คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : การสอบปากคำ และสโนไวท์ในรูปถ่าย
ผมรู้ว่าพวกคุณคงจะเดาออก ถูกต้อง! ผมไม่ตาย แหงล่ะ ถ้าผมตายก็คงจะไม่มีชีวิตมานั่งเล่าต่อหรอกนะ แต่ผมจะขอรวบรัดตอนที่ไม่สำคัญไปเลยก็แล้ว ผมตื่นมาในโรงพยาบาลพร้อมกับเอ่ยประโยคสุดฮิตที่นางเอกนิยายมักจะเอ่ยกัน
“ที่นี่...คือที่ไหน”
ผมพอจะสรุปได้ว่าผมไม่ตาย แต่แผลที่ท้องนั้นยังคงสาหัส ผมจึงต้องนอนที่โรงพยาบาลหลายวัน ในตอนแรกผมแอบหวังเล็กๆว่าครอบครัวจะเป็นห่วงและมาเยี่ยมผมบ้าง แต่เปล่าเลย คิดอีกที... ไม่มีทาง!
ในระหว่างพักฟื้น ก็มีตำรวจสองสามคนเข้ามาดูอาการและถามคำถามบางอย่างเกี่ยวกับคดี ผมตอบไปตามความจริง แต่เมื่อเขาถามถึงเรื่องครอบครัวผม ผมโกหกว่าไม่มีครอบครัว เขาจึงไม่ได้ติดต่อครอบครัวของผม เป็นตายยังไงผมก็จะไม่ขอข้องเกี่ยวกับครอบครัวผมอีกเด็ดขาด!
หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ผมหายดีและเคลื่อนไหวได้ตามปกติ เจ้าหน้าที่สืบสวนคนหนึ่งมารับผมจากโรงพยาบาลและพาไปสอบปากคำพยานที่โรงพัก นี่จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้นั่งรถตำรวจ แย่หน่อยเพราะคนที่มองเข้ามาในรถคิดว่าผมเป็นคนร้ายที่เพิ่งถูกจับ เจ้าหน้าที่คนนี้ชื่อว่า เดฟ มิลเลอร์ เขาอายุประมาณสามสิบกว่าๆ...
...จะว่าไป... ผมเคยบอกคุณแล้วยังว่าผมชอบเล่นเกม “ทายนิสัยและความคิดของคนอื่น”เล่นกับตัวเองน่ะ... มันสนุกนะ ถ้าคุณไม่เคยเล่นผมจะสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน เริ่มจากเจ้าหน้าที่เดฟนี่ล่ะ บอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่ใช่นักพลังจิต ไม่ได้เดาแม่นไปหมดทุกเรื่องหรอก ...เอาล่ะ... อืม... ผมเดาว่าเขาเป็นคนบ้างาน ดูจากผมสีทองที่รุงรังไม่ได้ทรง เสื้อที่ใส่ก็ยับยู่ยี่ คงจะไม่มีเวลารีดหรือส่งเสื้อไปร้านซักรีดด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือเขาหน้าแก่เกินวัย ต่อมาผมเดาว่าเขารวย ทั้งเสื้อสูทสีดำที่เขาใส่ รองเท้าหนัง เข็มขัดหนังแท้ โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด ทุกอย่างล้วนเป็นของแพงทั้งหมด และแน่นอนว่าผู้ชายวัยสามสิบที่บ้างานและรวยจะต้องไม่มีครอบครัว หลักฐานที่เด่นชัดที่สุดก็คือเขาผูกเนกไทล์ได้ห่วยแตกมากๆ แบบนี้โสด100%ชัวย์ๆ
ไม่ทันที่จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ เราก็มาถึงโรงพัก หน้าโรงพักมีรูปปั้นคนขนาดเสมือนจริงทำจากทองแดง น่าจะเป็นบุคคลสำคัญของวงการตำรวจล่ะมั้ง ใต้รูปปั้นมีคำคมอะไรสักอย่างที่ผมไม่ทันดู เจ้าหน้าที่เดฟเดินนำผมไปยังห้องสอบปากคำ
ถ้าคุณเคยดูหนังแนวสืบสวนล่ะก็ คุณคงจะเคยเห็นห้องเล็กๆ สี่เหลี่ยมทึบ ไม่มีหน้าต่าง ไว้สำหรับสอบปากคำผู้ต้องสงสัย... ไอ้ห้องมืดๆ ที่มีตำรวจทำหน้าเครียดๆ แล้วเอาไฟส่องหน้าคนร้ายน่ะแหละ ในห้องนี้จะมีกระจกเงาอยู่บานนึงตรงผนัง คนข้างในจะเห็นเพียงภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก แต่คนจากข้างนอกจะสามารถมองทะลุผ่านกระจกเข้ามาในห้องได้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพื่อที่ตำรวจจะสามารถดูพฤติกรรมของผู้ถูกสอบปากคำได้ตลอดเวลา
