คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 9 : เขาห้ามยิ้มกันในงานศพไม่ใช่เหรอ?
คุณเคยรู้สึกแปลกใจไหม?
บ่อยครั้งที่… แบบว่า คุณดูหนังสยองขวัญ ประเภทที่มีเจ้าฆาตกรโรคจิตใส่หน้ากากแบบต่างๆ ใช้อาวุธนู้นบ้าง นี่บ้าง แต่จุดประสงค์ของพวกมันก็คือ การฆ่าคนให้ได้มากที่สุด โหดที่สุด เลือดสาดที่สุด และเเหวะที่สุด
เคยคิดไหมว่า ทั้งๆ ที่แต่ละเรื่องมีคนตายเยอะขนาดนั้น แต่น้อยครั้ง ที่จะมีฉากที่กล่าวถึง ‘งานศพ’
การตาย กับ งานศพ เป็นของคู่กันน่ะ คุณรู้ใช่ไหม? (แหงล่ะ ก็มันมีคำว่า ‘ศพ’ นี่) แต่ในหนังประเภทเชือดโหดถึงใจคนดู กลับเลือกที่ข้ามช่วงเวลาของการไว้อาลัยไป ถ้าจะให้เซียนหนังสยองขวัญอย่างผมวิเคราะห์ดูละก็ เหตุผลแรกๆ เลยก็คือจำนวนคนที่ตายในแต่ละเรื่อง มันมากเกินไปที่จะมากล่าวถึงงานศพของทุกคน ยกตัวอย่างง่ายๆ ฆาตกรฆ่าแจ็คตาย เฮ้! ทุกคนไปงานศพแจ็ค… ฆาตกรฆ่าซาร่าตาย เฮ้! ทุกคนไปงานศพซาร่าต่อ… ฆาตกรฆ่าจอร์จตาย เฮ้! ทุกคนไปงานศพจอร์จด้วย และ เฮ้! หมอนั่นตาย ไปงานศพกันๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าหนังจะจบ ซึ่งมันน่าเบื่อเกินไป และคุณคงไม่พ้นที่จะหลับเป็นตายคาเก้าอี้เป็นแน่แท้
เหตุผลที่สองคือ งานศพ เป็นสัญลักษณ์ของการไว้อาลัย เป็นสัญลักษณ์ของการผูกพัน และเป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าสลด… แต่ ผู้ดูหนังสยองขวัญไม่ได้ต้องการอารมณ์เหล่านั้น พวกเขาต้องการเลือดเยอะๆ! ต้องการความโหดชนิดตับไตทะลุไปถึงไส้พุง ต้องการความสะใจ พวกเขาไม่ต้องการที่จะผูกพันกับตัวละครตัวไหน เพราะยังไงก็รู้ว่าเดี๋ยวหมอนี่ต้องตายแน่ๆ
ดังนั้นจึงเหตุผลที่บางครั้งงานศพก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครอยากจะกล่าวถึงเลย
แล้ว… ถ้าในชีวิตจริงล่ะ?
ทำไมผมถึงไม่อยากไปงานศพ… ก็เพราะผมไม่ค่อยชอบอยู่ในสถานที่ ที่มีคนเยอะๆมากระจุกรวมตัวกัน โดยเฉพาะเมื่อกลุ่มคนเหล่านั้นใส่ชุดสีหม่นๆ และไม่มีใครแสดงสีหน้าอย่างอื่นนอกจากเศร้าสลด มันช่างให้ความรู้สึกเหมือนคุณกำลังจะตายไปด้วยอีกคน อีกทั้ง งานศพเป็นคล้ายๆ งานรวมญาติขนาดย่อมๆ ดังนั้นงานศพก็อาจจะเป็นงานที่คุณต้องถูกบังคับให้คุณเจอกับใคร ที่คุณไม่ค่อยอยากจะเจอเท่าไหร่นักก็เป็นได้…
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
สิบโมงเช้า วันอังคาร เป็นเวลาที่ผมควรจะกำลังนั่งเรียนอยู่ในวิชาชีวะเป็นวิชาที่สอง แต่ตอนนี้ผมกลับกำลังยืนอยู่หน้าโบสถ์ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในส่วนเขตเหนือของเมือง โดยรอบโบสถ์จะถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวที่ผมไม่รู้ว่าเป็นดอกอะไร และหากเงยหน้ามองขึ้นไป จะเห็นหลังคารูปร่างแหลมเหมือนปราสาท และตรงยอดก็มีไม้กางเขน ขนาดเท่าตัวคนตั้งอยู่
พวกเราสี่คนที่เพิ่งลงจากรถแท็กซี่ ยืนเรียงกันอยู่หน้าประตูใหญ่ที่เปิดให้เหล่าแขกได้เดินเข้าไป ผมรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะแค่ส่องสายตาเข้าไปในประตู ก็เห็นโลงศพจำนวนมากมายตั้งเรียงรายอยู่ตรงแท่นพิธี อันที่จริงงานนี้จะเรียกว่างานศพก็อาจจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะอันที่จริงได้มีการจัดงานศพแยกกันของแต่ละครอบครัวไปก่อนหน้านี้แล้ว งานวันนี้จึงเป็นประสงค์ของพ่อแม่พวกเขา ที่ต้องการจะนำโลงทั้งหมดมาตั้งพร้อมกัน เพื่อให้ทุกคนในโรงเรียนและคนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ เข้ามาไว้อาลัยได้ อีกทั้งศพเหล่านี้เมื่องานเลิก ก็จะไม่มีการฝัง หรือเผาใดๆทั้งสิ้น เพราะคดีนี้ยังไม่ถูกปิด และความจริงก็คือ ศพของพวกเขาไม่ควรถูกนำออกมาจากห้องนิติวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำไป ถ้าไม่ใช่เพราะคำขอของเหล่าพ่อแม่ที่เป็นมหาเศรษฐีเงินหนาเหล่านี้
