คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : หลังการกักบริเวณ :: นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...
ยังหรอก
ผมยังไม่ตาย....
แต่ก็คงใกล้แล้วล่ะ..
ผมสงสัยในใจลึกๆ ว่าทุกๆครั้งที่ผมมักจะคิดว่ามันจะจบลงแล้ว ทำไมกลายเป็นว่ามันยังมีต่อ... ซึ่งบอกตามตรงเลยนะ ให้มันจบๆไปซะตั้งแต่แรก ดีกว่าต้องอยู่ต่ออย่างทรมาน... ผมน่าจะตายตั้งแต่ตอนที่ถูกแม่มดแทงเมื่อสัปดาห์ก่อน.. อย่างน้อยก็แค่ตายเพราะแผลเดียว ดีกว่าที่จะต้องมีแผลเต็มตัวแล้วตายโดยการถูกผ่าชิ้นส่วนเป็นๆเพื่อเอามาทำเป็นส่วนประกอบของหุ่นยนต์
มันไม่ยุติธรรมเลย.. ยิ่งมารู้ว่าท้ายที่สุด ก็มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ต้องมาเจอเหตุการณ์แสนโหดร้ายแบบนี้... สักสามชั่วโมงก่อนผมยังแอบอุ่นใจลึกๆที่อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรมบ้าง แต่ตอนจบ.. มันคือเรื่องของผมล้วนๆ... ผมคนเดียว…
ลองมาคิดดูเล่นๆนะ ถ้านี่เป็นตอนจบของทุกอย่างจริงๆ(ซึ่งผมหวังว่าให้เป็นอย่างนั้น) เราก็ต้องมีข้อคิดประจำเรื่อง... เหมือนๆกับนิทานนั่นเหละ เช่น เรื่องเด็กเลี้ยงแกะสอนให้รู้ว่า ไม่ควรโกหก หรือเรื่องกระต่ายกับเต่าที่สอนเรื่องความไม่ประมาท และความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น... ถ้าอย่างนั้นเรื่องของผมควรจะมีข้อคิดอะไรดีล่ะ?....
นิทานเรื่อง “ชีวิตแสนซวยของนาย
แต่ไม่ว่าข้อคิดจะเป็นอะไร สุดท้ายก็ไม่เคยมีเด็กคนไหนที่เชื่อคำสอนพวกนี้อยู่ดี.. แล้วเราจะเล่านิทานไปทำไม? เพื่อให้เด็กผู้หญิงเพ้อฝันถึงเจ้าชายผู้สมบูรณ์แบบซึ่งไม่มีจริงงั้นหรือ? เพื่อให้ผู้ชายฝันว่าสักวันนึง จะต้องได้ออกไปปราบมังกรตัวร้ายและกลายเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่งั้นสินะ... (เขาได้เป็นแน่ ถ้าไปเล่นในเกมออนไลน์อ่ะนะ)
สรุปแล้ว.... เราเล่านิทานไปทำไมล่ะ?
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“มาแล้วหรือ?”
ชายผู้สวมชุดกาวน์คล้ายหมอถาม ผมดูออกว่าเขากำลังยิ้มแม้จะสวมหน้ากากอนามัยอยู่ก็ตาม ชายร่างใหญ่สองคนฉุดกระชากผมให้เข้ามาในห้อง เตียงเหล็กเหมือนที่อยู่ในห้องเก็บศพตั้งรออยู่ ข้างๆก็มีโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมีดผ่าตัด ที่ครอบปาก สว่านเจาะรู คีมถอนฟัน และเลื่อยกลมอันใหญ่ เหนือเตียงมีไฟสีขาวส่องสว่างเหมือนห้องผ่าตัด ชายคนนึงรำคาญผมมากจึงชกเจ้าท้องลึกๆ ผมจุกและไร้เรี่ยวแรง พวกเขาจึงยกผมนอนลงบนเตียง
คุณเคยไปหาหมอฟันใช่ไหม ใครๆก็มักจะรู้สึกหวาดเสียวอยู่เสมอ เพราะคุณเหมือนจะต้องฝากชีวิตตัวเองไว้กับชายแปลกหน้า ผู้ซึ่งอาจเอาสว่านเล็กๆเจาะปากคุณเป็นรูโบ๋ได้ และคุณควบคุมอะไรไม่ได้เลย ได้แต่นอนรอ ราวกับกำลังขึ้นเขียง ถ้าคิดว่านั่นน่ากลัวละก็ ดูผมนี่สิ ผมกำลังขึ้นเขียงของจริง!
“ขอโทษนะหนู.... ฉันไม่อยากจะทำแบบนี้เลย... แต่.... เพื่อความก้าวหน้าของโลกและเทคโนโลยี เนื้อเยื่อของเธอจะเป็นตัวอย่างในการสร้างเนื้อเทียมและเลือดสังเคราะห์ หุ่นยนต์ของเธอจะเป็นหุ่นตัวแรกที่ทำขึ้นมาจากชีวิตมนุษย์จริงๆ... เธอจะเป็นผู้มีเกียรติซึ่งอุทิศชีวิตให้กับความก้าวหน้าของโลก... ทุกคนจะขอบคุณเธอ”
ฟังดูน่าดีใจตายห่าแหละ! พูดมาได้ว่าเพื่อความก้าวหน้าของโลก นี่มันฆาตกรรมชัดๆ! หมอเอาผ้าอุดปากผมพร้อมกับสวมที่ครอบเพื่อไม่ให้ผมส่งเสียง เขาเปิดเสื้อผมออกช้าๆเพื่อตรวจดูส่วนที่เขาจะ... ผ่า ไม่ช้าเขาก็หยิบเข็มฉีดยาขึ้นมา ดูดสารจากขวดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ทดลองฉีดกลางอากาศดูเพื่อให้แน่ใจว่าเข็มไม่ตัน พอเสร็จแล้วสายตาก็จ้องมาที่ผม มองหาจุดที่จะฉีด ก่อนจะเลิกแขนเสื้อผมออก เข็มนั้นอาจจะเป็นยาสลบ หรือร้ายแรงที่สุดก็คงจะเป็นยาชา แต่ไม่ว่าแบบไหนผมก็กำลังจะตายเท่ากัน เข็มปลายแหลมเคลื่อนเข้ามาใกล้ มันกำลังจะเจาะเข้าไปในเนื้อ และพ่นสารลงไป ผมกำลังจะถูกฆ่า....
“หยุดก่อน!”
