาวหม่น มีพวกเตียงและรถเข็นอยู่ตามทางเดินโถง แต่คราวนี้กลับสังเกตได้ว่าที่นี่ไม่มีคนไข้เดินอยู่เลย แต่กลับมีกลุ่มคนที่คาดว่าน่าจะเป็นพนักงานของโรงพยาบาลยืนคุยและเดินกันเต็มไปหมด… หรือว่า… นี่จะเป็นชั้นสำหรับที่พักของพนักงาน… ไซม่อนนะ ไซม่อน! เลือกชั้นได้ดีจริงเชียว!
“เฮ้!! เธอสองคนนั้นน่ะ!” เสียงตะโกนดังขึ้น ชายคนนึงชี้นิ้วมาที่พวกเรา ก่อนคนอื่นๆจะหันตามมา
ไม่ต้องบอกว่าเราจะทำอะไรต่อ หากโรงเรียนจัดงานกีฬาครั้งหน้า รับรองว่าผมต้องได้แชมป์วิ่งมาราธอนแน่ๆ เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมา ผมไม่เคยได้หยุดวิ่งเลย ที่สำคัญคือต้องวิ่งหนีจากอะไรบางอย่าง เมื่อไหร่ความซวยเหล่านี้จะออกไปจากชีวิตผมได้เสียทีนะ?
“ขอพูดอีกครั้งนะ.. เรานี่มันโง่ชะมัด!” ผมพยายามเปล่งเสียง ขณะกำลังวิ่งเลี้ยวไปยังทางเดินแปลกๆ ซึ่งไม่มีคนเดินอยู่ “กะอีแค่มาหาข้อมูล ไม่เห็นจำเป็นต้องมาเสี่ยงภัยอะไรแบบนี้เลย ยังมีอีกตั้งหลายวิธีที่เราจะสืบค้นได้ เราทำเกินกว่าเหตุไปหน่อยว่าไหม?”
“โทษที… ฉันอาจดูหนังเยอะไปหน่อยน่ะ” ไซม่อนบอก เขาวิ่งนำผมไปเกือบไกล
“งั้นหนังที่นายดู คงจะห่วยแตกที่สุดเท่าที่เคยมีมาเชียวล่ะ“
“เฮ้!... นั่นใช่ห้องน้ำหรือเปล่า” ผมชี้ให้ไซมอนเห็นป้ายที่มีสัญลักษณ์บอกว่า ‘ห้องน้ำชาย’ ซึ่งอยู่เหนือทางเข้าเล็กๆ ด้วยความตื่นเต้น ผมจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปโดยไม่ทันคิด… ทว่าไซม่อนกลับวิ่งเลยห้องน้ำไป เขาวิ่งไปไหนไม่รู้ รู้แต่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆวิ่งตามเขาไปหมด ผมกับไซม่อนจึงต้องแยกกันโดยไม่ได้ตั้งใจ โชคดีที่ข้างในห้องน้ำไม่มีใครอยู่ ต้องยอมรับว่าห้องน้ำที่นี่สะอาดกว่าห้องน้ำชายโรงเรียนผมเสียอีก (อันที่จริง ห้องน้ำชายทั่วโลกคงจะสะอาดกว่าของโรงเรียนผมอยู่แล้ว)
ผมหยุด แล้วคิดต่อว่าจะทำอย่างไรดี หากยืนอยู่อย่างนี้คงไม่ปลอดภัย ผมจึงเข้าไปแอบในห้องส้วม ดูให้แน่ใจว่าตัวเองล็อคประตูแล้ว จากนั้นก็นั่งลงบนโถ
ความเงียบก่อให้เกิดบรรยากาศกดดันลงมา ผมถอนหายใจ ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าตอนนี้ตัวเองจะติดอยู่ในโรงพยาบาลบ้า และมีพวกผู้คุมกระหายเลือดคอยไล่จับผมเต็มไปหมด ในหัวผมว่างเปล่า นึกไม่ออกว่าจะทำไงต่อ ผมหนีออกไปเลย หรือจะหาทางไปแผนกผู้ป่วยอันตรายดี? ผมรู้ว่าถ้าเลือกข้อหลังคุณต้องด่าผมว่าโง่แน่ๆ แต่ถ้าเลือกข้อแรก เพื่อนๆผมก็จะด่าผมว่าโง่เช่นกัน มาถึงขนาดนี้แล้ว จะหนีทำไมอีก ก็ไปหาข้อมูลซะจะได้ไม่เสียเที่ยว อีกอย่างต่อให้พวกคุณด่าผม ผมก็คงจะไม่ได้ยิน แต่ถ้าโดนพวกสาวๆด่าละก็ หูผมคงได้ระเบิดตู้มอย่างน่าอนาจ
“เฮ้!”
