ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Age Of Offline] ปิดระบบ โค่นโลกออนไลน์

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 10 :: ป่ามรณะและเรื่องเล่าของโลกออนไลน์

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 57















     

     

     

              คืนนั้นผมฝันร้าย ฝันว่าตัวเองติดอยู่ในเหตุการณ์อุโมงค์ถล่มก่อนที่ตัวเองจะจากโลกแห่งความจริง ตั้งแต่ตอนที่พวกผู้เก็บเกี่ยวบุกเข้ามา จนถึงภาพสุดท้ายที่เห็นกองดินถล่มลงมาทับแม่ต่อหน้า ผมฝันเห็นเหตุการณ์นั้นซ้ำๆ วนอยู่หลายรอบเหมือนเครื่องเล่นเทปที่ผุพัง ทั้งเสียงกรีดร้องและคำพูดต่างอัดกันอยู่ในหัว ทุกๆ เสียงที่เคยได้ยินดังขึ้นพร้อมกันจนรู้สึกสับสนปนเปไปหมด ที่แย่ก็คือผมไม่รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองกำลังฝัน มันเหมือนจริงมาก คล้ายกับว่าทุกอย่างเกิดขึ้นอีกครั้ง และทุกครั้งที่ความฝันเริ่มใหม่ ผมจะต้องติดอยู่กับการพยายามคิดหาทางช่วยเหลือทุกคนให้รอดชีวิต แต่ไม่มีครั้งไหนที่ผมทำสำเร็จ มันจบลงด้วยความตายเสมอ และผมก็จะติดอยู่หลอดแก้วห้องปฎิบัติการ รอคอยให้ทุกอย่างเวียนซ้ำอีกรอบ



     

              ผมรู้ตัวอีกทีในตอนที่สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก หัวใจเต้นตึกตัก เหงื่อชุ่มตัวเหมือนเพิ่งวิ่งมาราธอน มองไปรอบๆ พบว่าตัวเองอยู่บนต้นไม้ ห่างจากพื้นดินพอสมควร กำลังทิ้งร่างกายบนก้านไม้ใหญ่ ง่ามมันแข็งแรงมากพอจะใช้เป็นที่นอน ผมกำลังสอดตัวอยู่ในถุงนอน และมัดตัวเองเข้ากับกิ่งไม้ด้วยขดเชือกเพื่อป้องกันไม่ให้ตกลงไป ต้นไม้ต้นนี้มีกิ่งก้านแตกสาขาเยอะแยะจนใบไม้ช่วยพลางตัวผมจากอันตรายได้




              ผมคุ้นเคยกับป่าพอๆ กับบ้าน เคยมีช่วงชีวิตหนึ่งที่ผมใช้ชีวิตอยู่แต่ในป่า สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้นี่แหละคือบ้านของผม รู้สึกปลอดภัยมากกว่าอยู่ในเมืองเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็อาจจะเอาความมั่นใจทั้งหมดมาใช้กับที่นี่ไม่ได้ อย่างแรก ป่าในโลกแห่งความจริง ไม่ได้มีเถาวัลย์งูที่คอยซ่อนอยู่ตามพื้นดิน ไม่ได้มีแมงมุมยักษ์ที่มีสิบสองขาแถมพ่นไยออกมาเป็นกรดที่สามารถละลายกระดูกภายในพริบตาได้ สำหรับป่าอัศจรรย์แห่งโลกออนไลน์แล้ว ผมก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กหัดเดิน




    ผมสงสัยว่าแจ็คหายไปไหน




              ย้อนไปเมื่อเช้า ตอนที่แจ็คกับผมหนีเข้ามาในป่า ผมได้รับคำยืนกรานว่าจะต้องเดินตามหลังเธอติดๆเท่านั้น ตลอดทางหญิงสาวคอยเล่าเรื่องเขย่าขวัญมากมายเกี่ยวกับความน่ากลัวของป่า เรื่องที่ว่าต้นไม้บางต้นก็อาจจะไม่ใช่ต้นไม้ หรือแมลงในโลกนี้ไม่มีตัวไหนที่ขนาดเล็กกว่าใบหน้าของมนุษย์ อาจมีตะขาบที่ตัวยาวตั้งแต่ชายป่าด้านหนึ่งไปถึงอีกด้านอาศัยอยู่ แจ็คสอนผมเล็กน้อยเรื่องวิธีการดูต้นไม้ที่น่าจะปลอดภัย และการดูแม่น้ำเพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่ได้ไหลมาจากบ่อพิษ




              เราใช้เวลาทั้งวันไปกับการเดินลุยป่าไม่หยุด ในช่วงแรกๆ เราต้องข้ามเขา พื้นที่ออกจะชันเล็กน้อย เมื่อยขาเป็นบ้า ตอนเที่ยงแจ็คจับหนอนยักษ์ตัวนึง สั่งให้ผมก่อไฟ แล้วเราก็ย่างมันกิน เธอบอกว่าหนอนตัวนี้ไม่ใช่หนอน มันไม่ใช่แมลง แต่เป็นสัตว์ที่บังเอิญรูปร่างเหมือนหนอน และผมก็เชื่อ เพราะรสชาติของมันเหมือนเนื้อไก่ แต่อร่อยกว่าไก่เสียอีก จนกระทั่งตะวันเริ่มตกดิน เธอสั่งให้ผมเลือกต้นไม้ดีๆ สักต้นเพื่อค้างคืน ส่วนเธอจะออกไปสำรวจอะไรสักหน่อย แจ็คกำชับว่าอย่างน้อยผมต้องอยู่ที่จุดเดิมในตอนที่เธอกลับมา ซึ่งเธอจะกลับมาตอนเช้าตรู่




              อากาศตอนกลางคืนในป่าจะเย็นจัดเสมอ มีสองความรู้สึกคอยรบกวนใจทำให้ผมนอนไม่หลับ อย่างแรกคือผมหิวน้ำจัด ออกแรงมาทั้งวันแต่ไม่ได้ดับอาการคอแห้งเลย อย่างที่สองคือผมยังไม่ได้อาบน้ำ ทั้งเนื้อตัวและเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดินและฝุ่น ผมชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะตกลงใจว่าจะลองออกไปหาแหล่งน้ำดู มันคงไม่ยากนักหรอก ถึงยังไง ผมก็มีพื้นฐานเรื่องการเดินป่าดีอยู่แล้ว อย่างน้อยๆ ผมก็มีความสามารถในการจดจำลักษณะเด่นของต้นไม้ ทำให้ไม่หลง ผมจัดแจงทำการปลดเชือกแล้วลงปีนมาช้าๆ ทิ้งถุงนอนไว้ ทำสัญลักษณ์ที่เปลือกไม้ หยิบเป้กับปืนติดตัวไป




              แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากทิศไหน  ต้องเสี่ยงเดินไปสักทาง เดินไปได้สักพักก็ไม่ได้อะไรเพิ่มเติม เห็นแต่พืชสีเขียวทอดยาวไปสุดสายตา ระหว่างทางผมเตือนสติตัวเองให้จำลักษณะพันธุ์พืชและแนวเปลือกไม้เสมอ มันเป็นการสร้างแผนที่ในหัวอย่างหนึ่ง ผมถือปืนสไนเปอร์ไรเฟิลไว้ในระดับบ่า พร้อมลั่นไก รอบตัวมักมีเสียงไม่น่าไว้ใจเคลื่อนไหวไปมาตลอด แถมต้นไม้ก็เริ่มจะมีพันธุ์ที่ผมไม่รู้จักเข้ามาปน