ไม่แน่ใจว่าจะเรียกเสียงนี้ เป็นเสียงช่วยชีวิตได้หรือเปล่า เพราะคนที่พูดก็คือครูใหญ่ หญิงสาวเดินเข้ามา ชายสองคนที่จับผมและชายคนที่กำลังจะผ่าท้องผม ดูมีสีหน้าเกรงกลัวอย่างชัดเจน ผมภาวนาให้เธอบอกยกเลิกการฆ่าผมซะ อย่างน้อยก็เปลี่ยนใจที่จะทำให้ผมกลายเป็นหุ่นยนต์
“ฉันไม่ต้องการให้ใช้ยาใดๆทั้งสิ้น มันอาจทำให้อวัยวะต่างๆที่เราจะผ่าได้รับผลกระทบจากฤทธิ์ยา ฉะนั้น... ผ่าทั้งที่ยังเป็นๆนี่ล่ะ..” เธอกล่าว ผมตาโต ไม่นะ!! ทำแบบนี้เอาปืนมายิงให้ตายๆไปซะดีกว่า!... ผมตัวสั่นด้วยความกลัว ไม่มีแรงแม้แต่จะดิ้น หยดน้ำตาไหลลงบนเตียงเหล็ก
“โถๆ... เด็กน้อยเอ๋ย” หญิงสาวหันมาลูบใบหน้าผมคล้ายเอ็นดู ก่อนจะหันไปพูดกับชายผ่าตัด “เราต้องเริ่มจากตัดส่วนล่างออกไปก่อน ขามันสั้นเกินไป ฉันไม่เอา!” ครูใหญ่สั่ง เขาพยักหน้าก่อนจะยกเครื่องมืออันใหญ่ขึ้นมา มันคือใบเลื่อยกลมเหมือนกงจักร ขนาดเท่าหัวคน คมแหลมแต่ละซี่สะท้อนแสงจากไฟเหนือเตียง ผมรู้สึกหวาดผวา ยิ่งตอนที่มันถูกเสียบปลั๊กและเปิดเครื่อง เสียงแหลมของเครื่องจักรดังเสียวตั้งแต่ฟันจนไปถึงกระดูก
หมอค่อยๆพยายามลดระดับเครื่องลงมาที่ท้อง เพราะความหนัก มันอาจจะหล่นลงมาตัดตัวผมขาดเป็นสองท่อนเมื่อไหร่ก็ได้ ยิ่งใบเลื่อยเข้าใกล้ท้อง เสียงนั้นก็ยิ่งดัง ในที่สุดฟันแหลมของเลื่อยก็ตวัดเข้าที่หน้าท้อง ผมกรีดร้องแม้มันจะยังไม่ลงลึก เลือดไหลออกมากระเด็นไปโดนเข้ากับตาของชายคนที่จับผมไว้ เขาสะดุ้งจนปล่อยตัวผมออก เมื่อได้โอกาสผมจึงรีบดิ้นอย่างเร็ว ขาไปโดนเอามือของหมอ จนเขาพลาดหันใบเลื่อยไปยังชายอีกคนที่กำลังจับแขนผมอยู่ ผมเห็นภาพอันน่าสยดสยองเต็มตาเมื่อใบเลื่อยกำลังตวัดลึกเข้าไปในคอของเขา ของเหลวสีแดงสดกระจายไปทั่วห้อง ครูใหญ่กลับไม่สะทกสะท้าน เธอเพียงพยายามปัดเศษหยดเลือดออกจากหน้า ผมกลิ้งตัวลงจากเตียง หมอตะโกนเสียงดัง มือเขายังค้างอยู่บนคอซึ่งใกล้จะขาดเหล่มิขาดเหล่ ชายอีกคนรู้ตัวว่าพลาดจึงพยายามจับตัวผมอีกครั้ง ครูใหญ่เองก็วิ่งอ้อมเตียงไปแย่งเครื่องเลื่อยออกจากมือของหมอ ผมคลานออกจนไปถึงหน้าประตู ชายร่างใหญ่ตามมาติดๆ เขากระชากคอเสื้อดึงผมขึ้นจากพื้น แล้วพยายามจะลากผมกลับไป
“ผัวะ!!”
เจ้าหน้าที่เดฟโผล่มาจากไหนไม่รู้ เขาศอกเข้าที่หน้าของชายร่างใหญ่เต็มๆ ชายคนนั้นเอามือเเตะเลือดที่ไหลจากปากเล็กน้อยก่อนจะตั้งหมัดเตรียมสู้กับเขา
“เธอรีบหนีไป!”
เดฟบอกก่อนที่เขาจะหลบหมัดของคู่ต่อสู้ ผมจึงยันตัวลุกขึ้นและวิ่งหนี ในขณะเดียวกันครูใหญ่ที่กำลังแย่งเลื่อยก็กระชากแขนสุดฝีมือจนเลื่อยผ่าลงกลางหน้าของหมอ ห้องผ่าตัดสีขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีเลือด เธอดึงมันออกจากหน้าหมอก่อนจะวิ่งเข้ามาจ่อเลื่อยใกล้ๆ ผมพยามยามหลบ แต่เธอเหวี่ยงเลื่อยเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่เดฟและชายร่างใหญ่ก็ต่อสู้กันอยู่ตรงหน้าประตูทำให้ผมออกไปไม่ได้
“ช่วยไม่ได้นะ! ถ้าแบบนี้ ก็เอาเนื้อแค่ส่วนที่ยังไม่เละก็แล้วกัน!” เธอกล่าวน้ำเสียงเยือกเย็น ในขณะเท้ายังคงวิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ผมแน่ใจว่าแม่มดนั้นถูกถอดแบบออกมาจากครูใหญ่แน่นอน เพียงแต่ครูใหญ่นั้นน่ากลัวกว่าหลายเท่า ผมมองไปรอบๆ สังเกตเห็นสายไฟของเครื่อง จึงรีบคลานเข้าใต้เตียง หญิงสาวตามเข้ามาทุ่มเลื่อยลงบนเตียงเหล็ก เกิดเสียงดังและสั่นสะเทือนจนมีประกายไฟเกิดขึ้น ผมรีบเอื้อมมือออกจากเตียงอย่างระมัดระวังแล้วดึงสายไฟอย่างแรงจนหัวปลั๊กหลุดออกมา เลื่อยเหล็กหยุดทำงาน เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าหน้าที่เดฟฟัดชายตัวใหญ่ล้มลงสลบเหมือด หญิงสาวไม่พอใจอย่างมาก เธอเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หมายจะโทรเรียกพวก แต่เดฟจับตัวเธอเอาไว้ได้ทัน ครูใหญ่ขัดขืน เธอหยิบมีดผ่าตัดที่เก็บไว้ขึ้นมาแล้วแทงเข้าไปที่ขาของเขาอย่างเต็มกำลัง เจ้าหน้าที่เดฟพยายามดึงมีดออกอย่างเจ็บปวด ผมออกมาจากใต้เตียงกะจะช่วยเขา แต่ครูใหญ่กลับหยิบปืนกระบอกเล็กออกมาแล้วเล็งที่ผม
“เก่งจริงนะแต่ละคน!” เธอหอบเล็กน้อยแต่ยังคงความเยือกเย็นไว้ได้ หญิงสาวส่งสัญญาณให้ผมไปยืนข้างๆเดฟ “รู้งี้ฆ่าเธอซะตั้งแต่ตอนที่จับตัวมาก็ดี…” เธอจ่อปืนเข้ามาใกล้หน้าผาก สายตาจ้องมองมานิ่งเงียบ “ไอ้เด็กนรกอย่างเธอ ฉันไม่เสียเวลาเอามาทำเป็นหุ่นหรอก!... เพราะฉะนั้น บอกลาโลกห่วยๆของเธอได้เลย!...”
