คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9 :: หนึ่งจอมโจร หนึ่งไวรัส หนึ่งองครักษ์อัคคี
ทุกสิ่งทุกอย่างดูเชื่องช้าเกินกว่าที่มันควรจะเป็น ผมเห็นภาพช้าลง มันดูตลก ใบไม้ใบหนึ่งลอยผ่านหน้าไป แต่มันช้าเหมือนคลานงึกงักอยู่ในอากาศ ไม่รู้ว่าเป็นผลจากความผิดพลาดของระบบ หรือสมองของผมเองกันแน่ที่ตั้งใจยื้อเวลาไว้ให้รู้สึกทรมาน ภาพทุกอย่างกลายเป็นสโลโมชั่น แม้แต่เสียงจังหวะหัวใจแต่ละครั้งก็เว้นระยะห่างเหมือนคนใกล้ตาย ทั้งที่จริงแล้วมันกำลังเต้นรัวๆ อยู่ภายในอก
ผมไม่อาจเผชิญหน้ากับสายลมแรงที่กระหน่ำพัดเข้าใส่ หมาป่าของเราเคลื่อนตัวด้วยการกระทืบฝีเท้าในแต่ละก้าว มันกระโชกโฮกฮากวิ่งไปตามทาง ผมที่นั่งอยู่บนหลังมันเด้งขึ้นเด้งลงจนเกือบเผลอกัดลิ้น เรามุ่งหน้าห่างออกจากปราสาททมิฬ แต่มันเร็วมากจนคล้ายกับว่าปราสาทต่างหากที่เลื่อนห่างออกจากเรา สภาพรอบข้างพุ่งผ่านตัวอย่างรวดเร็ว มองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร รู้เพียงแต่มีเสียงร้องห้าวๆ อย่างโกรธเกรี้ยวไล่จี้ตามหลังเรามา
พวกทหารเกราะเหล็กปั้นหน้าบึ้งฟาดบังเหียนใส่หมาป่าเร่งความเร็ว บนมือของแต่ละคนต่างถืออาวุธเตรียมจะฟาดฟัน อากาศยามเช้าเย็นยะเยือก หมอกทิ้งตัวลงทำให้เห็นทางข้างหน้าเพียงลางๆ ผมไม่เคยนั่งบนหลังหมาป่ามาก่อน เคยแต่ฆ่ามัน หรือไม่ก็วิ่งหนี ไม่เคยคิดมาก่อนว่าหมาป่าจะมีขนที่นุ่มนิ่มและแข็งแรงไม่หลุดออกง่ายๆ ที่ผมรู้เพราะตอนนี้ผมเอาแต่จิกเส้นขนสีเทาของมันเพื่อรั้งไม่ให้ตัวเองปลิวตกไปเสียก่อน
“นั่งให้ดีๆ เจ้าเตี้ย ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าครูดไปกับพื้นถนน” แจ็คตะโกนโดยไม่หันหลับมา เสียงนั้นขาดๆ หายๆ แต่พอจับใจความได้ ผมของเธอปลิวสยายตามแรงลมจนผมต้องก้มตัวนิดๆ “ขอเตือนก่อนนะ เจ้าอย่าดึงขนของมันเด็ดขาด มันไม่ชอบใจแน่”
“ฉันเปล่า” ผมรีบปล่อยมือทันที พยายามหาอะไรก็ได้ที่พอจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวในตอนนี้ ผมลังเลเล็กน้อยว่าจะจับเอวของแจ็คดีหรือไม่ สุดท้ายก็ต้องยอมทรงตัวเพื่อคงสมดุลไว้โดยที่ปล่อยให้แขนสองข้างถือปืนสไนเปอร์ไรเฟิลแน่น เหมือนเศษฝุ่นจะลอยมาทำให้ผมต้องหรี่ตา เอียงหน้าไปข้างๆ เพื่อหลบละอองไม่พึงประสงค์ที่พัดมาตามลม นั่นทำให้ผมมองเห็นภาพข้างหลังได้นิดหน่อย
“เตรียม!” เสียงทหารตะโกนก้อง ผมรีบหันไปดูทันที เห็นบุรุษเกราะเหล็กบนหลังหมาป่ากลุ่มหนึ่งที่กำลังยืดตัวตรง ถือคันธนูบนมือ เล็งเป้ามาทางเรา และดูท่าจะเล็งได้แม่นซะด้วย ผมเกร็งตัวไปชั่วขณะ เมื่อพวกเขาระบุเป้าหมายได้แล้ว ทหารก็ตะโกนสั่งอีกครั้ง “ยิง!”
“หลบ!!” ผมร้องบอกทันที แจ็คบังคับให้หมาป่ากระโดดเอี้ยวตัวไปทางซ้ายได้โดยฉับพลัน ลูกธนูสามสี่ดอกวิ่งเฉียดไหล่ขวาของผมไป เป็นการเตือนว่าจะไม่มีทางได้นั่งบนหลังหมาป่าสบายๆ แน่ แถมตัวที่เราขี่อยู่ก็ไม่เชื่องเอาเสียเลย ก็แหงล่ะ มันเป็นหมาป่าของพวกทหารนี่นา บางทีมันอาจจะกำลังคิดหาทางช่วยเจ้านายตัวเองอยู่ด้วยซ้ำ กำลังวางแผนว่าจะวิ่งยังไงดีให้พวกเราโดนธนูเสียบเข้าศีรษะแบบเต็มๆ แล้วมันจะได้กลับไปนอนในคอกต่ออย่างสบายใจ
“แบบนี้ไม่ดีแน่!” แจ็คร้อง “มันมีกี่คน?”
ผมหันไปนับ พวกนั้นมีเป็นฝูง อัดอยู่บนถนน เท่าที่เห็น มีสี่คนถือคันธนู พวกนั้นอยู่หน้าสุด อีกสามถือหอก และอีกสามถือดาบ ที่รั้งท้ายขบวนสองคน ผมมองไม่ออกว่าพวกเขาถืออะไร มันเป็นไม้ยาวๆ ไม่มีคมดาบหรือเหล็กติดอยู่เลย เป็นแค่แท่งไม้ที่มีลวดลายแปลกๆ… เดี๋ยวก่อน นั่นใช่คทาหรือเปล่า? ใช่จริงด้วย! เราซวยขนานแท้!
“เอ่อ… มีสิบสองคน สองคนเหมือนจะเป็นนักเวทย์ จอมเวทย์ หรือพ่อมด หรืออะไรก็ตามที่พวกเธอเรียกกัน”
“จอมเวทย์!” แจ็คบอก “เจ้าว่ามีจอมเวทย์ด้วยรึ? บ้าชะมัด แบบนี้คงต้องเร่งความเร็วให้สุด!”