พลันเสียงทุ้มก็ขัดจังหวะ ผมสะดุ้งสุดตัว เพราะมันดังจากห้องส้วมข้างๆนี่เอง
ไม่นะ! เขาอยู่ในนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เขารู้หรือเปล่าว่าเป็นผมที่กำลังหลบหนีอยู่
“วันนี้วุ่นวายชะมัด… นายว่าไหม?” เสียงนั้นทัก ผมเงียบไปสักพัก ลังเลใจว่าจะตอบกลับไปดีหรือไม่ สุดท้ายจึงพยายามดัดเสียงให้เข้มๆเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัยเกินไป
“ช…. ใช่ คงงั้นมั้ง..”
“ช่ายยย ให้ตายสิ ได้ข่าวว่าพวกคนบ้าชั้นหนึ่ง ก่อม็อบประท้วงให้พ่อครัวเพิ่มเยลลี่สีแดงใส่ในทุกๆเมนู แถมแผนกดูแลผู้ป่วยเด็กชั้นสองก็วุ่นอยู่กับเด็กๆที่บอกว่ามีไอ้ตัวเมนิคอรัสอะไรสักอย่างนั้นอยู่ในตู้เสื้อผ้าด้วย หมอฟิตซ์น่ะบอกว่าเป็นอาการอุปทานหมู่ ต้องให้ยาระงับประสาทเพิ่ม พวกพยาบาลก็เลยเกือบถูกเด็กรุมทำร้าย เพราะพวกนั้นไม่ยอมกินยา”
“อ….โอ้ นั่น… แย่จังนะ!” ผมรู้สึกว่าเสียงตัวเองแข็งกระด้างและดูเกร็งไปหน่อย
“เอ้อ.. แล้วก็ อย่าบอกใครเชียวนา” เสียงนั้นลดเบาลงเป็นเสียงกระซิบ “หมอฟิตซ์น่ะ สั่งให้ฉันเอาผู้ป่วยแผนกอันตรายที่ชั้นหกไปเข้ารับการบำบัดด้วยการช็อตไฟฟ้าอีกแล้ว ให้ตายสิ.. ฉันนึกว่าเขายกเลิกใช้การช็อตไฟฟ้าไปนานแล้วซะอีก คราวนี้ได้ข่าวว่าบางคนถึงกับสลบไปไม่ฟื้นอีกเลย… ก็ตายแล้วนั่นเหละ! แต่หมอฟิตซ์กลับพูดหน้าตาเฉยเลยว่าผู้ป่วยหายดีและกลับบ้านไปแล้ว… เหอะ! ใครๆก็รู้กันทั้งนั้น ว่าในโรงพยาบาลนี้ หมอฟิตซ์บ้ากว่าใครเพื่อน เขาชอบเห็นคนถูกทรมาน… ”
“แล้ว… เอ่อ… นายทำงานที่แผนกผู้ป่วยอันตรายเหรอ?” ผมถาม
“ก็ใช่น่ะสิ!... อย่าบอกใครเชียวนา เรื่องที่ฉันเล่าน่ะ เพราะผู้คุมคนสุดท้ายที่ปล่อยให้เรื่องนี้รั่วออกไป ตอนนี้ก็นอนอยู่ในห้องขังแผนกผู้ป่วยอันตรายนั่นเหละ บรื๋อ… น่ากลัวชะมัด” เสียงนั้นยังคงพล่ามไม่หยุด ทว่าผมกลับหยุดฟังเขาตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าเขาทำงานที่แผนกไหนแล้ว… ก็เพราะว่าเมื่อผมเงยหน้าไป ผมก็เห็นว่าเขาพาดกางเกงของตัวเองไว้ตรงกำแพงกั้นห้องน้ำน่ะสิ! คุณรู้ใช่ไหม ส่วนใหญ่พวกผู้คุมจะเก็บกุญแจเข้าออกแผนกตัวเองไว้ที่กางเกงอยู่แล้ว! ทันใดนั้นแผนชั่วก็แวบเข้ามาในหัวผมทันที ผมลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆเอื้อมมือไปเกี่ยวกางเกงนั้นลงมาเบาๆ กางเกงหล่นพื้นดังตุบ…