“ตอนนี้เหละ”
เจ้าหน้าที่เดฟได้โอกาส จับข้อมือของหญิงสาวอย่างรวดเร็วแล้วบิดมันอย่างแรง เธอกรีดร้องก่อนจะปล่อยปืนตกลงบนพื้น ผมรีบเก็บปืนอันนั้นขึ้นมาในขณะที่เดฟทุ่มตัวครูใหญ่ลงติดกับพื้น
“สถานการณ์เปลี่ยนแล้ว...” เดฟบอก “แมต เธอค้นตัวดูผู้หญิงคนนี้ หาโทรศัพท์แล้วโทรหาสถานีตำรวจซะ” ผมทำตาม รีบค้นตัวเธอ ในกระเป๋ากระโปรงของเธอมีสมุดบันทึกแปลกๆที่เขียนด้วยลายมือยึกยืออ่านไม่ออก ปากกาหมึกซึมราคาแพง กุญแจรถ และโทรศัพท์มือถือ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรออกในขณะที่เก็บของอย่างอื่นเข้ากระเป๋าตัวเอง เมื่อโทรติด เจ้าหน้าที่เดฟก็ขอคุยเอง เขาสั่งให้ตำรวจทั้งส.น.มาที่นี่โดยเร็ว หลังจากแจ้งเสร็จและวางสายลง ผมก็โล่งใจไปได้เปราะนึง
“ฉันจะไม่ยอมให้พวกแกทำลายงานที่ฉันทุ่มเทมาทั้งชีวิตเด็ดขาด!” เธอดิ้นอย่างแรงแล้วกระแทกศีรษะตัวเองเข้ากับหน้าผากของเดฟ ซึ่งนั่นทำให้เขาเผลอปล่อยมือ ครูใหญ่กระชากแขนตัวเองออกแล้วพุ่งเข้ามาหาผม บีบคออย่างแรง ผมรีบยื่นมือง้างเธอออก เธอจึงได้จังหวะหยิบปืนบนพื้นขึ้นมา ยิ่งเข้าที่เจ้าหน้าที่เดฟอย่างรวดเร็ว! เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งอาคาร แรงกระสุนทำให้เดฟกระเด็นไปติดกำแพงก่อนจะไถลล้มลง
“ไม่!!!!”
ผมตะโกน ก่อนวิ่งเข้าไปดูอาการ แต่ยังไม่ทันถึงตัวเขา หญิงสาวก็ยิงอีกหนึ่งนัด เฉี่ยวไหล่ผมเพียงนิดเดียว ผมจึงรีบวิ่งออกจากประตูห้อง ไปยังทางเดินแปลกๆก่อนจะมาโผล่อีกทีที่ห้องเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ผมเดินออกจากห้อง ในขณะที่ครูใหญ่ยิงปืนไล่ตามมาติดๆ เท้าทั้งสองข้างเคลื่อนไหวอย่างไม่คิดชีวิตแม้จะปวดแผลที่ท้องมากก็ตาม!
“แกจะหนีไปไหน!!!”
เสียงอันทรงพลังและดุดันตามมาข้างหลัง แต่กว่าเธอจะเห็นตัวผมอีกครั้ง ผมก็วิ่งมาถึงประตูทางออกตึกเรียนพอดี เมื่อผมออกไปได้เธอก็หยุด ผมไม่รู้ว่าเธอหยุดทำไม แต่ผมยังวิ่งต่อ ผมสูดอากาศภายนอกตึกเข้าลึกๆ ยิ่งตกกลางคืน บรรยากาศโดยรอบก็ยิ่งหนาวยะเยือก บาดแผลต่างๆดูท่าจะไม่สมานตัวง่าย เพราะมันถูกฉีกขาดอยู่ตลอด เลือดไหลซิบๆเป็นทางยาวลงตามขา สภาพในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับศพที่โดนทรมานอย่างหนักก่อนตาย เป้าหมายที่ผมจะไปก็คือตึกกิจกรรม ปาร์ตี้ฮาโลวีนจะยังไม่จบ ถ้ายังไม่ถึงตี 1 ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าตัวเองสลบไปนานเท่าไหร่ และตอนนี้เป็นเวลาอะไร
“ฟิตซ์.....!!! รอด้วย”
เสียงตะโกนดังมาจากข้างหลัง ไม่ใช่เสียงของครูใหญ่.... แต่เป็นเสียงที่คุ้นหู...
ฟิตซ์!!!!!!!!!! รอพวกเราก่อน!!”
นั่นมันเสียงของ... เจนเซ่น ไม่ใช่แค่เจนเซ่น เสียงของทุกคนเลย! พวกเขากำลังวิ่งตามมา! ใครบางคนเปิดเครื่องให้พวกเขางั้นหรือ? บางทีเจ้าหน้าที่เดฟเปิดระบบการทำงานตอนที่หลุดออกมาจากเชือกในห้องนั้นก็เป็นได้ ผมชะลอความเร็วและวิ่งช้าลงก่อนจะหยุด ทุกคนรีบวิ่งมาหาผม ในที่สุดผมก็มีพวกมาช่วยสักที....
ฟิตซ์!! แกตาย!!
เฮ้ย!! ซวยแล้ว!! ผมรีบออกตัววิ่งอีกรอบ แบบนี้หมายความว่าคนที่เปิดเครื่องพวกนี้คือครูใหญ่น่ะสิ! เหล่าเพื่อนๆวิ่งตามผมมาอย่างกระชั้นชิด โดยเฉพาะเจนเซ่นที่วิ่งเร็วกว่าคนอื่น สายตาของแต่ละคนมองผมเหมือนศัตรู หรือผมอาจจะเป็นศัตรูไปแล้วในสายตาพวกเขา ที่รู้ๆคือแต่ละคนทำท่าเหมือนเคียดแค้นมาแต่ชาติปางไหน
“เรารู้ความจริงหมดแล้ว!! นายคือแม่มด!! ทำไมนายต้องทำกับเราแบบนี้!!!” เสียงของลิลลี่แหวกผ่านสายลมเข้ามา.... หมายความว่ายังไง! ทำไมหาว่าผมเป็นแม่มด! นี่ครูใหญ่ใส่ข้อมูลอะไรลงไปในสมองพวกเขากันเนี่ย!!
“นายเอาน้ำกรดมาสาดฉันทำไม!! ทำไมนายต้องคิดจะฆ่าฉัน!! ฉันเป็นเพื่อนนายนะ!!!” ลีออนตะโกนบ้าง ไม่รู้ว่าเขาวิ่งโดยไม่มีแว่นตาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สิ่งที่เขาพูดนั่นมันกลับตาลปัตรหมดเลยนะ!!