นี่ยังไม่สุดอีกเรอะ! ผมคิด แล้วก็ต้องลบความคิดนั้นออกเมื่อแจ็คเริ่มฟาดบังเหียนบังคับให้หมาป่าเพิ่มความเร็ว ตอนนี้เราคงเร็วเท่าจรวด ถึงผมจะไม่เคยเห็นจรวดเลยก็เถอะ
เรากำลังเข้าใกล้บริเวณชุมชนมากขึ้นทุกที เริ่มเห็นบ้านเรือนตั้งเรียงรายอยู่รอบๆ ถนนยิ่งแคบลง เสียงชาวบ้านกรีดร้องโวยวายดังเป็นสัญญาณที่บอกว่าเรามีอุปสรรคเพิ่ม ผู้คนต่างออกมาเดินเล่นนอกบ้านยามเช้า ทักทายกันตามประสา แต่ก็ต้องแตกกระเจิงแยกออกไปเป็นสองทางเพื่อหลบขบวนหมาป่าที่กำลังไล่ล่านักโทษ ทิ้งไว้แต่รอยฝุ่นคลุ้งกระจาย พวกผมในฐานะหัวขบวน ต้องพบเจอกับกลุ่มชายหญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พวกเขาความรู้สึกช้าจนถึงขั้นที่ต้องให้หมาป่าแยกเขี้ยวขู่ถึงจะยอมกระโดดหลบ
“เตรียม!” เสียงนั้นดังอีกครั้ง ผมตกใจเพราะไม่คิดว่าพวกเขาคิดจะยิงเราท่ามกลางแถบที่มีพลเมืองเพ่นพ่านไปมาแบบนี้ แจ็คตอบสนองเร็วขึ้น หมาป่าวิ่งซิกแซกไปซ้ายทีขวาทีเพื่อล่อให้พลธนูเวียนหัว แต่พวกเขาไม่หลงกลง่ายๆ เมื่อลูกธนูแล่นออกจากคัน มันยิงดะไปทั้งทางซ้าย ขวา และกลาง เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะหลบไม่พ้น แจ็คกับผมหมอบตัวลงต่ำโดยอัตโนมัติ ลูกธนูดอกนึงเกือบพุ่งเข้าใส่ชายชราที่หลบไม่ทัน อีกดอกผ่านหัวผมไป ทว่า มีดอกนึงที่ปลายเฉี่ยวเอามือผม เกือบเผลอทำปืนตก เลือดไหลทันที มันแสบมากราวกับว่าหัวธนูนั้นถูกเอาไปจี้ไฟให้ร้อนมาก่อน
“ทำไงดี?” ผมถาม พยายามมองข้ามแผลเล็กๆ น้อยๆ
“เจ้านี่วิ่งได้ช้าลง เราอยู่ใจกลางเมือง จะมีคนเยอะขึ้น พวกนั้นตามเราทันแน่ๆ” แจ็คเหลือบมองไปข้างหลังเพื่อดูสถานการณ์ ซึ่งดูจากสีหน้าแล้ว เธอเองก็คงกำลังเค้นสมองคิดอยู่เหมือนกัน ผมรีบสะกิดเตือนเธอเพราะเห็นปลายทางที่อยู่ข้างหน้า เรากำลังจะเข้าไปในตลาดตรงจตุรัสกลางเมือง ที่ซึ่งมีพ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากกำลังจัดเตรียมของตั้งซุ้มเพื่อเปิดตลาดเช้า มีเต็นท์กางเต็มจตุรัสไปหมด อย่าว่าแต่หมาป่าเลย ที่ว่างให้คนวิ่งเล่นก็แทบจะไม่มี เราอาจกำลังจะถึงทางตัน
“หยุดยิง!” ทหารคนหนึ่งเตือน พวกเขาลดความเร็วลงเพราะคิดว่าเราไปไหนต่อไม่ได้แน่
“แจ็ค เราจะชนแล้วนะ!” ผมร้องบอกพร้อมกับเสียงกรีดร้องของพวกพ่อค้าที่เห็นเงาของหมาป่ามาแต่ไกล แต่แจ็คไม่ยอมหยุด ผมไม่แน่ว่าเธอจะทำอะไร รู้แต่ว่ายิ่งใกล้จตุรัส เราก็ยิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่เราคงจบชีวิตแน่ๆ หากชนเข้ากับอะไรสักอย่าง ผมหลับตาปี๋ เอียงหน้าหลบตามสัญชาตญาณเมื่อเห็นสิ่งกีดขวางอยู่ห่างกันไม่เท่าไหร่ ทว่าเจ้าหมาป่าได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด มันยกขาหน้ากระโดดขึ้นสูงจนตอนแรกผมนึกว่าเราจะลอยขึ้นฟ้า พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่ามันกำลังกระโดดไปตามหลังคาเต็นท์หลังต่อหลัง ด้วยความเร็วทำให้ฝีเท้าของมันเบาบางเหมือนล่องลอย ขณะเดียวกันมันก็ยากเหลือเกินที่จะรักษาสมดุล
“ฉันไม่ชอบแบบนี้เลย!” ผมรู้สึกปั่นป่วนในท้อง เหมือนมีอะไรกระแทกกระทั้นอยู่ภายใน ร่างกายเซออกเหมือนจะหล่นลงไปได้ทุกขณะ พวกทหารเห็นดังนั้นจึงรู้ว่าเรากำลังจะสลัดพวกเขาหลุด ขบวนหมาป่าจึงออกตัวเพิ่มความเร็วตามเรามาทันที พวกนั้นไม่สนพวกพ่อค้า ใช้ทางเดินแคบๆ กลางตลาดเพื่อไล่จี้เรา ทุกอย่างโกลาหลวุ่นวาย ตลาดทั้งจตุรัสล้มระเนระนาดภายในชั่วครู่ ผู้คนวิ่งพล่านหนีตายกันจ้าละหวั่น
เมื่อออกจากตลาดได้ ผมหายใจหอบ รู้สึกเหมือนโลกหมุนไปรอบๆ อึดใจต่อมา เราไปโผล่ที่สวนกว้างๆ ซึ่งไม่ค่อยมีบ้านเรือนหรือผู้คนมากเท่าไหร่ เป็นสัญญาณอันตรายที่บอกให้รู้ว่าเรามีช่องโหว่ให้โดนโจมตีเยอะไปหมด แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ พวกเขาเปิดงานเลี้ยงด้วยลูกธนู แต่คราวนี้ไม่ธรรมดา เป็นลูกธนูที่มีเพลิงอยู่ที่ปลายดอก ทำให้เพิ่มความลำบากมากขึ้นในการหลบ เจ้าหมาป่าเริ่มร้องครวญอย่างเดือดดาล เมื่อลูกธนูพลาดตกลงไปปักบนผืนหญ้า ไฟก็ลามท่วมบริเวณ
“นั่นมันบ้าอะไร?!!” ผมหันหลังไปดู “พวกเขาจุดไฟจากไหน? มันเหมือนกับอยู่ๆ ก็มีไฟออกมาจากลูกธนู”
“นั่นเรียกว่าสกิล! เจ้าเตี้ย มันคือสิ่งที่เจ้าไม่มี” แจ็คตอบ หมกมุ่นอยู่กับการบังคับทิศทาง “เราต้องสลัดพวกนั้นให้หลุดก่อนจะออกจากตัวเมือง ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นนรกบนดินแน่ ข้างนอกนั่นมีแต่พื้นที่โล่งกว้าง เปิดทางให้พวกมันโจมตีเราสบายๆ”
สถานการณ์ยิ่งแย่ขึ้นไปอีก จอมเวทย์ที่ถือคทารั้งท้ายขบวนทั้งสองคนเริ่มแผลงฤทธิ์ พวกนั้นท่องคาถาอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เกิดแสงจากปลายคทา ลูกไฟก้อนใหญ่สองลูกบินหวือตรงมาหาเรา เจ้าหมาป่ากระโดดหลบ หน้าผมกระแทกกับแผ่นหลังของแจ็ค สะเก็ดเพลิงปลิวเข้ามาเผาเส้นขนของหมาป่าที่เราขี่จนเป็นรอยดำ มันหอนดัง ลดความเร็วลง
“ก็บอกว่านั่งให้ดีๆ ไงเล่า!!” แจ็คสบถ “พวกมันเริ่มใช้สกิลแล้ว นี่มันนรกชัดๆ ข้ายังไม่ทันออกจากเมืองเลย”
“สกิลที่ว่าคืออะไร?” ผมถาม
“นี่ไม่ใช่เวลา!” แจ็คตอบ แต่แล้วก็ยอมพูดต่อ “เออ เอาเหอะ! สกิลก็คือความสามารถตามอาชีพที่ผู้เล่นมีไว้เพื่อโจมตี หรือบางครั้งก็ป้องกันตัวเอง มันมีหลากหลาย และมีระดับ ยิ่งผู้เล่นมีระดับสูง ก็จะยิ่งมีสกิลใหม่ๆ ที่ร้ายแรงเพิ่มยิ่งขึ้น สกิลส่วนใหญ่จะอิงจากสองอย่าง อาชีพ และธาตุที่สังกัด อย่างพลธนูที่เมื่อกี้ จะมีสกิลพื้นฐานอย่างธนูเพลิง หรือจอมเวทย์ธาตุไฟพวกนั้นก็สามารถสร้างยิงลูกไฟใส่เราได้ ยิ่งถ้าพวกเก่งๆ จะมีพลังที่ร้ายแรงกว่านี้เยอะ นี่แค่พื้นฐานหรอกนะเจ้าเตี้ย”
“แล้วเธอมีวิธีหลุดพ้นจากไอ้ของพื้นฐานพวกนี้หรือเปล่า?”