“เข้าไปสิ” โซอี้กระซิบบอกทุกคน เหล่าพ่อแม่ของเด็กๆ ผู้จากไปกำลังยืนเรียงรายอยู่ตรงหน้าทางเข้าโบสถ์ คอยจับมือ และรับคำแสดงความเสียใจจากแขกที่กำลังเดินเข้าไป และเมื่อพวกเราเดินไปถึง ผมก็จำเป็นต้องปรับอารมณ์และสีหน้าให้ดูเศร้าสร้อย พร้อมกับกล่าวว่า “ผมเสียใจด้วยนะครับ” กับทุกคน กว่าจะจับมือกันครบก็กินเวลาเกือบนาที ผู้ปกครองส่วนใหญ่นั้นกำลังน้ำตาคลอ บางคนก็ครางด้วยความโศกเศร้า เป็นภาพที่ผมอยากจะเบือนหน้าไปมองทางอื่น เพราะกลัวจะน้ำตาซึมตาม… เปล่า! ผมไม่ใช่คนอ่อนไหวต่อความรู้สึกง่ายหรอกนะ! ฮึก…
เมื่อเราผ่านเข้าไปสู่ในโบสถ์ได้ ก็ต้องปรับตัวเข้ากับบรรยากาศที่เย็นพิลึกแบบกะทันหัน ภายในโบสถ์มีเก้าอี้แบบม้านั่งยาวเรียงรายอยู่สองข้าง และตรงหน้าสุดคือแท่นพิธี จะมีการจุดไฟตรงเชิงเทียนโดยรอบ ทำให้บรรยากาศทั้งภายในถูกย้อมไปด้วยสีส้มของเปลวเทียน ผมสังเกตว่ามีแขกเข้ามาได้เกือบครึ่งแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็กนักเรียนที่ทั้งคุ้นหน้าและไม่คุ้นหน้า จะมีคุณครูนั่งแซมปะปนกับนักเรียนอยู่บ้าง แต่คนที่ทำให้พวกเราสะดุดตาได้มากที่สุด ก็คือชายอายุสี่สิบกว่าซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา
“ครูใหญ่ ฟิตซ์” เชย์กล่าวลอยๆ จังหวะเดียวกับที่เขามาหยุดยืนตรงหน้าพวกเราพอดี
ใช่แล้ว… เขาคือฟิตซ์อีกคนที่ผมยังไม่ได้แนะนำให้คุณรู้จัก ชายคนนี้ เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนแบล็ควู๊ดที่ผมเรียนอยู่นั่นเอง เขาอายุประมาณสี่สิบ ความสูงเกือบเรียกได้ว่าแคระ (เราเป็นญาติกันจริงๆ) ผมสีดำ และตาสีน้ำตาลเข้มเหมือนผมเปี๊ยบ สิ่งที่ต่างอย่างนึงก็คือเส้นผมบนหัวเขานั้นดูร่อยหรอลงทุกขณะ จุดเด่นอย่างนึงของเขาก็คือครูใหญ่ฟิตซ์ เป็นคนขี้โรค ของประจำตัวของเขาก็คือผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ครูใหญ่จะชอบเอามาปิดปากเวลาไอ ซึ่งเชย์เคยบอกผมว่าเขาไม่เคยหยุดไอเลยตั้งแต่พวกเธอเริ่มเข้าเรียน ผมไม่เชื่อหรอก แต่ให้ตายสิ เขาไอไม่หยุดเลยทุกสามวินาทีจริงๆ แต่ถ้าไม่นับเรื่องนี้ ครูใหญ่ฟิตซ์ก็เป็นคนที่ใจดีและเป็นที่รักของเด็กๆ ซึ่งมันผิดธรรมชาติของการเป็นครูใหญ่มากๆ
“โอ… มากันเสียที นึกว่าเธอ..แค่กๆ… จะมาสายซะแล้ว โซอี้” ครูใหญ่ยิ้มพร้อมกับเอาผ้าเช็ดหน้าป้องปาก หน้าเขาค่อนข้างดูซีดๆ แต่ผมคิดว่าคงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว “เธอรู้ใช่ไหม.. แค่กๆ ว่าเธอจะต้องมาออกไปกล่าวคำไว้อาลัย แทนเนธานที่นอนอยู่โรงพยาบาลน่ะ แค่กๆ.. ก็เธอเป็นรองประธานนักเรียนนี่”
“ค่ะ… หนูรู้แล้ว” โซอี้ตอบรับ “ว่าแต่ขาครูหายดีหรือยังคะ?”
โซอี้พูดจบ ผมก็ก้มลงมองขาของเขาที่ดูจะปกติ เว้นแต่ตอนที่เขาเดิน มันจะกะเผลกๆ ซึ่งมันก็เข้ากับบุคลิกเขามากจนคนไม่ค่อยสังเกตเท่าไหร่
คุณจำคืนนั้นที่ห้องสมุดได้ไหมล่ะ?... ใช่ คืนที่เจ้ารอยยิ้มไล่ฆ่าพวกเรานั่นล่ะ หลังจากตอนที่ตำรวจช่วยเราออกมาได้แล้ว เราก็ต้องพบกับครูใหญ่ที่วิ่งขากระเผลกออกมา ซึ่งมันทำให้ผมแปลกใจอย่างมากที่ได้รู้ว่าความจริงครูใหญ่ฟิตซ์นั่งทำงานอยู่ตลอดในตึกเดียวกัน แถมเขาอ้างว่าสะดุดหกล้มออกมาตอนที่ได้ยินตำรวจ
ผมรู้… มันน่าสงสัยอย่างแรงเลยใช่ไหมล่ะ?