“อ๊ะ! บ้าจริง! เพื่อน… นายช่วยหยิบกางเกงให้ฉันหน่อยได้ไหม!” เสียงนั้นบอก
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว…” ผมยิ้ม แล้วหยิบกางเกงนั้นขึ้นมา จากนั้นรับใช้มืออีกข้างล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง… ผมไม่พบกุญแจ!... ทว่า เมื่อค้นดูดีๆก็พบว่ามีแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ แข็งๆอยู่ มันคือคีร์การ์ดที่ใช้เปิดประตูนั่นเอง! เพิ่งจะรู้นะเนี่ย ว่าโรงพยาบาลใช้ระบบไฮเทคแบบนี้
“เอ้า! เอ้าไปเลย” ผมพาดกางเกงกลับดังเดิม พร้อมด้วยรอยยิ้มอันแสนชั่วร้าย จากนั้นผมก็รีบปลดล็อคประตูห้องน้ำแล้วเดินออกไปแบบไม่รีรอ ในที่สุดผมก็ได้บัตรที่ใช้เปิดประตูแล้ว! ช่างเป็นโชคดีในความโชคร้ายเสียจริง ต่อไปก็คงต้องลองหาไซม่อนดู ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะถูกจับได้แล้วหรือยัง…
ผมแอบด้อมๆ มองๆอยู่หน้าห้องน้ำ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครแล้วก็เดินออกมา มีเสียงตะโกนไล่หลังถามว่า ‘นายไม่คิดจะกดชักโครกเลยรึไง?’ ผมย่องช้าๆ ตัวแนบติดกำแพง ทำลายตาเลิ่กลั่กมองซ้ายขวาแบบในหนังสายลับสมัครเล่น พยายามมองหาว่าไซม่อนน่าจะอยู่ที่ไหน ผมย่องไปตามทางเดินเรื่อยๆด้วยใจระทึก ผ่านห้องแล้ว ห้องเล่า จนกระทั่งพบว่ามีเสียงคุยกันของพวกเจ้าหน้าที่กำลังเข้ามาใกล้ ผมจนลนลานรีบหาห้องเพื่อเข้าไปหลบ ตอนนั้นเองที่ไซม่อนโผล่มาจากห้องข้างๆ แล้วดึงผมเข้าในนั้น
ผมกับเขาแอบอยู่ในมุมมืดจนแน่ใจว่าพวกผู้คุมได้เดินผ่านไปแล้ว จากนั้นจึงถอนหายใจอีกรอบ
“ให้ตายสิ! นึกว่านายโดนจับได้ซะแล้ว” ผมกล่าวพร้อมกับเอามือพาดไหล่เขา แต่ไซม่อนปัดออกพร้อมกับตอบว่า “ฉันน่ะ เอาตัวรอดได้สบายอยู่แล้ว นายต่างหาก ที่เหมือนจะไปไหนไม่ค่อยจะรอดน่ะ วิ่งยังไงของนายถึงได้คลาดกัน…”
“เฮ้!... นายพูดแบบนี้ไม่ถูกนะ!” ผมเถียง แม่ว่าอันที่จริงเขาจะพูดถูกต้องทุกประการก็เถอะ “ดูนี่ซะก่อน ฉันได้อะไรมา!” ผมชูคีย์การ์ดขึ้นให้เขาดูอย่างมีชัย ไซม่อนเพียงพยักหน้าเบาๆ แล้วก็บอกว่าสั้นๆว่า “ดี” อะไรกัน! หมอนี่! อุตส่าห์ลำบากหามาได้ จะชมสักคำมันยากนักหรือยังไง?
