ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dark Tales นิทานก่อนตาย

    ลำดับตอนที่ #2 : การสอบปากคำ และสโนไวท์ในรูปถ่าย

    • อัปเดตล่าสุด 19 ส.ค. 55


         

              ผมรู้ว่าพวกคุณคงจะเดาออก ถูกต้อง! ผมไม่ตาย แหงล่ะ ถ้าผมตายก็คงจะไม่มีชีวิตมานั่งเล่าต่อหรอกนะ แต่ผมจะขอรวบรัดตอนที่ไม่สำคัญไปเลยก็แล้ว ผมตื่นมาในโรงพยาบาลพร้อมกับเอ่ยประโยคสุดฮิตที่นางเอกนิยายมักจะเอ่ยกัน

     

    ที่นี่...คือที่ไหน

     

              ผมพอจะสรุปได้ว่าผมไม่ตาย แต่แผลที่ท้องนั้นยังคงสาหัส ผมจึงต้องนอนที่โรงพยาบาลหลายวัน ในตอนแรกผมแอบหวังเล็กๆว่าครอบครัวจะเป็นห่วงและมาเยี่ยมผมบ้าง แต่เปล่าเลย คิดอีกที... ไม่มีทาง!


               ในระหว่างพักฟื้น ก็มีตำรวจสองสามคนเข้ามาดูอาการและถามคำถามบางอย่างเกี่ยวกับคดี ผมตอบไปตามความจริง แต่เมื่อเขาถามถึงเรื่องครอบครัวผม ผมโกหกว่าไม่มีครอบครัว เขาจึงไม่ได้ติดต่อครอบครัวของผม เป็นตายยังไงผมก็จะไม่ขอข้องเกี่ยวกับครอบครัวผมอีกเด็ดขาด!

     

              หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ผมหายดีและเคลื่อนไหวได้ตามปกติ เจ้าหน้าที่สืบสวนคนหนึ่งมารับผมจากโรงพยาบาลและพาไปสอบปากคำพยานที่โรงพัก นี่จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้นั่งรถตำรวจ แย่หน่อยเพราะคนที่มองเข้ามาในรถคิดว่าผมเป็นคนร้ายที่เพิ่งถูกจับ เจ้าหน้าที่คนนี้ชื่อว่า เดฟ มิลเลอร์ เขาอายุประมาณสามสิบกว่าๆ...

     

              ...จะว่าไป... ผมเคยบอกคุณแล้วยังว่าผมชอบเล่นเกม ทายนิสัยและความคิดของคนอื่นเล่นกับตัวเองน่ะ... มันสนุกนะ ถ้าคุณไม่เคยเล่นผมจะสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน เริ่มจากเจ้าหน้าที่เดฟนี่ล่ะ บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่ใช่นักพลังจิต ไม่ได้เดาแม่นไปหมดทุกเรื่องหรอก ...เอาล่ะ... อืม... ผมเดาว่าเขาเป็นคนบ้างาน ดูจากผมสีทองที่รุงรังไม่ได้ทรง เสื้อที่ใส่ก็ยับยู่ยี่ คงจะไม่มีเวลารีดหรือส่งเสื้อไปร้านซักรีดด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือเขาหน้าแก่เกินวัย ต่อมาผมเดาว่าเขารวย ทั้งเสื้อสูทสีดำที่เขาใส่ รองเท้าหนัง เข็มขัดหนังแท้ โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด ทุกอย่างล้วนเป็นของแพงทั้งหมด และแน่นอนว่าผู้ชายวัยสามสิบที่บ้างานและรวยจะต้องไม่มีครอบครัว หลักฐานที่เด่นชัดที่สุดก็คือเขาผูกเนกไทล์ได้ห่วยแตกมากๆ แบบนี้โสด100%ชัวย์ๆ

     

              ไม่ทันที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ เราก็มาถึงโรงพัก หน้าโรงพักมีรูปปั้นคนขนาดเสมือนจริงทำจากทองแดง น่าจะเป็นบุคคลสำคัญของวงการตำรวจล่ะมั้ง ใต้รูปปั้นมีคำคมอะไรสักอย่างที่ผมไม่ทันดู เจ้าหน้าที่เดฟเดินนำผมไปยังห้องสอบปากคำ

     