“ข้ามีอยู่แค่สองมือ และเผอิญว่ามือทั้งสองของข้าดันต้องวุ่นอยู่กับการคุมเจ้านี่ไม่ให้สะบัดเราทิ้งลงจากหลังของมัน” แจ็คว่า พูดอย่างเหนื่อยๆ หันมองหน้าหลังสลับกัน พร้อมกับก้มหัวหลบลูกไฟอีกลูกที่พุ่งเข้าใส่ มันส่งเสียงระเบิดดังตูมตามทำให้ผมนึกย้อนไปถึงตอนที่ต้องต่อกรกับผู้เก็บเกี่ยวในเมืองร้างคนนั้น
“เราต้องโต้กลับ” หญิงสาวพยายามฝืนสังขารของหมาป่า “อาคินทร์ เจ้าบอกว่าเจ้ายิงแม่นใช่ไหม? ยิงอะไรแม่นนะ?”
“ใช่ ฉันยิงปืนแม่น… สไนเปอร์ไรเฟิล” ผมตอบ
“เอาล่ะ ไม่ว่าไอ้ ‘ปืน’ ที่ว่าจะคืออะไร ถ้าใช้คำว่า ‘ยิง’ แสดงว่าต้องโจมตีได้จากระยะไกล ใช่ไอ้ที่เจ้าถืออยู่หรือเปล่า ปืนน่ะ?”
“ใช่ มันเป็น…” ผมไม่ทันต่อประโยคให้จบ พวกทหารเริ่มอดรนทนไม่ไหว รุมยิงทั้งธนูเพลิงและลูกไฟใส่เราพร้อมกัน สวนทั้งสวนลุกไหม้เป็นจุลเหมือนที่เกิดขึ้นในป่าขี้เถ้านั่น ผมหวังว่าเราจะเข้าสู่ตัวเมืองอีกครั้ง แต่ดูแล้วคงยังอีกไกล และผมคิดว่าเราจำเป็นต้องทำให้พวกเขาตามมาไม่ได้ก่อนที่เราจะออกจากเมือง
“ไม่ต้องรออะไรแล้ว ยิงมันกลับ! เดี๋ยวนี้!” แจ็คตะโกน เราต่างกัดฟันทนไอความร้อนจากลูกไฟรอบข้าง
“โอเค!” ผมตอบกลับ แต่ในหัวยังคงนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไร ผมต้องเติมกระสุน และกระสุนก็อยู่ในกระเป๋าข้างหลัง ในสภาพแบบนี้การจะหยิบจับอะไรก็ลำบาก แถมหมาป่าที่เราขี่อยู่ก็วิ่งตรงๆ ไม่ได้ ไหนจะคอยหลบพวกลูกไฟอีก ต้องหาที่ยึดเหนี่ยวสักอย่าง คงต้องเสี่ยงจับขนหมาป่าอีกสักรอบแล้วหวังว่ามันจะไม่โกรธ แค่แปปเดียวเท่านั้น ผมต้องปลอบใจตัวเองเข้าไว้ จะไม่เป็นไร เราจะต้องรอด
ผมกลั้นใจ ปล่อยมือข้างนึงจากปืน เอื้อมไปดึงเป้จากข้างหลังมาไว้ตรงตัก มืออีกข้างที่ถือปืนก็กำเส้นขนแน่น เจ้าหมาป่ามีท่าทีกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด มันโยกหลังไปมาในขณะวิ่งเหมือนอยากกระเด้งให้เราทั้งคู่หลุดออก แจ็คบ่นเสียงดังแต่ถูกกลบด้วยเสียงระเบิด เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมรีบล้วงกระเป๋า กว้านมือไปทั่ว พยายามหยิบโลหะหนักชิ้นเล็กๆ ที่กองอยู่ข้างใน จากนั้นก็คว้าขึ้นมาเท่าที่พอจะหยิบได้ แต่ปรากฎว่าผมหยิบได้เพียงเศษไฟแช็คที่แตกแล้ว กับกระสุนเพียงสองนัด ที่แย่คือนัดนึงหลุดจากมือไปตอนที่ลูกธนูเพลิงเฉี่ยวใส่แขนเสื้อ
ผมเหลือกระสุนเพียงนัดเดียว
มีเวลาไม่พอแล้ว ต้องทำเดี๋ยวนี้ ต้องยิงเดี๋ยวนี้! ผมจ้องกระสุนนัดสุดท้าย ฝากความหวังไว้กับมัน ปล่อยขนหมาป่า ค่อยๆ บรรจงเติมกระสุนอย่างยากลำบาก การกระเด้งขึ้นลงแต่ละทีรีดอากาศออกจากปอดจนหมด ผมเติมกระสุนเสร็จ เตรียมพร้อม ลากไก เอี้ยวตัวหันหลังกลับ ยกปืนขึ้น ตาจ่ออยู่ที่ลำกล้อง จะต้องไม่เสียสติกับลูกไฟและลูกธนูที่พุ่งเข้าใส่ สิ่งแรกที่ต้องทำในการเล็งยิงคือกลั้นหายใจ เพื่อลดอาการสั่นของมือ ผมตะโกนบอกให้แจ็คบังคับให้หมาป่าวิ่งเป็นทางตรงและนิ่งที่สุด จากนั้นก็กะระยะทาง และแรงลม
“ยังไม่ได้อีกหรือไง ยิงซะทีสิ!” แจ็คเร่ง
“รอก่อน” ผมบอก ค้างอยู่ในท่านั้น ตัดขาดทุกอย่างออกจากโลกภายนอก สร้างสมาธิ สงบให้มากที่สุด ตอนนี้สิ่งที่ผมจะเห็นมีเพียงภาพที่อยู่ในระยะลำกล้องเท่านั้น ผมเห็นทหารทั้งสิบสองคน พวกนั้นเรียงตัวจัดแถวเป็นแบบสามเหลี่ยม ทำให้นึกถึงตอนที่พ่อสอนโยนโบว์ลิ่ง ตอนนั้นพ่อพาผมไปสำรวจสิ่งของในห้างสรรพสินค้าร้างๆ แล้วเราก็บังเอิญเจอลานโบว์ลิ่งขนาดใหญ่ มันสนุกมากที่ได้รู้ว่าการโยนลูกกลมๆ เพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำให้พวกขวดที่ตั้งเรียงรายอยู่ล้มระเนระนาดไม่เป็นท่าได้ เพียงแค่ต้องอาศัยการกะระยะ การวางแผน และตำแหน่งที่ใช่
“ได้หรือยังเล่า!!”
“อีกนิด” ผมพึมพำโดยไม่สนว่าแจ็คจะได้ยินหรือเปล่า สอดส่องหาตำแหน่งที่จำทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ถ้าทำให้คนหน้าล้มได้ คนอื่นก็จะล้มตาม แต่จะต้องล้มให้ตรงจุด ให้พวกนั้นหลบหลีกไม่ได้ ผมกำหนดเป้าหมายในที่สุด เล็งที่ขาซ้ายของหมาป่าตัวหน้า รอจังหวะ จากนั้นลูกกระสุนก็บินสวนธนูและลูกไฟ ไปตามจุดหมายเป็นภาพช้าๆ
เข้าเป้า!