“จับตัวได้แล้ว!!!” เจนเซ่นเป็นคนแรกที่เอื้อมมาถึงตัวผม เขากระชากเสื้อจนผมสะดุดล้มลงตรงพื้นกรวด เขากดตัวผมไว้กับพื้น ในขณะที่คนอื่นๆก็เข้ามาล้อมวงอย่างรวดเร็ว เจนเซ่นมองผมที่นอนราบอย่างหมดสภาพก่อนจะพูดขึ้น
“ไอ้บ้าเอ๊ย!! นายรู้ไหม ก่อนหน้านี้ฉันนึกว่า ที่จริงนายเองก็เป็นคนที่ใช้ได้เหมือนกัน บางทีเราอาจเป็นเพื่อนกันได้ แต่ที่แท้นายก็อยู่เบื้องหลังทั้งหมด! ทำไมนายทำแบบนี้!!” เข้ากดหน้าผมให้แนบลงกับก้อนกรวดแรงขึ้นอีก
"เดี๋.... เดี๋ยวก่อน ฉันไม่ใช่แม่มด พวกนาย… โอ๊ย!! พวกนายเข้าใจผิ...” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบเขาก็ชกเข้าที่ใบหน้าผมสุดแรงหนึ่งที “เมื่อกี้เราจับแกได้คาหนังคาเขา ยังไม่คิดจะยอมรับอีกหรือไง?!!”
“ฉ..... ฉันไม่รู้ว่าครูใหญ่ล้างสมองพวกนายยังไง แต่คิดดูให้ดีสิ!!! ฉันช่วยพวกนายไม่ใช่รึไง!! เราเป็นเพื่อนกันนะ!!” ผมพยายามเค้นเสียงออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่มีใครฟังผม พวกเขาเอาแต่พล่ามอะไรไม่รู้ที่ผมไม่เข้าใจ ครูใหญ่ใส่ความคิดอะไรลงไปในหัวของพวกเขากัน?
“เตรียมตัวรับโทษให้ดี!”
เจนเซ่นกระทืบเท้าลงกลางหลังของผมอย่างแรง ไม่ช้าคนอื่นก็กระทืบตาม ผมเจ็บปวดแทบจะขาดใจ โดยเฉพาะตรงที่เป็นแผลอยู่แล้ว ความจริง..ความเจ็บปวดในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสมัยก่อนเลย สมัยที่ผมโดนแกล้งบ่อยๆ ชินเสียด้วยซ้ำ... แต่มันกลับปวดใจมากกว่าที่คนกระทืบคือเพื่อนของผมเอง.....(ถึงจะเป็นเพื่อนหุ่นยนต์ก็เถอะ)
ไม่ช้า เสียงระฆังใหญ่ของหอนาฬิกาก็ดังเตือนไปทั่ว ผมนับครั้งที่ดังไปพร้อมๆกับจังหวะของฝ่าเท้าที่รุมกระหน่ำเข้ามา.... ผมนับได้สิบสองครั้งพอดี.... นี่เที่ยงคืนแล้วสิ.... ถ้าคิดให้ดี ทุกๆเที่ยงคืนของฮาโลวีน ทุกคนที่อยู่ในปาร์ตี้ก็จะ....
“ใช่แล้ว!!” ผมพูดไม่ถนัดนัก ถ้าเป็นเวลาเที่ยงคืนละก็ นักเรียนทุกคนจะออกมารวมตัวที่สนามฟุตบอลเพื่อเล่นเกมเป็นการส่งท้าย! ผมคิดในขณะที่ยังโดนรุมอยู่ ตอนนั้นเองที่ในหัวเริ่มหาวิธีหนีออกจากกลุ่มที่กำลังรุมกระทืบ ภาพทุกอย่างช้าลงเหมือนสโลโมชั่น ผมเห็นเท้าเล็กๆของเกลที่ตรงเข้ามา จึงรีบจับมันแล้วผลักให้เธอเสียการทรงตัวล้มลง ไม่ช้าขาของลีออนก็ตามเข้ามา ผมใช้มือข้างนึงจับเท้าของเขาไว้ แล้วใช้อีกข้างชกเข้าที่ข้อเท้าอย่างแรง ลีออนถอยออกก่อนจะร้องด้วยความเจ็บปวด ลิลลี่กับเรสซ์วิ่งไปพยุงเกลขึ้นมา เหลือแต่เจนเซ่นที่ยังกดตัวผมอยู่
“ฉันอยากจะบอกนายว่า... ฉันไม่เคยแค้นอะไรนายเลยนะ... แต่คราวนี้... ขอสักทีเถอะ!” ผมแลกกำปั้นเข้าที่หน้าของเขาอย่างจัง ผมเองก็โดนหมัดด้วย แต่ชินชากับความเจ็บปวดเสียแล้ว ในขณะที่เจนเซ่นผงะไปด้านหลัง ผมลุกขึ้นแล้วออกตัววิ่งโดยไม่รอช้า ที่เหลือก็รีบวิ่งตามมาเช่นกัน สายลมเย็นปะทะเข้ากับใบหน้า เมื่อมองออกไปไกลๆ ก็เริ่มเห็นนักเรียนฝูงใหญ่ (ขออนุญาตใช้คำว่าฝูง เพราะมันเยอะจริงๆ) กำลังวิ่งตรงเข้ามาทางสนามฟุตบอลราวกันขบวนพาเหรดแข่งวิ่งมาราธอน นักเรียนแต่งชุดแฟนซีเกือบพันคนวิ่งพล่านเข้ามาในสนามราวกับจะแข่งหาผู้ชนะที่วิ่งมาถึงเป็นคนแรก ประกอบกับผมที่วิ่งเข้ามาถึงในสนามพอดี ไม่ช้าตัวผมก็ถูกกลืนเข้าไปอยู่ในฝูงชนฝูงใหญ่ที่กำลังเมามันส์อย่างสนุกสนาน
“ทุกคน!! มาครบรึยังเอ่ย!!” เสียงของพิธีกรซึ่งน่าจะเป็นประธานนักเรียนดังมาจากเวทีใหญ่กลางสนามซึ่งถูกนำมาตั้งไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว
“ขอเสียงหน่อยเร้ววว!!!” นักเรียนต่างคนต่างโห่ร้องสุดเสียงตามพิธีกร ผมต้องเอามืออุดหูเพราะกลัวแก้วหูจะแตกอีกรอบ ผมมองไปรอบตัว แอบเห็นเรสซ์และเกลที่มองหาผมแวบๆ ตามด้วยลีออนซึ่งอยู่อีกด้านนึงของฝูงชน ผมพยายามเคลื่อนไหวไปตามกลุ่มนักเรียนเพื่อไม่ให้ใครหาเจอ โดยเลือกที่จะเข้าไปใกล้เวทีให้มากที่สุด แสงจากเวทีจะได้ช่วยให้เห็นคนอื่นชัดยิ่งขึ้น
