ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : กักบริเวณท้ายชั่วโมงที่ 2 :: หันมาดูหน่อย!..
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว... มีนักเรียนหกคนถูกกักบริเวณ... ทั้งหกต่างเป็นเด็กอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬา กิจกรรม ศิลปะ ดนตรี การเรียน และด้านการดูหนังสยองขวัญ?.. พวกเขาต่างเป็นเด็กดีในขณะที่อยู่ร่วมกัน ต่างคนต่างคุยกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั้งแม่มดใจร้ายปรากฏตัว.. หล่อนจับพ่อแม่ของพวกเด็กๆไป เด็กๆทั้งหลายจึงต้องรวบรวมความกล้า ลุกขึ้นหนีและต่อกรกับแม่มด ในที่สุดพวกเขาก็หนีออกมาได้สำเร็จ! และพ่อแม่ของพวกเขาก็ปลอดภัย แม้จะมีบางคนต้องสละชีวิต แม้เพื่อนบางคนจะต้องสละชีวิตก็ตาม ท้ายที่สุด แม่มดซึ้งใจในความพยายามของพวกเด็กๆ เธอจึงปล่อยพ่อแม่ เลิกตามรังควานเด็กๆ เธอใช้เวทมนต์ชุบชีวิตเพื่อนๆที่ตายไป และสุดท้าย ทุกคนก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร์...
อิ่มอกอิ่มใจหรือยัง?
น่าจะนะ....
หมดเวลานิทานหลอกเด็ก กลับมาสู่โลกแห่งความจริงกันต่อดีกว่า.... คุณรู้ว่านิทานทุกเรื่องต้องมีตอนจบ นั่นคือสิ่งที่เหมือนกับชีวิตจริง คุณรู้เช่นกันว่าชีวิตของคุณเองก็ต้องมีจุดจบ สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือ คุณกะได้ว่านิทานจะจบลงเมื่อไหร่ เพียงแค่มองดูความหนาของหนังสือก็รู้แล้ว แต่ในชีวิตจริง... คุณไม่มีทางรู้เลย... มันอาจจะจบลงในอีกเจ็ดสิบปีข้างหน้า หรืออาจจะเป็นเจ็ดนาทีข้างหน้า คุณไม่มีทางรู้ จริงไหม!?...
ถ้าเปรียบชีวิตของผมกับหนังสือนิทานละก็ ผมว่าตอนนี้ผมอาจกำลังอยู่ในสิบหน้าสุดท้ายของเล่มก็เป็นได้.....
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“พวกนาย... วิ่งช้าลงหน่อยจะได้มั้ย?” ผมพูด ในขณะที่ทุกคนกำลังวิ่งไปที่ประตูทางออก ผมกลับรู้สึกเหนื่อยล้าเนื่องจากไม่ได้พักเลย แถมแผลเก่าก็กำเริบอีกครั้งผมต้องเอามือกุมแผลนั่นตลอดเวลา ประกอบกับตัวเองวิ่งได้เป็นที่โหล่ทุกที
“พวกนาย... วิ่งช้าลงหน่อยจะได้มั้ย?” ผมพูด ในขณะที่ทุกคนกำลังวิ่งไปที่ประตูทางออก ผมกลับรู้สึกเหนื่อยล้าเนื่องจากไม่ได้พักเลย แถมแผลเก่าก็กำเริบอีกครั้งผมต้องเอามือกุมแผลนั่นตลอดเวลา ประกอบกับตัวเองวิ่งได้เป็นที่โหล่ทุกที
“นั่นไง!!...ประตูมันปลดล็อคแล้ว!!” เรสซ์กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ในขณะที่ผมไม่ได้ตื่นเต้นไปด้วย เพราะถึงออกไปจากตึกได้ แม่มดก็ไม่ยอมปล่อยพวกเราไป ไหนจะพ่อแม่ของพวกเขาที่ถูกจับตัวไปอีกล่ะ? ผมสงสัยเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่ของเกลและลีออน? ถ้าทั้งคู่ตาย พ่อแม่ของพวกเขาก็จะไร้ความหมาย ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า.... แม่มดอาจจะฆ่าพ่อแม่ของทั้งสองคนไปแล้วก็เป็นได้...
