คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : กักบริเวณชั่วโมงที่ 1 :: เจ้าหญิงผมยาวในห้องสมุด
กักบริเวณ
1 ทุ่ม – 4 ทุ่ม
ผมอ่านข้อความสั้นๆ บนป้ายที่แขวนอยู่หน้าประตูห้องสมุด สายตาจดจ้องแต่ละตัวอักษร ถ้าคุณเป็นผม คุณจะรู้ว่ามันรู้สึกแย่ขนาดไหนที่ต้องถูกกักบริเวณ มันเหมือนว่าคุณทำผิด และคุณต้องโดนลงโทษ แม้คุณจะไม่สมควรโดนเลยก็ตาม ขาของผมเหมือนโดนเชือกพันธนาการไว้กับพื้น ทำให้ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน... ผมคิดว่าเชือกเส้นนั้นคือ เจนเซ่น ความกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับเขารั้งให้ผมไม่ยอมเข้าไปข้างในเสียที...
“เธอ...ขยับไปทางซ้ายหน่อยสิ...” ลิลลี่สะกิดหลังเบาๆ ทำให้ผมหันกลับไปดู จากนั้นก็รีบย้ายตัวเองให้พ้นจากประตูห้องสมุด ในตอนแรกผมคิดว่าสาวสวยคนนี้กำลังขอทางเพื่อเข้าห้องสมุด แต่เปล่าเลย... เธอกำลังเสก็ตภาพป้ายใบนั้นด้วยสมุดปกสีแดงที่เธอใช้เป็นประจำต่างหาก
ลิลลี่ แฟรี่ สาวสวยผมสีน้ำตาลแดง ผิวเธอขาวบริสุทธิ์เหมือนพี่สาวของเธอ... จิล แฟรี่ แม้ในความทรงจำของผมจะเห็นแค่ภาพซึ่งไร้วิญญาณแล้วของพี่สาวเธอก็ตาม หากนี่คือหนังสยองขวัญแล้ว ลิลลี่คงจะเป็น...นางเอก ด้วยนิสัย หน้าตา และความคิดของเธอ เธออ่อนหวาน และยิ้มบ่อย แค่เธอหัวเราะเพียงครั้งเดียวโลกก็ดูสว่างไสวขึ้นทันตา แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอหรอก... ถ้าหากว่าคุณรู้จักเธอละก็ คุณคงจะคิดแบบผมเหมือนกัน ลิลลี่มีความสามารถพิเศษเหมือนพวกหลังห้องทั้งหลาย เธอคืออัจฉริยะในด้านการวาดรูป ครั้งนึงเธอเคยโชว์รูปให้เพื่อนๆ ดู ตอนแรกทุกคนคิดว่ามันคือรูปถ่าย แต่พอเธอเฉลยว่ามันเป็นรูปเหมือนที่เธอวาดและใช้สีเกือบร้อยสีระบายเอง ทุกคนก็อึ้ง และแน่นอนว่าสิ่งที่เธอขาดติดตัวไม่ได้เลยก็คือสมุดเปล่าๆและดินสอตัวเก่งซึ่งเธอมักจะใช้เสก็ตรูปต่างๆที่อยู่รอบตัว
“ฟิตซ์.. นายไม่เข้าไปเหรอ?” เธอเหลือบตามามองผมแวบเดียวก่อนจะหมกมุ่นกับการวาดรูปต่อ