“เจอตัวแล้ว!!” เสียงของเจนเซ่นดังไม่ไกล มีคนกั้นระหว่างเขากับผมเพียงสี่ห้าคนเองเท่านั้น ผมรีบวิ่งอีกครั้ง ไม่นึกไม่ฝันว่าต้องกลับมาแหวกฝูงชนและแย่งอากาศหายใจกับคนอื่นอีก บ้าชะมัด
“รู้ใช่มั้ย! ว่าเรามารวมตัวกันที่นี่เพื่ออะไร!!” เสียงจากไมค์ดังแทรกมาเป็นระยะๆ ใจผมแทบจะหลุดออกมาจากอก ต้องวิ่งซ้ายทีขวาที ในหัวนั้นสับสน มึนงง กับภาพของคนแต่งชุดแฟนซีผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว
“เล่นเกมกัน!!!!” เหล่านักเรียนตะโกนก้องพร้อมกัน เริ่มแล้วสินะ... เกมปิดท้ายฮาโลวีน
“ถูกต้อง! เราจะมาเล่นเกมกัน!! เหมือนทุกปี ผู้ที่จะประกาศกติกาของเกมนี้ จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับตำแหน่ง “ราชาฮาโลวีน” หรือก็คือผู้ที่แต่งชุดได้สมจริง และสยองมากที่สุดนั่นเอง!!” พอพิธีกรพูดจบ นักเรียนก็ส่งเสียงเฮ้กันใหญ่ ในวินาทีนั้นเองลีออนก็โผล่มาจากข้างหลัง เขาล็อกตัวผมไว้ แล้วตะโกนเรียกเจนเซ่น ผมพยายามดิ้นสุดชีวิต ในขณะเดียวกันคนรอบข้างไม่สนใจผมเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างจดจ่ออยู่กับพิธีกรที่ยืนอยู่บนเวทีเล็กๆ
“และผู้ที่ได้ตำแหน่ง “ราชาฮัลโลวีน” ก็คือ.........” เขาพูดก่อนจะอ่านผลจากกระดาษ ส่วนผมกำลังมองดูเจนเซ่นแหวกคนเข้ามาเพื่ออัดผม ลิลลี่ เกล และเรสซ์ก็ตามมา พวกเขารุมล้อมผมอีกครั้ง เจนเซ่นชูหมัดขึ้นเหนือหัว ผมเบือนหน้าหนีพร้อมกับหลับตาปี๋...
“ราชาฮาโลวีนปีนี้ก็คือ!! แมต ฟิตซ์ ครับ!!!!” พิธีกรประกาศก้อง ทันในนั้นเองแสงจากสปอร์ตไลท์ก็ส่องเข้ามาตรงจุดที่ผมยืนอยู่ พวกเจนเซ่นชะงักเพราะเขากำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้าง ฝูงชนต่างตบมือยินดีกับอะไรสักอย่าง บางคนก็โห่ร้อง เอ๊ะ?.... เดี๋ยว? เขาประกาศชื่อผมเหรอ ไม่มั้ง? เอาจริงดิ?
“เชิญคุณขึ้นมาบนเวทีเลยครับ!” เจนเซ่นมองหน้าผมอย่างเคียดแค้นก่อนจะยอมปล่อยผมลง ทุกคนแหวกทางให้ผมขึ้นไปบนเวที ส่วนบางคนก็ทำท่าเหมือนไม่อยากเชื่อที่ผมได้รางวัล ผมเดินลากขาขึ้นไปอย่างโซซัดโซเซ ความรู้สึกตอนนี้ยิ่งกว่างง... ผมกำลังทำอะไร ผมมาจากไหน และผมจะไปที่ไหน.. พิธีกรผายมือให้ผมเดินไปยืนข้างๆเขา เมื่อมองลงไปก็เห็นนักเรียนทุกคนจ้องผมเป็นตาเดียว แสงไฟบนเวทีทำให้ผมแสบตา ผมทำอะไรไม่ถูกเลยแม้แต่นิด... “จากการสอดส่องของกรรมการเมื่อสักครู่ ทุกคนลงความเห็นว่า คุณคือผู้ที่แต่งตัวได้สมจริงมากที่สุด ทั้งสีเลือด รอยแผล ท่าทางการเดิน แม้แต่หน้าก็ยังซีดเหมือนจริงมากๆเลย คุณใช้เครื่องมืออะไรในการแต่งตัวครับ?” เขายื่นไมค์ถามพร้อมกับเอานิ้วจิ้มแผลที่แขน ผมร้องโอ๊ยทันที แต่คนดูกลับตลกเพราะคิดว่าผมแกล้งทำ…. “คือแบบ.... ผม เอ่อ... ใช้.. เอ่อ... แป้งข้าวเจ้า มาใส่น้ำ ผสมกัน แล้วก็ปั้น แล้วก็เอ่อ.. ใช้สีน้ำทาเอาน่ะครับ” พิธีกรพยักหน้า แต่เหมือนเค้าจะแอบไม่เชื่อมากกว่า แหม ใครจะเชื่อล่ะ คิดไปได้นะเรา ใช้แป้งข้าวเจ้าเนี่ยนะ?
“รู้สึกยังไงบ้างครับที่ได้รางวัลนี้?” จู่ๆทางทีมงามก็เอามงกุฎอันเล็กๆ รูปฟักมองและสายสะพายสีดำมาสวมให้ “ก็... ดีใจครับ” พิธีกรพยักหน้าอีกรอบก่อนจะพูดต่อ ผมมองลงไปข้างล่าง เจนเซ่นและเกลยืนดักรออยู่ที่ทางลงทั้งสองด้าน.... “ตามธรรมเนียมแล้ว ผู้ที่ได้รับตำแหน่งจะเป็นผู้ประกาศกติกาของเกมปิดท้ายฮาโลวีน โดยจะประกาศเกมแบบไหนก็ได้ตามใจของผู้คิด ไม่ทราบว่าเกมของคุณ จะเป็นเกมอะไรดีครับ?”
พวกเจนเซ่นดูคล้ายจะเริ่มทนไม่ไหว เขาก้าวเท้าขึ้นมาบนเวทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สาวๆซึ่งอยู่ข้างล่างต่างกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ แต่หารู้ไม่ว่าพวกเขากำลังจะขึ้นมาอัดผม แต่ละคนทำท่าราวจะกินเลือดเนื้อ ผมกลัวพวกเขาสุดๆ หรือผมกำลังจะโดนรุมต่อหน้าสาธารณะชน?
“คุณฟิตซ์ครับ? คิดได้หรือยังเอ่ย?”