เจนเซ่นเป็นคนแรกที่ถึงประตู เขาเหยียดมือตรงพร้อมกับผลักประตูบานใหญ่อย่างแรง มันเปิดออกพร้อมกับเสียงครืดดังไปทั่วทางเดิน... ทุกคนดีใจ... อย่างน้อยเราก็ไม่ได้อยู่ในตึก ผมรู้สึกได้ถึงอากาศที่หนาวเย็นข้างนอก นี่มันฤดูใบไม้ร่วงนะ? ไหงมันถึงได้หนาวยังกับหิมะจะตก
“เราออกมาได้แล้ว!”ลิลลี่พูด น่าแปลกมากที่เธอไม่มีอาการเหนื่อยหอบ อันที่จริงแล้ว เรสซ์กับเจนเซ่นก็ด้วย ทั้งที่วิ่งจากหลังตึกมาถึงประตูหน้าไกลซะขนาดนั้น แต่ทุกคนกับไม่แสดงทีท่าว่าเหนื่อยแต่อย่างใด ผิดกับผมที่หอบเอา หอบเอา ยังกับว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์งั้นเหละ (อันที่จริงไม่แน่ผมอาจจะเป็นพวกเหนื่อยง่ายตามประสาเด็กไม่เอาไหนก็ได้มั้ง)
“เราจะทำยังไงต่อ?”เรสซ์ถาม
“ไปหาครู หรือไม่ก็โทรไปหาตำรวจ เล่าทุกอย่างให้พวกเขาฟัง...”เจนเซ่นว่า
“เดี๋ยวสิ... ใครจะเชื่อล่ะว่ามีแม่มดปิศาจจับตัวพ่อแม่เราไปแล้วก็ฆ่าเพื่อนเราตายไปสองคนน่ะ?”ลิลลี่ค้าน ผมเห็นด้วยกับลิลลี่ ช่วงฮาโลวีนของทุกปีมักจะมีเด็กที่ชอบเล่นพิเรนทร์โดยการโทรกุเรื่องต่างๆ ทั้งที่เชื่อได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จนบางครั้งตำรวจต้องยกกำลังมาทั้งส.น. เพียงเพราะเด็กคนนึงโทรไปแกล้งว่า ผู้ชายข้างบ้านเอาระเบิดใส่ไว้ในฟักทองแกะสลัก และตอนนี้เขากำลังคลั่ง เอาปืนจ่อคนที่อยู่ใกล้ๆบ้านไปทั่ว หลังจากคดีนั้น ตำรวจก็หน้าแตกไปอีกหลายสัปดาห์ หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเอาเรื่องนี้มาลง และไม่นานมันก็กลายเป็นเรื่องโจ๊กประจำฮาโลวีน.. นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมเราไม่ควรพึ่งตำรวจ เหมือนในหนังสยองขวัญนั่นเหละ ตำรวจมักจะทำอะไรไม่ค่อยได้นักหรอก กฎข้อห้ามข้อนึงในหนังสยองขวัญทุกเรื่องก็คือ “อย่าเป็นตำรวจ” เพราะคุณจะต้องตายแน่ๆ
“ฉันว่าเราควรลองนะ... อย่างน้อยบอกครูที่ไว้ใจได้สักคนนึง ให้เขามาดูศพด้วยตัวเองเลยก็ได้ อีกอย่าง ดูสภาพพวกเราสิ... เลือดเต็มตัวขนาดนี้ เขาต้องเชื่อเราบ้างเหละ”เรสซ์กล่าว ผมว่าครูคงจะเข้าใจว่าเลือดนี้เป็นแค่ของประปลอมประกอบฉากมากกว่ามั้ง.... เอ๊ะ!.... พอพูดคำนี้แล้วมันสะดุดใจแปลกๆแฮะ?
“ฟิตซ์....” เจนเซ่นพูดพร้อมกับมองมาที่ผม “ดูท่าทางนายจะไม่ไหวนะ... เอางี้แล้วกัน เรสซ์ เธออยู่เป็นเพื่อนฟิตซ์นะ ฉันกับลิลลี่จะไปตามครูในงานปาร์ตี้ที่ตึกกิจกรรมเอง”
เรสซ์นิ่งอยู่พักนึง เธอมองหน้าเขาก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เจนเซ่นกับลิลลี่จึงวิ่งตรงไปยังตึกกิจกรรมที่อยู่ไม่ไกล มีเสียงเพลงจังหวะเร็วดังแว่วๆมา ผมนึกภาพทุกคนที่กำลังสนุกกับปาร์ตี้ในตึกนั่น โดยไม่รู้เลยว่าคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเราบ้าง พวกเขาไม่รู้อะไรเลย...