              จนกระทั่งผมเริ่มได้ยินเสียงน้ำไหลลางๆ เดินเข้าไปใกล้ขึ้นก็เห็นลำธารสายหนึ่งตัดผ่านป่าไป ในความมืดอาจทำให้มองไม่เห็นอะไร แต่ช่วงของลำธารเป็นจุดที่แสงจันทร์ตกกระทบกับผิวน้ำพอดี มันส่องสว่างเป็นสีขาวนวล ความลึกของน้ำน่าจะประมาณต้นขาได้ แจ็คเคยบอกผมไว้ อย่างแรกจะต้องตรวจความปลอดภัยของแหล่งน้ำก่อน หลักง่ายๆ คือการดูว่าต้นหญ้ารอบข้างแห้งเหี่ยวผิดปกติหรือเปล่า ซึ่งเท่าเห็นก็เขียวชอุ่มดี แสดงว่าดื่มได้




              ผมเริ่มจากก้มลงไปกวักน้ำมาดื่มให้ชุ่มคอ จากนั้นก็หยิบขวดใส่น้ำจากกระเป๋า เติมให้เต็ม เก็บสำรองไว้ ตบท้ายด้วยการนำแจ๊กเก็ตตัวโปรดมาเช็ดทำความสะอาดอย่างระมัดระวัง แล้วเอาน้ำเย็นจัดมาล้างหน้าและลูบตามเนื้อตัวพอเป็นพิธี ระหว่างกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเช็ดคราบดิน บางอย่างก็เกิดขึ้น สมองผมแจ้งเตือนว่ามีอะไรบางอย่างรุกร้ำเข้ามาในเขตเฝ้าระวัง อยู่ข้างหลังผมนี่เอง




              ก่อนจะทันรู้ว่าตัวอะไร ผมรีบกระโจนเข้าไปหยิบปืนที่ตั้งไว้ริมลำธารตามสัญชาตญาณ หันกลับไป เล็งใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญ แต่แล้วก็ต้องเอารีบเอามือข้างหนึ่งป้องตา แสงสีเงินสว่างจ้าเป็นรูปร่างของอะไรสักอย่างยืนอยู่ริมลำธารอีกฝั่ง พอหรี่ตามองให้ชัดๆ ก็พบว่ามันเป็นเพียงม้าตัวหนึ่ง




              เดี๋ยวก่อน! มันไม่ใช่แค่ม้า อย่างแรกคือม้าไม่เปล่งแสง เจ้าตัวนี้เป็นอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น ขนของมันเป็นสีขาวทั่วตัว โดยเฉพาะแผงที่แผ่สยายยิ่งเสริมให้แสงนั้นเด่นเป็นสง่าเข้าไปใหญ่ เจ้าม้าค่อยๆ ผงกหัวลงเพื่อดื่มน้ำจากลำธาร ตอนนั้นเองที่ผมเห็นบางอย่างโผล่ออกมาจากศีรษะของมัน เป็นเขาแท่งแหลมๆ พุ่งชี้ตรงเหยียดที่หน้าผาก ราวกับเป็นดาบประจำตัวของอัศวิน ผมยืนชื่นชมความสวยงามของมันแล้วเกิดความรู้สึกเศร้าอย่างประหลาด




              เจ้าม้าไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของผมเลย มันก้มหน้าก้มตาดื่มน้ำช้าๆ ปล่อยให้แสงที่มันแผ่ออกมาดึงดูดทุกสิ่งมีชีวิตให้ต้องตกอยู่ในภวังค์ ผมตัดสินใจจะลดระดับปืนลง และจัดให้มันอยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นอันตราย  ถ้าไม่นับว่าเขานั่นแหลมพอจะแทงผมทะลุได้ แต่บางอย่างบอกผมว่ามันเป็นมิตร หรืออาจจะเป็นความผิดพลาดทางสัญชาตญาณของมนุษย์อย่างนึงก็ได้ มนุษย์มักจัดให้อะไรก็ตามที่ดูสวยงาม อยู่ในหมวด สิ่งดีๆ เหมือนที่จัดให้คนหน้าตาดีเป็นพระเอก ส่วนตัวร้ายจะน่าเกลียดหน้ากลัว สัญชาตญาณของเราไม่ได้บอกความจริงเสมอไป




    “ฟีเรนน่า กลับมา” เสียงหนึ่งลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง




              ผมถูกกระตุ้นให้ระวังภัยอีกครั้ง พยายามมองหาต้นเสียง เจ้าม้ามีปฎิกิริยาตอบโต้ทันใด มันสะบัดตัวหันหลังกลับเข้าไปในป่าอย่างสง่างาม แสงของมันส่องให้เห็นสภาพรอบข้างเล็กน้อยเหมือนตะเกียงไฟ มีใครบางคนยืนอยู่ถัดจากมัน เขาสวมผ้าสีดำที่มีหมวกคลุม ผ้านั้นปกปิดใบหน้าเอาไว้ แต่ปกปิดชุดเกราะที่เขาสวมไม่ได้ มันสวยงาม และขาวบริสุทธิ์ดั่งใข่มุก ชายปริศนาเอามือลูบหัวม้าอย่างเอ็นดู เจ้าม้าก้มหัวให้อย่างเต็มใจ ผมอนุมานว่าเขาคงจะเป็นเจ้าของม้าตัวนี้ น่าอิจฉาจริงๆ ม้าเรืองแสงดูเท่กว่าหมาป่าเขาแพะตั้งหลายเท่า ผมเริ่มคิดแล้วว่าควรจะหาสัตว์แปลกๆ สักตัวมาทำเป็นพาหนะเจ๋งๆ ของตัวเองบ้างดีกว่า




              “เจ้าเป็นใคร” ร่างนั้นรับรู้ว่าผมกำลังจ้องมอง เขาเดินเข้ามาใกล้ ในขณะที่ผมถอยร่นขึ้นมาจากลำธาร “เหตุใดฟีเรนน่าจึงไม่วิ่งหนีเมื่อเห็นเจ้า มันไม่ค่อยชอบให้ถูกพบเห็นเท่าไหร่ แปลกจริงๆ”




              “ฟีเรนน่า ชื่อของม้านั่นเหรอ?” ผมถาม ประมาณจากเสียง คิดว่าชายคนนั้นยังหนุ่มนัก อาจจะอายุเท่าๆ ผมเลยก็ได้ แต่เสียงดูสุภาพ นุ่มนวลเป็นพิเศษ น่าฟังพิกล




              “มันคือยูนิคอร์น” เขาว่า “เป็นพาหนะที่หายากสำหรับชาวธาตุแสงอย่างเราๆ มีน้อยคนนักที่ยูนิคอร์นจะยอมให้อยู่ใกล้ๆ เกิดมาข้าก็ไม่เคยเห็นเกินสามคนนับรวมข้าด้วย เจ้าเป็นคนที่สี่ คงถือเป็นโชคชะตา รู้ไหม หากเจ้าหายูนิคอร์นได้สักตัว มันอาจเลือกเจ้าให้ขึ้นขี่หลัง มันจะเลือกผู้ขี่ธาตุแสงเสมอ ถือเป็นเกียรติสำหรับชาวธาตุแสงอย่างเราๆ ”


    “ฉันไม่ใช่คนธาตุแสงหรอก” ผมว่า แอบเสียดายนิดๆ 


    “เจ้าไม่ใช่คนธาตุแสงหรอกรึ!” เขาอุทาน “แปลก แล้วเจ้าธาตุอะไรล่ะ?”