คือผมเองก็ไม่ได้มีอคติอะไรกับพวกครูใหญ่หรอกนะ (แม้ผมจะเคยเกือบโดนครูใหญ่ฆ่าตายมาแล้วครั้งหนึ่ง) แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าครูใหญ่คนนี้ ซึ่งเป็นญาติผมเอง จะมีอะไร… ที่แบบว่าน่ากลัว แบบคนก่อนหรือเปล่า อะไรนะ? นี่ผมคิดไปเองเหรอ อาจจะจริง เพราะถ้านี่เป็นหนังสยองขวัญ ตัวละครที่เผยไต๋มากขนาดนี้ จะเป็นเพียงแค่ตัวล่อที่ทำให้คุณเขวจากฆาตกรตัวจริง
“โอ้… แมต แค่กๆ… ดีใจจังที่เจอเธออีก” เขายื่นมือข้างที่ใช้ป้องปากตอนไอตลอดมา ผมเข้าใจว่าเขาจะจับมือ แต่… ไม่เอาน่า ผมไม่อยากติดเชื้อไอทุกสามวินาทีแบบนี้หรอก… “สวัสดีครับครูใหญ่” ผมเพียงยิ้มตอบ และอีกสองสาวก็ทักทายครูใหญ่เช่นกัน
“เอาล่ะ โซอี้ ฉันอยากให้เธอช่วยนั่งตรงแถวหน้าสุดเลยได้ไหม? แค่กๆ เพราะเธอต้องออกไปพูด”
“ได้ค่ะ” โซอี้พยักหน้าเบาๆ
“อ้อ… พวกเธอสามคนก็ด้วยนะ ไปนั่ง..แค่กๆ เป็นเพื่อนโซอี้สิ ไม่รู้ทำไม ถึงไม่มีใครยอมนั่งแถวหน้าสุดเลย แปลกจริงๆ” ครูใหญ่พูดจบ ผมก็ตาโต ไม่ๆ… อยู่จะให้ไปนั่งหน้าสุดเลยเนี่ยนะ?... ผมหมายถึง หน้าสุดเลยนะ! ปกติแต่งานศพผมก็ไม่อยากจะเข้ามาด้วยซ้ำไป หวังเพียงแต่จะนั่งอยู่แถวหลังๆ ปะปนกับคนอื่นๆจนพิธีจบ แต่แบบนี้มัน…. ไม่รู้สิ ใช้คำว่า ‘สยอง’ ได้ไหมนะ? แถมยังรู้สึก ‘อึดอัด’ ด้วย ถ้ารวมกันคงได้ศัพท์ใหม่คือคำว่า “สยึดสยัด” ซึ่งคงใช้อธิบายความรู้สึกของผมตอนนี้ได้ดี
ผมฟังเสียงส้นรองเท้าของสาวๆ ที่ดังกระทบกับพื้นหินอ่อน เหล่านักเรียนที่นั่งอยู่ต่างก็แอบหันมองสามสาวนางพญาขณะที่พวกเรากำลังเดินไปตามทางเดินกลางโบสถ์ และยิ่งเดิน ภาพตรงหน้าก็ยิ่งเห็นชัดมากยิ่งขึ้น โลงศพ 13 โลง ตั้งเรียงรายอยู่บนแท่นพิธี แต่ละโลงมีกรอบรูปของผู้ที่จากไปตั้งอยู่ตรงหน้า รูปเหล่านั้นต่างกำลังยิ้มแย้มมีความสุข ราวกับพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงชะตากรรมหลังที่ถ่ายรูปนั่นเสร็จเลย…
จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกวิงเวียน ที่ได้รู้ว่าศพทั้งหมดนั้นยังคงนอนอยู่ในโลง แล้วไม่รู้ทำไม… ความคิดหนึ่งมันก็ผุดขึ้นมาในหัว...
‘พวกเขาตายแล้ว’
พวกคุณคงจะบอกว่า ก็แหงสิ พวกเขาก็ตายแล้วไง ไม่งั้นจะจัดงานศพทำเผือกอะไร? แต่… มันไม่ใช่ความรู้สึกแบบนั้น มันเป็นความอึดอัดแบบที่… ผมเพิ่งจะตระหนักว่าผมเป็นคนเดียวในที่นี้ ที่ได้อยู่ และได้เห็นพวกเขา ตอนที่ถูกฆ่า… ครบทุกคน ยิ่งได้มองรูปหน้าศพ ตอนที่เขากำลังยิ้มแย้มแล้ว มันช่างทำให้ผมอยากหายตัวไปจากที่นี่จริงๆ
“ขอฉันนั่งติดกำแพงนะ” เมแกนบอกพร้อมกับนั่งลงคนแรก ผมเองก็ค่อยๆเลื่อนตัวลงไปนั่งตาม แล้วโซอี้กับเชย์ก็นั่งลง
หลังจากนั้นพวกเราก็ได้แต่นั่งรอให้คนมาครบเสียที ระหว่างนั้น เมแกนก็เอาแต่ค้นของในกระเป๋าหยุกหยิก พร้อมกับแอบเมาท์นักเรียนแต่ละคนที่กำลังทยอยเข้ามา ซึ่งผมก็ไม่ได้อยากรู้เสียหน่อย ว่าจะมีเด็กคนไหนที่เคยฉี่ราดตอนอายุสิบสองหรือเปล่า หรือจะมีคนไหน ที่เคยหกล้มหน้าโรงอาหารเมื่อสามปีก่อนหรือไม่ ทางด้านโซอี้เหมือนจะพยายามทำตัวให้สบาย แม้เธอจะเอาไอพ็อดมาฟังดพลงเหมือนปกติไม่ได้เพราะมันคงผิดมารยาทหน้าดู ต่างกับเชย์ที่นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนหรือพูดอะไรใดๆ
“เห็นแม่นั่นไหม คนที่นั่งซ้ายสุด แถวที่สี่น่ะ คนที่ผมยาวๆ ใส่แว่นคนนั่นเหละ รู้ไหมว่าแม่นี่น่ะนะ…” ผมฟังเมแกนจ้อไปเรื่อยแล้วกรอกตาด้วยความเบื่อหน่าย “ฟังนะเมแกน ถ้าเธอมีเวลารู้เรื่องชาวบ้านมากขนาดนั้น ก็น่าจะหาเวลาไปทำงานเก็บตังมาซื้อของแบรนด์เนมพวกนี้แทนที่จะขอตังพ่อเธอนะ” เมื่อผมพุดจบ อีกสองสาวก็พยักหน้าเห็นด้วยมากๆ เมแกนทำหน้าบูดบึ้งพองแก้มแล้วก็กอดอกเงียบลงในที่สุด แต่ไม่ทันไรเธอก็สะกิดผมให้ดูคนนู้นคนนี้ต่อ จนกระทั้งเธอสะกิดให้พวกเราหันไปมองคนๆ หนึ่ง
“เฮ้… นั่นมันตำรวจหมีพูห์นี่” พวกเราทั้งหมดหันไปยังทิศทางที่เมแกนชี้พร้อมกัน.. ใช่จริงๆ ตำรวจหมีพูห์กำลังยืนอยู่ตรงมุมของโบสถ์ ท่าทางเขาดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ ดูสายตาเขาจะคอยสอดส่องผู้ที่เข้ามาในงานด้วยความพินิจพิเคราะห์ และข้างๆ เขาที่กำลังยืนอยู่ด้วยก็คือ.. เฮนรี่.. เขามางานนี้ด้วยหรือเนี่ย? มิน่าล่ะเมื่อเช้าถึงแต่งตัวซะเรียบร้อย “ฉันว่าพวกเขาคงมาแอบสังเกตการณ์พวกคนน่าสงสัยล่ะมั้ง?”