“เอาล่ะ งั้นถอดชุดออกได้แล้ว!” ไซม่อนกล่าว พร้อมกับถอดเสื้อสูทของตัวเองออกโดยไม่รีรอ
“หา…? เฮ้ย..ถอดทำไม?” ผมถามอย่างงุนงง ก่อนจะเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยืนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่พับเก็บไว้เรียบร้อย ตั้งเป็นกองไว้รอบตัว มีเครื่องซักผ้าตั้งเป็นแถวเรียงยาว ผมอยู่ในห้องซักรีดเสื้อผ้านั่นเอง! เข้าใจล่ะ เขาคิดจะให้ผมเปลี่ยนชุดเพื่อให้ดูกลมกลืนไปสินะ! โชคเข้าข้างพวกเราอีกแล้ว
“คงจะปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ไม่ได้ เพราะพวกนั้นคงจำเราได้แน่ๆ ปลอมเป็นคนบ้านี่เหละดีที่สุด ฉันก็แกล้งทำเป็นเดินให้ตลกๆก็พอแล้ว” ไซม่อนบอก ผมจึงหยิบชุดบางๆสีฟ้าหม่นขึ้นมาใส่ หลังจากเราเปลี่ยนชุดกันเรียบร้อยแล้ว ไซม่อนกับผมก็ย่องไปที่ลิฟต์แบบเงียบๆเพื่อไม่ให้ใครเห็น เมื่อพบว่าผู้คุมทุกคนหายตัวไปหมด จึงถือเป็นทางสะดวกของพวกเราที่จะไปต่อ ผมจำได้คลับคล้ายคลับว่า ตอนที่คุยกับชายในห้องน้ำ เขาบอกว่าแผนกผู้ป่วยอันตรายอยู่ชั้นที่หกสินะ… ผมกดปุ่ม ลิฟต์เคลื่อนที่ไปอย่างบนอย่างไม่แร่งรีบ พร้อมกับหัวใจที่สั่นเป็นจังหวะด้วยความตื่นเต้น
ติ๊ง!
ลิฟต์เปิดออก ประตูเหล็กบานใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าพวกเรา มันทาสีแดงจี๊ดเป็นตัวอักษรจับใจความได้ว่า “แผนกผู้ป่วยอันตราย ห้ามเข้าเด็ดขาด หากไม่มีอาวุธป้องกันตัว!” มันช่างเป็นคำเตือนที่บั่นทอนกำลังจิตใจของผมโดยแท้ ไซม่อนเดินนำผมไปยังหน้าประตู รอให้ผมใช้คีย์การ์ดทาบเข้ากับช่องแสกน ผมยืนทำใจอยู่สักพัก ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ แล้วทาบตัวบัตรลง เสียงดัง ‘ครืดดด’ ก้องกังวานไปทั่ว แล้วประตูเหล็กก็เลื่อนออกอย่างช้าๆ…
ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือทางเดินโถงว่างๆทางเดียว เมื่อมองออกไปไกลสุดก็จะเห็นเป็นทางตัน ในนี้เปิดไฟเพียงสลัวๆจบแทบมืด ผนังไม่ได้รับการตกแต่งใดๆทั้งสิ้น มีเพียงสนิมเขรอะเกาะเต็มจนดูเหมือนทั่วทั้งทางเดินย้อมไปด้วยเลือดแห้งๆ ผนังสองข้าง มีบานประตูเรียงรายไปจนสุด ผมกับไซม่อนตัดสินใจก้าวเข้าไป และประตูเหล็กก็ปิดตามไล่หลัง