พวกเจนเซ่นอยู่ห่างจากผมไม่กี่ก้าว ผมรีบคว้าไมค์ออกมา พร้อมกับเค้นความคิดออกจากหัว “เกม...ก็คือ.... เอ่อ....” เจนเซ่นเอื้อมมือจะคว้าผมไว้ แต่ผมหลบ เกลที่อยู่ด้านหลังก็พยายามดึงเสื้อ คนดูข้างล่างเริ่มงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“ปล่อยสิ!!” ผมร้องบอก แต่ทุกคนยังพยายามดึงทึ้งตัวผม “โถ่เว้ย.... ห... ห้าคนแรกที่เอ่อ... ขึ้นมาจับตัวพวกเขาได้ โอ๊ย!... จะได้เป็นแฟนกับ... ปล่อยเซ้!! ได้เป็นเฟนกับ เจนเซ่น ลิลลี่ เรสซ์ เกล และลีออน 1 เดือน ขึ้นมาเลือกเลย!!!!!” เสียงของผมดังก้องไปทั่ว......
คนดูยืนนิ่ง..... ทุกอย่างเงียบเชียบ.... พวกเขามองผม... ราวกับฟ้าที่สดใสก่อนพายุเข้า เริ่มด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าด เสียงฮือฮา ต่อจากนั้นก็เริ่มเป็นฝูงที่บีบอัดเข้ามาใกล้เวที ทุกคนต่างพยายามยื้อแย่งกันขึ้นมาข้างบน ผมตกใจ รู้สึกราวกับว่าแผ่นดินไหว
“ฉันจะเอาลีออน!!!” เสียงผู้หญิงดังขึ้น
“จะเอาเกลโว้ย!!!!” กลุ่มชายโฉดตะโกน
“เจนเซ่นของฉัน!!!!!!” กลุ่มหญิง และชาย? แหกปากเสียงดังลั่น ความชุลมุลเกิดขึ้น ทุกคนพยายามแย่งกันปีนขึ้นเวที เจนเซ่นและคนอื่นๆปล่อยผม ในขณะที่เวทีเริ่มสั่นสะเทือน พิธีก่อนพยายามกล่าวห้ามไม่ให้พวกเขาถาโถมเข้ามา แต่ไม่ช้า คนเป็นสิบก็เริ่มอัดกันบนเวที ในขณะที่คนข้างล่างดันกันมาเรื่อยๆ บางคนที่จับโครงเหล็กของเวทีไว้ก็ต้องเอียงตัวพร้อมๆกับเสา ทำให้เวทีสั่นสะเทือน เป้าหมายของทุกคนคือการขึ้นมาจับตัวหนุ่มสาวสุดแสนเพอร์เฟ็คในฝัน ไม่มีใครสนใจผมแม้แต่นิด บางคนแทบจะเหยียบหลังผมด้วยซ้ำ ผมรีบมุดไปมาทางหว่างขาของนักเรียน สภาพตอนนี้เหมือนปลากระป๋องยักษ์ที่กำลังถูกอัดแน่น ผมคลานไปเรื่อยๆแล้วตกเวทีลงไปบนพื้นหญ้าโดยไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่ไม่เจ็บมาก ผมลากตัวออกให้ออกไปไกลจากสนามฟุตบอลให้ได้มากที่สุด
“โอ.... พระเจ้า” ผมเอามือปิดปาก แทบไม่อยากเชื่อภาพที่เห็นตรงหน้า ลมที่พัดแรงประกอบกับคนเป็นพันที่กำลังโยกเสาเวที ทำให้มันค่อยๆเอียง... เอียงไปเรื่อยๆ... เสาบางอันหัก ไม้บนเวทีไม่สามารถรับน้ำหนักขนาดนั้นได้ บางคนเริ่มหล่นลงสู่เบื้องล่าง ในที่สุด เวทีก็ถล่มลงมา เสียงกรีดร้องดังระงม ทุกคนที่อยู่ข้างล่างวิ่งกันกระเจิง คนที่อยู่ข้างบนก็พยายามกระโดดลงพื้น ทั้งไม้และเหล็กกระทบกับดังเคร้งคร้าง ทุกอย่างกำลังวินาศสันตะโร ผมได้แต่ยืนมองหายนะที่เกิดขึ้น... เป็นความผิดผมหรือเปล่าเนี่ย?
ในตอนแรกผมกะว่าจะเข้าไปช่วย แต่เมื่อได้ยินเสียงหวอของรถตำรวจที่กำลังทยอยเข้ามาก็ค่อยเบาใจ.... ตำรวจมาแล้ว... ผมลงไปกองกับพื้นด้วยความเหนื่อย หนังตาหย่อนลงโดยอัตโนมัติ คราวนี้น่าจะได้หลับจริงๆสักที... หรือเปล่านะ?
“อ.... ไอ้... ต ตัว... เด!!!” เสียงของลิลลี่ดังมาแต่ไกล ท่าทางเธอเดินแปลกๆคล้ายกับคนที่ขาหักไปข้าง แต่ยังสามารถฝืนลากขาตัวเองได้อยู่ คนที่เหลือก็ลุกขึ้นมาจากซากปรักหักพัง ต่างคนต่างมีสภาพที่ดูไม่จืด บางคนผิวหนังก็ลอกออกทำให้มองเห็นเครื่องจักรที่อยู่ข้างใน นักเรียนที่ไม่รู้เรื่องพยายามจะเข้าไปดูอาการแต่ก็ถูกพวกเขาผลักออกมา เพราะตอนนี้เป้าหมายของเหล่าหุ่นยนต์คือ ฆ่าผมซะ!
“จบได้แล้วสิเว้ยย!!!” ผมลุกขึ้นวิ่งต่อ เริ่มเบื่อหน่ายและคิดท้อใจว่าจะต้องวิ่งแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่? แล้วจะหนีไปไหนดี?... ผมมองไปข้างหน้า เห็นแต่ตึกกิจกรรม ผมจึงวิ่งเข้าไปข้างในตึก พวกนั้นตามมา ผมจึงมองหาของที่พอจะช่วยอะไรได้บ้าง เมื่อล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองก็พบว่ามีปากกา สมุดบันทึกของครูใหญ่.... และ.... กุญแจรถ... ใช่แล้ว กุญเจรถของครูใหญ่ที่ผมเก็บมานี่นา!... ว่าแล้วก็รีบพุ่งตัวลงบันใดไปชั้นใต้ดิน ผมกลับมาที่ลานจอดรถอีกครั้ง.... พบว่ารถคันที่โดนแม่มดทุบไปยังอยู่ ไม่มีใครลงมาเลยหรือนี่?...
ผมกดปุ่มบนกุญแจเพื่อฟังเสียงสัญญาณรถ รถเก๋งคันสีดำของครูใหญ่กระพริบไฟสองที ผมจึงตรงไปที่รถคันนั้น เปิดประตูด้านคนขับแล้วเข้าไปนั่ง พวกหุ่นยนต์บุกเข้ามาพอดี พวกเขาเห็นผมแล้ว!! ผมรีบเสียบกุญแจแล้วบิด เครื่องยนต์ทำงาน ผมถอยรถออก พร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัย พวกเจนเซ่นกระโจนเข้ามาจับหลังรถ แต่ผมไม่สน เลี้ยวหัวแล้วขับไปยังทางออกทันใด...