“ก็เราไง คนน่าสงสัยในสายตาพวกเขา” โซอี้กล่าว ถึงผมว่าเธอพูดถูก ตำรวจหมีพูห์ดูจะมีอะไรบางอย่างกับพวกเราเป็นพิเศษ และทันทีที่สายตาของเขาหันมาป๊ะกับพวกเราสี่คนที่กำลังมองเขาอยู่ เราก็ต้องรีบบิดคอหันกลับมาอย่างรวดเร็ว “นี่… จำได้ไหม คืนที่ตำรวจอ้วนนั้นพาเราไปสอบปากคำน่ะ” เมแกนเกริ่นบทสนทนา “คืนที่เกิดเรื่องในห้องสมุดนั่นน่ะเหละ ฉันยังจำได้เลย สายตาที่ตำรวจนั้นหันมามองฉันน่ะ เหมือนกับจะบอกว่า ‘เขารู้นะ ว่าเราเป็นฆาตกร’ อย่างนั้นเหละ ยิ่งตอนที่ฉันถามเขาว่าขาของเขาเป็นอะไร ทำไมถึงพันผ้าเต็มไปหมด เขาก็เหวี่ยงใส่ฉัน แล้วพูดห้วนๆว่าไปสู้กับโจรมา ฉันล่ะไม่ชอบขี้หน้าเขาจริงๆ”
ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพบว่ามีคราบอะไรบางอย่างเปื้อนรองเท้าหนังอย่างดีที่เฮนรี่ให้ผมยืมใส่ ซวยแล้ว! เขาฆ่าผมแน่หากรู้ว่าผมทำรองเท้าเขาเปื้อน ผมจึงรีบขอกระดาษทิชชู่สองสามแผ่นจากเมแกน แล้วก้มลงตั้งใจเช็ด ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กๆ โรงเรียนแบล็ควู๊ดทำเสียงฮือฮาผิดปกติ
“โอ้…. พระเจ้า!! นั่นมัน…” เมแกนทำเสียงตกใจอย่างมาก ผมจึงปรายตามองไปที่เธอ ก่อนจะเห็นเธอแค่มองคนที่กำลังเดินเขามาในโบสถ์เฉยๆ จึงคิดว่าเป็นแค่การเมาท์ธรรมดาๆ “เป็นไปไม่ได้..” เมแกนละล่ำละลัก
“ไซม่อน..!! “ เขามาได้ยังไงน่ะ? โซอี้ดูจะตกตะลึงไม่แพ้กัน ทำเอาผมอยากรู้ไปด้วยว่าหมายถึงใคร แต่ขอให้ผมขัดไอ้คราบพวกนี้ออกก่อนเถอะ
“ให้ตายสิ! พ่อเทพบุตรของฉัน เขากลับมาเมืองแบล็ควู๊ดแล้วหรือนี่?” เมแกนเพ้อเสียงหวาน “แมต! นายต้องเงยหน้ามาดูเดี๋ยวนี้เลยนะ หมอนี่น่ะ! หล่อมากๆ เขาเคยฮ็อตที่สุดในโรงเรียนเรา แล้วก็ย้ายออกไปเมื่อเทอมที่แล้ว ตอนนั้นทำเอาเด็กนักเรียนหญิงฝันสลายไปทั้งโรงเรียนเลย ฉันว่านายต้องชอบเขาอีกคนแน่ๆ”
พอได้ยินว่าเป็นเพียงผู้ชายหน้าตาดี ผมจึงเลิกสนใจแล้วขัดคราบรองเท้าต่อ ซึ่งไอ้คราบนี้มันติดแน่นคงทนเสียเหลือเกิน หรือบางทีมันอาจจะเป็นคราบเคมีของเจ้าปิศาจเดอะบล็อบ จากเรื่อง ‘หมากฝรั่งกินคน’ ก็เป็นได้
“ฉันไม่รู้ว่าก่อนเลย ว่าเขาจะกลับมาแล้วน่ะ” โซอี้กระซิบกระซาบกับเมแกนสองคน แข่งกับเสียงกระซิบของคนอื่นที่ดังระงมราวจิ้งหรีดในฤดูร้อน “ให้ตายสิ แมต! เงยหน้ามาดูเดี๋ยวนี้เลยนะ! ฉันว่านายต้องหลงรักเขาแน่!”
“เออ.. เอาเหอะ” ผมบอกปัดอย่างไม่สนใจใยดี ซึ่งนั่นทำให้เมแกนผู้ซึ่งกลายร่างเป็น ‘สาวคลั่งผู้ชาย’ เริ่มโมโห เธอจึงจับหัวผม แล้วก็ดึงขึ้นมาราวกับเป็นลูกบาสเก็ตบอล จากนั้นเธอก็บิดหัวผมให้หันไปดูหนุ่มหล่อของเธ…………..อ”
“ไม่!” ผมพึมพำเบาๆ ไม่! มันเป็นไปไม่ได้
หรือจะตาฝาด… ผมขยี้ตาสองสามที ก็ยังเห็นแบบเดิม
ไม่หรอก ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่แน่ๆ ผมแค่ก้มหัวลงไปขัดรองเท้านานเกิน จนเลือดขึ้นสมอง ส่งผลให้ตาลาย
คุณผู้อ่านที่รัก ถึงตอนนี้คุณคงจะเริ่มอยากรู้แล้วใช่ไหมว่าผมเห็นอะไร แต่ผมไม่อยากรู้หรอก ว่าสิ่งที่ผมเห็นเป็นของจริงหรือเปล่า เพราะชายคนนั้น… คนที่ทั้งห้องฮือฮา ชายคนที่มีผมสั้นสีดำ ตาสีฟ้า ตัวสูง คนที่สวมสูทสีดำสนิท เดินตามทางเดินกลางห้องโถง ชายคนที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นหน้าอีก เขาคือ…
“เจนเซ่น!!?”