“ฉันว่า.... เราเข้าไปพร้อมกันก็ดีนะ” ผมยิ้มแห้งๆ ก่อนจะยืนอยู่ตรงนั้นนานสักสี่ถึงห้านาทีได้ เมื่อลิลลี่วาดรูปเสร็จเธอก็โชว์รูปให้ผมดูแล้วถามว่าสวยไหม? แน่นอน มันยิ่งกว่าสวยอีก ขนาดภาพง่ายๆอย่างป้ายแขวนธรรมดาเธอยังเน้นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน
“นายได้ยินมั้ย?” ลิลลี่ถาม ผมจึงเงี่ยหูฟัง สักพักก็เริ่มได้ยินเสียง “แกร๊ก” ดังขึ้นมาจากชั้นล่าง เสียงนั้นดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราทั้งคู่รู้ว่ามันคือเสียงของ “ระบบล็อคประตูอัตโนมัติ” ผมและลิลลี่จึงรีบเปิดประตูห้องสมุดเข้าไปอย่างไม่ลังเล ก่อนที่พวกเราจะถูกขังไว้ที่ทางเดินหน้าห้อง
ผมคิดว่าผมเคยบอกคุณแล้วนะ ว่าโรงเรียนของเรามันไฮโซขนาดไหน ห้องสมุดนี่ล่ะคือหลักฐานชั้นเยี่ยม ด้วยความกว้างเท่าครึ่งสนามฟุตบอลสากล ตู้หนังสือเกือบประมาณห้าสิบตู้เรียงรายต่อกันเหมือนโดมิโน่ถูกตั้งไว้ราวกับว่าที่นี่คือหอสมุดแห่งชาติ หนังสือทุกแนว ทุกสาขา ทุกเล่มที่หายาก คุณอาจจะหามันเจอที่นี่ ผนังห้องสมุดทำด้วยไม้เคลือบเงา และแสงไฟประดับเนื่องในวันฮาโลวีนยิ่งทำให้มันกลายเป็นคฤหาสน์ขนาดย่อมๆ
เราทั้งคู่เดินผ่านตู้หนังสือตู้แล้วตู้เล่าจนกระทั้งเจอพื้นที่ซึ่งถูกทำให้กว้างๆ มีโต๊ะและเก้าอี้เรียนเล็กๆ ตั้งอยู่หกตัว ทุกโต๊ะหันหน้าเข้าหากันล้อมรอบเป็นวงกลม สี่โต๊ะนั้นมีผู้มารอนั่งอยู่ก่อนแล้ว ส่วนอีกสองที่นั่งว่างที่เหลือนั้น ตัวนึงติดกับเกล และอีกตัวติดกับเจนเซ่น ช่างโชคร้ายสุดๆ เพราะลิลลี่เลือกนั่งข้างเกล ผมจึงต้องจำใจเดินไปนั่งข้างเจนเซ่นอย่างช้าๆ
“ไง!!.... ไอ้ตัวดี”เจนเซ่นกล่าว ในขณะที่ผมนั่งก้มหน้า เตรียมรอรับชะตากรรมแต่โดยดี เกลเสยะยิ้มเล็กๆ เรสซ์กำลังฟังเพลงด้วยหูฟังจากโทรศัพท์โดยไม่สนใจใคร ลีออนอ่านหนังสือเงียบๆ ส่วนลิลลี่ทำท่าเหมือนกำลังจะเสก็ตรูปใหม่ นี่เธอคิดจะวาดรูปผมตอนที่โดนเจนเซ่นอัดน่วมใช่ไหมเนี่ย?
“เพราะนายแท้ๆ ฉันถึงพลาดปาร์ตี้ฮาโลวีน” เขาเอื้อมมือเข้ามาเขกกะโหลกผมอย่างแรงครั้งนึง ก่อนจะตามด้วยเสียงหัวเราะดูถูกน่ารำคาญ นี่ทำไมผมถึงต้องยอมด้วยเนี่ย?... เพราะผมยอมเขาทุกที เขาถึงได้รู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจ คอยแกล้งผมตลอดเพื่อให้ได้ตัวเองรู้สึกเหนือกว่า ถึงเวลาสักทีล่ะมั้งที่เขาจะต้องถูกสั่งสอนบ้าง ...