ในที่สุดผมก็ออกมา... ออกมาจากโรงเรียนอีกครั้ง... ผมถอนหายใจยาว ขับรถสวนกับตำรวจที่กำลังเลี้ยวเข้าโรงเรียน ผมคิดสักพักว่าจะหยุดดีไหม แต่คิดว่าตำรวจคงจะจัดการทุกอย่างได้ สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดในตอนนี้คือออกไปให้ไกล... ไกลจากที่นี่ให้มากที่สุด ไปให้ไกลจากโรงเรียน..!! ผมคิดแล้วขับออกไป... จากไปโดยไม่มีวันหวนกลับ.....
เมื่อขับออกมาได้สิบกว่ากิโล ผมก็หยุดรถแล้วสงบสติอารมณ์ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น... ในหัวทบทวนว่าคืนนี้ตัวเองเจออะไรมาบ้าง... เริ่มตั้งแต่โดนกักบริเวณ โดนไล่ฆ่า สุดท้าย... ก็มาจบลงตรงนี้ ในรถ กลางถนน ทำไมเรื่องพวกนี้ต้องเกิดกับผม... ทำไม? แล้วต่อจากนี้จะเป็นยังไง ผมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ? โรงเรียนจะยังเปิดอยู่ไหม? หรือผมจะต้องย้ายโรงเรียน เรื่องทั้งหมดมากเกินกว่าที่จะรับไหว ผมเอนตัวลงบนเบาะ... รู้สึกผ่อนคลาย หลับตาลง ในที่สุด.....
ผมรู้สึกถึงอากาศหนาวแม้จะปิดแอร์แล้วก็ตาม มันเย็นไปหมด... เย็นจนตัวชา... ทั้งขา แขน ตัว หน้า... และเย็นวาบๆเป็นพิเศษตรงคอ... ไม่สิ.... มันเหมือนมีอะไรเย็นๆมาจ่อที่คอมากกว่า.... เดี๋ยวนะ!!
“ไงจ๊ะ....เด็กเอ๋ย?!!” ผมลืมตาโดยพลัน มีดผ่าตัดกำลังจ่อคอผมอยู่ ตัวการมาจากด้านหลัง... ครูใหญ่นั่นเอง... เธอซ่อนอยู่ตรงเบาะหลังโดยตลอด... นี่เธอแอบงัดเข้ามาในรถตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรือ?
“เพราะเธอคนเดียว!....” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงอำมหิต เธอจ่อมีดใกล้ขึ้นอีก ผมได้แต่นั่งตัวเกร็ง “ตอนนี้.... ก็มีแค่เธอ...” ครูใหญ่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก “กับฉัน” เธอพูด ปากยิ้มกว้าง ดวงตาจ้องจะคร่าชีวิต
“น่าตลกนะ รู้ไหม? ฉันใช้เวลาเป็นสิบปี ในการสร้างสรรค์ทุกอย่าง เพื่อให้ฝันของฉันเป็นจริง แต่แก!!! แกใช้เวลาเพียงคืนเดียว ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันสร้าง!! แกทำให้ฉันต้องฆ่าคน แกทำให้ฉันเสียลูกน้อง ทำให้ฉันเสียเวลามาทดลองนู้นนี่ก็เพราะแก!! แกทั้งนั้น!!!” หญิงสาวกล่าวอย่างบ้าคลั่ง เธอแทบไม่เหลือเค้าของความเยือกเย็น
“เอาล่ะ!... คราวนี้... บอกมาซิว่าแกจะรับผิดชอบยังไง? รับผิดชอบทุกอย่างที่เสียหายยังไง บอกฉันมา!!” เธอจิกหัวผมแล้วจับกระแทกกับพวงมาลัยอย่างแรง ผมรู้สึกว่าหัวหมุนติ้ว ทำอะไรไม่ถูก “เด็กอย่างแกมีแต่จะทำให้โลกมันหนักเปล่าๆ แกไม่เคยทำอะไรดีๆ หนำซ้ำยังทำลายอนาคตของโลกเรา อย่างแกน่ะ ยิ่งกว่าเศษสวะ! แค่ตายมันยังไม่สาสมหรอก! ไอ้เด็กที่พ่อแม่ไม่เอา!!!” สิ้นเสียงของเธอผมก็รู้สึกฟิวส์ขาด
“อ๋อ... เหรอ?” ผมกล่าวเบาๆ
“แกว่าไงนะ”
“ทำไมคุณถึงไม่เลิกครวญครางแล้วเดินหน้าต่อสักที! รู้อะไรมั้ย ผมเคยได้ยินไอ้คำแก้ตัวชุ่ยๆพวกนี้มามากพอแล้ว!”
“เงียบนะ!!!” ครูใหญ่ตวาด
“รู้มั้ยว่าทำไมคุณถึงฆ่าคน!!”
“หยุดพูด!!”
“เพราะคุณเลือกเอง!!! คุณเลือกที่จะฆ่าคนเอง!! มันไม่มีใครให้คุณโทษหรอก.. เพราะฉะนั้นทำไมไม่เลิกงอแงแล้วรับผิดชอบสิ่งชั่วๆที่ตัวเองทำสักทีสิเว้ยยย!!!”
“หุบปากกกกกก!!!” หญิงสาวตะโกนเสียงดังก้อง เธอกดมีดลงบนคอ ผมกรีดร้อง เลือดไหลเป็นทางยาวลงคอเสื้อ แม้ว่าแผลจะไม่ลึกพอที่จะตัดหลอดลมให้ขาด แต่ผมแทบจะรู้สึกว่าลมหายใจในปอดกำลังรั่วออก “ปากดีนักนะ!!!” เธอใช้มืออีกข้างบีบคางผมอย่างแรงก่อนจะสะบัดมือออก “สตาร์ทเครื่องซะ แล้วขับไปตามที่ฉันบอก ไม่อย่างนั้น มีดได้ไปปักอยู่ในคอเน่าๆของแกแน่!!”