ไม่ๆ เป็นไปไม่ได้? จะเป็นเขาไปได้ยังไง ก็เจนเซ่นเขา… ไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงๆเลยนี่นา แต่… ดูยังไงก็ใช่.. เหมือนทุกอย่าง ทุกกระเบียดนิ้ว แถมหมอนี่ดูยังไงก็เป็นมนุษย์ หรือว่าเขาจะเป็นคนละคนกัน…
“ดูสิ!... ไซม่อนกำลังเดินตรงมาแถวหน้าสุดแล้ว” เมแกนกล่าวอย่างตื่นเต้น ผมเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน แต่ไม่ใช่การตื่นเต้นในทางที่ดีนัก เพราะสายตาดุดันคู่นั้นจ้องมาแถวหน้าสุด ทำเอาตัวผมเย็นวาบ
“แมต!!” เชย์ที่เงียบอยู่นาน จู่ๆก็โพล่งขึ้นมาจนผมตกใจ “สลับที่มานั่งข้างฉันหน่อยสิ!” เชย์กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนหน้ากลัว ซึ่งผมไม่เคยเห็นเชย์เคร่งเครียดแบบนี้มาก่อน จึงยอมทำตาม ไปนั่งที่ข้างเชย์ซึ่งเป็นที่ว่างเกือบติดริมทางเดินตรงกลางพอดี จังหวะเดียวกับที่เจน…. คนที่ทุกคนเรียกว่าไซม่อน เดินมาถึงแถวหน้า เขามองที่ว่างซึ่งเหลือสองที่ ที่นึงอยู่ที่ม้านั่งของอีกฟาก ซึ่งมีสาวๆกำลังรอให้เขามานั่งด้วยความตื่นเต้น ส่วนอีกที่ก็คือ ที่นั่งแคบๆ ซึ่งตอนนี้มันติดกับ ‘ผม’ พอดี
ไม่ๆๆ ไปนั่งข้างสาวๆนู้น ไปนั่งข้างสาวๆนู้น ไปนั่งข้างสาวๆนู้น
“เอาแล้วไง คู่ถ่านไฟเก่าอีกแล้ว” โซอี้กระซิบกระซาบ สายตาเธอมองไปที่คนหน้าเหมือนเจนเซ่น สลับกับมองเชย์ผู้ซึ่งกำลังนั่งหลังตรง แข็งทื่อ และทำหน้าเหมือนไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ซึ่งนั่นทำให้ผมพอจะเดาความสัมพันธ์ออก
“แมต แกล้งเป็นแฟนฉันที” เชย์กระซิบข้างหู ผมสะดุ้ง เดี๋ยวสิ! อยู่จะให้แกล้งเป็น… แฟนเนี่ยนะ? เพื่ออะไรกัน ทำไ…. เฮ้ จู่ๆ เชย์ก็เอามือมาเกี่ยวแขนผมซะงั้น ยังไม่ทันที่ผมจะได้คัดค้านอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่พอมองหน้าซึ่งพอจะกินเลือดกินเนื้อของเธอได้ ผมจึงกลายเป็นผู้ที่ต้องเครียดแทน
“ช่วยหลีกไปหน่อยสิ..” เสียงเข้มดูน่ากลัวของคนหน้าเหมือนเจนเซ่นกล่าว เขาจ้องหน้าผมราวกับจะไล่ให้ผมออกไปจากโบสถ์นี่ด้วยซ้ำ สายตาเหมือนจะส่งสัญญาณบอกว่าเขาต้องการจะนั่งกับเชย์ และที่นั่งนี่มันแคบเกินกว่าจะให้เรานั่งครบหมดทุกคน ดังนั้นผมควรจะย้ายไปนั่ง ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะเอาหมายัดปากผมก็เป็นได้ ดังนั้น ผมลุกซะคงจะดีกว่า..
“ไม่ได้ เขามากับฉัน” เชย์กล่าวเสียงแข็ง หน้าเธอมองตรงไปทางเวที ไม่แม้แต่จะหันไปมองเขาเลยด้วยซ้ำ แถมยังบีบแขนผมเน้นจนเจ็บแปลบ… ให้ตายสิ แรงของแชมป์คาราเต้นี่มันเยอะจริงๆ เยอะจนแขนผมจะหักอยู่แล้ว ผมเหลือบตามองเชย์ พยายามบอกเธอว่าผมไม่ขอยุ่งด้วย แต่เชย์ไม่สน ผมจึงมองกลับไปที่คนหน้าเหมือนเจนเซ่น เขากำลังจ้องแขนของเชย์ที่กำลังคล้องอยู่กับแชนของผม จากนั้นเขาก็เลื่อนมามองตาผม
ด้วยความอาฆาตแค้น!
และเขายังไม่เลิกมอง… ผมพยายามจะหลบตา แต่แค่เคลื่อนลูกตายังไม่กล้าเลย ภาวนาขอให้เขาไปนั่งที่อื่นเร็วๆ ไปเร็วๆเถอะ! ให้ตายสิ! เขายังมองอยู่อีกเหรอ? เขาจ้องตาผมไม่หยุดเลย เหมือนกับว่าจะสะกดจิตให้ลูกตาผมระเบิดอย่างนั้นเหละ ผมเคยดูรายการทีวียามว่างนะ เขาบอกว่า การจ้องตานานเกิน 6 วินาที จะมีนัยยะสำคัญถึงสองอย่าง อย่างแรก ถ้าคนนั้นไม่หลงรักคุณเข้าเสียแล้ว อย่างที่สองก็คือเขามีความต้องการอยากจะฆ่าคุณอย่างรุนแรง ซึ่งผมคิดว่ากรณี น่าจะเป็นข้อหลังมากกว่า
ในที่สุด คนหน้าเหมือนเจนเซ่นก็ตัดสินใจนั่งลง… ข้างๆผม ซึ่งที่มันแคบนิดเดียว ดังนั้นเขาจึงเบียดผมอย่างรุนแรง เมื่อเชย์เห็นดังนั้นก็เบียดกลับมาบ้าง คนหน้าเหมือนเจนเซ่นไม่ยอมแพ้ ทั้งคู่เบียดไปเบียดมา โดยไม่มีใครยอมที่จะต้องนั่งแบบลำบาก จึงมีผมอยู่คนเดียวที่ตกอยู่ตรงกลางของสมรภูมิสาวสวยแรงเยอะ และหนุ่มหล่อเลือดเย็น ใครก็ได้! คุณก็ยังได้ ผู้อ่านที่รัก! ช่วยผมออกไปทีเถอะ!