หมาป่าตัวหน้าชะงักเพราะบาดเจ็บ มันหยุดกลางคัน จากนั้นก็ล้มตัวลงโดยไม่ตั้งใจ ลากเอาทหารที่นั่งอยู่ข้างหลังกระเด็นไปข้างๆ ส่งผลให้คนอื่นๆ ที่ตามมาเสียจังหวะ ไม่สามารถหยุดตามได้อย่างกระทันหัน สะดุดเข้าไปเต็มๆ พวกนั้นล้มต่อไปเรื่อยๆ เหมือนโดมิโน ส่งเสียงร้องโวยวายด้วยความตกใจ กว่าจะรู้ตัวอีกที ทหารทั้งหมู่ก็กองอยู่กลางถนน เกราะเหล็กและอาวุธกระจัดกระจาย ส่วนใหญ่หลุดจากหลังหมาป่า ในขณะที่พวกเราร้องตะโกนอย่างสะใจ แล้วค่อยๆ หายเข้าสู่ตัวเมืองอีกครั้ง
“เยี่ยม! เก่งมาก เจ้าเตี้ย ฝีมือเจ้าคงพอๆ กับข้าเลยนี่นา!” เธอยิ้มกว้างอย่างมีชัย เรามุ่งหน้าผ่านบ้านเรือนยามเช้า ไม่มีพวกทหารมาไล่ตามให้เป็นปัญหากวนใจอีก อิสระในที่สุด ผมโล่งใจประกอบกับภูมิใจอยู่ลึกๆ อย่างน้อยก็รู้สึกว่าตัวเองได้ต่อสู้หรือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้างแล้วตั้งแต่เข้ามาในโลกนี้ อย่างน้อยผมก็ยังมีโอกาสหาทางปิดระบบออนไลน์ ไม่ได้เน่าตายอยู่ในคุกนั่น เราหนีออกมาได้ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ
สามสี่นาทีต่อจากนั้นเป็นเวลาแห่งความโล่งใจ เรามุ่งเป็นทางตรงไปตามบ้านเรือนโดยไม่ต้องห่วงเรื่องความเร็วมากเท่าตอนแรก ผมซึมซับภาพบรรยากาศของเมืองแห่งถ่านหินและอัคคีเป็นครั้งสุดท้าย ปรายตามองผู้คนตามริมทางราวกับเป็นการบอกลา คนพวกนั้นอาศัยอยู่ในโลกนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาชอบที่นี่หรือเปล่า? ผมเคยคิดว่าการมีชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์คงเป็นเรื่องที่หรูหรา อลังการ เพราะเราจะเนรมิตรอะไรก็ได้ตามความฝัน แต่เปล่าเลย พวกเขาก็ยังต้องทำงาน ยังต้องมีชนชั้น มีกษัตริย์ มีทหาร และผู้ปกครอง ยังต้องมีบางคนที่เร่ขายของตามตลาด มันไม่ต่างกับโลกแห่งความจริงของเราเลย แล้วทำไมพวกเขาถึงเลือกที่นี่?
เป็นเพราะที่นี่มีอะไรมากกว่างั้นเหรอ? เพราะที่นี่มีเวทมนตร์ มีสัตว์มหัศจรรย์ อาจจะไม่ได้อยู่อย่างสุขสบาย แต่ได้อยู่อย่างที่ตัวเองกำหนด ที่ที่ตัวเองจะสามารถเลือกทางเดินของตนได้ ที่ที่ทุกคนจะเริ่มจากศูนย์อย่างเท่าเทียมกัน เพราะแบบนั้นหรือเปล่า โลกออนไลน์จึงเป็นที่ใฝ่ฝันของมนุษย์ พวกเขายอมทิ้งตึกสูงๆ ยอมทิ้งการดูภาพยนต์สนุกๆ หลายๆ เรื่อง ยอมทิ้งการโยนโบว์ลิ่ง มาอยู่ในโลกที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องใช้คบเพลิงเพื่อให้มองเห็นทางด้วยซ้ำ เพราะลึกๆ แล้วทุกคนต่างก็คิดอยากจะเปลี่ยนชีวิตตัวเอง อยากจะเริ่มต้นใหม่ อยากจะเป็นใครสักคนที่ไม่ใช่แบบที่ตัวเองเคยเป็นอยู่
ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น ทุกๆ วันที่ผมมีชีวิต ผมได้แต่หวังว่าตัวเองจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเราอยู่ในยุคที่มีโลกมนุษย์เพียงโลกเดียว โลกที่ทุกๆ คนอยู่อย่างสงบสุข ไม่เคยมีใครคิดจะยึดครอง โลกที่มี ‘สนามเด็กเล่น’ โลกที่ผมจะมีเพื่อนไว้คุย ไว้สนุกด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน โตไปด้วยกัน เหมือนที่ภาพยนต์พวกนั้นเคยฉายให้ผมเห็น ภาพของกลุ่มคนที่เดินกอดคอกัน เดินไปตามถนน พูดคุยเรื่องลับๆ ที่รู้กันเฉพาะกลุ่ม แล้วไปเต้นสุดเหวี่ยงในสถานที่ที่เรียกว่า ‘ผับ’ ผมอยากให้มันมีแบบนั้นจริงๆ
แล้วถ้าโลกออนไลน์ มันตอบสนองความต้องการแบบนั้นได้ แล้วจะโทษว่าความผิดของใครได้ล่ะ? ถ้าบางครั้งการที่เรามีชีวิตอยู่อย่างฝัน จะสำคัญกว่าการที่ลูกหลานของเราจะอยู่รอดต่อไป มันจะถือเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวใช่หรือเปล่า? ผมควรจะกล่าวโทษผู้คนในโลกออนไลน์ให้น้อยลงหรือเปล่า?
“เจ้าเห็นนั่นหรือเปล่า นั่นคือประตูทางออกของเมือง ฮ่า!… ลาก่อนวัลคาเนีย!” แจ็คว่า ชี้นิ้วไปข้างหน้า ปลุกให้ผมตื่นจากวังวนแห่งความคิด ต้องทวนคำพูดของเธอในหัวซ้ำอีกครั้งถึงจะเข้าใจ ผมมองตาม เราเห็นประตูไม้บานใหญ่อยู่ไม่ไกล มันเปิดอ้าซ่าเผยให้เห็นพื้นที่โล่งกว้างนอกเมือง แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ยามเช้าตรู่สาดส่องเข้ามาให้เห็นรำไร สายลมอ่อนๆ โชยมาจากข้างหลัง เหมือนเป็นการเร่งให้เราออกไปพบโลกกว้าง บอกลาเมืองแห่งนี้ซะ แล้วเริ่มต้นภารกิจเสียที
วินาทีแรกที่เจ้าหมาป่าเขาแพะวิ่งพ้นเขตกำแพง เราทั้งคู่ก็รู้สึกได้ถึงสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามาทักทาย ไม่ว่าจะเป็นถนนเรียบที่ทอดยาวขึ้นภูเขา ผืนหญ้าเตี้ยๆ รอบข้างกินพื้นที่ทั่วบริเวณ ป่าอันน่าพิศวงที่รอเราอยู่ลางๆ และอัศวินเกราะทมิฬที่ยืนขวางทางเราอยู่ ทุกอย่างช่างสวยงา… เดี๋ยวก่อน อัศวิน?
“เป็นไปไม่ได้!” แจ็คอุทานทันทีเมื่อเห็นผู้ที่กำลังรอคอยเราอยู่อย่างใจจดใจจ่อ รีบรั้งบังเหียนจนเจ้าหมาป่าแทบเกร็งตัวหยุดไม่ทัน “เจ้านั่นล่วงหน้ามาดักรอเราก่อนนานแล้วงั้นรึ?”
เขาคือชายผมแดงคนนั้น คนที่เราเห็นในปราสาท คนที่เจอเราซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า คนที่ดูท่าทางจะมีอำนาจสูงกว่าทหารคนไหนทั้งมวล รวมทั้งพลังของเขาก็อาจจะอยู่เหนือพวกเราทั้งหมด เขาเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงตามเรามาได้เร็วขนาดนี้?
“อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป นางโจร!” เขาตะโกน หรืออาจแค่พูด เพียงแต่เสียงอันทุ้มต่ำของเขาช่างดังกังวานเหลือเกิน ผมรู้สึกได้ถึงความดุดันในน้ำเสียง เหมือนมีไฟที่มองไม่เห็นคอยล้อมรอบทุกคนที่อยู่ใกล้ตัวเขา ท่าทีของแจ็คดูจะไม่สบอารมณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนจะเกรงขามในตัวผู้ชายคนนี้มากกว่าคนอื่น ผมมองเขา คิดในใจว่านี่อาจไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ เสียแล้ว
“เป็นอะไรไปล่ะ เดี๋ยวนี้ลดตำแหน่งมาจับโจรกระจอกอย่างข้าแล้วรึ? เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปทำหน้าที่ใหญ่ๆ แบบองครักษ์ราชันย์คนอื่นๆ ล่ะ? รึว่า… จะไม่มีปัญญาแล้วกันแน่” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงยียวน คงท่าทางเจ้าเล่ห์ แต่ลึกๆ ผมคิดว่าเธอคงแอบหวาดหวั่นในตัวเขาไม่น้อย มือทั้งสองข้างของเธอเอื้อมไปจับคันธนูมากำแน่นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เตรียมพร้อมสำหรับการปะทะกัน
“ข้าว่าเจ้าเองก็คงรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร” ชายผมแดงอดกลั้นกับการกวนประสาทของแจ็ค ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “การจับตัวคนชั่วอย่างเจ้าคือภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แจ็ค จอมโจรแห่งพฤกษา สิ่งที่เจ้าขโมยไปมีค่ามากเกินกว่าจะอยู่กับเจ้า”
“ถ้าไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร พวกยูนิตี้งั้นรึ?! ข้าเห็นแล้วว่ารสนิยมในการแก้ปัญหาของพวกเจ้ามันดีขนาดไหน ไม่ล่ะ ขอบคุณ!” เธอประกาศเสียงกร้าว แต่ก็มิได้ทำให้ชายผมแดงสะทกสะท้านแต่อย่างใด เขายืนนิ่ง มีเพียงผ้าคลุมแดงของเขาเท่านั้นที่ปลิวสะบัดไปตามแรงลม สีของมันทำให้ดูเหมือนมีไฟลุกออกมาจากแผ่นหลัง แม้แต่เจ้าหมาป่าที่เราขี่อยู่ก็แสดงอาการหงอลงอย่างเห็นได้ชัด มันเหมือนจะไม่กล้าเดินต่อด้วยซ้ำ
“เขาเป็นใคร?” ผมกระซิบถามแจ็คเบาๆ
“นามของข้าคือ ‘เซน’ องครักษ์ราชันย์แห่งธาตุอัคคี!” เขาตวัดตามามองผมเล็กน้อยเหมือนได้ยินสิ่งที่พูดเมื่อครู่ “แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร? เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินชื่อของข้า แปลกยิ่งนัก”
“นามของหมอนี่คือ ‘ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า ไอ้หัวแดง!’ “ แจ็คชิงตอบทันควันพร้อมยักคิ้วหลิ่วตาใส่อัศวิน
“เอาล่ะ หมดเวลาสำหรับการต่อรองเพียงเท่านี้!” เขาพูดอย่างเหลืออด ฟางเส้นสุดท้ายขาดผึง มือทั้งสองจับด้ามดาบคู่ข้างตัวแล้วชักมันขึ้นมา ดาบสีดำทมิฬสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นมันวาว “เจ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็เข้ามา! กฎมีง่ายๆ ถ้าอยากออกไป โค่นข้าให้ได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ข้าจะทิ้งให้ศพของพวกเจ้าเหม็นเน่าเสียบประจานอยู่ตรงกำแพง ในขณะที่ข้านำเสี้ยวกุญแจแห่งมอรินทร์ไปถวายให้พระราชา!”
บรรยากาศกดดันทิ้งตัวลง การหายใจในช่วงเวลานี้ช่างเป็นการยากเหลือเกิน ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันเขม็ง ผมสังหรณ์ไม่ดีว่าอาจเกิดการต่อสู้ปะทุขึ้นเร็วๆ นี้ แจ็คเริ่มอธิบายอะไรบางอย่างให้ผมฟัง ในขณะเดียวกันก็ไม่ยอมละสายตาจากฝ่ายตรงข้าม “เจ้าเตี้ย เจ้าต้องระวังตัวให้ดี บุรุษผู้นี้ไม่ใช่ทหารธรรมดา ระดับห่างกันหลายขุมนัก แม้แต่ข้า… ก็ยังเทียบไม่ได้ ตามทฤษฎีน่ะนะ เพราะเขาเป็นถึงองครักษ์แห่งอัคคี”
“มันคืออะไร? องครักษ์ที่ว่า?” ผมถาม
“ให้ตายสิ! ก่อนส่งเจ้ามา พวกยูนิตี้ไม่ได้พยายามยัดเยียดล้างสมองเจ้าเหมือนคนอื่นๆ รึไง? ข้าจะอธิบายให้ฟังสั้นๆ บนโลกนี้ จะมีการปกครองแบบกษัตริย์ที่อิงตามธาตุต่างๆ แต่ละธาตุจะมีทวีปเป็นของตัวเอง มีกษัตริย์เป็นของตัวเอง มีการปกครองที่ต่างออกไป แต่หลักๆ แล้ว ผู้ปกครองเหล่านี้จะร่วมมือกันเพื่อดูแลคนที่สังกัดในธาตุของตน อัคคี วารี วายุ ภูผา อัศนี พฤกษา น้ำแข็ง แสงสว่าง แต่สิ่งสำคัญที่เจ้าต้องจำไว้คือ การจะเลือกกษัตริย์ในแต่ละธาตุนั้น จะเลือกโดยการมอบตำแหน่งให้ผู้เล่นที่เก่งที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของธาตุนั้นๆ พูดง่ายๆ ก็คือไร้เทียมจนไม่มีใครโค่นได้”
“อันดับหนึ่ง… ของธาตุนั้นๆ เหรอ” ผมทวนคำอย่างตกตะลึง
“แต่ปัญหาของเรามันอยู่ที่ตรงนี้ เมื่อมีผู้เล่นอันดับหนึ่ง ย่อมมีผู้เล่นอับดับสอง คนที่จะคอยจ่อรอรับตำแหน่งพระราชาคนต่อไป คนๆ นั้นจะได้รับตำแหน่งที่สำคัญรองลงมา คอยสอดส่องดูแลความเรียบร้อยทั่วราชอาณาจักร และคอยปกป้องพระราชา เราเรียกคนพวกนั้นว่า… องครักษ์ราชันย์”
“อย่าบอกนะว่า…”
“ใช่” แจ็คพยักหน้าเบาๆ “คนที่อยู่ข้างหน้าเราตอนนี้คือผู้เล่นที่เก่งเป็นอันดับสองของธาตุอัคคี ‘เซน’”
จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกหรือเปล่า? ผมคิด ตอนแรกก็ภูเขาไฟ โดนจับ ติดคุก โดนไล่ แล้วยังนี่อีก
“นี่… เปลี่ยนที่กับข้า เจ้ามานั่งข้างหน้า” แจ็คไม่พูดเปล่า เธอดีดตัวลงจากหมาป่าทันที
“อะไรนะ?”
“คราวนี้ข้าอยากให้เจ้ามานั่งหน้า คอยบังคับมัน ข้าจะเป็นคนต่อกรกับเจ้านั่นเอง”
“แต่… แต่ฉันขี่หมาป่าไม่เป็น” น้ำเสียงผมสูงๆ ต่ำๆ รีบบอกปัด
“มันง่ายนิดเดียว ถ้าอยากให้มันวิ่ง เจ้าก็ฟาดบังเหียน ถ้าอยากให้วิ่งเร็วขึ้นอีก ก็ฟาดให้แรงอีก แล้วถ้าเจ้าอยากให้หยุด ก็รั้งมันไว้ มีแค่นี้แหละ กระเถิบไปข้างหน้าเดี๋ยวนี้” หญิงสาวกดดัน
“แล้วถ้าอยากให้เลี้ยวซ้ายหรือขวาล่ะ?”