เจนเซ่นหยิบหนังสือเล่มนึงที่เขาเอามาจากชั้นหนังสือ แล้วทำท่าจะใช้มันกระแทกหลังผม และแล้วสัญชาตญาณก็สั่งให้ผมทำในสิ่งที่ไม่เคยคาดคิด ผมกระชากหนังสือเล่มนั้นด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเปิดหน้ากลางของเล่ม แล้วฉีกกระดาษหน้านั้นเป็นสองส่วนต่อหน้าเขา
“ทุกคน... นี่คือเจนเซ่น วอโนส หนุ่มผู้ขาดความอบอุ่น ดูสิว่าเขาสำคัญขนาดไหนถึงขนาดสามารถรังแกคนที่อ่อนแอกว่าได้ ฉันว่าเราต้องฟังเขาหน่อยนะ เพราะดูเหมือนที่บ้านจะไม่มีใครเคยฟังเขาสักคน!” คำพูดทั้งหมดพรั่งพรูออกจากปากผมราวกับว่ามันทนความอันอั้นตันใจไม่ไหว โอ.... ไม่นะ แย่แน่ ผมแย่แน่ๆ คราวนี้ตายแหงๆ
“โอ๊ะโอ” เกลยิ้มแบบนางมารร้าย สีหน้าเธอบ่งบอกว่ากำลังสนใจกับเรื่องสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้น ผมเองก็ได้แต่นั่งก้มหน้าต่อไปเตรียมรับชะตากรรม แต่เมื่อผ่านไปสักพักผมก็ต้องแปลกใจ เพราะเขายังไม่ทำอะไรผม... อันที่จริงเขาเองก็กำลังก้มหน้าด้วยเหมือนกัน เฮ้ย!... เอาจริงดิ นี่เขากำลังเศร้าเหรอ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาทำท่าหงอยๆแบบนี้ เขาเงียบซะจนผมเริ่มรู้สึกผิดแล้ว นะเนี่ย...
“พวกนาย” ลีออนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ.. “เห็นนั่นไหม?”
ทุกคนต่างหันไปยังทิศที่เขาชี้ เมื่อมองดูก็เห็นเพียงหน้าต่างมืดๆ เรียงติดกันเฉยๆ ผมหันกำลังจะหันไปถามเขาว่าหมายถึงอะไร แต่เมื่อกลับมามองสีหน้าของทุกคน ผมกลับแปลกใจเพราะต่างคนต่างทำหน้าเหมือนเห็นอะไรกันจริงๆ ผมจึงกลับไปเพ่งมองที่หน้าต่างอีกครั้ง คราวนี้ผมเริ่มจะเห็นอะไรบ้างแล้ว.... คล้ายกับว่าเงาสีดำลึกลับลอยผ่านหน้าต่างไปบานต่อบานและในไม่ช้ามันก็ลอยกลับมาอีกครั้ง จากนั้นก็ลอยผ่านไปใหม่ ความสงสัยปนความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจ สิ่งนั้นคืออะไร?... เงาปริศนาที่กำลังลอยไปมาอยู่นอกหน้าต่าง... จะบ้าเหรอ? หน้าต่างไม่มีระเบียง!... ไม่มีใครที่จะสามารถวิ่งผ่านไปมาให้พวกเราเห็นได้หรอก
ลิลลี่หันกลับมา เหมือนกับว่าเธอจะพยายามทำเป็นไม่เห็นมัน ในขณะที่พวกเราก็เริ่มจะหันกลับมานั่งนิ่งๆ คิดเสียว่ามันเป็นแค่การอุปทานหมู่ พยายามมองข้ามมัน...
แต่ผมทำไม่ได้ ขนาดหลับตาก็ยังรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวแปลกประหลาดที่อยู่ภายนอกหน้าต่าง ผมหันกลับไปอีกครั้ง เงาสีดำนั้นยังอยู่... และท่าทางการเคลื่อนไหวที่เหมือนกับกำลังดิ้นไปมาด้วยความบ้าคลั่งทำให้ผมรู้สึกผวา ความกดดันก่อตัวขึ้นในกลุ่ม ความหนาวเย็นจากบรรยากาศรอบตัวยิ่งเสริมให้ร่างกายของผมสั่นเทาแบบควบคุมไม่อยู่
ปัง!...
เจนเซ่นทุบโต๊ะราวกับว่ากำลังโมโห เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ผมดูออกว่าเขากำลังพยายามข่มความรู้สึกของตัวเองไว้ เขาก้าวเท้าช้าๆ ไปยังหน้าต่าง ผมเองจึงลุกขึ้นบ้างและเดินตามเขาไป ในตอนนั้นเองที่พวกเราค้นพบว่า ยิ่งเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ยินเสียงน่าขนลุกดังขึ้นเท่านั้น เสียง.... เสียงที่เหมือนกับกำลังกรีดร้อง
เจนเซ่นเดินไปถึงหน้าต่างพร้อมกับผมที่เดินตามมาติดๆ ในขณะที่คนอื่นกำลังยืนกล้าๆ กลัวๆ ไม่ไกลจากที่นั่ง
ผมสังเกตเห็นกระดาษใบเล็กที่แปะอยู่บนหน้าต่างบานหนึ่ง เมื่อเอื้อมมือจะไปหยิบช้าๆ ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเงานั้นเคลื่อนตัวผ่านหน้าต่างอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เงานั้นลอยผ่านไป ผมก็รีบดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมาอ่าน...