    “เอ่อ” ผมนึกอยู่ครู่นึง ก่อนจะล้วงโทเทมของผู้เก็บเกี่ยวออกมา “อัคคีมั้ง”


              “คนธาตุอัคคีที่เข้าใกล้ยูนิคอร์นได้งั้นหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นมาก่อน” เขาพึมพำ ผมพยายามสังเกตลักษณะหน้าตาภายใต้ผ้าคลุมอย่างไม่ไว้วางใจ คนประเภทไหนกันที่เดินเล่นกับม้าเรืองแสงอยู่ในป่าอันตรายนี่คนเดียว


    “เจ้าดูไม่เหมือนใคร แตกต่าง” ชายหนุ่มคนนั้นว่า “ไหนเจ้าลองเข้ามาใกล้มันซิ”




              ผมมองชายปริศนาครู่นึง เรายืนอยู่คนล่ะฟากของลำธาร อะไรไม่รู้บอกผมว่านั่นคือเส้นกั้นที่ไม่ควรข้าม ไม่ใช่สำหรับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะประเภทที่แต่งตัวปกปิดมิดชิดแบบนี้ “ไม่เป็นไร ฉันอยู่ตรงนี้ก็มีความสุขดี แต่ยูนิคอร์นก็เจ๋งนะ เคยอ่านในนิยาย ตายง่ายไปหน่อย ทุกเรื่องเลย”



    “เจ้าพูดเรื่องอะไร?”


    “เปล่าหรอก ฉันหมายถึง เอ่อ ฉันว่าฉันควรกลับก่อนดีกว่า ไม่อยากอยู่ตรงนี้นาน เดี๋ยวลืมทางกลับ”


    “เจ้าอาศัยอยู่ในเมืองใกล้ๆ หรือ ใช่วัลคาเนียหรือเปล่า?”


    “ฉันค้างแรมบนต้นไม้ในป่านี่น่ะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมบอกความจริง


              “งั้นลองขึ้นมาขี่ยูนิคอร์นตัวนี้สิ มันจะพาเจ้ากลับไปยังที่ที่ต้องการภายในชั่วพริบตาเดียว” เขาพูดเสร็จก็หันไปที่ยูนิคอร์น ทำการโค้งคำนับให้มันหนึ่งที เจ้ายูนิคอร์นผงกหัวคำนับตอบ จากนั้นชายในผ้าคลุมก็ขึ้นขี่มันอย่างนุ่มนวล ม้าตัวนี้ไม่มีอาน ไม่มีบังเหียน ผมแปลกใจว่าจะสามารถบังคับมันได้อย่างไร เจ้าสัตว์เรืองแสงก้าวย่างข้ามลำธารเล็กๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าผม พร้อมๆ กับชายปริศนาที่ทำท่าเชิญชวน ขนสีขาวของมันช่างดึงดูดใจเหลือเกิน




              “ไม่มีทาง”ผมปากแข็ง พยายามปฎิเสธในใจ ไม่เอาน่า ตอนเด็กๆ พ่อแม่ก็เคยสอนไม่ให้กลับบ้านกับคนแปลกหน้าไม่ใช่รึไง!



              “ใช่ว่าทุกคนจะได้รับเกียรติให้ขึ้นขี่บนหลังมันหรอกนะ” เขาลูบขนสวยๆ ของเจ้าม้า ยืนมือที่ปกปิดด้วยถุงมือหนังเข้ามาเป็นการชักชวน ผมยืนนิ่งอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็ยอมแพ้ ทำสิ่งที่โง่ที่สุด ขึ้นไปอยู่บนหลังยูนิคอร์นกับชายแปลกหน้า



               “อัศจรรย์จริงๆ มันไม่กลัวเจ้าเลย” ชายหนุ่มแสดงความตื่นเต้นผ่านน้ำเสียง “เอาล่ะ เจ้าต้องนั่งหน้า คนที่จะสั่งการต้องนั่งหน้าเสมอ”



              “อื้อหือ” ผมลูบขนนุ่มนิ่มของมัน รู้สึกลื่นมือ หลังม้าสบายกว่าเตียงนอนของผมเสียอีก ความระมัดระวังตัวหายไปหมดสิ้น เผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย การเชื่อใจใครง่ายๆ ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยสำหรับนักล่าอย่างผม แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็รู้สึกปลอดภัย ตราบใดที่ยังอยู่บนหลังยูนิคอร์น ผมเชื่อว่าจะไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่




    “แล้วจะบังคับยังไงล่ะ?”


    “ถ้ามันยอมรับเจ้าจริง ขอเพียงเจ้าคิดถึงสถานที่ในใจ มันจะพาเจ้าไปเอง” เขาแนะจากข้างหลัง


              “ยังไงนะ? ไม่เห็นจะ…. เหวอ! ผมตกใจเพราะเจ้ายูนิคอร์นออกตัวกระทันหัน มันวิ่งเร็วมาก เร็วจนมองภาพรอบข้างไม่ทัน แต่น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกถึงความตะกุกตะกักในการขี่เลย ทุกย่างก้าวของมันนุ่มนวล บางเบาเหมือนเหยียบอากาศ แต่ทำความเร็วได้ยอดเยี่ยม เป็นการเดินทางในป่าที่เต็มไปด้วยความประทับใจ ใช้เวลาเพียงสั้นๆ กว่าผมจะรู้ตัวว่าผมกลับมาตรงนี้จริงๆ ต้นไม้ต้นเดิม ถุงนอนของผมยังค้างอยู่บนก้านไม้นั่นไม่ผิดแน่ แต่มันแค่ครู่เดียวจริงๆ ผมชักติดใจ ไม่อยากลงเสียแล้ว




              “ตรงนี้ใช่ไหม” เขาถาม ผมพยักหน้า แล้วค่อยๆ ก้าวลง เจ้ายูนิคอร์นแอบช่วยย่อตัวให้ผมลงสะดวกอย่างสุภาพ ชายปริศนาเอ่ยคำส่งท้าย “ข้ามั่นใจว่าเราจะได้เจอกันอีกแน่ ก่อนจากกัน โปรดบอกชื่อของเจ้าให้ข้ารู้หน่อยได้ไหม”



              “เอาไว้ให้เจอกันอีกครั้งอย่างที่นายว่าก็แล้วกัน” ผมบอกปัด ไม่คิดจะทำพลาดซ้ำสองโดยการกระดี้กระด้าเปิดเผยตัวตนของตัวเองกับใครอีก ผมไม่ควรเชื่อใจใครในตอนนี้ และนั่นคือกฎของการเอาตัวรอด ชายบนหลังยูนิคอร์นเงียบลง ผมไม่รู้ว่าเขายิ้มหรือเปล่า แอบเห็นริมฝีปากโค้งเป็นมุมแวบๆ อยู่ใต้หมวกคลุมหัว จากนั้นทั้งชายปริศนาและพาหนะคู่ใจก็จากผมไป หายลึกเข้าไปในป่า เห็นเป็นแสงสีเงินที่เคลื่อนตัวผ่านเงาไม้ ช่างเป็นการเผชิญหน้าสั้นๆ ที่แปลกประหลาด เหมือนเป็นเพียงความฝัน หรืออาจจะแค่ฝันจริงๆ ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ผมเริ่มรู้สึกง่วงอีกครั้ง ดูท่าคงจะต้องรออีกหลายชั่วโมงกว่าถึงจะเช้า ผมจึงทำการปีนป่ายขึ้นต้นไม้อีกรอบ เอาตัวสอดเข้าถุงนอนแล้วมัดเชือกอย่างแน่นหนา จากนั้นก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว



     

    = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = 






              สี่ห้าชั่วโมงหลังจากนั้น ผมถูกปลุกให้ตื่นด้วยลูกหินก้อนเล็กๆ ที่ถูกจงใจโยนใส่หัว แจ็คยืนอยู่ข้างล่าง ส่งสัญญาณให้ผมลงไป เช้าแล้วจริงๆ แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านหมู่มวลไม้เล็กๆ ลงมาแยงตา ผมยืดแขนบิดขี้เกียจเล็กน้อย รู้สึกดีที่ได้พักผ่อนเต็มอิ่ม จัดแจงเก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋า จิบน้ำจากขวดเล็กน้อย แล้วหย่อนตัวลงมาสมทบกับแจ็ค




              “ยังสมส่วนดีอยู่หรือเปล่า?” แจ็คยืนกอดอก แปลกใจเล็กน้อยที่ผมไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนตามตัว “ข้านึกว่าจะกลับมาแล้วเห็นแต่ซากแขนของเจ้าห้อยอยู่บนกิ่งไม้เสียอีก พวกนาโก้คงหาเจ้าไม่เจอ ถือว่าโชคดีไป พวกนั้นไม่ชอบกินส่วนแขนของมนุษย์ ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร”




              “อะไรคือนาโก้?” ผมถาม เอามือปิดปากหาว ขยี้ตาสองสามที “ช่างเหอะ เธอหายไปไหนมา? ทั้งคืนเลย ปล่อยให้ฉันอยู่ในป่านี่คนเดียว เมื่อคืนมีเรื่องแปลกประหลาดที่เธอต้องไม่เชื่อแน่ว่าเกิดขึ้น”




              “หยุดก่อน เจ้าเตี้ย ใจเย็นๆ ใครก็ตามที่ค้างคืนในป่ามรณะต่างก็พบเจอกับเรื่องแปลกประหลาดด้วยกันทั้งนั้นแหละ ดีแค่ไหนแล้วที่เจ้ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ถือว่าน่าประทับใจสำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาในป่านี่ครั้งแรก” แจ็คว่า “ส่วนที่ข้าออกไป ข้าเข้าไปในเมืองมา มันอยู่ใกล้ๆ นี่เอง…. หยุด! ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้ามีเหตุผลที่ไม่พาเจ้าไปด้วย อย่างแรกคือข้าต้องแอบเข้าไปสังเกตการ์ณในเมืองก่อน ตอนนี้สถานะของพวกเราคือนักโทษคดีร้ายแรงที่เพิ่งจะหลบหนีลอยนวล เชื่อได้เลยว่าภายในสัปดาห์เดียว ทหารทั่วอาณาจักรจะร้องเรียกหาแต่ชื่อของเจ้ากับข้า โดยเฉพาะเจ้า เจ้าเพิ่งแสดงพลังบัคให้องครักษ์อัคคีได้เห็น นั่นไม่ปลอดภัยแน่”




              “ตอนนี้ฉันก็ไม่เห็นจะปลอดภัยมากขึ้นเท่าไหร่เลย อันที่จริง ชีวิตฉันมันไม่เคยปลอดภัยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว  แต่เอาจริงเหรอ? ทางออกป่าอยู่ใกล้ๆ เธอดันอยากให้ฉันซ่อนอยู่ในป่าที่มีแต่ตัวประหลาดเนี่ยนะ” ผมตัดพ้อเล็กน้อย




              “มันเกี่ยวกับสวัสดิภาพของเราทั้งคู่” แจ็คถอนหายใจ “ยังไงก็แล้วแต่ ข้ามีข่าวดี ดูหมือนจะยังไม่มีทหารม้ามาส่งข่าวเรื่องของเจ้ากับข้า เพราะฉะนั้น เราเข้าไปในเมืองได้ แต่! อย่าเพิ่งได้ใจไป เจ้าต้องระวังตัว อย่าทำอะไรให้เป็นที่สังเกต และอย่าบอกชื่อของเจ้ากับใครเด็ดขาด โอเคนะ”




               “ยิ่งกว่าโอเคซะอีก ฉันอยากออกจากป่านี่เต็มทนแล้ว ในเมืองคงมีอะไรให้กินใช่ไหม? หิวชะมัด” ผมพูดตอนที่เราเดินก้าวเดิน




              แจ็คหยุดเดินกระทันหันแล้วกลับมาชี้นิ้วใส่อกผม “อย่างแรกที่เจ้าต้องจำใส่หัวไว้เลยก็คือ ถ้าเจ้ายังเดินอยู่กลางถนน แล้วพูดด้วยสำเนียงของคนอีกโลกแบบนั้น ผู้คนจะต้องเริ่มสงสัยเจ้าแน่ และอีกอย่าง วิธีพูดของเจ้ามันทำให้ข้ารู้สึกรำคาญตะหงิดๆ ชอบกล จะดีกว่าไหม ถ้าเจ้าฝึกพูดอะไรที่มันเป็นภาษามนุษย์กับเขาซะบ้าง เลิกใช้สำเนียงลิเกเสียที เจ้าเตี้ย”




              “แหม คงจะบังเอิญน่าดู เพราะข้าเองก็คิดแบบเดียวกันกับภาษาของพวกเจ้า และอีกอย่าง เผื่อเจ้าจะจำไม่ได้ ข้าชื่อ อาคินทร์” ผมล้อเลียน พยายามแสดงให้เธอเห็นว่าภาษาใครกันแน่ที่ฟังดูลิเก แต่กลายเป็นว่าเหมือนแจ็คจะดูพอใจ เธอคิดว่าผมเรียนรู้สำเนียงโลกออนไลน์ได้เร็วดี ผมเลยถอนหายใจอีกครั้ง พยายามทำใจเรื่องที่คงต้องใช้ภาษาแบบนี้ไปตลอด แต่ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเองน่ะนะ อีกอย่าง ผมไม่อยากไปกระตุกต่อมโมโหของแจ็คเข้าโดยไม่รู้ตัวหรอก




              เราก้าวฉับๆ ย่ำผ่านต้นไม้ไปเรื่อยๆ เริ่มเห็นทิศที่ดูสว่างกว่าทิศอื่น พอเดินเข้าไปใกล้อีกก็เริ่มเห็นสภาพที่เปลี่ยนไป จำนวนต้นไม้ลดน้อยลง จนกระทั่งไม่มีเลย เรามาโผล่อยู่ที่เนินเขาเตี้ยๆ ที่สามารถมองเห็นสภาพของเมืองทั้งเมืองได้จากตรงนี้ เหมือนว่าที่นี่จะเป็นเมืองที่เล็กกว่าวัลคาเนีย แต่ดูอุดมสมบูรณ์กว่ามาก อย่างน้อยบ้านเรือนก็ไม่ได้สร้างจากถ่านหินซะจนดูดำทะมึน เป็นเมืองที่ดูสดใสและมีความธรรมดาที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในโลกออนไลน์แล้ว (ถึงอันที่จริงจะเพิ่งเห็นมาเมืองเดียวก็เถอะ)




