คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : บทส่งท้าย
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาแยงตาผม ไออุ่นเล็กๆกระจายอยู่รอบตัวในแบบที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน ผมค่อยๆขยับตัว คลายกล้ามเนื้อทีละส่วน ก่อนที่ตัวเองจะลืมตาขึ้นแล้วพบว่าตนนอนอยู่บนเตียงนุ่มในห้องสีขาว ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือโรงพยาบาล... ผมพยายามชะโงกตัวขึ้น แต่ยังคงรู้สึกเจ็บแปลบตามตัว
เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าห้องนี้ค่อนข้างรก บนโต๊ะสำหรับวางของ มีเอกสารและแฟ้มต่างๆตั้งกระจัดกระจายเต็มไปหมด แอปเปิ้ลลูกสีแดงถูกกัดไปครึ่งคำ พร้อมกับมีดปอกผลไม้วางอยู่ไม่ไกลจากรีโมททีวี แน่นอนว่าโต๊ะนั้นอยู่ไกลกว่าจะเอื้อม ผมจึงต้องฝืนสังขารลุกขึ้น แต่สายน้ำเกลือที่จิ้มข้อมือนั้นรั้งตัวไว้ ผมร้องโอ๊ยนิดนึงเพราะรู้สึกเจ็บจี๊ด ซึ่งนั้นเองทำให้อะไรบางอย่างบนโซฟาขยับตัว ผมมองไป บนโซฟามีผ้าห่มผืนยาวสีน้ำตาลกำลังคลุมตัวใครบางคนอยู่... เจ้าหน้าที่เดฟนั่นเอง...
“เธอ.... ตื่นแล้วหรือ?” เขาลุกขึ้นนั่ง เหยียดหลังตรงพร้อมกับกล่าวอย่างสะลึมสะลือ ผมนิ่งเงียบและจ้องมอง... เขายังไม่ตาย? ตรงแขนของเขามีผ้าพันแผลพันอยู่เล็กน้อย นอกนั้นก็ดูเหมือนว่าเขาสบายดี แต่ผมเดาว่ามีผ้าพันแผลพันอยู่ตรงบริเวณท้องด้วย เพราะตรงนั้นดูนูนๆขึ้นในเสื้อยืดสีขาวที่เขาใส่
“คุณ.... ถูกยิง...” อันที่จริงผมจะพูดมากกว่านั้น แต่เสียงของตัวเองแหบแห้งราวกับไม่ได้พูดอะไรเลยมาเป็นร้อยปี เจ้าหน้าที่เดฟที่กำลังจัดเอกสารบนโต๊ะชำเลืองมองผมแวบนึงก่อนจะตอบผม “โชคดีที่กระสุนไม่โดนจุดสำคัญ พวกตำรวจช่วยชีวิตฉันได้ทันก่อนจะเสียเลือดไปมากกว่านี้ ฉันมันดวงแข็งอยู่แล้ว..”
“แต่คุณดูไม่ค่อยเป็นอะไรเลยนะ ถ้าโดนยิงทำไมไม่นอนพักบนเตียงล่ะ?”
“อันที่จริงฉันก็นอนพักมามากพอจนแผลมันใกล้หายดีแล้วล่ะ เธอต่างหากที่อาการหนัก หลับไปหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ” เขากล่าว ผมเบิกตากว้าง หนึ่งสัปดาห์? นานขนาดนั้นเชียว? ตอนนั้นเองที่ผมสำรวจตัวเองแล้วพบว่าตามตัวเต็มไปด้วยรอยแผลและผ้าพันเหมือนมัมมี่ แต่พอคิดไปคิดมาก็สมควรอยู่หรอกนะ ผมแปลกใจด้วยซ้ำที่ตัวเองอึดขนาดทนพิษบาดแผลทั้งหมดได้ในเวลาเดียวกัน
“ฉันพยายามเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น....” เจ้าหน้าที่เดฟว่าพลางอ่านเอกสารในมือ “ทั้งหมดมันเหลือเชื่อ?.. ว่ามั้ย?”