“คงซับซ้อนไปสำหรับเจ้า รู้แค่นั้นก็เกินพอแล้ว ที่เหลือก็พึ่งดวงเอาแล้วกัน”
ผมแทบทรุดทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แต่ก็ต้องค่อยๆ จำใจขยับไปข้างหน้า ทุกอย่างดูทุลักทุเลไปหมด ผมยังใหม่สำหรับสิ่งนี้ ผมจับบังเหียนไม่เป็นด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าต้องเริ่มยังไง แจ็คเข้ามาบอกจุดเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะปีนขึ้นมานั่งข้างหลังผม มันรู้สึกสยิวยังไงชอบกลที่ต้องมานั่งหน้า ผมเห็นภาพทุกอย่างเลย ไม่มีใครอยู่หน้าผมหรือคอยบังภาพอันสยดสยองที่อาจเกิดขึ้นหากเราไปชนเข้ากับอะไรสักอย่าง ผมกลายเป็นผู้ควบคุม มันรู้สึกมวนๆ ท้องเหมือนมีงูขดอยู่ในนั้น
“เจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นกลัว” แจ็คบอก น้ำเสียงมุ่งมั่น ใบหน้าเคร่งเครียด ผมกลืนน้ำลายโน้มตัวลงเพื่อเตรียมตัวที่จะพุ่งไปข้างหน้า สองมือกำบังเหียนแน่น ใช้ขาสะกิดข้างตัวเจ้าหมาป่าเล็กน้อยเพื่อเป็นการกระตุ้นให้มันหายหงอ แจ็คบอกผมว่า สิ่งเดียวที่ผมต้องทำในตอนนี้คือทำให้หมาป่าวิ่งฝ่าชายคนนั้นไปให้ถึงป่าให้เร็วที่สุด ผมไม่แน่ใจว่าเราทำแบบนั้นได้หรือเปล่า ชายที่แม้แต่เธอเองยังบอกว่าเหนือกว่า เขาจะมีพลังขนาดไหนกัน
“อยู่ให้ห่างจากดาบคู่นั้นไว้ อาชีพของเจ้านั่นคือนักดาบ ดาบคืออาวุธที่ร้ายแรงที่สุดของเขา” เธอแนะนำเป็นครั้งสุดท้าย
“พร้อมแล้วจงมา” เซนเอ่ยคำท้าทาย สองมือแกร่งกำดาบแน่น
ผมกลืนน้ำลาย สั่งเสียในใจ หลับตา ก่อนจะใช้มือสั่นๆ ฟาดบังเหียนทีนึง แล้วโลกก็ขยับเร็วขึ้น เราพุ่งตัวออกไปดั่งสายลม มันแย่กว่าที่คิด ทั้งลมแรงที่อัดปะทะเข้าหน้าเต็มๆ อากาศรอบๆ ดูจะน้อยลง แทบไม่มีเวลาให้หายใจ ภาพอัศวินถือดาบตรงหน้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สายตาของเราสองคนปะทะกัน แต่ต่างกันในความรู้สึก ของเขาเรียบเฉย ส่วนของผมหวาดหวั่น ชนหมอนั่นไปเลย ชนไปเลย ชนไปเลย เหยียบให้แบน ผมปรารถนาให้ทุกอย่างจบเร็วๆ ชายผมแดงไม่ยอมขยับตัวแม้แต่นิด ทั้งๆ ที่เห็นกันชัดๆ ว่าหากยังยืนต่อไป มีหวังโดนเขาแพะขวิดเอาแน่ๆ
“ก้มลง!” แจ็คสั่ง ผมทำตาม โน้มตัวหมอบต่ำให้ได้มากที่สุด หญิงสาวโก่งคันธนู หันลูกศรไปยังเป้าหมาย จากนั้นเธอก็ยิง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ผมมองธนูลูกนั้นไม่ทัน รู้แต่ว่าพอมันเข้าใกล้ไปถึงตัวอัศวิน เขาเพียงยกดาบขึ้นมาตวัดข้างหน้าแปปเดียว ลูกศรก็ขาดเป็นสองท่อน กระเด็นตกลงบนพื้น ผมอ้าปากค้าง นึกอยากจะเปลี่ยนใจสั่งให้หมาป่าวิ่งกลับไปตั้งหลัก ผมมั่นใจว่าเขาสามารถทำแบบเดียวกันนั้นกับพวกเราได้แน่ หากเราเข้าไปใกล้
“เจอนี่หน่อยเป็นไง!” แจ็คดึงศรอีกลูกจากกระบอก ดึงสายธนู แล้วก็ปล่อย ลูกศรพุ่งไปแบบเดิม ทว่าคราวนี้กลับมีแสงเรืองออกมา แล้วลูกศรดอกนั้นก็แบ่งตัวออกเป็นสามดอกภายในเวลาอันรวดเร็ว มันเพิ่มจำนวนขึ้นมาเอง นี่หรือเปล่าที่เธอเรียกว่าสกิล สามารถเสกให้ลูกธนูแยกตัวออกมาได้ด้วย?
ลูกศรทั้งสาม พุ่งไปหาชายผมแดงด้วยความเร็วที่อาจจะมากกว่าครั้งที่แล้วด้วยซ้ำ ทว่าด้วยการใช้ดาบทั้งสองเล่มปัดใส่ทีเดียว ก็แทบเหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เหมือนลูกศรไม่เคยถูกยิงมาก่อน ในตอนนั้น ผมตัดสินใจว่าจะลองรั้งสายบังเหียนเพื่อให้หมาป่าหยุด ไม่ใช่เรื่องดีแน่หากเราปะทะเข้าจัง แต่ไม่ทันเสียแล้ว เราอยู่ใกล้เขามากเกินไป อาจโชคดีที่หมาป่าเกิดกลัว มันจึงเลี่ยงเบี่ยงตัวไปข้างๆ ทันที เสี้ยววินาทีที่เราสวนผ่านเขาไป คือตอนที่เขาอยู่ประชิดกับเรามากที่สุด เขาฟาดดาบเข้าใส่ ผมสะดุ้งก้มหัวหลบ ผมไม่เป็นไร แล้วเราก็วิ่งผ่านเขามาได้ ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี แต่ผมคิดผิด เมื่อก้มมองดูข้างๆ ของหมาป่า เกิดรอยแผลที่ข้างลำตัวของมันเป็นทางยาว เลือดสีแดงไหลเป็นทาง สัตว์สี่ขาร้องครางด้วยความเจ็บปวดในขณะที่ยังวิ่งต่อ แต่มันวิ่งได้ช้าลง
“อภัยให้ข้าด้วย” ชายผมแดงกล่าวขอโทษหมาป่าตัวนั้น
เขายืนนิ่งมองเราสักพัก ก่อนจะเริ่มออกตัว วิ่งตามเรามา แต่ว่า… ความเร็วนั่น มันอะไรกัน? เขาวิ่งเร็วมากๆ เร็วพอๆ กับหมาป่าเลยด้วยซ้ำ ผมมองไม่เห็นขาของเขาตอนขยับ เพราะมันสลับไปมาไม่หยุด เหมือนเขากำลังลอยเข้ามา ความเร็วที่เกินนุษย์มนาแบบนั้นมีอยู่จริงหรือ? แม้แต่ในมาตรฐานของโลกออนไลน์ก็เถอะ
“เจ้ายอมแพ้แล้วรึ จอมโจร? ไม่คิดจะสู้กับข้าเลยรึ หรือคิดจะยอมจำนน” เขาถามโดยที่ตอนนี้ ระยะห่างเราหว่างเราเหลือไม่มาก
“อะไร? เมื่อครู่ เจ้าเรียกนั่นว่าคือการสู้แล้วงั้นรึ?” แจ็คหันหลังยิง คราวนี้เธอทำได้สะดวกมากขึ้นเพราะไม่มีผมคอยบัง ผมเอี้ยวคอกลับไปมอง เห็นแจ็คกำลังยิงธนูรัวๆ อย่างบ้าคลั่ง มือของเธอไวมาก หยิบลูกศรจากกระบอก เล็งแล้วยิง ทำแบบนี้ซ้ำๆ โดยไม่หยุด อัศวินเริ่มแสดงท่าทีว่ามีปัญหาในการหลบ แต่ก็ไม่มีสัญญาณว่าจะโดนจังๆ เลยสักดอก
“อะไร เป็นถึงอันดับสองของธาตุอัคคี ไม่คิดจะแสดงฝีมือเลยหรือ?” แจ็คยิงต่อไปเรื่อยๆ ผมสังเกตว่าลูกศรในกระบอกไม่มีวันหมดเลย เหมือนจะปรากฎขึ้นใหม่เรื่อยๆ ทุกครั้งที่มันถูกใช้ไป เป็นอีกหนึ่งใน ‘สกิล’ ของเธอหรือเปล่า? ถ้าผมทำแบบนั้นกับกระสุนของตัวเองได้บ้างก็คงดี