              แจ็คเดินลงทางลาดเขาอย่างรวดเร็ว ผมวิ่งตาม ผ่านทุ่งหญ้าเล็กๆ จากนั้นเราก็มาถึงทางเข้าเมือง ผู้คนที่นี่ก็เยอะพอสมควร ทุกคนแต่งตัวแตกต่างกัน ดูมีความหลากหลาย และเหมือนจะมีพวกสัตว์หน้าตาแปลกๆ เดินปะปนอยู่กับมนุษย์เยอะเป็นพิเศษ ผมคิดว่าการมีสัตว์เลี้ยงคงกำลังเป็นกระแสที่ผู้คนแถบนี้ฮิตกัน แจ็คเดินตรง ไม่คิดจะเหลียวมองดูสภาพรอบข้าง




    “แล้วเราจะไปไหนต่อ?” ผมถาม



    “ไปตลาด เจ้าบ่นว่าหิว ข้าก็หิวเหมือนกัน ” แจ็คว่า เธอล้วงเป้ของตัวเองแล้วหยิบบางอย่างขึ้นมา มันคือถุงเงิน “ยังจำได้ไหมล่ะ? ของสมนาคุณจากห้องเก็บสมบัตินักโทษไง” หญิงสาวพูดแล้วเขย่าถุง มีเสียงเงินกระทบกันข้างในดังกรุ๊งกริ๊ง




              เราเดินผ่านบ้านเรือนไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เป็นลานโล่งกว้าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือตลาด ผู้คนมากมายส่งเสียงอื้ออึงไปทั่ว ทั้งพ่อค้าแม่ค้าที่พยายามโฆษาสินค้าของตนเต็มที่ และผู้คนที่กำลังต่อราคาอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ช้า เราทั้งคู่ก็ถูกกลืนเข้าสู่ฝูงชน แจ็คค่อยๆ พาผมไปดูซุ้มต่างๆ ตั้งแต่ผักผลไม้หลากชนิด ปลาสดๆ เนื้อหมูและไก่ ผมซื้อขนมปังร้อนๆ แถวนึง แจ็คเหมาหมดเกือบทั้งร้าน เธอบอกว่าจำเป็นต้องตุนไว้ เรายังเหลือเงินอีกเยอะจึงไม่ต้องคิดอะไรมาก




              ระหว่างทางจะมีพวกตาลุงหุ่นผอมๆ ที่แต่งตัวมอซอ มาคอยดักหน้าพวกเรา บ้างก็ร้องขอให้เราแบ่งเศษเงิน บ้างก็พยายามต้อนให้เราไปซื้อของที่พวกเขาขาย แต่แจ็ครู้ทัน พวกนี้มักจะเล็งที่กระเป๋าของพวกเรา รอจังหวะที่เราเผลอ พวกนั้นจะส่งเพื่อนร่วมขบวนการเข้ามาฉกของมีค่าไป แจ็คถึงขั้นจับพวกนั้นได้คาหนังคาเขาในขณะที่มือของชายคนหนึ่งกำลังล้วงเข้าไปในเป้ของเธอ ทุกอย่างจบลงด้วยชายกลุ่มนึงที่ถูกอัดจนน่วมลงไปกองกับพื้น




                “โลกนี้มันอันตรายยิ่งนัก” แจ็คว่าในขณะที่ปรายตามองร้านขายอาวุธอย่างสนอกสนใจ “เจ้าเพิ่งมาใหม่ ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ”



                 “ใช่จะว่าไป เจ้าเข้ามาอยู่ในโลกนี้นานเท่าไหร่แล้วล่ะ? โดนพวกยูนิตี้จับตัวมาจากโลกแห่งความจริงเหมือนกันหรือ?”




              “เปล่าหรอก” แจ็คหยุดอยู่ที่ร้านขายลูกธนูชนิดต่างๆ เธอพูดในขณะที่กำลังเลือกดูของในร้าน “ข้าถูกส่งมาที่นี่ตั้งแต่ยังเด็ก เข้ามาครั้งแรกก็ตอนสองขวบได้มั้ง อยู่ที่โลกนู้น ข้ามีแม่อยู่คนหนึ่ง แต่แม่ไม่อยากมีข้าเท่าไหร่หรอก ข้าไม่รู้ว่าพ่อของข้าเป็นใคร รู้แต่ว่าพวกเราจน ใช้ชีวิตอย่างยากจน หิวโหย ลำบาก เพราะคนส่วนใหญ่หนีมาอยู่โลกออนไลน์กันหมด ที่โลกจริงเลยไม่เหลืองานให้แม่ข้าทำเท่าไหร่นัก แม่เกลียดข้า สำหรับแม่ ข้าคือภาระที่แม่ไม่ต้องการ”




               “แล้ววันนึง ในขณะที่แม่ข้ากำลังเก็บเศษขยะขาย แม่ข้าดันไปเจอหมวกโพรงกระต่ายอันนึงที่ชำรุดแล้วแต่ยังพอใช้การได้ ตอนแรกแม่บอกว่าจะเอาไปขาย แต่ในยุคนั้นหมวกโพรงกระต่ายหาง่ายและราคาถูก แม่ข้าเลยมีความคิดที่ดีกว่านั้น ข้าถูกบังคับให้ใส่หมวก ถูกบังคับให้มายังโลกนี้ เพื่อที่แม่จะได้ไม่ต้องเลี้ยงดูข้า ข้าจะไม่หิว ไม่งอแง ตอนแรกๆ ข้าถูกสั่งให้ใส่หมวกนั่นทุกวัน จนข้าอายุครบห้าขวบ แม่ก็ตัดสินใจให้ข้ามาอยู่ที่นี่ตลอดกาล”




              ผมนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร พยายามมองสีหน้าว่าแจ็คกำลังรู้สึกอย่างไรในขณะที่เล่าเรื่องนั้นให้ฟัง แต่แววตาหญิงสาวดูเรียบเฉย ไม่ได้มีท่าทางที่แสดงอารมณ์เศร้าใจหรือเคียดแค้นเป็นพิเศษ เหมือนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอ บางทีเธออาจจะชินชากับมันแล้ว หรือไม่ก็เก็บความรู้สึกของตัวเก่งมาก ผมรู้สึกไม่ดีและคิดว่าไม่ควรทิ้งช่วงบทสนทนาให้เงียบลงดื้อๆ แบบนี้




    “แล้วหลังจากนั้น เจ้าทำยังไงต่อ?”