ใช่.... โคตรเหลือเชื่อเลยล่ะ ป่านนี้เรื่องทั้งหมดคงเป็นข่าวใหญ่โตแล้วล่ะมั้ง?.... ผมคิด แต่ต้องลบความคิดนั้นออกเมื่อเจ้าหน้าที่เดฟเริ่มอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“ฉันถูกถอดออกจากคดีนี้... เรื่องนี้ใหญ่โตกว่าที่เธอคิด รัฐบาลเข้ามายุ่งเกี่ยว... หลังจากโครงการหุ่นยนต์ดีอีอาถูกเปิดโปง พวกเขาก็ทึ่งมากกับเทคโนโลยีที่กลุ่มนักวิจัยค้นพบ รัฐบาลจึงทำการปกปิดเรื่องนี้ซะ... จัดฉากทุกอย่างขึ้นมาใหม่หมด แล้วนำงานวิจัยนั่นไปพัฒนาต่อ”
“หมายความว่า... ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยหรือ?” ผมถาม
“ไม่มี ยกเว้นเธอ กับฉัน และตำรวจทั้งส.น. พวกเราทุกคนถูกสั่งให้ปิดปากเงียบ... พวกเขาส่งคนไปจัดการสำรวจทั่วโรงเรียนทั้งหมด แล้วซ่อมแซมกลบเกลื่อนหลักฐานทุกอย่างภายในเวลาเพียงสองวัน พอโรงเรียนเปิด พวกนักเรียนก็เข้าเรียนตามปกติ โดยที่ไม่มีใครรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น” เขาเงียบสักพักก่อนจะเดินไปกดน้ำร้อนเพื่อชงกาแฟ
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกนักวิจัย แล้วก็เรื่องของครูใหญ่ ไหนจะ... พวกหุ่นยนต์อีก”
“นักวิจัยทั้งหมดถูกควบคุมตัวฐานทำการทดลองกับมนุษย์อย่างผิดกฎหมาย” เขาเดินมาใกล้เตียงผมพร้อมกับจิบกาแฟ “มนุษย์ที่ว่าก็คือเธอ” เขากล่าว ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าผมไม่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ก็ถือว่าพวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไรน่ะสิ?
“ทั้งหมดถูกบังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายที่ทำกับเธอ เป็นเงินจำนวนมากเชียวล่ะ...”
“ส่วนครูใหญ่... พวกเขาจัดฉากเรื่องการตายของเธอให้ทุกคนเข้าใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ และส่งครูใหญ่คนใหม่ไปที่โรงเรียน แล้วก็เอ่อ.... เรื่องหุ่นยนต์ ทีมนักวิจัยของรัฐบาลนำพวกเขาไปศึกษาต่อ” ผมฟังคำอธิบายอย่างตั้งใจ รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ลงท้ายแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องของผมเลย พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วถ้ากลับไปที่โรงเรียน ทุกคนคงยังจะมองผมเป็นไอ้จอมเอ๋อเหมือนเดิมอยู่ดี... แต่ผมรู้ว่าผมไม่ใช่ ผมไม่ใช่ไอ้เอ๋ออีกต่อไปแล้ว...
“ผมจะกลับไปโรงเรียนได้อีกเมื่อไหร่?” ผมถาม เจ้าหน้าที่เดฟมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วพูดขึ้น “เธอคงจะไม่ได้กลับไปที่โรงเรียนนั้นอีกแล้ว...”
“หมายความว่ายังไง?”
“เบื้องบนต้องการให้แน่ใจว่าเธอจะไม่ปริปากบอกเรื่องนี้กับใคร เขาจึง.... อยากให้เธอย้ายไปอยู่ที่อื่น.... เขาอยากให้เธอเปลี่ยนชื่อใหม่ซะ เป็นคนใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่เมืองอื่น”
“ไม่” ผมส่ายหน้า พวกเขาทำแบบนี้ไม่ได้ อยู่ๆจะลบตัวตนผมออกไปเลยงั้นหรือ? แล้วผมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ? ไหนจะ........ จะว่าไป ผมในตอนนี้ก็ไม่มีที่อยู่ ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อนสนใจ จะหายไปหรืออยู่ต่อก็คงมีค่าเท่ากัน... “อย่างน้อย... ขอใช้ชื่อเดิมได้ไหม?” ผมถาม
“ได้แน่นอน..” เขาพยักหน้าเบาๆแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง “ฉันพอจะมีห้องว่างในอพาทเม้นต์ที่เมือง
แบล็กวู๊ดหรือ? ผมคิด นั่นมันเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐนี้เลยนี่นา... ถ้าเทียบกับเมืองฮอลโลเวล์ที่ผมอยู่ละก็ แบล็กวู๊ดจะใหญ่เป็นสิบสองเท่าของเมื่องนี้เลยทีเดียว เท่าที่รู้คือมันเป็นเมืองติดทะเลขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งทันสมัยและคนเมืองมากมายที่วุ่นอยู่กับการทำงาน นั่นฟังดูดีทีเดียว ได้ข่าวว่าที่นั้นมีสตูดิโอถ่ายทำหนังสยองขวัญชื่อดังมากมายด้วย ผมฝันอยากจะไปดูมากนานแล้ว....