เจ้าหน้าที่เดฟหยิบแฟ้มคดีพร้อมกับนั่งลงด้วยท่าทีเงียบขรึม เขาพลิกแฟ้มไปมาก่อนจะเริ่มสอบปากคำ ในช่วงแรกเขาถามคำถามที่ผมเคยตอบกับตำรวจไปก่อนหน้านี้แล้ว เช่น ผมชื่ออะไร ทำไมไปอยู่ที่นั่น เกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมไม่มีทางเลือกจึงต้องเล่าเรื่องที่ผมเพิ่งถูกไล่ออกจากบ้านมา โดยไม่ทันคิดผมบอกเหตุที่ถูกไล่ออกมาส่งๆไปว่าเพราะผมเป็นชอบเพศเดียวกัน ที่น่าขำคือเขาดันเชื่อ ทำหน้าตาจริงจัง แถมพูดปลอบผมด้วยประโยคสุดเด็ดว่า “เธอเลือกที่จะเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นคนดีได้นะ” และนั่นจึงเป็นโอกาสที่ผมขอให้เขาหาที่อยู่ใหม่ให้ผมหน่อย เขารับปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่าเพื่อนของเขาจะช่วยติดต่อหาห้องว่างแถวๆในเมืองให้ สำเร็จ! ผมแอบเสริมเล็กน้อยว่า ไม่เอาสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือบ้านพักพิงสำหรับคนไร้ที่อยู่เด็ดขาด
“เธอรู้เหตุผลที่เธอถูกทำร้ายหรือเปล่า”
เจ้าหน้าที่เดฟกลับมาถามเข้าเรื่องอีกครั้ง แน่นอน...ผมส่ายหน้าแล้วตอบว่าไม่รู้
“งั้นเธอจะบอกว่า เธอแค่บังเอิญเดินไปเจอผู้ต้องสงสัยที่ใส่หน้ากากแม่มด จากนั้นเธอก็ถูกไล่ฆ่าอย่างนั้นใช่ไหม?”
ผมพยักหน้า แต่เขาจ้องผมไม่วางตา เราเงียบไปพักนึง ในที่สุดเขาก็พูดต่อ
“ในเช้าวันที่เธอถูกแทง ไม่ไกลไปจากตรงที่เธอสลบอยู่ เราพบศพของหญิงสาวคนหนึ่งในสภาพมีบาดแผลที่เกิดขึ้นจากของมีคม”
เขาหยิบรูปถ่ายใบนึงออกจากแฟ้มแล้วตั้งบนโต๊ะให้ผมดู
“หวังว่าเธอคงจะใจแข็งนะ”
ผมหยิบรูปถ่ายใบนั้นขึ้นมา ทันทีที่ผมเห็นรูป บางอย่างก็สะดุดตาผม รูปของหญิงสาวคนหนึ่ง นอนอยู่ถนน ถนนเดียวกับที่ผมเจอคนใส่หน้ากากแม่มด หญิงสาวคนนั้นสวยมาก ผิวของเธอขาวราวกับหิมะ ผมสีดำยาวสยายอยู่บนพื้น เธอใส่ชุดนอนลูกไม้สีแดง ดูราวกับเจ้าหญิงที่กำลังหลับใหล แขนข้างนึงของเธอกางออก บนมือข้างนั้นกำลูกแอปเปิ้ลสีแดงไว้ พอดูให้ดีๆบนลูกแอปเปิ้ลมีมีดโกนอยู่สี่ห้าใบ มีดโกนนั้นบาดมือเธอลึกจนเลือดกลมกลืนไปกับสีของแอปเปิ้ล แต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือมีดทำครัวเล่มยาวที่ปักทะลุคาคอหอยหญิงสาว ผมจำมีดเล่มนั้นได้ดี มันคือมีดเล่มเดียวกับมีดเล่มที่แทงผม ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเจ็บแปลบตรงแผลเก่าอีกครั้ง
“เธอมีชื่อว่า “จิล แฟรี่” อายุ 22 ทำงานเป็นนางแบบ เธออาศัยอยู่ในละแวกบ้านแถบนั้น ในคืนที่เกิดเหตุเธออยู่คนเดียว ไม่มีพยานรู้เห็นว่ามีใครมาหาเธอหรือเปล่าในคืนนั้น...ฉันอยากให้เธอดูให้ดีๆ แล้วบอกฉันหน่อยว่าเธอรู้จักผู้หญิงในรูปหรือเปล่า?”