“แค่พวกทหารโง่เง่าที่ใช้พลังในเมืองก็เป็นปัญหามากพอแล้ว โทเทมของข้าไม่เหมาะที่จะใช้ในสถานที่ที่อยู่ใกล้กับบ้านเรือนของผู้คน โดยเฉพาะถ้ามันเป็นเมืองของข้า” เขาตอบ
“ก็ถือว่าเจ้าเสียโอกาสเองนะ” แจ็คว่า แสยะยิ้ม เธอดึงลูกศรมา โก่งคันธนู แต่คราวนี้ไม่ได้เล็งไปตรงหน้า เธอเล็งขึ้นฟ้า ลูกศรถูกยิงขึ้น มันเปล่งแสงเป็นเส้นตรงตั้งแต่จากคันธนูลากขึ้นไปจนถึงสุดขอบฟ้าแล้วทุกอย่างก็เงียบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมรอดูสักพักจนกระทั่งเห็นอะไรบางอย่างที่พุ่งกลับลงมา มันคือลูกธนู แต่ไม่ใช่แค่ดอกเดียว อาจมีเป็นหลายสิบดอก โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าราวห่าฝน ปักตกลงรอบๆ บริเวณของชายผมแดง ทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ลำบาก เพราะถูกล้อมไว้ด้วยลูกธนูฝูงใหญ่
“ลากันที” หญิงสาวล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบเหรียญทองขึ้นมา มันคือโทเทมของเธอ ผมเพิ่งเห็นชัดๆ ว่าลายบนเหรียญนั้นเป็นลายของต้นไม้ต้นใหญ่ แจ็คใช้นิ้วโป้งลูบบนลายนั้น จากนั้นมันก็เปล่งแสง ผลที่ตามมาเริ่มปรากฎ ลูกธนูนับสิบที่ปักรายล้อมอยู่รอบตัวชายผมแดงค่อยๆ เพิ่มขนาด มันเปลี่ยนรูปร่าง ภายในเวลาไม่ช้า ลูกศรพวกนั้นก็กลายเป็นต้นแอปเปิ้ลต้นใหญ่แบบดอกต่อดอก ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอสร้างป่าแอปเปิ้ลขึ้นจากลานว่างเปล่า! อัศวินติดอยู่ในนั้นตลอดกาลแน่
“สุดยอดไปเลย!!” ผมร้อง แจ็คหันมารับคำชมเล็กน้อย
แต่เราดีใจได้เพียงไม่นาน เกิดเสียงระเบิดขึ้นครั้งใหญ่ ไฟปะทุขึ้นมาจากตรงกลางของป่าแอปเปิ้ล เผาเอาทุกอย่างราบเป็นขี้เถ้าภายในเวลาไม่กี่วินาที ไม่เหลือซากเลย! เกิดควันสีเทาลอยโขมงเต็มไปหมด ชายผมแดงยืนอยู่ตรงกลางการระเบิดนั่น ดูจะไม่เป็นอะไรเลยสักนิด ผมสังเกตว่าดาบทั้งสองเล่มบนมือของเขาเปลี่ยนสี จากสีดำเป็นสีแดง เหมือนเหล็กที่โดนเปลวไฟจี้จนร้อนระอุ
“นั่นคือความสามารถของโทเทมของเขางั้นเหรอ?” แม้อากาศรอบข้างจะร้อน แต่มือที่กำบังเหียนของผมกลับเย็นเจี๊ยบ
“ไม่ใช่ นั่นก็แค่ความสามารถธรรมดาของดาบเจ้านั่น” แจ็คกล่าว คราวนี้ดูท่าเธอจะจนปัญญาเสียแล้ว เธอหันกลับมามองผม แล้วมองดูว่าเรายังหากจากป่าอีกไกลไหม มันไม่ไกลมาก แต่ก็ใช้เวลาสักครู่ เพียงแต่เราจะอยู่ได้นานถึงตอนนั้นหรือเปล่า? และต่อให้หลบหนีเข้าไปในป่าในเขาได้ ด้วยพลังบ้าๆ แบบนั้น ชายผมแดงคงตามมาเผาเราได้ไม่ยากเลย
อัศวินเกราะดำเดินออกมาจากซากขี้เถ้า มองเราครู่หนึ่ง ฟาดดาบทั้งสองใส่พื้นดินใต้เท้าตน จากนั้นก็เกิดเปลวเพลิงลุกขึ้นมาจากปลายดาบ ไล่ต่อมาเรื่อยๆ เป็นเส้นตรง กลายเป็นคลื่นเพลิงที่ตรงดิ่งมาหาเราทั้งคู่ และมันเร็วมากจนหลบไม่ได้ ร้อนแรงมากจนผิวอาจไหม้เกรียม พวกเราโดนมันเข้าจังๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็กระจัดกระจายไปหมด ทั้งผม แจ็ค หมาป่า เรากระเด็นไปคนละทิศละทาง โลกทั้งโลกหมุนเคว้ง ผมกระแทกเข้ากับพื้นสองสามทีกว่าจะกองลงอย่างสงบ มันเจ็บมาก
“หนีไปซะ!” เขาตะคอกใส่เจ้าหมาป่าตัวนั้น มันตะเกียกตะกาย ล้มลุกคลุกคลานแล้วยืนขึ้น จากนั้นก็วิ่งขากระเผลกหนีกลับตรงเข้าไปยังประตูเมือง อัศวินมองตามมันไปจนแน่ใจแล้วว่ามันกลับเข้าไปในเมืองได้ จากนั้นจึงกลับมาให้ความสนใจกับเราต่อ ผมไม่แน่ใจว่าเขามีจิตใจดีถึงขั้นอยากไว้ชีวิตหมาป่า หรือแค่ต้องการให้เราหมดทางหนีกันแน่
“ต้อง… วิ่ง” แจ็คพูดช้าๆ ยันตัวเองลุกขึ้น ปัดฝุ่นตามตัว ส่งสายตาอาฆาตใส่ชายผมแดง “วิ่งไปที่ป่า เราอยู่ไม่ไกลแล้ว”
ผมลุกขึ้นทันที ตรวจเช็คของรอบตัว กระเป๋าเป้ยังอยู่ครบ ปืนตั้งอยู่ข้างๆ ไม่บุบสลาย เริ่มออกตัววิ่งอย่างยากลำบาก จุดหมายคือป่าข้างหน้า ขอแค่เข้าไปในนั้นได้ เราก็จะหาที่ซ่อนได้ ระหว่างทาง ผมล้วงกระเป๋า หยิบกระสุนขึ้นมาเติมใส่ปืนหนึ่งนัด เผื่อจะสามารถยิงตอบโต้ได้บ้าง แต่มันไม่ง่ายแบบนั้น อัศวินยกดาบขึ้นช้าๆ ฟาดใส่พื้นดินอีกรอบ เกิดคลื่นเพลิงที่ใหญ่กว่าลูกที่แล้ว คราวนี้มันแยกเป็นสองทาง ไปหาผมและเธอ และด้วยความเร็วของมัน ไม่มีทางไหนที่เราจะหลบหนีมันพ้น
เราโดนมันอีกครั้ง แล้วคราวนี้ทั้งผมและเธอก็กระเด็นลอยขึ้นฟ้า เสียงกรีดร้องดังก้อง ไม่แน่ใจว่าเป็นของใครกันแน่ เราลอยขึ้นไปไม่หยุด สูงขึ้นมาก อากาศรอบตัวอัดกัน แม้แต่เศษดินที่เราเพิ่งเหยียบเมื่อครู่ยังลอยว่อนอยู่รอบตัวจนกระทั่งถึงจุดที่ผมรู้ว่าเราคงตายแน่ๆ เพราะผมสามารถเห็นได้แม้กระทั้งภาพของเมืองทั้งเมืองจากบนนี้ ผมลอยสูงขนาดนั้นเลย แล้วเมื่อแรงโน้มถ่วงถามหา เราเริ่มตกลงไป ลมพัดให้เส้นผมปลิวสยาย จากความสูงขนาดนี้ เราอาจเหลือเพียงแค่ซาก ผมไม่อยากจินตนาการตอนที่ร่างของตัวเองกระทบกับพื้นดินแข็งๆ
ผมแหวกว่ายอยู่ในอากาศ รู้สึกเสียววูบในท้อง ยิ่งตกลงไปนานเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้นเท่านั้น แจ็คอยู่ต่ำกว่าผมหน่อยนึง มันเหมือนช่วงเวลาที่เราอยู่นอกอวกาศ เราเห็นทุกอย่างล่องลอยอย่างช้าๆ ผมเกิดความรู้สึกผวาขึ้นมา ยังไม่อยากตายตอนนี้ แบบนี้ด้วย แต่ผมไม่มีทางหนี ไม่มีใครหนีได้หากเจอแบบเดียวกับผม ท้ายที่สุด สัญชาตญาณก็ส่งความคิดสุดท้ายเข้าสมอง ผมรีบเอื้อมมือไขว้ขว้าไปจับแขนของแจ็ค จากนั้นก็เพ่งสติ มองลงไปยังชายป่า นึกภาพในหัว ผมจะต้องไปที่นั่น!