ท้ายที่สุด เราทั้งคู่ถูกทิ้งไว้ที่หน้าตึกเรียน ผมรู้สึกไม่ค่อยดีนักที่ต้องอยู่ใกล้ตึกนี่ ผมกับเรสซ์จึงเดินออกห่างจากตึกพอสมควร เรามองไปรอบๆก็เห็นแต่ไฟที่ประดับประดาไปทั่ว และฟักทองแกะสลักหลายลูกตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ เปลวเทียนที่ถูกตั้งไว้ข้างใน ทำให้ฟักทองสว่างไสว แต่บางครั้งสายลมที่พัดเข้ามาก็ทำให้ไฟนั้นดูริบหรี่ลง ทุกอย่างเงียบมาก เงียบอย่างที่มันควรจะเป็น แม้มันจะเงียบเกินไปจนเรารู้สึกอึดอัดก็ตาม
“ฟิตซ์....” เรสซ์เรียกชื่อผม ผมไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงเรียกชื่อท้าย ทั้งๆที่ชื่อจริงผมก็คือ แมต แถมเป็นชื่อที่ผมย่อให้เรียกง่ายๆแล้วด้วย “นายคิดบ้างไหมว่าถ้าหาก... เราไม่ได้มาติดเเหง็กอยู่แบบนี้ คืนนี้เราจะทำอะไรกัน..”
นั่นสินะ ถ้าผมไม่ได้มาติดเเหง็กกับสถานการณ์แบบนี้... บางทีผมคงกำลังอยู่ในงานปาร์ตี้กับเด็กพวกนั้น.. อาจกำลังกลายเป็นแกะดำ ที่ยืนเฉยๆในงานแบบไร้เพื่อน หรือไม่ก็กำลังดูหนังสยองขวัญมาราธอนที่บ้านแบบข้ามคืนอยู่
ในระหว่างที่เราทั้งคู่ยืนสนทนากันได้สักพัก เสียงโทรศัพท์ก็สั่นเตือน.... ข้อความใหม่ถูกส่ง.. เราสะดุ้งแล้วมองหน้ากัน ไม่จำเป็นต้องดู ก็รู้ว่าใครส่งมา.. ในเวลานี้มีแค่คนเดียวเท่านั้น.. เรสซ์เปิดข้อความ อันที่จริงมันเป็นรูป รูปถ่าย... รูปนั้นมืดมากจนเราทั้งคู่ต้องพยายามเพ่งมอง
โทรศัพท์ค่อยๆปรับให้ภาพชัดขึ้น... ชัดขึ้น... ผมมองดูรูปนั้นเพียงแวบเดียวเราทั้งคู่ก็ขนลุกซู่
รูปของเรา....
มันเป็นรูปของผมกับเรสซ์ที่กำลังยืนคุยกันเมื่อกี้... รูป...ถูกถ่ายจากมุมมองทางด้านหลัง!...
“ข้างหลังเรา….”เรสซ์ตาโตด้วยความผวา เราทั้งคู่หันหลังไปช้าๆด้วยความกลัว.... แต่ไม่มี... ไม่มีใครอยู่ข้างหลัง มีเพียงแรงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวอยู่รอบตัวเท่านั้น
ไม่ช้าข้อความใหม่ก็ส่งมาอีก
“ไม่....”
รูปที่ถูกส่งมาใหม่.... คือรูปของเราที่กำลังหันไปมองข้างหลังเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว... แต่มัน... เมื่อกี้เองนะ!!... หมายความว่า...
คุณได้รับข้อความใหม่อีก 1 ข้อความ...
เราสะดุ้งอีกครั้ง ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองรูปที่เรสซ์กำลังจะเปิด รู้สึกราวกับว่ามีคนหายใจรดต้นคออยู่ บรรยากาศกดดันขึ้นเรื่อยๆ แสงเทียนจากรอบๆโดนลมพัดแรงจนดับลงอย่างพร้อมเพียงกัน ความมืดกำลังคืบคลาน ผมกลั้นหายใจ
“พระเจ้า.....” เรสซ์กล่าวเสียงสั่นระริก ผมแทบจะเข่าอ่อน.. เพราะรูปต่อมาคือรูปที่ถ่ายจากข้างหลังเราเช่นกัน แต่คราวนี้.... มันใกล้มาก!... ใกล้จนเห็นหัวของพวกเราทั้งสองอยู่เต็มจอ... งั้น... ความรู้สึกที่เหมือนมีคนหายใจอยู่ข้างหลังก็คือ....
“เรสซ์.... อย่าหันกลับไปดูนะ!...” ผมและเธอตัวแข็งทื่อ เราไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว... ใครบางคนกำลังยืนอยู่ข้างหลัง ผมรู้สึกได้ ขามันไม่ยอมขยับ ผมต้องวิ่งสิ ทำไมถึงไม่วิ่งล่ะ?
คุณได้รับข้อความใหม่อีก 1 ข้อความ...