             ถ้าคุณเคยดูหนังแนวสืบสวนล่ะก็ คุณคงจะเคยเห็นห้องเล็กๆ สี่เหลี่ยมทึบ ไม่มีหน้าต่าง ไว้สำหรับสอบปากคำผู้ต้องสงสัย... ไอ้ห้องมืดๆ ที่มีตำรวจทำหน้าเครียดๆ แล้วเอาไฟส่องหน้าคนร้ายน่ะแหละ ในห้องนี้จะมีกระจกเงาอยู่บานนึงตรงผนัง คนข้างในจะเห็นเพียงภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก แต่คนจากข้างนอกจะสามารถมองทะลุผ่านกระจกเข้ามาในห้องได้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพื่อที่ตำรวจจะสามารถดูพฤติกรรมของผู้ถูกสอบปากคำได้ตลอดเวลา

               
              เจ้าหน้าที่เดฟหยิบแฟ้มคดีพร้อมกับนั่งลงด้วยท่าทีเงียบขรึม เขาพลิกแฟ้มไปมาก่อนจะเริ่มสอบปากคำ ในช่วงแรกเขาถามคำถามที่ผมเคยตอบกับตำรวจไปก่อนหน้านี้แล้ว เช่น ผมชื่ออะไร ทำไมไปอยู่ที่นั่น เกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมไม่มีทางเลือกจึงต้องเล่าเรื่องที่ผมเพิ่งถูกไล่ออกจากบ้านมา โดยไม่ทันคิดผมบอกเหตุที่ถูกไล่ออกมาส่งๆไปว่าเพราะผมเป็นชอบเพศเดียวกัน ที่น่าขำคือเขาดันเชื่อ ทำหน้าตาจริงจัง แถมพูดปลอบผมด้วยประโยคสุดเด็ดว่า เธอเลือกที่จะเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นคนดีได้นะและนั่นจึงเป็นโอกาสที่ผมขอให้เขาหาที่อยู่ใหม่ให้ผมหน่อย เขารับปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่าเพื่อนของเขาจะช่วยติดต่อหาห้องว่างแถวๆในเมืองให้ สำเร็จ! ผมแอบเสริมเล็กน้อยว่า ไม่เอาสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือบ้านพักพิงสำหรับคนไร้ที่อยู่เด็ดขาด



    เธอรู้เหตุผลที่เธอถูกทำร้ายหรือเปล่า
          เจ้าหน้าที่เดฟกลับมาถามเข้าเรื่องอีกครั้ง แน่นอน...ผมส่ายหน้าแล้วตอบว่าไม่รู้


    งั้นเธอจะบอกว่า เธอแค่บังเอิญเดินไปเจอผู้ต้องสงสัยที่ใส่หน้ากากแม่มด จากนั้นเธอก็ถูกไล่ฆ่าอย่างนั้นใช่ไหม?” 
          ผมพยักหน้า แต่เขาจ้องผมไม่วางตา เราเงียบไปพักนึง ในที่สุดเขาก็พูดต่อ


            
               “ในเช้าวันที่เธอถูกแทง ไม่ไกลไปจากตรงที่เธอสลบอยู่ เราพบศพของหญิงสาวคนหนึ่งในสภาพมีบาดแผลที่เกิดขึ้นจากของมีคม
    เขาหยิบรูปถ่ายใบนึงออกจากแฟ้มแล้วตั้งบนโต๊ะให้ผมดู


    หวังว่าเธอคงจะใจแข็งนะ

              
             ผมหยิบรูปถ่ายใบนั้นขึ้นมา ทันทีที่ผมเห็นรูป บางอย่างก็สะดุดตาผม รูปของหญิงสาวคนหนึ่ง นอนอยู่ถนน ถนนเดียวกับที่ผมเจอคนใส่หน้ากากแม่มด หญิงสาวคนนั้นสวยมาก ผิวของเธอขาวราวกับหิมะ ผมสีดำยาวสยายอยู่บนพื้น เธอใส่ชุดนอนลูกไม้สีแดง ดูราวกับเจ้าหญิงที่กำลังหลับใหล แขนข้างนึงของเธอกางออก บนมือข้างนั้นกำลูก
    แอปเปิ้ลสีแดงไว้ พอดูให้ดีๆบนลูกแอปเปิ้ลมีมีดโกนอยู่สี่ห้าใบ มีดโกนนั้นบาดมือเธอลึกจนเลือดกลมกลืนไปกับสีของแอปเปิ้ล แต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือมีดทำครัวเล่มยาวที่ปักทะลุคาคอหอยหญิงสาว ผมจำมีดเล่มนั้นได้ดี มันคือมีดเล่มเดียวกับมีดเล่มที่แทงผม ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเจ็บแปลบตรงแผลเก่าอีกครั้ง