ผมทำตามคำสั่งโดยไม่เต็มใจ รถเคลื่อนตัวออกไป ถึงพยายามบังคับให้ผมเลี้ยวซ้ายที ขวาที ความอึดอัดสุมอยู่เต็มอก และมีดที่จ่ออยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะคลายกำลังลงเลย ยิ่งผมขับไปก็ยิ่งรู้สึกว่าจะออกจากตัวเมืองมากขึ้นทุกที ในที่สุดผมก็อยู่ท่ามกลางถนนว่างเปล่าและต้นไม้สูงที่รายล้อมข้างทาง
“เอาล่ะ..... เดี๋ยวอีกสักไมล์นึงก็จอดรถซะ แล้วเราจะมาคิดบัญชีกัน” เธอกล่าว
ผมขับไปเรื่อยๆจนใกล้จะครบไมล์นึง เธอกำชับให้ผมจอดทันที ไฟรถข้างหน้าส่องให้เห็นเพียงแต่หมอกหนาในยามค่ำคืน หญิงสาวยิ้มเหี้ยม ผมมองเห็นความสะใจในดวงตาของเธอผ่านทางกระจกมองหลัง ในที่สุดเธอก็โน้มตัวจากเบาะหลังเข้ามาใกล้ เงื้อมีดตั้งท่าจะพุ่งแทงมันลงกลางอกผม “เอาล่ะ นิทานจบแล้ว.... เธอมีอะไรจะสั่งเสียหรือเปล่า”
ไม่นะ..... ผมกลืนน้ำลาย สูดลมหายใจเข้า พยามคิดหาวิธีรอด จะเอื้อมมือไปเปิดประตูออกก็คงไม่ทัน มีดนั่นแทงเข้าหัวใจผมก่อนชัวย์ ผมจะทำอย่างไรดี?
“โอ๋.... เด็กน้อย นิทานของเธอมันจบแล้วนะจ๊ะ ไม่ทราบว่าเธอได้ข้อคิดอะไรจากเรื่องนี้บ้างเอ่ย? หือ?” หญิงสาวกล่าวก่อนจะหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง เสียงเธอไม่ต่างจากแม่มดเลย... ผมหลับตาลง ไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมหรือไม่ หรือมันจะเป็นวิธีที่ถูกต้องหรือเปล่า แต่.... ผมไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว....
“ได้สิ.... ฉันได้ข้อคิดแล้ว....”
“อ๋อ! เหรอ? ข้อคิดอะไรล่ะจ๊ะ?” ครูใหญ่กล่าวสำเนียงเยาะเย้ย ในขณะเดียวกัน ผมก็นิ่งสงบ แล้วสูดลมหายใจเฮือกสุดท้าย
“นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า........”
“โปรดคาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับรถ....”
“หา....? อะไรน......”
ผมเหยียบคันแร่งสุดแรง!!! รถพุ่งฉิวด้วยความเร็วสูงสุด ภาพตรงหน้าผ่านตาไปอย่างรวดเร็วจนมองอะไรไม่ออก ตัวผมแนบชิดกับเบาะนั่งด้วยแรงลมที่ดันเข้ามา ครูใหญ่เสียหลักหน้ากระแทกกับกระจก เธอตั้งหลักได้อย่างยากลำบากก่อนจะควานหามีดที่ตกหล่น แต่ผมไม่สนใจ ไม่สนแม่แต่จะเตะพวงมาลัยด้วยซ้ำ รู้เพียงแต่ว่าต้องเหยียบคันเร่งให้สุดชีวิต ท้ายที่สุด หญิงสาวเจอมีดพอดี เธอยิ้มเยาะ ก่อนจะเหวี่ยงมีดเข้ามา วินาทีนั้นเองที่ต้นไม้ต้นใหญ่ประทะกับตัวรถอย่างจัง
โครมม!!!
เสียงชนดังสนั่นหวั่นไหว รถยนต์กระเด็นออกแล้วหมุนตัวกลิ้งเข้ากลางถนน มันหมุนตัวกลางอากาศสี่ห้ารอบ ผมที่อยู่ข้างในรู้สึกราวกับโลกทั้งใบกำลังเหวี่ยงไปมา กระจกในรถแตกกระจายปลิวว่อนอยู่ในอากาศ หัวหมุนติ้วๆ เลือดไหลเวียนไม่ทัน แรงกระแทกทำให้ผมบาดเจ็บอย่างรุนแรง แต่รถที่อยู่กลางถนนยังโคลงเคลง ผมเริ่มคิดว่าตัวเองกำลังเล่นรถไฟเหาะ ไร้แรงโน้มถ่วง... สุดท้ายรถก็หงายท้องขึ้นแล้วหยุดอยู่อย่างนั้น ควันลอยโขมงไปทั่วบริเวณ ไฟหน้ารถกะพริบเป็นจังหวะ
ผ่านไปสองถึงสามนาที ผมเริ่มได้สติ พบว่าตัวเองกำลังห้อยหัวอยู่ เนื่องจากคาดเข็มคัดนิรภัยไว้ แต่ครูใหญ่นั้นนอนราบอยู่ข้างๆ แรงอัดจากตัวรถทำให้เท้าของเธอติดอยู่กับซอกเบาะ ผมเริ่มได้กลิ่นน้ำมัน...
ไม่นะ... ต้องออกไปจากรถคันนี้ให้เร็วที่สุด!! ผมรีบเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดออกก่อนจะร่วงลงมากองข้างล่าง จากนั้นก็พยายามใช้มือคว้าขอบรถเพื่อดันตัวเองออกไปทางหน้าต่าง
“ช่วยด้วย....” หญิงสาวกล่าวเสียงแผ่วเบา ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยเลือด ศีรษะรอยแผลจากการโดนกระแทกอย่างแรง “ช่วยด้วย....”
ผมลากตัวเองออกมาได้ครึ่งตัว ทำให้เห็นน้ำมันที่กำลังรั่วไหลนองอยู่เต็มพื้น จึงต้องพยายามเอาตัวเองออกมาให้เร็วที่สุด แม้ขาจะครูดกับเศษกระจกบ้าง
“ช่วยด้วย....” ครูใหญ่ยังคงออกออกเสียง แต่มันเบาเกินกว่าที่ผมจะได้ยิน
ในที่สุดผมออกมาได้ แต่ยังพยายามออกไปให้ไกลจากรถที่สุด เมื่อผมแน่ใจว่าออกมาจากถนนแล้ว ก็พิงตัวเองเข้ากับต้นไม้ พร้อมกับมองเข้าไปในรถ... หญิงสาวกำลังมองออกมา เธอพยายามพูดอะไรบางอย่าง
“ช่วยด้วย!....”
ตู้มม!!!
เสียงรถระเบิดดังก้องไปทั่วบริเวณ ไฟลุกท่วมทั้งคัน ชิ้นส่วนบางอย่างของรถกระจายออกมา ผมเบือนหน้าหนีความร้อน เมื่อมองกลับมาก็เห็นเพียงภาพของรถที่กำลังถูกเพลิงสีแดงเผาผลาญ....
ช่วยด้วย.....
ผมยังคงได้ยินเสียงนั้นก้องอยู่ในหู แม้ว่าจะไม่มีใครพูดเลยก็ตาม...
และนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมรู้ ก่อนจะตื่นมาอีกทีที่โรงพยาบาล..........................
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
โปรดติดตาม บทส่งท้าย....
KiT
Ta
ขอขอบคุณธีมสวยๆจากคุณTHE'KITTA
.ด้วยครับ
ความคิดเห็น