ราพันเซล เจ้าหญิงผมยาวผู้แสนอาภัพ
จะมีใครไหมหนอ ที่จะช่วยพาเธอลงมาจากหอคอย
ปัง!
เจนเซ่นออกแรงเปิดหน้าต่างบานนึงอย่างรวดเร็ว... และทันทีที่พวกเราเห็นว่าเงาดำนั้นคืออะไร ทุกคนก็กรีดร้อง
“ครูโจเซฟิน!!”
ร่างของครูโจเซฟินห้อยต่องแต่งไปมาตรงหน้าต่าง โดยที่ผมยาวๆของเธอถูกมัดให้เป็นเชือกเส้นใหญ่ ซึ่งขณะนี้เส้นผมถูกผูกติดกับท่อพีวีซีเล็กๆ สำหรับระบายน้ำ เส้นผมที่ยาวสลวย... เป็นเพียงตัวยึดตัวเดียวที่รั้งครูไว้ไม่ให้เธอตกลงไป.. และที่สำคัญ เธอยังมีชีวิต! เธอกำลังดิ้นไปมาในขณะที่ร่างของเธอปลิวตามแรงลม เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานเกิดจากความเจ็บปวดที่เส้นผมกำลังดึงรั้งหนังศีรษะอย่างรุนแรง น้ำตาของเธอไหลพราก ปากกำลังพยายามตะโกนพูดอะไรบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ
“รีบช่วยครูเร็ว!” ลิลลี่พูดอย่างมีสติ เธอรีบวิ่งเข้ามา แล้วพยายามเอื้อมไปจับตัวครูเอาไว้ แต่ในขณะที่คนอื่นกำลังจะวิ่งมาช่วย เสียงเตือนข้อความใหม่ก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์ของ เกล เรสซ์ เจนเซ่น และลีออนทั้งหมดจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความ แต่คราวนี้กลับมีรูปภาพแนบมาด้วย
“ทุกคนอย่ามัวแต่อ่านข้อความสิ มาช่วยครูก่อน!” ผมเรียกพวกเขา...
“พ่อ!! แม่!!”เรสซ์ร้องเสียงดัง
ผมชะงัก แล้วหันไปมองทุกคนที่ตอนนี้ต่างกำลังช็อค ผมจึงเอียงตัวไปดูหน้าจอโทรศัพม์ของเจนเซ่นที่ยืนข้างๆ พระเจ้า!! บนโทรศัพท์มีรูปพ่อกับแม่ของทุกคนถูกมัดรวมไว้ด้วยเชือก และสีหน้าของพวกเขาดูเหมือนกำลังทรมาน...เสื้อผ้าของพวกท่านต่างเปื้อนไปด้วย....เลือด นี่“แม่มดใจร้าย”จับตัวพ่อแม่ของพวกเขาไว้งั้นเหรอ?
“เจ้าหญิงเจ้าชายที่ดีต้องตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
ทำให้เธอตกลงไป
หรือยอมให้คนที่เธอรักต้องเสียอวัยวะไป 1 ส่วน
เลือกดูนะจ๊ะ จุ๊บๆ
รัก- จากแม่มดใจร้าย”
หมายความว่ายังไง?เธอกำลังจะให้พวกเขาฆ่าครูเพื่อไม่ให้พ่อแม่บาดเจ็บงั้นหรือ?
