คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 :: ผู้เก็บเกี่ยว // ไฟ // สไนเปอร์
ผู้เก็บเกี่ยว!!
ผมเบิกตาโต กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว มันเป็นไปไม่ได้! ผู้เก็บเกี่ยวไม่เคยมาแถวนี้มาก่อน และครั้งล่าสุดที่ผมบังเอิญเจอมันคือเมื่อสามปีที่แล้ว แถมไม่ได้เจอกันในแบบระยะใกล้ชิดขนาดนี้ด้วย นี่มันเป็นเรื่องที่เราทำพลาดอย่างมหันต์ ผมน่าจะรู้ตัวให้เร็วกว่านี้ เราจะได้หนีออกไปทัน ผู้เก็บเกี่ยวคือสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดผวาและอำมหิตที่สุดในโลก มันมีพลังบางอย่างที่แปลกประหลาด พร้อมจะปลิดชีพเราในเวลาอันสั้น คนที่เคยเผชิญหน้ากับผู้เก็บเกี่ยวจะพบสองจุดจบ ไม่ตาย ก็กลายเป็นบ้า
ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ๆ รีบน้อมตัวลงต่ำให้ได้มากที่สุด หัวใจผมเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากอก ผมต้องพยายามควบคุมลมหายใจไม่ให้ดังเกินไป คิดในใจซ้ำไปซ้ำมาอยู่เพียงคำเดียว เราซวยแล้ว เราซวยแล้ว เราซวยแล้ว
ผู้เก็บเกี่ยวก้าวย่างไปตามผืนหญ้า มองไปรอบๆ เหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง มันสัมผัสถึงพวกเราได้! ผมไม่อยากจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากมันเจอตัวเรา ผมได้แต่มองแล้วพินิจพิเคราะห์ถึงลักษณะของมัน ผู้เก็บเกี่ยวจะสวมชุดแบบเดียวกันเป็นยูนิฟอร์ม มันสวมหน้ากากสีขาวโพลนเพื่อปิดบังใบหน้า หน้ากากอันนั้นเจาะรูเว้นช่วงไว้แค่ที่ลูกตา ดูน่าขนลุก พวกมันมักจะสวมชุดแปลกๆ โทนสีต่างกันออกไป คนนี้สวมสีแดงเลือด ทั้งชุดจะมีลายแถบสีขาวๆ ลากยาวจากแขนไปถึงลำตัว สวมผ้าคลุมสีดำทมิฬ พวกผู้เก็บเกี่ยวจะมีอาวุธต่างกัน ผมเคยเจอตัวที่ถือขวานอันใหญ่ บางตัวถือดาบเล่มยาว แต่ตัวนี้ถือคฑา เป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่สุด
ผมมองหน้าลุงโจ เขาเองก็ดูท่าจะไม่รู้ว่าควรรับมือกับสถานการณ์เสี่ยงตายนี้ยังไง ตอนนั้นเองที่มีกระต่ายตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากต้นไม้อีกต้น ผู้เก็บเกี่ยวหันควับ กระต่ายตัวนั้นตกใจกระโดดหนี จากนั้นผู้เก็บเกี่ยวก็กระทุ้งคฑาของตนกับพื้นครั้งนึง เกิดรังสีจางๆ ที่ปลายคฑา จากนั้นตัวเจ้ากระต่ายที่น่าสงสารก็ลอยขึ้นจากพื้น มันทั้งดิ้นทั้งร้อง ส่งเสียงเล็กๆ วาดขากลางอากาศเหมือนกำลังทรมาน ไม่ช้าขนสีขาวของมันก็เริ่มมีควันลอยออกมา ไม่ต้องอยู่รอดูนานเลย ผมรู้ว่ามันจะจบยังไง จู่ๆ เจ้ากระต่ายก็ถูกโอบด้วยเปลวเพลิงสีส้มทั้งเป็น ไอร้อนลอยมาจี้ที่ผิวหน้าผมแบบระยะเผาขน
ผู้เก็บเกี่ยวหัวเราะชอบใจ กระทุ้งคฆาลงพื้นอีกรอบ จากนั้นร่างของกระต่ายทั้งร่างก็ระเบิดออก ซากมันกระจายไปทั่ว หนึ่งในนั้นพุ่งเข้าใส่หน้าของผมเต็มๆ ตอนนั้นเองที่ผมได้กระทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิต ผมก็ส่งเสียงร้องออกมาสั้นๆ ด้วยความตกใจ
ผู้เก็บเกี่ยวหันมา!