“แต่แน่นอนว่า... เพื่อความปลอดภัยของเธอ เนื่องจากเธอเป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ พวกเขาจึงส่งฉันไปอยู่กับเธอด้วย..”
อะไรนะ? ผมต้องอยู่กับเขาอีกแล้วหรือ?
“คือ... บ้านของฉันเองก็เละพอสมควรตอนที่เกิดเรื่องขึ้นน่ะ...”
“ยังไงก็ตาม หลังจากนี้อาจจะมีคนของรัฐบาลเข้ามาถามเธอเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นบ้าง แต่.... อย่าห่วงเลย ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น เธอจะได้ย้ายไปเมืองใหม่ทันทีหลังจากที่เธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
ผมถอนหายใจยาว เมื่อมองไปรอบๆอีกครั้ง ภายในห้องสงบและสว่างสดใส แสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาปะทะใบหน้าบวกกับสายลมอ่อนๆทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง ผมนั่งย้อนนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น... ทุกอย่างเหมือนฝันร้าย... แต่เป็นฝันร้ายที่จบไปแล้ว ผมรู้ว่าคุณอาจหวังให้มันมีมากกว่านี้ หวังอยากให้ครูใหญ่ฟื้นขึ้นมาตบกับผมอีกสักรอบ แต่.... เฮ้ นี่มันชีวิตผมนะ! ลองมานอนโรงพยาบาลเป็นสัปดาห์อย่างผมบ้างสิ แล้วจะรู้ว่ามันไม่สนุกเลย...
ผมขอรีโมททีวีจากเจ้าหน้าที่เดฟแล้วนั่งดูอย่างเบื่อหน่าย ในทีวีมีโฆษนาเกี่ยวกับหนังสยองขวัญเรื่องใหม่ที่กำลังจะเข้าโรงเร็วๆนี้ จะว่าไป... ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาผมยังไม่ได้อัพเดทหนังสยองขวัญใหม่ๆเลยนี่นา เซ็งชะมัด... แล้วก็ข่าวที่ทางโรงเรียนจัดงานศพไว้อาลัยให้ครูใหญ่ซึ่งทุกคนเข้าใจว่าเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ทั้งที่จริงๆเธอนั่นเหละคือตัวการของเรื่องทั้งหมด แต่ก็เอาเหอะ... ถือว่าเธอได้ชดใช้กรรมแล้วล่ะนะ....
เจ้าหน้าที่เดฟใช้เวลาทั้งวันในการพยายามทำให้ผมร่าเริงขึ้น ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะทำให้ผมร่าเริงเท่าไหร่ เพราะเขาเอาแต่เล่าเรื่องคดีโหดๆที่ตัวเองเคยทำมาอย่างสนุกสนาน แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณเขาล่ะนะ ไม่มีเขา ผมก็คงไม่รอดอยู่จนวันนี้
และในตอนนี้เอง ที่เรื่องทุกอย่างเหมือนกำลังจะจบลง แต่ผมก็ไม่ได้บอกคุณว่ามันจะจบลงแค่นี้หรอก หลายครั้งที่คุณเจอเรื่องร้ายแล้วผ่านมันมาได้ คุณจะคิดว่าคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว แต่ในเวลาต่อมาคุณก็เพิ่งจะค้นพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ใช่.... ในอนาคตอาจมีเรื่องที่เลวร้ายกว่านี้รอผมอยู่ แต่ผมไม่สนหรอก เพราะผมรู้แต่ว่าตอนนี้คือตอนที่ผมปลอดภัยที่สุด เป็นช่วงที่ตัวละครในหนังสยองขวัญจะได้พักผ่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับหนังภาคต่อ ชีวิตคนเรามันก็แบบนี้เหละ...