หลังจากนั้นไม่นานสงครามขนาดย่อมก็สงบลง ไม่สิ เรียกว่าพักรบเฉยๆคงจะเหมาะกว่า ผมนั่งเงียบด้วยความอึดอัด ในขณะที่เสียงเพลงของออร์แกน เริ่มบรรเลงถึงบทเพลงแสดงถึงความรักและการไว้อาลัย เสียงพูดคุยหยุดลง ทุกคนนั่งนิ่ง และรำลึกถึงบุคคลที่จากไป บรรยากาศนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหมือนมีมนต์ขลัง ผมมองดูรูปภาพหน้าโลงทั้งสิบสามรูปที่กำลังยิ้ม อาจเป็นเพราะผมหายใจไม่ออกหรือเปล่านะ จึงรู้สึกเหมือนรูปกำลังขยับ… รอยยิ้มพวกนั้น…
เสียงร้องไห้ระงมด้วยความโศกเศร้าของบรรดาพ่อแม่เริ่มขึ้น เสียงคร่ำครวญราวกับจะขาดใจ พวกเขาต่างเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียใครบางคนไป… ผู้อ่านที่รัก เรื่องแบบนี้คุณอาจจะไม่มีวันเข้าใจ หากไม่ได้ประสบพบเจอกับตัวเองจริงๆ ทุกๆคน ต่างย่อมมีใครสักคน… ใครสักคนที่เราผูกพัน อาจจะเป็นคุณยายใจดีที่เคยอยู่กับเรา อาจจะเป็นน้องหมาที่เราเคยเลี้ยง หรืออาจจะเป็นพ่อ แม่ คนที่เราคิดว่าเดี๋ยวตื่นเช้าพรุ่งนี้ ก็คงจะได้เล่นกันอีก คงจะได้คุยกันอีก
แล้วจู่ๆ มันก็เกิดขึ้น… ความตาย มันเร็วมาก อยู่ดีๆ เราก็จะไม่มีวันได้เห็นเขาในแบบที่ขยับได้อีกต่อไป
อยู่ดีๆ คุณยายก็จะไม่ยิ้ม หรือทำขนมให้
อยู่ดีๆ สัตว์เลี้ยงพวกนั้นก็ไม่มาวิ่งเล่นอยู่หน้าบ้านเราอีก
อยู่ดีๆ ครอบครัวก็ไม่ได้ประกอบไปด้วยพ่อ แม่ ลูก อีกแล้ว
นั่นเหละคือความตาย มันคือการสูญเสีย …. และทุกครั้งที่มีคนตาย คนที่เจ็บปวดที่สุดกลับเป็นคนที่ ‘ยังต้องอยู่’
ความเศร้าสลด ดำเนินไปเรื่อยตามเพลงที่บรรเลง เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ทุกคนคิดว่ามันเริ่มจะเศร้าเกินไปแล้ว เพลงก็หยุด ทุกๆ คนเริ่มคลายความรู้สึกหดหู่ไปได้บ้าง ตอนนั้นเองที่ครูใหญ่ฟิตซ์แอบให้สัญญาณจากด้านหลัง เพื่อให้โซอี้ออกไปกล่าวไว้อาลัยได้แล้ว
เมื่อโซอี้ลุกขึ้น จึงมีที่นั่งว่าง ผมจึงเริ่มมีเนื้อที่ว่างให้นั่ง จึงผ่อนคลายได้เต็มที่
“หนูชื่อ โซอี้ เป็นตัวแทนเหล่านักเรียน และบุคลากรของโรงเรียนแบล็ควู๊ดทุกคน” โซอี้กล่าวเกริ่นนำเมื่อเธอไปยืนตรงแท่นที่มีโพเดียมและมีโพยตั้งไว้อยู่ก่อนแล้ว “สัปดาห์ที่ผ่านมา… เราต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ความสูญเสียที่ไม่มีใครคาดคิด ของเหล่าเพื่อน… รุ่นพี่.. รุ่นน้อง และลูกชาย ลูกสาว และลูกศิษย์ นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุด ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเราทุกคน และเราต่างภาวนาขอให้เรื่องนี้เป็นเพียงฝันไป ขอให้เรื่องที่พวกเขาต้องถูกฆ่าตายอย่างสยดสยองอย่างทุกข์ทรมาน เจ็บปวดแสนสาหัสอย่างน่ารังเกียจนั้นไม่เคยเกิดขึ้น แต่มันเป็นไปไม่ได้….” ผมได้ยินเสียงสะอื้นของเหล่าผู้ปกครองดังขึ้นอีก ผมรู้สึกถึงความแปลกประหลาด รวมทั้งสีหน้าของโซอี้ ซึ่งดูแปลกไป เธอกำลังขมวดคิ้ว…
“เราจึงเพียงปลอบใจได้เพียงว่า พวกเขา แค่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความตาย’ ความตายนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกค่ะ… ความตายไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องมาเถียงกันอีกว่า ตกลงชีวิตนี้ เราจะตายหรือไม่ เราทุกคนต้องตายค่ะ… ต้องตายแน่ๆ และเราทุกคนจะไม่มีวันได้ตายอย่างสงบสุ…….” โซอี้ชะงัก เธอหยุดอ่านไป ในขณะที่ทุกคนจับจ้องเธอเป็นตาเดียว “หนูหมายถึง และเราทุกคนจะไม่มีวันหลีกหนีจากการสูญเสียได้…”
ไม่ทันไรผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ ดังขึ้นเล็กๆ เชย์และเมแกนที่นั่งข้างๆ รวมทั้งคนอื่นๆก็ได้ยินเช่นกัน
“ดังนั้น วันนี้ทางโรงเรียนของเราจึงขอแสดงความไว้อาลัยอย่างสุดซึ้ง จากการสูญเสียที่ไม่มีวันกลับของเพื่อนๆ เราทั้งสิบสามคน พวกเขาจะไม่มีวันจางหายไปจากความทรงจำของพวกเรา… “ โซอี้เริ่มอ่านตะกุกตะกักมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีปัญหาอะไรบางอย่างกับโพยกระดาษของเธอ แถมเสียงหัวเราะคิกคักนั่นก็ยังดังไม่หยุด จนเหล่าพ่อแม่และนักเรียนหลายคนในโบสถ์เริ่มหันไปหาที่มาของเสียงเยาะเย้ยไร้มารยาทเหล่านี้
“ด้วยเหตุนี้ทางโรงเรียนจึงขอมอบดอกไม้ ที่พวกเราได้จัดเตรียมไว้ให้ โดยความช่วยเหลือของเพื่อนของเราคนนึงค่ะ” โซอี้ผายมือมาทางเชย์ ซึ่งผมก็คุ้นๆว่าแม่ของเธอเป็นผู้ทำธุรกิจเกี่ยวกับดอกไม้รายใหญ่ ทุกๆ คนตบมือให้เชย์สั้นๆเพื่อแสดงความขอบคุณ แต่เสียงหัวเราะเหล่านั้นกลับยิ่งทำให้ผมรำคาญ
“และสุดท้ายนี้ หนูขอกล่าวส่งท้ายแทนความรู้สึกของเพื่อนๆ และคุณครูในโรงเรียนหนูทุกคนค่ะ” โซอี้กล่าวพร้อมกับจ้องที่กระดาษโพยอย่างจดจ่อ คล้ายกับว่าเธออ่านมันไม่ออก “แด่ เพื่อนๆ… ที่จากไป เราจะรักและคิดถึงพวกเธอเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ เธอจะอยู่ในความทรงจำของเราตลอด และเราจะไม่มีวันเสียใจเลย ที่พวกเธอได้จากไป เพราะพวกเธอนั้นสมควรตายจริงๆ…….”