ผมแทบเอามือปิดปากตัวเองไม่ทัน แต่สายไปเสียแล้ว! มันได้ยินเสียงของผมแล้ว! และตอนนี้มันก็กำลังมองมายังจุดที่เราซ่อนตัว ลุงโจคว้าแขนของผมไว้แน่น ผมมือสั่น ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ ผู้เก็บเกี่ยวก้าวเข้ามาพร้อมกับจังหวะหัวใจของผมที่เร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ
“วิ่ง!!” ลุงโจตะโกนเสียงดัง
ก่อนที่ผมจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แขนของผมก็ถูกกระชากออก เราทั้งคู่โผล่พรวดออกมาจากที่ซ่อน จากนั้นก็วิ่งไม่คิดชีวิต ทั้งผมและลุงวิ่งก้าวขาสลับไปมาไม่หยุด ผมหันกลับไปมองข้างหลังแวบหนึ่งและเห็นผู้เก็บเกี่ยวที่กำลังยืนมองพวกเรานิ่งๆ คราวนี้มันรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเราแล้ว! มันรู้แล้วว่าเมืองนี้มีคนอยู่ เราไม่ปลอดภัยแล้ว! ผมกับลุงวิ่งออกจากสวน เข้าไปในเขตเมือง สู่ถนนเก่าๆ ที่มีตึกรายล้อมอยู่รอบ ไม่แน่ใจว่าต้องวิ่งไปทางไหน รู้แต่ต้องหนีไปจากผู้เก็บเกี่ยวให้เร็วที่สุด
ตูม!!
เกิดเสียงกึกก้องดังกัมปนาทพร้อมแรงระเบิดขนาดใหญ่ตรงหน้าเราทั้งสอง แรงอัดจากระเบิดระยะประชิดส่งเราทั้งคู่ปลิวหงายไปด้านหลังกระแทกกับพื้นอย่างแรง ชิ้นส่วนคอนกรีตถนนแตกออกมาเป็นก้อนๆ กระจายไปทั่วทุกสารทิศ เศษฝุ่นเศษดินตลบอบอวลจนมองอะไรไม่เห็น สัญชาตญาณบอกให้ผมรีบลุกทันที แต่ผมเจ็บ มือของผมยังกำปืนไว้แน่น
“ลุงโจ!!” ผมร้องเรียก เรากระเด็นไปคนละทิศ ผมพยายามมองหาว่าเขาปลิวไปทางไหน แต่กลุ่มควันที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วบังทัศนวิสัยทุกอย่าง จากนั้นไม่นานผมรู้สึกถึงไอความร้อน มันร้อนมากๆ จนแสบผิว มีกลุ่มไฟจำนวนหนึ่งแผดเผาอยู่ตรงจุดที่เกิดการระเบิด มันลามท่วมไปทั่วจนผิดธรรมชาติ ไฟนั้นค่อยๆ ก่อตัวจนกลายเป็นเส้นตรงยาวคั่นอยู่กลางถนน เหมือนกับเป็นกำแพงที่กันไม่ให้ผมไปต่อ
ลุงโจอยู่ไหน?
ผมรีบหันซ้ายขวา มองไปอาคารที่อยู่สองด้าน ภาวนาให้เขาอย่าเป็นอะไรไป กำแพงไฟนั่นส่งสะเก็ดเพลิงออกมาเป็นระยะๆ บางครั้งมันก็โดนกางเกงผม มีควันขึ้นตรงนั้น แล้วกางเกงก็ขาดเป็นรูทันที ยังไม่ต้องนับถึงความเจ็บปวดที่โดนไฟลวกใส่ สิ่งที่ผมต้องสนตอนนี้คือลุงโจอยู่ไหน เขาหนีไปได้หรือเปล่า?
ผมหันไปมองกำแพงไฟนั่นอีกครั้ง ลองมองผ่านข้ามเปลวเพลิงไป แล้วผมก็เห็นลุงโจกำลังวิ่งไปตามถนนอยู่ลิบๆ เขาหันมามองผมเป็นระยะๆ สีหน้าเหมือนพยายามจะหาทางช่วย ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ โล่งใจที่เขาปลอดภัย ผมพยักหน้าให้เขา เป็นสัญญาณให้เขารีบหนีไปก่อน เพราะผมรู้ว่าตัวเองคงเหลือเวลาไม่มากนัก ลุงโจยืนนิ่งแสดงสีหน้าอาลัยอาวรณ์ จนกระทั่งเขากลั้นใจเลี้ยวหายไปจากมุมถนนที่อยู่ไกลๆ เขาหนีไปได้!