คราวนี้ผมจึงรับรู้ถึงสภาพข้างในอย่างเต็มที่ กลิ่นเหม็นเน่าช่วยสะอิดสะเอียดโชยไปทั่วจนผมต้องอุดจมูก อากาศข้างในมีน้อยมากจนแทบจะหายใจไม่ออก ไฟที่ไม่ค่อยจะสว่างอยู่แล้วก็ออกอาการติดๆดับๆเสริมความน่ากลัวยิ่งขึ้น เสียงโอดครวญดังก้องประสานกันจนดูเหมือนเป็นบทบรรเลงแห่งความทรมาน บ้างก็ได้ยินเสียงหัวเราะแหลม บ้างก็ได้ยินเสียงร้องไห้ บ้างก็ได้ยินเสียงพูดพึมพำ ผมรู้สึกกลัวจนอยากจะออกไปให้เร็วที่สุด ไซม่อนเห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือลากผมผ่านห้องต่างไปๆ ประตูแต่ละบานจะมีช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆคล้ายหน้าต่าง และมีลูกกรงกั้นไว้ สำหรับให้ผู้คุมมองเข้าไปด้านในได้ และประตูแต่ละบานจะมีป้ายชื่อของผู้ที่อยู่ในห้องติดไว้เสมอ
“ช่วยด้วย!!!” เสียงหนึ่งกรีดร้องโหยหวนเมื่อผมเดินผ่าน
“ฉันเห็นมัน!!! ฉันเห็นแคลคูลัส!! เห็นแคลคูลัส!!” อีกเสียงหนึ่งบอก
“แมรี่ ฆ่าทอมมี่ ทอมมี่ฆ่าซูซี่ ซูซี่ฆ่าเจค เจคฆ่าแมรี่ แมรี่ฆ่าทอมมี่….” หญิงคนนั้นยืนนิ่งท่องอะไรบางอย่างซ้ำไปซ้ำมา สายตาเธอจับจ้องอยู่กับนิ้วมือของตัวเอง
“สมการก็คือ หนึ่งเศษสามสิบสี่จุดห้าหกเก้า คูณเอ็กซ์บาร์ หารด้วยหนึ่งล้าน….” ชายใส่แว่นพึมพำแล้วใช้นิ้วเขียนตัวเลขบนอากาศ
“เธอ!! เธอคนนั้นน่ะ!! ตัวเมนิคอรัสมานตามเธออยู่นะ!!!” ชายชราคนนึงแทรกมือทั้งสองข้างผ่านลูกกรงแล้วชี้มายังผม ถลึงตาโตเหมือนกับได้เห็นสิ่งที่น่ากลัว
“อย่า!!! อย่านะ!! ไม่!!! งูตัวนั้นมันบอกให้ฉันเล่นฮูลาฮูป! มันจะให้ฉันส่ายเอวเยอะๆ! แต่ฉันไม่อยากเล่นฮูลาฮูปนี่!”
"พ่อบอกเข้ามาๆๆๆ พ่อบอกไม่เข้ามาแล้ว อ้าวทำไมอ่ะ พ่อปิดประตูแล้ว ทำไงอ่ะ?"
“รอยยิ้ม!!.... มันมาแล้ว …. หนึ่งชิ้น… สองชิ้น… สามชิ้น! กรี๊ดดดดดดดด”
“เดี๋ยว! ไซม่อน! หยุดก่อน” ผมรั้งเขาไว้เมื่อได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนึงที่กล่าวประโยคอันแสนคุ้นหู เมื่อมองไปยังประตูที่อยู่ข้างตัว ก็พบกับป้ายชื่อมัวๆ ที่เขียนว่า ‘คริสเต็น รีฟ’
ผมเดินไปที่ประตูบานนั้นด้วยความตื่นเต้น
ไซม่อนมองหน้าผม
“ฉันว่าเราเจอเธอแล้วล่ะ!....” ผมกล่าว
-------------------------------------------------------------
ติดตามตอนต่อไป
ความคิดเห็น