              “ข้าก็กระเสือกกระสนมีชีวิตอยู่ที่นี่ ใช้ประโยชน์จากโทเทมของข้า ขายลูกแอปเปิ้ลตามตลาดในเมืองต่างๆ แต่เงินที่ได้ก็ไม่พอยาไส้ ข้าเลยตัดสินใจฝึกตัวเอง แล้วผันตัวมาใช้อาชีพจอมโจร ซึ่งข้าก็ทำได้ดีนะ ข้ามีพรสวรรค์ทีเดียวแหละ อาจจะเป็นเพราะแบบนั้นก็ได้มั้ง โทเทมของข้าจึงมีลักษณะเป็นเหรียญทอง เพราะชีวิตของข้าคือการเสาะหาของที่มีค่ามากพอที่จะช่วยไม่ให้แม่คนอื่นทิ้งลูกตัวเองอีก โทเทมสะท้อนให้เห็นตัวตนของเจ้าของเสมอ”




              ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาหัวข้อใหม่ในการคุย แต่แจ็คเหมือนจะไม่สนใจนัก เธอกำลังถูกใจเครื่องประดับบางอย่าง พ่อค้าอธิบายว่ามันเป็นไอเทมเสริมความเร็วในการพุ่งของธนู มีคนไม่น้อยเช่นกันที่กำลังมุงดูซุ้มนี้ ผมเห็นหนุ่มสาวมากมายที่แต่งตัวทะมัดทะเมงพร้อมรบ บางก็สวมผ้าคลุมแบบนักผจญภัย ผมไม่เคยถูกรายล้อมด้วยคนที่มีอายุไล่เลี่ยกันเยอะแบบนี้มาก่อน นึกสงสัยว่าถ้านี่เกิดขึ้นที่โลกแห่งความจริง ผมอาจจะทักทายพวกเขา แล้วเราอาจจะได้เป็นเพื่อนกัน ไม่หรอกไม่ว่าจะโลกไหน การเป็นเพื่อนก็คงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ




              “เจ้าว่าต่างหูคู่นี้มันทำใมให้ข้าดูเป็นสตรีไปหรือเปล่า?” แจ็คถามความเห็น เทียบของสองอย่างบนมือ ต่างหูกับกำไล “ข้าก็อยากใส่กำไลนะ แต่คุณสมบัติของต่างหูนี่บอกว่ามันเพิ่มความสามารถในการย่องเบา เดี๋ยวก่อนข้าน่ะย่องเบาเก่งอยู่แล้ว คงไม่ต้องการมันเท่าไหร่ เอากำไลก็แล้วกัน เจ้าก็ดูสักอันสิ อาคินทร์ เผื่อจะมีของที่เจ้าถูกใจ ข้ายังเหลือเงินอีกเยอะ”




              “ไม่เป็นไร” ผมส่ายหน้าเบาๆ รู้ว่าต่อให้ใส่ของพวกนี้อีกสักสิบอัน มันก็คงไม่มีผลอะไรกับผม การไม่ใช่ผู้เล่นในโลกแห่งเกมก็มีข้อเสียอยู่หลายอย่าง ถึงโลกออนไลน์จะควบคุมสมองผมไม่ได้ในทันที แต่ผมก็ยังถูกตามล่าอยู่ดี ผมสงสัยว่าพวกยูนิตี้จะรู้ถึงตัวตนของผมแล้วยัง ถ้าหากพวกนั้นรู้เข้า จะเกิดอะไรขึ้นกับผมอีกล่ะ?




              “เฮ้” ผมสะกิดแจ็คตอนที่เราเดินจากร้านเครื่องประดับมา “ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก แสดงว่าเจ้าก็คงรู้เรื่องพวกยูนิตี้มาตั้งแต่แรกด้วยเหมือนกันใช่ไหม? เกิดอะไรขึ้น พวกยูนิตี้เป็นใคร? แล้วมันทำอะไรกับโลกออนไลน์บ้าง จำได้หรือเปล่า?”




              “อ้อ ข้าจำได้สิ และจะจำไม่มีวันลืมด้วย” แจ็คกล่าว “ครั้งแรกที่พวกยูนิตี้ประกาศอำนาจ ตอนนั้นข้าเพิ่งสิบขวบ เพิ่งเรียนรู้ที่จะเอาชีวิตรอดบนโลกนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามรวบรวมผู้เล่นฝีมือดีที่สุดแล้วก่อตั้งเป็นภาคี จุดประสงค์ของพวกนั้นยังเป็นปริศนา รู้แต่ใครๆ ต่างก็อยากเป็นส่วนหนึ่งกับพวกยูนิตี้ทั้งนั้น แล้วข้าก็เริ่มได้ยินข่าวลือหนาหูว่าใครบางคนค้นพบวิธีที่จะทำให้เจ้ากลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริงทั้งๆ ที่ยังมีพลังอยู่ได้ ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อหรอก ไม่มีใครเชื่อสักคน จนกระทั่งตอนที่พวกนั้นเริ่มพาคนจากโลกแห่งความจริงกลับมา เริ่มสร้างอาณาจักรของตัวเอง และเพราะความเก่งกาจของพวกนั้น ยูนิตี้ก็ขยายอำนาจจนแทบจะครองโลกได้ทั้งใบ”




              “พวกยูนิตี้เก่งขนาดนั้นเลยหรือ? ไม่มีใครคิดจะลุกขึ้นต่อกรพวกนั้นบ้างเลยรึไง?” ผมกล่าวพร้อมเบียดอยู่กับคนกลุ่มหนึ่งตรงทางเดิน




              “ก็ไม่เชิง” แจ็คยักไหล่ “โชคยังดีที่เรายังมีเหล่าราชันย์แห่งธาตุต่างๆ อยู่ไม่สิ หรืออาจจะโชคร้าย อย่างที่ข้าเคยเล่า พวกผู้เล่นอันดับหนึ่งของแต่ละธาตุ  เดิมทีทำหน้าที่เป็นกษัตริย์แบ่งกันปกครองโลกออนไลน์อยู่แล้ว การบุกของพวกยูนิตี้ทำให้พวกนั้นต้องทำอะไรสักอย่าง แต่ก็อย่างว่า พวกเขาสู้ไม่ได้ ทำได้อย่างน้อยแค่คานอำนาจ แทนที่จะสู้กันให้รู้แล้วรู้รอด พวกนั้นเลือกที่จะทำข้อตกลงบางอย่างกับยูนิตี้ ยอมให้พวกนั้นเข้าแทรกแทรงอาณาจักรได้อย่างอิสระ ในขณะเดียวกัน ก็จะต้องปล่อยให้พวกกษัตริย์ครองราชย์ต่อไป ข้าล่ะเกลียดความคิดโง่ๆ แบบนั้น พวกเขานึกว่ามันคือทางแก้ปัญหา แต่จริงๆ แล้วก็เป็นแค่วิธีที่จะยื้อบาดแผลให้อักเสบต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีใครตายไปข้าง และข้าคิดว่าไม่ใช่พวกยูนิตี้แน่ๆ ที่จะต้องตาย”




              “แต่พวกกษัตริย์เป็นกลุ่มผู้เล่นอันดับหนึ่งของโลกออนไลน์ไม่ใช่หรือไง ไหนจะมีพวกองครักษ์ที่เป็นอันดับสองอีก จะสู้พวกยูนิตี้ไม่ได้จริงรึ” ผมคลางแคลงใจ รู้สึกโมโหแปลกๆ ไม่ชอบความคิดที่ว่าเราควรสร้างมิตรกับศัตรูเพื่อความสงบสุข พวกนั้นคิดถึงแต่ตัวเอง คิดถึงแต่โลกออนไลน์ โดยไม่รู้ว่าพวกเขาปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นในโลกแห่งความจริงบ้าง พวกนั้นปล่อยให้ผู้เก็บเกี่ยวเข้ามาในโลกของเรา แล้วทำร้ายเรา  