ถึงผมจะแสร้งทำเป็นเก่งกล้า แต่ตอนนี้เหลือแต่ผมเพียงคนเดียวที่ไม่อาจหนีไปไหนได้ กำแพงไฟแผดเผาร้อนแรงพร้อมไหม้ทำลายทุกคนที่เข้าใกล้ให้เหลือแต่เถ้าถ่าน หันกลับไปอีกด้าน ร่างสีดำทะมึนยืนนิ่งอยู่ในกลุ่มควัน มันคือผู้เก็บเกี่ยว! ผมถูกต้อนจนมุม สถานการณ์บีบบังคับให้ผมต้องกัดฟันสู้กลับแม้จะรู้ว่าไม่มีทางรอด ผมยกมือสั่นๆ ของตัวเอง จับปืนสไนเปอร์ไรเฟิลที่อยู่บนมือแน่น เล็งไปที่ร่างของผู้เก็บเกี่ยว มันไม่สะทกสะท้าน ผมมองมันผ่านลำกล้อง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ตัดสินใจยิง
ปัง!
เสียงปืนหวีดดังอยู่ในสายลม แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเลย? ไม่สิ… เดี๋ยวก่อน ผมเห็นประกายบางๆ วิบวับอยู่รอบตัวมัน รูปร่างโปร่งใสและโค้งมนเหมือนกระจก คล้ายเกราะที่หุ้มตัวมันอยู่ มันคืออะไรกัน? เวทมมนต์งั้นเหรอ?
“ไปตายซะ ไอ้บ้า!!” ผมตะโกนก่นด่าเพื่อข่มความกลัว
ตู้ม!!
มันตอบกลับมาด้วยระเบิดเพลิงที่รุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก ผมลอยขึ้นกลางอากาศ รู้สึกเหมือนตัวเองไร้น้ำหนักไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่หลังจะกระแทกเข้ากับตัวอาคาร แล้วไถลรูดลงมากับพื้น ผมเจ็บหนัก ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด มองเห็นเลือดของตัวเองไหลเป็นทางจากแขนลงมา ผมไม่มีทางสู้สิ่งมีชีวิตที่มีพลังเหนือมนุษย์แบบนี้ได้เลย ผมเป็นเพียงแค่คนธรรมดา
ผมตระหนักได้ว่าตัวเองไม่ได้ยินอะไรอีกต่อไป หูผมอื้อ ผมเอามือจับใบหูข้างที่รับเสียงระเบิดแบบเต็มๆ เมื่อครู่ มีเลือดติดนิ้วมา ผมมองมือตัวเองด้วยใจที่เต้นแผ่วลง รู้สึกวิงเวียนไปหมด เริ่มเห็นภาพซ้อน เห็นตึกหมุนอยู่รอบตัว แต่ผมจะอยู่เฉยไม่ได้ ผมต้องรีบขยับก่อนที่จะกลายเป็นเป้านิ่ง
ผมใช้ศอกฝืนลุกขึ้นยืน มือยังคงจับปืนแน่นไม่ทิ้งไปไหน มันคือเพื่อนคู่ใจคนสุดท้ายที่จะอยู่กับผม ผู้เก็บเกี่ยวยังยืนอยู่ที่เดิม หันมองมา ทำท่าถอนหายใจผ่านหน้ากาก เหมือนเริ่มเบื่อที่จะเล่นกับผมแล้ว มันชูคฑาขึ้น เกิดลำแสงสีแดงเข้มที่เด่นชัดกว่าครั้งไหนๆ บ่งบอกถึงความรุนแรงที่กำลังจะเกิด ผมรีบเคลื่อนไหวจะหลบ แต่ผมล้มลง ผมเดินไม่ได้ แล้วถ้าคลานล่ะ? ผมต้องรีบตะเกียกตะกายใช้มือคลำพื้นทางเท้าไปเรื่อยๆ
ตู้ม!!!
ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนอย่างที่คาด หากเคลื่อนไหวช้ากว่านี้เพียงนิดเดียวผมคงจบชีวิต ระเบิดครั้งเมื่อกี้ทิ้งกองเพลิงจำนวนมากลุกท่วมทั่วบริเวณ ผมสำลักควันไฟ รู้สึกแสบคอ ปากผมแห้ง ผมคิดว่าตัวเองกำลังได้โอกาส ฝืนยกปืนสไนเปอร์ไรเฟิลขึ้นตั้งท่าอีกครั้ง เล็ง แล้วยิง!
มันยังคงปัดป้องกระสุนได้ด้วยเกราะล่องหน แต่คราวนี้ผมเห็นจุดอ่อนบางอย่าง ผมเห็นท่าทางที่มันหันมายกมือใช้พลังอย่างเร่งรีบเพื่อสร้างเกราะอันนั้น เหมือนในนิยายที่ผมเคยอ่าน พวกพลังวิเศษเหล่านี้มันมีข้อจำกัดเสมอ เกราะล่องหนอันนั้นไม่ได้มีอยู่ตลอด บางทีอาจจะเป็นเรื่องความถี่ในการใช้พลัง มันใช้พลังซ้อนกันสองอันไม่ได้ เหมือนที่พ่อเคยสอน คนพวกนี้มาจากเกมออนไลน์ และในเกมก็มีกฎในการใช้พลังของมันอยู่ ผู้ที่พลังยังไม่สูงมากพออาจจะใช้พลังได้อย่างจำกัด ถ้าหากผมใช้จังหวะแบบเดียวกับเมื่อครู่ได้อีกละก็…
ผมดันตัวเองลุกขึ้น เดินเขย่งขาโซซัดโซเซไปหาตึก พื้นที่บนถนนกลางเมืองใช้เป็นที่กำบังไม่ได้ ผมต้องหาที่ดีๆ อย่างเช่นในอาคาร บางทีผมอาจจะพอหาที่ซ่อนได้ ผมคิดแล้วก็รีบพาตัวเองเข้าไปในตึกตรงหน้าทันที มันเป็นตึกสูงที่อาจมีคนเคยอาศัยอยู่ ประตูไม้ของมันเก่าจนแทบจะล้มลงทันทีตอนที่ผมจับลูกบิด ผมไม่สน รีบแอบเข้าไปซ่อนในอาคาร
ผมเจอบันได ไม่รู้ว่าทำไม แต่สมองเจ้ากรรมดันสั่งให้ผมวิ่งขึ้นไปทั้งๆ ที่ขายังเจ็บ ไม่มีเวลาให้คิดเสียใจกับการกระทำที่ผิดพลาด ผมขึ้นมาถึงชั้นบน มองไปรอบๆ พบกับทางเดินโถงเก่าๆ ที่มีประตูห้องเรียงรายอยู่สองข้างทาง ผมพยายามหาทางเปิดประตูห้องเหล่านั้น แต่เกือบทุกบานปิดสนิท ผมยิ่งใจเสียเพราะรู้ว่าผู้เก็บเกี่ยวคงจะตามเข้ามาแล้วแน่
ผมเจอประตูห้องที่เข้าไปหลบได้ในที่สุด ขาสองข้างรีบพาตัวเข้าไปหลบทันที ต้องเงียบ! เงียบที่สุด อย่าให้มันรู้
จากนั้นผมก็ใช้หูข้างที่ยังได้ยินลองฟังเสียงดู รับรู้ได้ถึงฝีเท้าหนักๆ ที่กำลังย่ำอยู่ตรงทางเดินโถง ผมร้องขอในใจ อย่าให้มันเจอผม เวลาดำเนินไปเหมือนจงใจทรมาน มีเสียงหมุนลูกบิดห้องแล้วห้องเล่า มันเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมถอยไปข้างหลัง ออกให้ห่างจากประตู มองไปรอบๆ ก็เห็นแต่ห้องที่ว่างเปล่า มีแต่ซากไม้และซากเฟอร์นิเจอร์ มีเศษกระจกแตกๆ อยู่เต็มพื้น ผมเห็นเงาตัวเอง ใบหน้าเปื้อนไปด้วยขี้เถ้า มีเลือดออกที่หูจริง ผมเผ้ารุงรัง และหน้าแดงก่ำเพราะความเหน็ดเหนื่อย
ผมได้กลิ่นควัน!