ผมสะดุ้ง ทุกๆคนเองก็เช่นกัน เราทั้งหมดหันไปมองโซอี้ ผู้ซึ่งบัดนี้กำลังตกตะลึงในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะกล่าวออกไป เธอดูจะทำอะไรไม่ถูก และเสียงฮือฮาของผู้ร่วมงานก็ดังระงม ทุกคนเริ่มกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง เหล่าพ่อแม่ของเด็กที่ตาย มองหน้าโซอี้อย่างงุนงง
“เอ่อ… คือ… หนูหมายถึง… เอ่อ” โซอี้ละล่ำละลักและหน้าซีดเผือด เธอพลิกกระดาษโพยแผ่นนั้นไปมา เพื่อดูว่าตัวเองไม่ได้อ่านผิดไปจริงๆ ผมแอบได้ยินเสียงประท้วงเล็กๆ จากเหล่านักเรียนบางกลุ่มราวกับกำลังขับไล่ให่โซอี้ลงมาจากแท่นพิธี ผู้ปกครองคนหนึ่งลุกขึ้นพรวดแล้วถามว่า “เธอพูดอะไรของเธอน่ะ?!”
โซอี้จึงขยำกระดาษโพยแผ่นนั้น กำมันไว้ข้างตัว จากนั้นจึงพยายามพูดแก้สถานการณ์ “หนูหมายถึง เราจะไม่มีวันไม่เสียใจกับการจากไปของพวกเธอ เพราะเธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขอบคุณค่ะ…” จากนั้นโซอี้จึงรีบลงจากแท่นพิธีและเดินลงมานั่งที่เดิมอย่างเสียหน้า ผม เชย์ และเมแกนพยายามถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เหมือนโซอี้จะคุมสติไม่อยู่แล้ว
เสียงหัวเราะคิกคักนั้นยังดังต่อเนื่อง น้ำเสียงที่เหมือนกำลังเยาะเย้ยนั่นดังมาจากไหนกัน? ผมหันไปมองรอบตัว ในงานศพแบบนี้ ทำไมถึงยังหัวเราะกันอยู่อีก…. แต่ทว่า เมื่อผมมองไป กลับพบว่าทุกคนนั้นกำลังหันมามองเรา เราสี่คนกลายเป็นจุดรวมความสนใจของทุกคนโดยอัตโนมัติ และยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีใครกำลังหัวเราะกันเลยสักคน พวกเขากำลังมองเราด้วยสายตาตำหนิ เด็กหลายคนซุบซิบกับเพื่อน แล้วชี้มาทางเรา ผมที่งุนงงอยู่จึงเริ่มตระหนักว่าเสียงหัวเรานั่นไม่ได้มาจากที่ไหนเลย มันมาจากจุดที่พวกเรานั่งอยู่…
แต่แน่นอนว่าพวกเราไม่ได้หัวเราะ แต่กลับมีเสียงเยาะเย้ยอย่างร้ายกาจนั้นดังขึ้น ผมหาต้นตอที่มาของเสียงเพราะไม่รู้มันมาจากไหน รู้แต่ว่าตอนนี้ทุกคนกำลังคิดว่าเราหัวเราะกันอยู่ด้วยความสนุกสนาน ผมกับเมแกนจึงพยายามหันหน้าให้พวกเขาเห็นว่าเราไม่ได้หัวเราะ ทว่าแม้จะส่งสัญญาณเท่าไหร่ ผู้คนกลับเชื่อสนิทใจว่าเรากำลังหัวเราะอยู่ แล้วยิ่งท่าทางการเคลื่อนไหวลุกลี้ลุกลนของพวกเราดูคล้ายกลับกำลังหัวร่องอหาย ยิ่งทำให้เสียงประท้วงดังขึ้นอีกครั้ง
“นี่มันอะไรกัน!!” คุณแม่ของผู้ตายคนหนึ่งโพล่งออกมาเสียงดัง บนมือของเธอถือดอกไม้ที่ตั้งไว้หน้าศพของลูกเธอ “เธอทำแบบนี้ได้ยังไง เธอเขียนแบบนี้ลงในช่อดอกไม้ได้ยังไง !!” หญิงสาววัยกลางคนเดินเข้ามาหาเชย์ด้วยท่าทีเดือดดาลและน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด จากนั้นเธอก็ดึงกระดาษที่เขียนคำไว้อาลัยออกมาอ่านดังๆ
“ขอแสดงความเสียใจและสมน้ำหน้าแก่ผู้ที่ไม่มีวันกลับ ผู้ซึ่งเป็นที่รักยิ่งของพวกอัปลักษณ์!”