เกลยืนนิ่งด้วยสีหน้าซีดเผือด เธอมองรูปพร้อมกับสะอื้นเล็กๆ ก่อนจะวิ่งเข้ามาที่หน้าต่างอย่างบ้าคลั่ง โดยที่ไม่มีใครตั้งตัว เกลฉุดขาของครูลงมาอย่างแรง นั่นยิ่งทำให้ร่างที่ห้อยอยู่ทวีความเจ็บปวดยิ่งขึ้นไปอีก เสียงกรีดร้อง ดังไปทั่วห้องสมุดแล้วสะท้อนกลับมา
“ลงมา!! ลงมาสิ! ลงมา!!”เกลตะโกนแข่งกับเสียงหวีดร้องของครู ลิลลี่พยายามเข้าไปห้าม ผมเองก็พยายามดึงเธอให้ออกมา แต่เกลกลับไม่ยอมปล่อยขาครู
“พวกนาย มาช่วยห้ามเกลหน่อยสิ!!” ลิลลี่ตะโกน แต่ทุกคนกลับยืนนิ่ง
“เธอจะไปเดือดร้อนอะไรล่ะ เธอไม่มีครอบครัวนี่นา ลิลลี่!” เรสซ์เบือนหน้าหนี ส่วนลีออนเดินกลับไปนั่งที่พร้อมกับก้มหน้าลงต่ำ
“เจนเซ่น” ผมหันไปเรียกเจนเซ่นบ้าง ดูเหมือนเขากำลังสับสนและลังเล
“โถ่เอ๊ย!! ลงมาสิวะ” เกลยิ่งดึงขาของครูแรงขึ้นอีก ผมพยายามงัดมือของเธอให้ปล่อยออกมา แต่มันกลับติดหนึบยิ่งกว่าทากาว ลิลลี่เริ่มสังเกตเห็นหน้าผากของครู มีรอยแผลเป็นเส้นยาวรอบหัว ผิวหนังศีรษะของเธอกำลังจะแยกออกจากหน้าผาก!! เสียงกรีดร้องนั้นเริ่มเบาบางลงเหมือนหมดแรง ใจผมสั่นระรัว นึกภาพร่างของครูที่กำลังจะตกลงไป....
“เจนเซ่น!!!” ผมเรียกเขาอีกครั้ง เขาจ้องตาผม สีหน้าดูเหมือนกำลังหวาดกลัว
"ช่วย...ด้......ฮือออออ" เสียงร้องเเสนน่าเวทนาของครูดังเบาๆ แต่กลับก้องกังวานในหัวผม สุดท้ายเส้นผมทั้งหมดอาจจะทนทานแรงดึงไม่ไหว ถ้าเป็นแบบนั้นพ่อแม่ของทุกคนจะปลอดภัย แต่นั่นหมายความว่าพวกเราทั้งหกต้องถูกตราว่าเป็นฆาตกรที่ฆ่าครู หากนี่เป็นหนังสยองขวัญ คุณครูอาจจะไม่รอด แต่มันไม่ใช่! นี่ไม่ใช่หนัง...
"ฉัน...... ฉัน......" ในที่สุดเกลเริ่มอ่อนแรงลง มือค่อยๆปล่อยขาของครูช้าๆ หญิงสาวทรุดลงไปกับพื้นพร้อมทั้งร้องไห้อย่างหนัก แต่กระนั้นร่างของครูยังคงดิ้นไปมาอยู่ ผมกับลิลลี่ได้โอกาสจึงรีบคว้าตัวครูเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักรั้งหัวของเธอไว้
ปึด!
เสียงของอะไรบางอย่างแยกออกจากกัน ลิลลี่หันไปมองที่หัวของครู เธอถึงกับกรีดร้อง ถอยห่าง แล้วล้มลงไปกับพื้น นั่นยิ่งทำให้ผมแบกน้ำหนักของครูไม่ไหว แต่เมื่อผมหันไปมอง ก็ต้องตกใจ เพราะตอนนี้หนังศีรษะของเธอกำลังจะแยกออกจากหัว ซึ่งรอยแผลนั้นเริ่มเผยให้เห็นกระโหลกสีขาวเปื้อนเลือดสดๆ ในไม่ช้า เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายของครูก็ก้องกังวาล สิ่งสุดท้ายที่รั้งเธอไว้ค่อยๆแยกออกจากกัน ผมต้านน้ำหนักไม่ไหวจึงต้องรีบปล่อย ร่างของครูหล่นลงไปยังเบื้องล่าง ก่อนที่เสียงดัง "แผละ" จะดังตามมา ผมหลับตา พยายามไม่นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ภาพของหนังศีรษะกลมๆ ที่ยังค้างอยู่บนท่อข้างบนนั้นติดตาผม
"เราฆ่าเธอ...."ลิลลี่กล่าว
ความคิดเห็น