เมื่อหันกลับไป ประตูไม้กำลังลุกโชติช่วงไปด้วยเพลิง ใช้เวลาแปปเดียว ประตูบานนั้นก็หลงเหลือเพียงซากขี้เถ้าอย่างน่าประหลาด ผู้เก็บเกี่ยวยืนจังก้าอยู่ตรงประตู ขวางทางออกสุดท้าย ผมจนมุมของแท้
มันยกคฑาขึ้นอีกครั้ง กำลังจะสำแดงฤทธิ์เดช ผมตั้งท่าเล็งปืนด้วยความกลัว แต่คราวนี้ผมช้าเกินไป ลูกไฟก้อนใหญ่พุ่งออกมาจากปลายคฑา ตรงเข้ามาหาผม ตอนแรกผมคิดว่าผมเสร็จแน่ แต่เมื่อลูกไฟเข้ามาจะโดนตัวผม มันแยกออก ล้อมรอบตัวผมไว้ กลายเป็นกำแพงไฟที่ขังผมไว้ในวงกลมแห่งเพลิง
ผู้เก็บเกี่ยวคงจะยิ้มแสยะอย่างพอใจภายใต้หน้ากากนั่น มันต้องการจะปลิดชีวิตผมในแบบทรมานที่สุด
ทว่าพื้นห้องคงไม่อาจทนแรงผลาญของไฟได้มากนัก พื้นรอบตัวผมที่อยู่ใต้กำแพงไฟค่อยๆ สั่นสะเทือน จากนั้นก็เกิดรอยร้าว ผมรู้สึกถึงน้ำหนักตัวเองที่ไม่คงที่ แล้วจากนั้นก็เกิดเสียงแตกดัง เปรี๊ยะ! จากนั้นผมก็หล่นฮวบไปพร้อมๆ กับพื้นปูนใต้ตัว ผมร่วงลงไปข้างล่าง ลงไปที่ชั้นหนึ่ง แรงกระแทกรีดอากาศออกจากปอดจนหมด ผมร้องโอดครวญ ไม่แน่ใจว่าทำไมตัวเองถึงโชคร้ายขนาดนี้
แล้วผมก็เห็น! มีลูกไฟซ้ำเติมมาจากข้างบน
ผมรีบกลิ้งตัวหลบทันที ผมหลบมันได้อย่างหวุดหวิด แต่กองเพลิงที่ลูกไฟทิ้งไว้แทบจะไหม้แขนเสื้อแจ๊กเก็ตหนังตัวโปรดของผม ผมไม่อาจยอมได้รีบหลบแขนออกมา จากนั้นก็สูดอากาศหายใจเพื่อคงสติ สัญชาตญาณสะกิดให้ผมรู้ตัว โอกาสของผมมาถึงแล้ว ผมยกปืนสไนเปอร์ไรเฟิลขึ้นเป็นแนวตั้งทั้งๆ ที่ตัวเองยังนอนอยู่ ปลายกระบอกจ่อไปที่เพดาน ตรงรูโบ๋ที่ผมหล่นลงมาพอดี ผมรอ
เพียงไม่กี่อึดใจ ผู้เก็บเกี่ยวชะโงกหน้าลงมาเพื่อดูผลงานของตัวเอง ผมเห็นใบหน้ามันผ่านลำกล้อง จุดเล็งเป้าอยู่ตรงที่หน้าผากของมันพอดี ผมไม่คิดอะไรอีก เกร็งกล้ามเนื้อ กัดฟันกรอด ขยับนิ้วของตัวเองในเสี้ยววินาที ลั่นไกยิง!
ปัง!!
กระสุนเข้าเป้า มันวิ่งผ่านทะลุหน้ากาก เจาะกระโหลกอย่างแม่นยำ ร่างที่ชะโงกหน้าออกมาค้างอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ ก่อนที่มันจะเซมาข้างหน้า ร่วงลงมาหัวคะมำกะแทกกับพื้นข้างๆ ตัวผม
ผมทำได้!
ผมฆ่าผู้เก็บเกี่ยวได้แล้ว!!
ผมวางปืนสไนเปอร์ไรเฟิลลง นอนหงายอยู่อย่างนั้น พักหายใจหายคอ แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองทำ มันเกิดขึ้นจริงๆ ใช่ไหม? ผมฆ่ามันได้! ตลอดเวลาที่พวกเราคอยหลบหนีพวกมัน อยู่อย่างหวาดกลัว เรานึกว่าเราทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากหนี แต่เราคิดผิด เราสู้มันกลับได้! เราทำได้จริงๆ!