ผมจ้องมองรูปนั้น อืม... คิดว่าคุ้นๆอยู่นะ... ผมครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะนึกออก ผมตอบเขาไปว่าเธอคือพี่สาวของเพื่อนร่วมชั้นผมคนนึง แต่ผมไม่รู้จักเธอเป็นการส่วนตัว... ทั้งพี่ทั้งน้องน่ะแหละ อันที่จริงผมจะเสริมด้วยว่า ผมเคยเดินชนเธอจนล้มหัวคะมำครั้งนึงตอนเดินอยู่ในสวนสาธารณะเมื่อห้าปีที่แล้ว แต่ดูเหมือนมันคงจะไม่เกี่ยวกันหรอกมั้งนะ
“เราพบกระดาษใบนึงที่เขียนข้อความบางอย่างด้วยใกล้ๆศพ”
เขายื่นอีกรูปมาให้ดู ในรูปมีกะดาษที่เขียนข้อความด้วยปากกาเมจิกสีแดงว่า
“ความสวยมักจะมาพร้อมกับความโง่
รับแอปเปิ้ลพิษ แล้วไปนอนในโลงแก้วซะนะจ๊ะ จุ๊บๆ
- จากแม่มดใจร้าย”
เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ คนใส่หน้ากากแม่มดแอปเปิ้ลพิษ โลงแก้ว...
นี่มันคล้ายกับนิทานเรื่องสโนไวท์เลยไม่ใช่เหรอ?แบบนี้ก็เหมือนในหนังเลยล่ะสิ! ที่แบบว่ามีฆาตกรฆ่าคนแล้วก็จัดฉากให้มันพิสดาร ยิ่งถ้ามีการทิ้งข้อความไว้ให้ตำรวจด้วยละก็ ตามที่เคยดูหนังมา 99% จะต้องเป็นการฆาตกรรมต่อเนื่องแน่... หรือว่าผมคิดมากไปเนี่ย ลืมไปว่านี่มันชีวิตจริง ไม่ใช่ในหนัง
“เธอคิดยังไงกับข้อความนี้ คุณฟิตซ์”
เขาถามพร้อมกับมองด้วยสายตาแบบนั้นอีกครั้ง ผมคิดว่าเขากำลังสงสัยผม เพราะสายตาเขาจ้องทุกอิริยาบถ ทุกการเคลื่อนไหว แบบนี้มันจับผิดกันชัดๆ ผมบอกเขาว่าข้อความนี่อาจจะบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการฆาตกรรมครั้งต่อไป เขาบอกว่าความคิดผมน่าสนใจแต่ดูจากท่าทางแล้ว ผมว่าเขากำลังสนใจผมมากกว่า
“เธอรู้ไหมว่า เราพบลายนิ้วมือของเธอ... บนมีดเล่มที่ปักอยู่บนคอของเหยื่อ เธอจะอธิบายเรื่องนี้ว่ายังไง”
ในที่สุดเจ้าหน้าที่เดฟก็ให้ความกระจ่าง ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะถึงจ้องผมแบบนั้น จะว่าไปทำไมถึงมีลายนิ้วมือติดอยู่ล่ะเนี่ย... อืม รู้สึกว่าในหนังเรื่อง “ลวงมรณะไอ้หน้าหมี” ฆาตกรจะใส่ร้ายเหยื่อโดยการทำร้ายเหยื่อให้สลบ แล้วก็เอาหลักฐานไปให้เหยื่อจับ จากนั้นก็...โป๊ะแชะ! ลายนิ้วมือของผู้บริสุทธิ์ก็จะติดอยู่บนหลักฐาน ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆที่ตำรวจดันดูไม่ออกจึงจับคนผิด แถมตอนจบคนร้ายยังลอยนวลอีก
“บางทีตอนที่ผมถูกแทง ผมอาจจะบังเอิญเอามือไปจับมีดเพื่อดึงมันออกก็ได้นะครับ ผมเองก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกันครับ”