“ไม่… เดี๋ยวค่ะ หนูไม่ได้เขียนแบบนี้นะคะ” เชย์ ปฎิเสธ เธอลุกขึ้นยืน ในขณะที่เด็กๆเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นาๆ โดยไม่สนแล้วว่าเสียงจะดังทั่วโบสถ์หรือไม่
“หุบปาก!! เธอไม่มีสิทธ์พูดอะไรทั้งนั้น!” แม่ของเด็กอีกคนเขามาผสมโรงเมื่อเธอเดินเข้าอ่านช่อดอกไม้ของลูกตัวเอง “คิดอะไรของเธอน่ะ พวกเธอก็เหมือนกัน หยุดหัวเราะสักที!!” ผมและเมแกนป้องมือ พยายามปฎิเสธว่าไม่ได้หัวเราะ แต่เหตุการณ์นั้นเลยเถิดไปแล้ว ครูใหญ่ฟิตซ์รีบวิ่งมาพยายามพูดคุยกับผู้ปกครองคนอื่น แต่พวกเขากลับผสมโรงก่นด่าพวกเรา
“คิดว่าพวกเธอสวยนักหรือยังไง นี่มันเพื่อนของเธอนะ!! เพื่อนของเธอ ที่-เพิ่ง-จะ-ตาย-ไป น่ะ มีสำนึกบ้างหรือเปล่า ถึงมาเล่นแบบนี้!!” พ่อและแม่อีกคนปล่อยโฮ พวกเขาทรุดลงกับพื้น
“ฟังก่อนนะคะ! พวกเรา…” เมแกนพยายามอธิบาย
“บอกตามตรงนะ!” จู่ๆเด็กสาวที่เหมือนจะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันก็ลุกขึ้นพูดบ้าง “ฉันอายเหลือเกิน ที่มีเพื่อนแบบพวกเธอ ฉันว่าครูโรงเรียนเรา สอนเรามาดีกว่านี้นะ!” จากนั้นตามด้วยเสียงเห็นด้วยของเด็กคนอื่นๆ คนหน้าเหมือนเจนเซ่นซึ่งนั่งข้างผมก็เริ่มออกโรงลุกขึ้นมาปกป้องพวกเราบ้าง ซึ่งนั่นทำให้ผู้ปกครองบางคนเริ่มเย็นลง แต่ขณะเดียวกัน คนอื่นกลับกำลังเดือดขึ้น ราวภูเขาไฟที่ระเบิดออกมา
“เรื่องนี้รับไม่ได้จริงๆ” คุณครูที่สอนชีวะในโรงเรียนกล่าว
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะ!” ผมตะเบ็งเสียง
“เอาดอกไม้งี่เง่าของพวกเธอคืนไป!!!” พูดจบ คุณแม่คนนั้นก็ฟาดดอกไม้ใส่หน้าของเชย์ เธอกรีดร้องด้วยความตกใจเล็กๆ และพยายามบังคับคางตัวเองไม่ให้สั่น
ผมเอื้อมมือไปจับแขนของเหล่าผู้ปกครอง พยายามจะอธิบาย แต่พวกเขาปัดออกอย่างไม่ใยดี “อย่าเลย… อย่าดีกว่า” เธอกล่าวแล้วถอยหนี ครูใหญ่พยายามดึงเธอให้กลับไปนั่งพร้อมกับขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“พวกสารเลว!” เด็กกลุ่มนึงพร้อมใจตะโกนราวกับนัดหมายไว้
“ฟังพวกเราก่อนสิ ฉันไม่ได้หัวเราะซะหน่อย แล้วคิดจริงๆเหรอ ว่าเราจะเขียนอะไรโง่ๆให้ในงานศพแบบนี้น่ะ!” เมแกนตะโกน
ท้ายที่สุดเสียงก่นด่าก็ดังทั่วโบสถ์ โซอี้เริ่มน้ำตาซึม เธอไม่แม้แต่จะพูด ได้แต่ก้มหน้าฟังเสียงพวกนั้นราวกับว่ามันเป็นความผิดของเธอเอง เมแกนตะโกนด่าแข่งกับเด็กคนอื่น เชย์ตัวสั่นงันงกเพราะพยายามระงับน้ำตาของเธอไว้ ผมพยายามปลอบเธอไว้ แต่ผู้คนราวกับอยากจะโจมตีเราเสียเหลือเกิน
“เรื่องนี้ถึงพ่อแม่ของพวกเธอแน่!!“
“เดี๋ยว! อย่านะ! แม่หนูไม่มีส่วนด้วยนะ เขาแค่ให้จัดดอกไม้ให้พวกเราเฉยๆ!” เชย์ตกใจเมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะเอาเรื่องถึงผู้ปกครอง ในที่สุดเด็กสาวก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“เราไม่อยากเห็นหน้าพวกแก!!” พ่อคนนึงส่งเสียงขับไล่ ตามด้วยเสียงโห่มากมาย
“พวกเธอออกควรไปก่อนนะ…” ครูใหญ่กระซิบบอก
“แต่…!” เมแกนถูกห้ามไม่ให้พูดต่อ แม้เธอจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม ในที่สุด เราสี่คนต้องลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วก็เดินออกไปจากโบสถ์ผ่านทางเดินตรงกลาง ทุกสายตาจับจ้องพร้อมเสียงโห่ไล่ เราจึงเดินด้วยความรู้สึกอับอายมากที่สุดในชีวิต รู้สึกเหมือนกำลังโดนผู้คนรุมกันปาก้อนหินใส่
เมื่อถึงปากประตูโบสถ์ เราก็เดินออกไป รับแสงแดดที่สาดเข้ามา มีเสียงตะโกนว่า “ไปลงนรกซะ” ไล่หลังก่อนพวกเราปิดประตู เมแกนพยายามประคองโซอี้ ผู้ซึ่งบัดนี้ไม่มีแม้แรงเดิน เธอกำลังร้องไห้ เมแกนปลอบเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คนหน้าเหมือนเจนเซ่นวิ่งตามมา เขาเข้ามาดูว่าเชย์เป็นอย่างไร เชย์กำลังซบอกผมแล้วร้องไห้เสียงดัง เธอพูดอะไรบางอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะมันปนกับเสียงสะอื้น ไซม่อนได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ เขาจึงเดินไปเรียกแท็กซี่ให้ จากนั้นพวกเราก็ทยอยกันประคองขึ้นรถ เราสี่คนนั่งอยู่เบาะหลัง ในขณะที่ไซม่อนนั่งเบาะหน้า และถามผมว่าจะไปที่ไหน ผมนึกไม่ออกจึงบอกที่อยู่อพาทเม้นต์ของผมไป
ขณะที่รถกำลังเคลื่อนไป เราได้แต่ปลอบใจกันและกัน โซอี้คลายมือที่กำแน่นอยู่นานออก เผยให้เห็นกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนกลม มันคือโพยที่เธอพูดนั่นเอง…
เมื่อผมหยิบมันขึ้นมา คลายมันออก ก็พบว่าเนื้อหานั้น เหมือนกับว่าโซอี้พูดไปไม่มีผิดเพี้ยน โซอี้ไม่ได้พูดผิด… กระดาษนี่ต่างหาก และเมื่อผมพลิกกระดาษดูด้านหลัง ก็เกือบจะไม่เห็นอะไร จนไปสะดุดเข้ากับสัญลักษณ์เล็กๆ ตรงมุมกระดาษ
สัญลักษณ์ที่แทนตัวผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด
สัญลักษณ์ของรอยยิ้ม
J
-------------------------------------------------------------
ติดตามตอนต่อไป
ความคิดเห็น