ผมแหงนหน้า หันไปมองร่างที่ไร้วิญญาณของมันอีกรอบ แล้วจากนั้นก็หัวเราะกับตัวเอง ไม่ใช่เพราะสะใจ หรือดีใจที่เอาชนะมันได้ แต่เพราะโล่งใจที่ผมรอดชีวิต ผมนึกว่าผมจะตายซะแล้ว ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะยังรอดอยู่ ผมรีบเอามือข้างหนึ่งวางบนหน้าอก ตำแหน่งของหัวใจ เพี่อสัมผัสแรงเต้นของมัน ผมไม่ได้ยินเสียงจึงไม่แน่ใจว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่แน่หรือเปล่า แต่หัวใจผมยังเต้นดี เร็ว และแรงเสียด้วย
ผมค่อยๆ มีแรงลุกขึ้นเสียที สองมือปัดฝุ่นตามตัว เช็ดเหงื่อบนหัว ตรวจเช็คสภาพของรักทั้งสองอย่าง ปืนกับแจ๊กเก็ต ทั้งสองปลอดภัยดี เพียงแค่ต้องผ่านการทำความสะอาดนิดหน่อย ยังเหลืออีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากตรวจดู ผู้เก็บเกี่ยว ผมอยากรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ มันเป็นคนจริงหรือเปล่า
ผมค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้มันอย่างระมัดระวัง ก้มตัวลง สองมือค่อยๆ ดึงหน้ากากขาวบนหน้าของมันออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง เขาเป็นมนุษย์ และเป็นมนุษย์ผู้ชายที่หน้าตาเหมือนคนทั่วๆ ไป ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรไปจากเราเลย คนพวกนี้มาจากโลกออนไลน์จริงๆ ใช่ไหม? คนพวกนี้ก็เป็นคนแบบเราๆ ที่อยู่ในโลกออนไลน์ แล้วก็ออกมาจากโลกนั้น โดยนำพลังบ้าบออะไรไม่รู้กลับมาด้วย พวกเขาทำแบบนั้นได้ยังไง?
ผมทำการค้นตัวเขาต่อ บนเสื้อผ้าของเขาไม่มีอะไร ผ้าคลุมสีดำที่ผมเห็นมันทำมาจากหนัง แต่เป็นหนังของสัตว์อะไรสักอย่าง ไม่แน่ใจว่าเป็นสัตว์ที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้จริงๆ หรือเปล่า เกร็ดของมันทั้งสวยและเป็นระเบียบ ที่กางเกงมีช่องเล็กๆ เหมือนเป็นกระเป๋า ใส่ของแปลกตาไว้หลายอย่าง มีอันนึงเหมือนสร้อยคอ อัญมญีแกะสลักห้อยตรงปลาย รูปร่างเหมือนเปลวเพลิงเล็กๆ สวยงามและรู้สึกร้อนเล็กๆ ทันทีที่จับมัน ผมเก็บของพวกนั้นใส่กระเป๋าตัวเอง กะว่าจะเอาคฑากลับไปด้วย
ก่อนไป ผมตรวจเช็คกระเป๋ากางเกงนั่นอีกรอบเพื่อความแน่ใจ เมื่อควานลึกๆ พบว่ายังมีของอีกอย่างที่ผมไม่เจอในตอนแรก มันเป็นแผ่นเล็กๆ แบนๆ ผมหยิบมันขึ้นมา เห็นของรูปร่างคุ้นๆ เหมือนมันเป็นแผงวงจรของอะไรสักอย่าง…
เดี๋ยวก่อน!
ผมเคยเห็นมันมาก่อน ใช่! ผมเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน ผมจำมันได้จากรูปที่แม่วาดให้ดู ผมจำมันขึ้นใจ และเคยเสาะหามันไปทั่ว มันคืออุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายที่แม่เคยบอก อุปกรณ์ที่จะเอาไว้สร้างเครื่องมือที่จะพลิกสถานการณ์ทุกอย่าง มันคือชิปของหมวกโพรงกระต่าย
มันคือสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของผมไปตลอดกาล
= = = = = = = = = = = = = =
โปรด ติด ตาม ตอน ต่อ ไป
ความคิดเห็น