ผมตอบ แน่นอนว่าหากฆาตกรจะพยายามใส่ร้ายผมจริง มันก็ยังมีช่องโหว่มากให้โต้แย้ง เช่นถ้าผมเป็นฆาตกรจริงจะแทงตัวเองทำไม ทำไมไม่หนีไป แล้วจะแกล้งเป็นผู้เคราะห์ร้ายทำไม ทั้งๆที่รู้ว่าลายนิ้วมือตัวเองติดอยู่บนมีด ซึ่งนั่นทำให้ผมสรุปว่าฆาตกรน่าจะฉลาดกว่านั้น ไม่น่าจะใช้วิธีใส่ร้ายผมอย่างลวกๆ อาจจะเป็นความบังเอิญแบบที่ได้กล่าวมาข้างต้น
เจ้าหน้าที่เดฟผ่อนคลายท่าทีสงสัยลงไปบ้าง เขาจึงถามคำถามอื่นๆ ต่อไป ส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวกับรายละเอียดที่ผมจำได้ตอนเกิดเหตุ ซึ่งไม่ค่อยจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม หลังจากการสอบปากคำพยานได้กินเวลานานพอสมควร เขาก็เอ่ยขึ้นว่า
“งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อน ฉันจะเรียกเธอมาสอบปากคำอีกครั้ง ทันทีที่เธอนึกอะไรออกให้รีบบอกฉันเลยนะ เข้าใจไหม?” เขาลุกขึ้นพร้อมกับเก็บแฟ้มคดี อันที่จริงผมมีบางคำถามจะถามเขา แต่ก็ช่างเหอะ... จะได้กลับไปนอนสบายๆสักที...เออ จริงด้วย!!
“คุณเจ้าหน้าที่ครับ... แล้วเรื่องที่อยู่ผมล่ะ”
“อ้อ.... เอ่อ เรื่องนั้น... อย่างที่บอกฉันจะให้เพื่อนหาที่อยู่ให้เธอ แต่ระหว่างนั้น... บ้านของฉันพอจะมีห้องนอนแขกอยู่ห้องนึง ฉันจะให้เธออยู่ที่นั่นจนกว่าฉันจะหาที่อยู่ให้เธอได้ก็แล้วกัน เตือนไว้ก่อนนะว่าอย่าแตะต้องของๆฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต เด็ดขาด!”
โอ้ย!!! พระเจ้า ได้ยินมั้ยนั่น คุณคงจะเดาออกใช่ไหม ห้องของชายหนุ่มวัยสามสิบที่บ้างานและยังโสด จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากรังหนูดีๆนี่เองเหละ ถ้าอยู่กับเขาผมคงต้องจมกองเอกสารตายก่อนจะที่อยู่ใหม่ได้แหงๆ
“แต่ถ้าเธอไม่อยากจะอยู่กับฉัน รู้สึกว่า บ้านพักพิงสำหรับผู้ไร้ที่อยู่ในเขตอีสตันบุลลิทยังมีห้องว่างนะ” ฟังดูไม่น่าจะใช่ทางเลือกเลยนะนั่น!... คุณคงไม่ต้องสงสัยหรอกว่าผมจะไปอยู่ที่ไหน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
และในระหว่างที่ผมกำลังขนสัมภาระขึ้นรถของเจ้าหน้าที่เดฟ ผมก็ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น... ถ้าหากว่าเป็นหนังสยองขวัญละก็ บุคคลที่บังเอิญเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมแล้วรอดตาย มักจะตกเป็นเป้าหมายต่อไปของฆาตกร และส่วนใหญ่ตัวละครแบบนี้จะตายตอนจบด้วยสิ...
ไม่นะ...
ความคิดเห็น