เรสซ์ถือโทรศัพท์ค้างไว้ เราเหมือนโดนแช่แข็ง... ราวกับว่ามีคนถือปืนจ่ออยู่ข้างหลัง ผมเอื้อมมือช้าๆไปหยิบโทรศัพท์จากมือเธอพร้อมกับค่อยๆเปิดอ่านข้อความ
หันมาดูหน่อยสิจ๊ะ –แม่มดใจร้าย
“ไม่! เรสซ์อย่าหันไปนะ.. เราต้องรีบหนี” แม้จะพูดอย่างนั้น เราทั้งสองก็ยังยืนแข็งทื่อไม่กล้าขยับไปไหนทั้งสิ้น ผมอึดอัด เหมือนอากาศกำลังไหลออกจากปอด มือที่ถือโทรศัพท์สั่นระรัว... ไม่รู้เพราะกลัวหรือเพราะมันกำลังสั่นเตือนข้อความใหม่อีกครั้ง
ถ้าไม่หันมาฉันควักไส้พ่อเธอแน่! –แม่มดใจร้าย
เรสซ์ส่ายหน้า เธอกำลังสะอื้น อะไรบางอย่างกำลังจ้องมองเราระยะเผาขนจากข้างหลังนี้เอง.. ผมหายใจถี่ พยายามกลอกสายตาไปรอบข้าง แต่ไม่มีคนอื่นอยู่เลย มีเพียงพื้นที่โล่งกว้างอันมืดมิดเท่านั้น
นับถอยหลังแล้วนะ! –แม่มดใจร้ายมาก
“ฟิตซ์.....” เสียงของเรสซ์เบามากจนผมแทบไม่ได้ยิน เธอพยายามส่งสัญญาณให้ผมหันกลับไปตามคำขอ แต่ผมไม่กล้า.... ราวกับอะไรบางอย่างบล็อกหน้าผมไว้ให้มองเพียงด้านเดียว “ได้โปรด....” เธอขอ
ผมพยักหน้าเบาๆ เราทั้งคู่หันหลังกลับไปแบบช้าๆพร้อมกันเหมือนในหนังผี ที่ตัวละครจะหันหน้าไปดูดีๆไม่ได้ ต้องหันไปทีละห้าองศายังกับหุ่นยนต์
ควับ!
ไม่มีอะไร....
ไม่มีอะไรจริงๆ ไม่มีใครยืนอยู่หลังพวกเราเลย เราทั้งคู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ กะแล้วเชียว เพราะถ้านี่เป็นหนังสยองขวัญ ขืนตัวเอกหันไปแล้วเจอฆาตกร เอามีดแทงฉึกๆ เรื่องก็จบเร็วอ่ะสิ เว้นเสียแต่ว่าผมจะไม่ใช่ตัวเอก เป็นแค่ตัวประกอบๆสุ่มๆที่ผู้เขียนบทสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตายอะไรประมาณนั้นอ่ะนะ
“เฮ้... ดูบนพื้นสิ...” เรสซ์ชี้ ผมมองตามมือเธอ... ที่แท้แม่มดก็กะจะให้เราได้เห็นสิ่งนี้... มันคือฟักทองแกะสลักหัวหนึ่ง ข้างในนั้นมีเทียนตั้งอยู่ทำให้มันดูสว่างไสวเหมือนโคมไฟสีส้ม บนเนื้อฟักทองมีมีดทำครัวปักอยู่หนึ่งเล่ม ปลายมีดคือกระดาษสี่เหลี่ยมแผ่นเล็กที่เขียนข้อความบางอย่างด้วยตัวอักษรสีแดงเหมือนเคย...
แม่เงือกน้อยผู้น่าสงสาร
เสียงของเธอช่างไพเราะ
แต่น่าเสียดาย ที่เธอต้องพลัดพลาดจากบุคคลอันเป็นที่รัก
จงแหวกว่ายหาพวกเขาให้เจอ หรือไม่ก็กลายเป็นฟองน้ำไปซะ
เวลามีจำกัด เพียง 30 นาที เริ่มนับตั้งแต่นาฬิกาดังเตือนเวลา 3 ทุ่ม
รักนะจ๊ะ-จากแม่มดใจร้าย
เสียงของเธอช่างไพเราะ
แต่น่าเสียดาย ที่เธอต้องพลัดพลาดจากบุคคลอันเป็นที่รัก
จงแหวกว่ายหาพวกเขาให้เจอ หรือไม่ก็กลายเป็นฟองน้ำไปซะ
เวลามีจำกัด เพียง 30 นาที เริ่มนับตั้งแต่นาฬิกาดังเตือนเวลา 3 ทุ่ม
รักนะจ๊ะ-จากแม่มดใจร้าย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น