              “ไอ้สู้น่ะ มันสู้ได้อยู่แล้ว แต่ที่พวกกษัตริ์หวั่นเกรงกันเพราะพวกยูนิตี้มีอาวุธที่ทรงพลังยิ่งกว่าน่ะสิ พวกผู้ใช้บัคอย่างเจ้าไงล่ะ” แจ็คชี้ผม “พวกนั้นค้นพบพลังอำนาจที่สามารถอยู่เหนือระบบได้จากผู้เล่นบางคน พวกยูนิตี้จึงออกเสาะหารวบรวมผู้ใช้บัคคนอื่นๆ ที่กระจายอยู่ทั่วโลก แล้วเป่าหูให้พวกนั้นมาเข้าร่วมกับฝ่ายของมัน ผลที่ตามมากลับดีกว่าที่พวกยูนิตี้คาดไว้ พลังของพวกผู้ใช้บัคแต่ละคนนั้นเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ จนแม้แต่เหล่ากษัตริย์เองก็ต้องยอมแพ้”




    “เพราะแบบนี้หรือเปล่า เจ้าถึงยอมช่วยข้าหนีออกมา เจ้าไม่อยากให้ข้ากลายเป็นแบบเดียวกับพวกนั้นใช่ไหม ”




              “ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด” แจ็คพูดเหมือนมันไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก เธอเลี้ยวเข้าไปดูร้านที่ขายอาวุธอีกครั้ง ร้านนี้จะขายของจำพวกอาวุธมีคม ดายเอย ปลายหอกเอย แจ็คหยิบมีดเล่มนึงขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ สักพักก็ตกลงใจซื้อ ก่อนจากแจ็คหยิบมีดอีกเล่ม เป็นเล่มที่เล็กที่สุด เธอจ่ายเงินอีกรอบ จากนั้นก็ยื่นมันให้ผม




    “เอาไว้ใช้ป้องกันตัว ของแบบนี้มีประโยชน์เสมอ หวังว่าเจ้าจะใช้เป็น” เธอว่า




              “ขอบคุณ” ผมรับมันมาเก็บใส่กระเป๋า จากนั้นก็ออกเดินต่อ เรากำลังไปถึงสุดตลาด ความวุ่นวายยามเช้าค่อยๆ เบาบางลง จนกระทั่งผมยืนอยู่กลางถนนของเมืองอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้คนทั้งหมดนั้นจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเมืองเล็กๆ ยังมีสถานที่อีกมากมายที่ผมไม่อาจจินตนาการถึง ชักสงสัยแล้วว่าทุกเมืองจะมีชีวิตชีวาแบบนี้หรือเปล่า




               “แจ็ค ถึงเจ้าจะบอกว่าพวกยูนิตี้กำลังครอบครองโลกใบนี้ แต่เท่าที่ข้าเห็น ทุกคนก็ยังยิ้มแย้ม ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดีอยู่นะ”




              แจ็คส่ายหน้าเบาๆ กลั้วขำในลำคอ ทำสีหน้าแบบว่า เจ้าช่างไม่รู้อะไรเลย “มันเป็นแค่ภาพลวงตา เหตุที่เมืองนี้ยังคงสงบ เพราะมันตั้งอยู่ในทวีปแห่งแสงสว่าง ทวีปนี้เป็นทวีปเดียวที่พวกยูนิตี้ไม่กล้าแตะต้อง ข้าคงไม่ได้บอกเจ้าสินะ ว่าป่ามรณะที่พวกเราเพิ่งฝ่าออกมา คือพรมแดนที่เชื่อมระหว่างทวีปแห่งอัคคีและทวีปแห่งแสง วัลคาเนียน่ะ ก็ได้อานิสงค์จากการอยู่ใกล้ทวีปแห่งแสง เลยไม่ถูกรุกรานกดขี่มากเท่าไหร่ ในขณะที่ทวีปอื่นๆ อยู่ในสภาพย่ำแย่เต็มทน ถือว่าโชคดีที่เจ้าไม่ได้ไปโผล่ในทวีปเหล่านั้นตอนเข้าเกมมา และโชคดีเป็นทวีคูณที่ข้าเจอเจ้า”




              ผมเลิกคิ้วเพราะเพิ่งรู้ นี่ชีวิตผมมีสิทธิที่จะแย่ไปกว่านี้อีกเหรอ ถ้าผมไปโผล่ในเมืองที่พวกยูนิตี้กระโจนเข้ามาแทงผมทันทีที่ไปถึงล่ะ ถ้างั้นการเกือบจมน้ำ โดนลูกไฟตกใส่ โดนขัง โดนไล่ล่า ก็คงไม่เลวนัก คิดดูแล้วก็ทำให้ค่อยใจชื้นขึ้นหน่อย




    “แล้วมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ ที่ผู้คนเริ่มถูกปลับเปลี่ยนความทรงจำน่ะ?”




              “ก็ประมาณเจ็ดปีก่อนได้ เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่พวกยูนิตี้เจอผู้ใช้บัคคนนั้น คนที่มีความสามารถในการควบคุมความทรงจำผู้เล่น นี่ก็คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกกษัตริย์ยอมจำนนโดยง่าย ข้าเดาว่าผู้เล่นที่มีความสามารถเยอะคงถูกดัดแปลงความทรงจำยากหน่อย พวกยูนิตี้จึงยอมทำข้อตกลงแทน แต่ก็นั่นแหละ ยังมีบางคนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากพลังนั่น ยังไม่มีใครหาคำตอบที่ชัดเจนได้ว่าเพราะอะไร รู้แต่คนแบบพวกเราถูกตามล่า พวกยูนิตี้จะส่งคนไปทั่วอาณาจักร คอยทำให้แน่ใจว่าทุกคนตกอยู่ใต้อำนาจของมัน โดยสมบูรณ์ ในขณะเดียวกันก็เสาะหาพวกที่มีภูมิคุ้มกัน ถ้าเจอสักคนก็มักจะจบลงด้วยความตายเสมอ พวกเราอยู่อย่างหวาดกลัว ส่วนใหญ่ต้องหลบซ่อน จนกระทั่งเริ่มมีการรวมกลุ่มอย่างลับๆ พวกเราตั้งกลุ่มของตัวเอง คอยเสาะหาคนที่เป็นเหมือนกัน แล้วในขณะเดียวกันก็หาทางวางแผนต่อต้านพวกยูนิตี้ไปด้วย”




    “หมายความว่า เจ้ามีพรรคพวกด้วยงั้นหรือ?”


    แจ็คยิ้ม ใบหน้ายังคงมองตรง “ใช่อันที่จริง ข้าจะพาเจ้าไปพบพวกเขาเดี๋ยวนี้แหละ“


    “อะไรนะ!



              “ทำใจหน่อยก็แล้วกัน พวกเขาอาจจะดูแปลก หรือบางคนก็สติไม่อยู่กับร่องกับรอย แต่ทุกคนเป็นนักสู้ระดับพระกาฬ เขาอาจจะหัวเสียเล็กน้อยที่พบว่าเจ้าดูเล็กกว่าที่คาด แต่ถ้าพวกนั้นได้เห็นพลังของเจ้า ทุกคนจะต้องทึ่งแน่”


    “เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อน” ผมหยุดเดินทันที พยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ “พวกเขาอยู่ในเมืองนี้หรือ?”