              
                 
                    “เธอมีชื่อว่า จิล แฟรี่” อายุ 22 ทำงานเป็นนางแบบ เธออาศัยอยู่ในละแวกบ้านแถบนั้น ในคืนที่เกิดเหตุเธออยู่คนเดียว ไม่มีพยานรู้เห็นว่ามีใครมาหาเธอหรือเปล่าในคืนนั้น...ฉันอยากให้เธอดูให้ดีๆ แล้วบอกฉันหน่อยว่าเธอรู้จักผู้หญิงในรูปหรือเปล่า?”


              ผมจ้องมองรูปนั้น อืม... คิดว่าคุ้นๆอยู่นะ... ผมครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะนึกออก ผมตอบเขาไปว่าเธอคือพี่สาวของเพื่อนร่วมชั้นผมคนนึง แต่ผมไม่รู้จักเธอเป็นการส่วนตัว... ทั้งพี่ทั้งน้องน่ะแหละ อันที่จริงผมจะเสริมด้วยว่า ผมเคยเดินชนเธอจนล้มหัวคะมำครั้งนึงตอนเดินอยู่ในสวนสาธารณะเมื่อห้าปีที่แล้ว แต่ดูเหมือนมันคงจะไม่เกี่ยวกันหรอกมั้งนะ



    เราพบกระดาษใบนึงที่เขียนข้อความบางอย่างด้วยใกล้ๆศพ
              เขายื่นอีกรูปมาให้ดู ในรูปมีกะดาษที่เขียนข้อความด้วยปากกาเมจิกสีแดงว่า

     



    ความสวยมักจะมาพร้อมกับความโง่ 
    รับแอปเปิ้ลพิษ แล้วไปนอนในโลงแก้วซะนะจ๊ะ จุ๊บๆ
    - จากแม่มดใจร้าย

     



    เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ คนใส่หน้ากากแม่มดแอปเปิ้ลพิษ โลงแก้ว... 
              นี่มันคล้ายกับนิทานเรื่อง
    สโนไวท์เลยไม่ใช่เหรอ?แบบนี้ก็เหมือนในหนังเลยล่ะสิ! ที่แบบว่ามีฆาตกรฆ่าคนแล้วก็จัดฉากให้มันพิสดาร ยิ่งถ้ามีการทิ้งข้อความไว้ให้ตำรวจด้วยละก็ ตามที่เคยดูหนังมา 99% จะต้องเป็นการฆาตกรรมต่อเนื่องแน่... หรือว่าผมคิดมากไปเนี่ย ลืมไปว่านี่มันชีวิตจริง ไม่ใช่ในหนัง



    เธอคิดยังไงกับข้อความนี้ คุณฟิตซ์

              เขาถามพร้อมกับมองด้วยสายตาแบบนั้นอีกครั้ง ผมคิดว่าเขากำลังสงสัยผม เพราะสายตาเขาจ้องทุกอิริยาบถ ทุกการเคลื่อนไหว แบบนี้มันจับผิดกันชัดๆ ผมบอกเขาว่าข้อความนี่อาจจะบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการฆาตกรรมครั้งต่อไป เขาบอกว่าความคิดผมน่าสนใจแต่ดูจากท่าทางแล้ว ผมว่าเขากำลังสนใจผมมากกว่า


               “เธอรู้ไหมว่า เราพบลายนิ้วมือของเธอ... บนมีดเล่มที่ปักอยู่บนคอของเหยื่อ เธอจะอธิบายเรื่องนี้ว่ายังไง” 

              ในที่สุดเจ้าหน้าที่เดฟก็ให้ความกระจ่าง ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะถึงจ้องผมแบบนั้น จะว่าไปทำไมถึงมีลายนิ้วมือติดอยู่ล่ะเนี่ย... อืม รู้สึกว่าในหนังเรื่อง ลวงมรณะไอ้หน้าหมีฆาตกรจะใส่ร้ายเหยื่อโดยการทำร้ายเหยื่อให้สลบ แล้วก็เอาหลักฐานไปให้เหยื่อจับ จากนั้นก็...โป๊ะแชะ! ลายนิ้วมือของผู้บริสุทธิ์ก็จะติดอยู่บนหลักฐาน ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆที่ตำรวจดันดูไม่ออกจึงจับคนผิด แถมตอนจบคนร้ายยังลอยนวลอีก