แล้วสภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผมนอนอยู่บนพื้น หน้าคว่ำดิน พอยกหัวขึ้นมาก็พบว่าผมอยู่ที่ชายป่าจริงๆ แจ็คก็อยู่กับผม ผมยังจับแขนเธอแน่นอยู่ราวกับจะบีบมันให้แตก หญิงสาวหายใจหอบนอนหงายเบิกตากว้างราวกับไม่เชื่อว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจริง ไม่รู้ว่าผมทำได้ยังไง แต่ผมทำได้ เราไม่ได้ตกถึงพื้น เราหายตัวเข้ามาอยู่ตรงชายป่า ต้นไม้อยู่ข้างตัวผมนี่เอง
“นาย… นายไม่ใช่แค่เคลื่อนย้ายตัวเองได้! นายเคลื่อนย้ายได้แม้แต่คนเป็นๆ! นายรู้ได้ยังไง… นายรู้ได้ยังไงว่าตัวเองจะทำแบบนั้นได้” แจ็คกล่าวอย่างตื่นเต้น เธอตรวจเช็คสัมภาระของตัวเองอย่างเร่งรีบ มันยังอยู่ครบ และโชคดีที่ของผมก็อยู่ครบเช่นกัน
“ฉันไม่รู้สิ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำแบบนั้นได้ด้วย แค่คิดว่าควรลองทำดู ไม่มีอะไรเสียหายนี่จริงไหม?” ผมว่า ถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกขอบคุณที่ตัวเองมีพลังบัคบ้าๆ นี่ มันช่วยชีวิตผมสามครั้งแล้วในวันนี้ แต่ก็ดูดพลังงานไปแทบจะหมดตัว
“เดี๋ยวก่อน” แจ็คสะกิด ชี้ไปอีกทาง“หมอนั่น!”
ผมเห็นชายผมแดงยืนอยู่ไกลๆ ผมคิดว่าเขายังยืนอยู่ที่เดิมตั้งแต่เมื่อครู่ และคงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ผมเดาได้เลยว่าสีหน้าของเขาเป็นยังไง คงกำลังอึ้งหรือสับสน เขาจะตามเรามาอีกแน่ ได้จังหวะแล้ว! ผมรีบยกปืนขึ้นมาตั้งท่า มองผ่านลำกล้อง โชคดีที่เตรียมกระสุนไว้ก่อนแล้วจึงไม่ต้องเสียเวลา ผมมองเห็นใบหน้าที่ถูกขยายผ่านกล้อง สีหน้าเป็นอย่างที่คิด ตะลึงงัน แต่เริ่มจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเมื่อเห็นว่าพวกเรายังยืนอยู่ตรงนี้ เขากำลังออกตัววิ่ง ตามเรามา!
“เอานี่ไปกิน!”
ผมลั่นไก กระสุนแล่นจากปลายกระบอกปืนตรงเข้าไปหาเขา ผมไม่ได้เล็งถึงจุดตาย แค่เล็งที่หน้าอก ตรงที่เป็นเกราะ ดูเหมือนความแม่นของผมจะยังไม่ลดลง กระสุนบินเข้ากระแทกกับเกราะสีดำทมิฬของเขาทันที มันกระทบกันดังเคร้งก้องไปทั่ว ได้ยินมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มกระเด็นไปตามแรงกระสุน ล้มลงไปกับพื้น ตอนแรกผมคิดว่าเขาตาย แต่ดูเหมือนว่าเกราะนั่นจะแข็งแรงพอสมควร อย่างน้อยเขาก็ลุกไม่ขึ้น ร้องครวญครางอย่างทรมาน บางทีเกราะอาจจะบิ่นเข้าแทงหน้าอกของเขา อย่างไรก็ตาม ผมถือว่าเราเสมอกันแล้ว และผมก็มีโอกาสหนีแล้วด้วย
“รีบไปกัน” แจ็คว่า “ฉันรู้ทางลัดจากป่าเข้าไปสู่อีกเมือง”
ผมพยักหน้า ทิ้งเมืองแห่งเพลิงไว้เบื้องหลัง แล้วเดินตามหญิงสาวหายเข้าไปในหุบเขาใหญ่
= = = = = = = = = = = = = =
โปรด ติด ตาม ตอน ต่อ ไป
รูปตัวละครประจำตอนนี้
องครักษ์แห่งธาตุอัคคี
เซน
ตัวจริง จะแอบมีหนวดเคราสั้นๆ ด้วยนะ ดาบก็จะเป็นดาบคู่สีดำ
คุยกับไรท์เตอร์
สวัสดีจ้า ทุกท่าน ตอนนี้ไรท์เตอร์รู้ตัวว่าแอบลงช้ามากๆๆๆ ที่ลงช้าไม่ใช่อะไรหรอก เพราะอู้นั่นเอง // โดนตบ - ล้อเล่น ที่จริงคือติดธุระ ตอนนี้ปัจจุบันคือพยายามลงทุกวัน หรือวันเว้นวัน ไม่ค้าง ไม่ดองแน่ๆจ้า ลงช้าแต่งานคุณภาพนะเออ
แล้วคืออยากจะบอกว่าไรท์เป็นคนติดนิสัย แต่งตอนนึง จะแต่งยาวมากๆ บางทีก็รู้สึกว่าเราควรจะแบ่งไหม เพราะรู้สึกว่านักอ่านหลายๆ คนจะชอบดูตรงที่ว่านิยายเรื่องนี้มีตอนเยอะหรือยัง ถ้าไม่เยอะก็ไม่อ่าน แต่ไรท์เตอร์คิดว่าการแบ่งตอนมันไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ มันส่งผลต่ออารมณ์ในการอ่าน เวลาแยกเป็นตอนๆ มันไม่ได้ฟีลอ่ะ มันไม่ต่อกันอ่ะ อย่างตอนนี้ จริงๆ ก็แบ่งครึ่งได้ แต่ไรท์ก็ไม่อยากแบ่ง สงสัยอาจเป็นเพราะไรท์คิดไปเอง 555
เอาเป็นว่า ถึงแม้จะตอนน้อย ก็ให้รู้กันว่าแต่ละตอน เนื้อหาเเน่นเอี๊ยดนะครับ
สำหรับตอนที่แล้ว บางคอมเม้นต์ มีการเดากันไปต่างๆ นาๆ ว่าเเจ็คเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ไรท์เตอร์ขอคอมเฟิร์มว่าแจ็คเป็นผู้ฉิง เอ้ย หญิงแท้ๆจ้า แต่เป็นหญิงแท้ที่เเมนทั้งแท่งไง ก็นางบอกเอง เป็นคาแรคเตอร์ที่ไรท์คิดว่าแหวกดีนะ
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับคอมเมนต์ทั้งหลายนะครับ
ไรท์อ่านแล้วปลิ้มมากมาย มีกำลังใจแต่งต่อมากๆ
ป.ล. ขอออกตัวก่อนนะ ว่าไรท์โอเคมากๆกับคอมเม้นต์ประเภทเชียร์วาย หรือสาวดุ้น ยาโอย ยูริ เฮ็นไต กุโระ เท็นทาเคิ้ล(เอ๊ะ!) หรือคอมเม้นต์แนวโหดๆนี่ก็เข้าทางไรท์เลย รับได้แน่นอน ฉะนั้น คอมเม้นต์มาเต็มเลยจ้า ไม่มีปัญหาแน่นอน อิๆ แอบจิต
ปิดท้ายด้วยแฟนอาร์ตฮาๆ จากท่าน Blueliking นักอ่านผู้น่ารัก
อ้างอิงมาจากตอนที่แล้วจ้า
ขอบคุณท่านมากๆ อยากจะบอกว่าตรงกับที่ไรท์จินตนาการไว้เปี๊ยบเลยจริงๆ
แล้วเพลงประกอบ หากันจนเจอ นี่แบบว่า คิดด้ายยยย 5555
อ่านเสร็จ ขำเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียวอ่ะ คิดดู
วาดสวยเหมือนเดิมเลยนะท่าน อืมเมจตรงสุดๆ
ถือเป็นกำลังใจที่ดีมากๆ เลยจ้า สัญญาว่าจะผลิตตอนใหม่ให้คุณภาพดียิ่งขึ้น
ป.ล. อาคินทร์นี่เคะอะไรอย่างเง้ ฮ่าๆๆๆ
ความคิดเห็น