    “ใช่ พวกนั้นรออยู่ในโรงเตี๊ยม เรากำลังมุ่งตรงไปที่นั้น” แจ็คว่า “ยังเร็วไปที่จะตื่นตระหนกนะ เจ้าเตี้ย”



              “ข้าเปล่าตระหนก แค่ตื่นเต้นนิดหน่อยที่อยู่ๆ จะมีเพื่อนใหม่น่ะ” ผมว่า นึกจินตนาการถึงลักษณะของคนเหล่านั้นในใจ พวกเขาคือกลุ่มคนที่ยังมีความทรงจำของโลกจริงเหลืออยู่ ในที่สุดผมก็จะได้เจอคนที่อย่างน้อยน่าจะพอพูดกันรู้เรื่องได้บ้าง คนพวกนี้นี่แหละที่จะเป็นโอกาสสำหรับแผนปิดระบบโลกออนไลน์ของผม




    “พวกเจ้ามีชื่อไหม? เหมือนชื่อกลุ่มนะ” ผมถาม


              “ข้าไม่คิดว่ากลุ่มคนที่โดนตามฆ่าจะอยากมีชื่อกลุ่มหรอกนะ พวกเราต้องหลบซ่อน ไม่ใช่ป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นใคร แต่ก็อย่างว่า กลุ่มของข้ามันเพี้ยนอยู่แล้ว พวกเราคิดชื่อทันทีที่รวมคนได้อย่างจริงๆ จังๆ เลยล่ะ ชื่อของเราคือ กลุ่มคนในความมืด




    “กลุ่มคนในความมืด?” ผมทวนอย่างแปลกใจ แต่นั่นมันเหมือนกันชื่อของกลุ่มที่โลกแห่งความจริงเลยนี่นา



    “นั่นไงล่ะ โรงเตี๊ยม” แจ็คชี้ไปข้างหน้า เห็นบ้านหลังหนึ่งสร้างด้วยไม้ บรรยากาศดูจะคึกคักเป็นพิเศษ “เจ้าพร้อมนะ”



    “ไม่รู้สิ” ผมตอบ “พวกเขาจะฆ่าฉันไหม?”



    แจ็คไม่ตอบ ตรงไปยังประตู ทิ้งให้ผมเริ่มคิดถึงความถามเมื่อครู่อย่างจริงจัง 

     


     


    = = = = = = = = = = = = = =

    โปรด ติด ตาม ตอน ต่อ ไป





    คุยกับไรท์เตอร์สตางค์


     

              โอ้ยย ตอนนี้ลงช้าอีกแล้ว เดี๋ยวก่อนๆ อย่าเพิ่งรุมสะกำไรท์เตอร์ คืออยากจะบอกว่ามันมีเหตุผล ที่ลงช้าไม่ได้มีธุระหรืออะไรเหมือนครั้งที่แล้วหรอกครับ จริงๆ แล้วคือผมเพิ่งถูกสำนักพิมพ์ปฎิเสธต้นฉบับอีกเรื่องไป เลยขอเวลานั่งเฟลสองสามวัน ก่อนจะกลับมาฮึดเขียนต่อ (นี่ถือว่าดีมากแล้วนา ครั้งก่อนที่โดนปฎิเสธ ไรท์ดองนิยายไปครึ่งปีเลยอ่ะ)


              ในจดหมายการปฎิเสธครั้งนี้ ไรท์เตอร์ได้รับคำเเนะนำมาว่า ไรท์ใช้ภาษาได้เยิ่นเย้อเกินไป บรรยายมากเกินไป ไม่กระชับ มันเลยทำให้ไรท์เกิดความระแวงตลอดที่ปั่นตอนนี้ว่า 'เราใช้ภาษาเยอะไปหรือเปล่าหว่า?' เลยอยากจะถามความเห็นนักอ่านทุกท่านครับ ว่าคิดยังไงกับภาษาที่ไรเตอร์ใช้แต่งนิยาย เป็นอย่างที่ว่าหรือเปล่า เพราะไรท์จะได้นำไปปรับปรุง แต่งให้มันอ่านง่ายขึ้นครับ


              เอ้อ จะว่าไปตอนที่แล้วแอบเม้นต์น้อยนะ ฮึ้มๆ กะว่าจะเอาคอมเม้นให้ครบ 100 ซะหน่อย ไม่เป็นไร ตอนนี้ขอให้คอมเม้นต์ครบร้อยสักทีเถิด มาช่วยกันหน่อยนะครับ นะๆๆๆ



              เอ้อ ตอนนี้มีถกเถียงกันในบอร์ดเรื่องที่ว่าด้วยการอัพหลอก ไรท์เพิ่งรู้ว่าการอัพหลอกทำให้ผู้อ่านและแฟนคลับเกิดความรำคาญ ซึ่งไรท์ขอยอมรับว่าเคยทำ แต่ทำแค่สองสามครั้งต่อตอน ส่วนมากไรท์จะมาแก้คำผิดมากกว่า ไม่ใช่ว่าไรท์ไม่เคยตรวจคำผิดก่อนลงนะ แต่มันมีบางคำที่ไรท์ไม่รู้ว่ามันผิด แล้วต้องให้นักอ่านที่น่ารักอย่างท่าน blueliking มาช่วยเตือนให้ทีหลัง 



               ฉะนั้นจึงขอความเห็นใจเล็กน้อยว่าอย่าเพิ่งรำคาญ หากไรท์มีการอัพหลอกสองสามครั้ง รับรองว่าจะไม่ทำเยอะเกินไป ที่ทำแบบนี้เพราะไรท์อยากให้คนใหม่ๆ เข้ามาอ่านเหมือนกัน แล้วนิยายของไรท์จะเป็นประเภทที่แต่งตอนหนึ่งก็ยาว แถมลงก็ลงทีเดียวเลย ไม่ได้แบ่งหรือหั่นเป็น 40% 50% ทำให้ลงทีนึง ก็ตกไปอยู่หน้าหลังๆ ของบทความได้โดยง่าย ยิ่งแต่ละตอน ไรท์ใช้เวลาแต่งนานพอสมควร เลยอยากให้นักอ่านได้อ่านกันถ้วนหน้าน่ะครับ อย่าเพิ่งโกรธเค้าเลยนะ

     

    เจอกันตอนหน้านะครับ

    สุดท้ายนี้ 
    รักนักอ่านเงา
    เลิฟนักอ่านเมนต์

    ไปละ จุ๊บๆ




    มุมตอบเม้นต์ (ที่อาจเห็นกันแล้ว)

     

     
    แอบขำคอมเมนต์ของท่าน Amo i ta ★คิงเดสซึ★ เม้นต์ได้ฮา แอบจิตดีมาก 555

    ท่าน 
    El Dorado Bz ที่ยังไม่ฆ่า เพราะเซนยังไม่ทันโชว์เทพเลย
    นี่เพิ่งเบาๆ เฮดช็อตเดี้ยงก่อนเดี๋ยวไม่หนุกนะท่าน



    blueliking ชอบของฝากของท่านจริงๆ 555
    เรื่องเซน ที่จริงก็เป็นดาบเรเปียนั่นเเหละท่าน แต่ข้าน้อยหาภาพประกอบไม่เจอ





     

    ขอขอบคุณธีมอันแสนจะโคตรเลอค่าจาก
     
    themy butter



     
                                                          © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×