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หลังจากนั้นสองวัน ก็มีคนจากรัฐบาลเข้ามาถามข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เล็กๆน้อยๆอย่างที่เจ้าหน้าที่เดฟว่า ผมตอบเขาทุกอย่างเท่าที่จะนึกออก ท้ายที่สุดพยาบาลก็บอกว่าอาการของผมดีขึ้นมาก สามารถกลับบ้านได้แล้ว เช้าวันถัดมาเจ้าหน้าที่เดฟจึงเตรียมกระเป๋าสัมภาระและของทุกอย่างที่ผมนำติดตัวมาตั้งแต่ต้น รถของเขารออยู่หน้าโรงพยาบาล ผมเดินออกมาแล้วพบว่าอากาศในวันนี้ช่างดีที่สุดในรอบปีเลยทีเดียว ท้องฟ้าไม่เคยสวยอย่างนี้มาก่อน...จริงๆนะ...ผมคิดก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ เจ้าหน้าที่เดฟสตาร์ทเครื่อง จากนั้นรถก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากเมือง ภาพบรรยากาศที่แสนคุ้นเคย.... ค่อยๆเลือนหายไปตามทาง
“เจ้าหน้าที่เดฟครับ” ผมกล่าวขึ้น
“เรียกฉันว่า “เฮนรี่” เถอะ.... นั่นเป็นชื่อจริงน่ะ เดฟเป็นแค่ชื่อกลาง ฉันยอมให้คนอื่นเรียกชื่อจริงฉันไม่กี่คนหรอก” เขาพูดในขณะที่มือปรับคลื่นวิทยุ ตายังคงมองทางข้างหน้า
“งั้นคุณก็ต้องเรียกผมว่า “แมตธิว” เหมือนกัน แมต ฟิตซ์ เป็นแค่ชื่อย่อเฉยๆน่ะ”
“งั้นหรือ แต่ฉันชอบชื่อ “แมต” มากกว่านะ เรียกง่ายดี...” เขายิ้มที่มุมปากเล็กๆ
“ไงก็ตาม เฮนรี่... ที่อพาร์ทเมนต์ของคุณมีเครื่องเล่นวีดีโอหรือเปล่า?”
“เอ่อ.... เครื่องเล่นวีดีโอไม่หรอกนะ มีแต่เครื่องโฮมเธียเตอร์ดีวีดีน่ะ”
“เจ๋ง!!” ผมชูกำปั้นทำท่า"เยส"เบาๆ “จะได้เช่าหนังมาดูย้อนหลังได้สักที” ผมยืดกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายตัว แล้วเอนหลังลงพิงเบาะนั่ง เฮนรี่เหลือบมองผมก่อนจะถามคำถาม
“ได้ยินว่าเธอชอบดูหนังสยองขวัญนี่... ถามหน่อยสิ เธอคิดว่าชอบหนังสยองขวัญเรื่องไหนมากที่สุดล่ะ”
“หนังสยองขวัญเรื่องที่ชอบมากที่สุดงั้นหรือ?” ผมหลับตา คิดสักพักนึงก่อนจะตอบเบาๆแล้วผล็อยหลับไป
“เรื่องของผมไง”
จบ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
"ขอบคุณมากครับ" ถึงจุดนี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะกล่าวไปมากกว่านี้แล้ว และหาคำใดมาแทนไม่ได้จริงๆ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และเป็นกำลังใจให้ตลอดมา ไม่รู้ทุกคนจะเชื่อมั้ย แต่อยากจะบอกว่าผมอ่านทุกเม้นต์ทุกวัน เม้นต์ละไม่ต่ำกว่าห้ารอบ เพื่อทุกเม้น์เป็นกำลังใจให้ผมเเต่งนิยาย ได้สร้างสรรค์จินตนาการของตัวเอง ได้ปลดปล่อยมันออกมาให้ทุกคนได้อ่านกัน ขอบคุณจริงๆครับ
สำหรับใครที่ยังไม่อยากให้เรื่องนี้จบ ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะแต่งภาคต่อแน่นอน(ถ้าไม่ขี้เกียจเกินไปอ่ะนะ ตอนนี้ก็กำลังวางพล๊อตอยู่ ขอบคุณท่านที่ช่วยออกความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อเรื่องของตอนต่อไปมากนะครับ อย่างไรก็ตาม ผมอยากให้ทุกท่านช่วยแชร์ความคิดหน่อย ว่าภาคต่อไปควรจะเป็นอย่างไร เสริมอะไรบ้าง เนื้อหาควรเป็นอย่างไร เอาแบบใขปริศนา ลุ้นระทึก หรือเพิ่มความฮาๆ หรือจะเอาบทโรเเมนติกเพิ่มดี(แต่ผมไม่ถนัดนะ 555+) รึจะเอา Y (เเอร๊ยยย) ทุกท่านสามารถแนะนำผมได้ ยังไงก็ตาผมก็เป็นผีเฝ้านิยาย คอยนั่งตามอ่านเม้นต์อยู่แล้ว
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกคน และพบกันในโอกาสต่อไปครับ
///////////////////////////////////////
ความคิดเห็น