              “บางทีตอนที่ผมถูกแทง ผมอาจจะบังเอิญเอามือไปจับมีดเพื่อดึงมันออกก็ได้นะครับ ผมเองก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกันครับ

              ผมตอบ แน่นอนว่าหากฆาตกรจะพยายามใส่ร้ายผมจริง มันก็ยังมีช่องโหว่มากให้โต้แย้ง เช่นถ้าผมเป็นฆาตกรจริงจะแทงตัวเองทำไม ทำไมไม่หนีไป แล้วจะแกล้งเป็นผู้เคราะห์ร้ายทำไม ทั้งๆที่รู้ว่าลายนิ้วมือตัวเองติดอยู่บนมีด ซึ่งนั่นทำให้ผมสรุปว่าฆาตกรน่าจะฉลาดกว่านั้น ไม่น่าจะใช้วิธีใส่ร้ายผมอย่างลวกๆ อาจจะเป็นความบังเอิญแบบที่ได้กล่าวมาข้างต้น


              เจ้าหน้าที่เดฟผ่อนคลายท่าทีสงสัยลงไปบ้าง เขาจึงถามคำถามอื่นๆ ต่อไป ส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวกับรายละเอียดที่ผมจำได้ตอนเกิดเหตุ ซึ่งไม่ค่อยจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีสักเท่าไหร่  อย่างไรก็ตาม หลังจากการสอบปากคำพยานได้กินเวลานานพอสมควร เขาก็เอ่ยขึ้นว่า


               “งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อน ฉันจะเรียกเธอมาสอบปากคำอีกครั้ง ทันทีที่เธอนึกอะไรออกให้รีบบอกฉันเลยนะ เข้าใจไหม?” เขาลุกขึ้นพร้อมกับเก็บแฟ้มคดี อันที่จริงผมมีบางคำถามจะถามเขา  แต่ก็ช่างเหอะ... จะได้กลับไปนอนสบายๆสักที...เออ จริงด้วย!!



    คุณเจ้าหน้าที่ครับ... แล้วเรื่องที่อยู่ผมล่ะ


              “อ้อ.... เอ่อ เรื่องนั้น... อย่างที่บอกฉันจะให้เพื่อนหาที่อยู่ให้เธอ แต่ระหว่างนั้น...  บ้านของฉันพอจะมีห้องนอนแขกอยู่ห้องนึง ฉันจะให้เธออยู่ที่นั่นจนกว่าฉันจะหาที่อยู่ให้เธอได้ก็แล้วกัน  เตือนไว้ก่อนนะว่าอย่าแตะต้องของๆฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต เด็ดขาด!


              โอ้ย!!! พระเจ้า ได้ยินมั้ยนั่น คุณคงจะเดาออกใช่ไหม ห้องของชายหนุ่มวัยสามสิบที่บ้างานและยังโสด จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากรังหนูดีๆนี่เองเหละ ถ้าอยู่กับเขาผมคงต้องจมกองเอกสารตายก่อนจะที่อยู่ใหม่ได้แหงๆ


              “แต่ถ้าเธอไม่อยากจะอยู่กับฉัน รู้สึกว่า บ้านพักพิงสำหรับผู้ไร้ที่อยู่ในเขตอีสตันบุลลิทยังมีห้องว่างนะฟังดูไม่น่าจะใช่ทางเลือกเลยนะนั่น!... คุณคงไม่ต้องสงสัยหรอกว่าผมจะไปอยู่ที่ไหน

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  - -  - - - - - - - - - - - - - - - - - -  


        และในระหว่างที่ผมกำลังขนสัมภาระขึ้นรถของเจ้าหน้าที่เดฟ ผมก็ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น... ถ้าหากว่าเป็นหนังสยองขวัญละก็ บุคคลที่บังเอิญเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมแล้วรอดตาย มักจะตกเป็นเป้าหมายต่อไปของฆาตกร และส่วนใหญ่ตัวละครแบบนี้จะตายตอนจบด้วยสิ... 


    ไม่นะ...

             
     
     
             
    KiT Ta
    ขอขอบคุณธีมสวยๆจากคุณ
    THE'KITTA .ด้วยครับ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×