คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..
กาลครั้งหนึ่งหนึ่งนานแล้ว….. ในอาณาจักรอันแสนสุขและสวยงาม ประชาชนต่างยินดีปรีดาเมื่อกษัตริย์อันเป็นที่รักของพวกเขากำลังจะเข้าสู่พิธีอภิเษกสมรสกับหญิงสาวผู้ซึ่งงดงามที่สุดในปฐพี ทั้งคู่ปฏิญาณรักว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ไม่นานพวกเขาก็มีให้กำเนิดลูกตัวน้อยๆแสนน่ารัก และครอบครัวนี้ก็ปกครองเมืองด้วยความชาญฉลาดและความยุติธรรมอย่างมีความสุขตลอดไป.....
เดี๋ยวๆๆๆๆๆ!! คุณคิดว่าเรื่องของผมมันเป็นแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ? มีความสุขชั่วนิรันดร์? ไม่เอาน่า! ถ้าผมมีความสุขจริงๆผมคงจะไม่มาเสียเวลาเล่าชีวิตอันแสนสมบูรณ์แบบให้พวกคุณฟังหรอก
พวกคุณก็คงจะรู้ ว่าหากมีนิทานเรื่องใดก็ตามที่ขึ้นต้นด้วยประโยคสุดฮิตว่า “กาลครั้งหนึ่งหนึ่งนานแล้ว” นั่นหมายความว่าคุณกำลังจะได้อ่านเรื่องราวของเจ้าชาย เจ้าหญิง หรือเด็กๆ ผู้ซึ่งมีความกล้าหาญ ยุติธรรม และเป็นคนดียิ่ง ต่อสู้กับแม่มดใจร้าย มังกรสุดโหด หรือหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ และพวกคุณก็คงจะรู้อีกเช่นกันว่าเรื่องราวทั้งหมดก็จะจบลงตรงที่ฮีโร่ของพวกเราสามารถเอาชนะเหล่าร้ายได้และพวกเขาก็จะมีความสุขชั่วนิรันดร์...
อย่างที่บอก ความสุขชั่วนิรันดร์มันเหลวไหลพอๆกับที่โกโบริจะใช้คอปเตอร์ไม้ไผ่บินไปรออังสุมารีที่ทางช้างเผือกนั่นเหละ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมจะไม่ขึ้นต้นเรื่องนี้ด้วย “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” เพราะมันไม่ใกล้เคียงกับนิทานพวกนั้นแม้แต่น้อย
อันที่จริงผมอยากให้คุณนึกถึงภาพของยุคปัจจุบัน นึกถึงภาพตึกราบ้านช่อง ถนนและทางด่วนที่คดเคี้ยวยิ่งกว่างู และรถยนต์พาหนะต่างๆที่ค่อยเคลื่อนตัวไปตามถนน ก็ประมาณนั้นล่ะนะ นี่เหละคือสถานที่ตามชีวิตจริง ไม่มีปราสาท ไม่มีเจ้าชาย เจ้าหญิง และไม่! ไม่มีคอปเตอร์ไม้ไผ่ เอาล่ะ.... คราวนี้ก็ให้นึกถึงภาพของเด็กผู้ชายอายุสิบเจ็ดคนนึง ผมสีดำยาว มัดผมแบบหางม้า สูงแค่ ร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร หน้าตาก็ไม่ได้ดีอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดหรอกนะ กำลังแบกเป้อันใหญ่ สัมภาระต่างๆเต็มมือ สวมกางเกงยีนส์ เสื้อยืดสีขาว เสื้อกันหนาวสีดำ และยืนท่ามกลางสายฝนบนถนนอันเปล่าเปลี่ยว นั่นเหละคือผมเอง...
ถึงตอนนี้บางท่านอาจกำลังสงสัย ผมยืนตากฝนทำไม แบกสัมภาระไปไหน ผมมาจากไหน ทำไมอายุสิบเจ็ดแต่สูงแค่ร้อยหกสิบห้าเซน บลาๆๆๆๆ... งั้นผมจะตอบให้ คำตอบก็คือ... ผมไม่รู้! ใช่ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าผมจะไปไหน และทำไมถึงยืนตากฝน (ส่วนเรื่องความสูงคงจะเป็นกรรมพันธุ์ล่ะมั้ง?) อันที่จริงผมเพิ่งจะถูกไล่ออกจากบ้าน ถูกต้องแล้วล่ะ.... ถูกครอบครัวไล่ออกจากบ้าน... เดี๋ยวก่อน ผมรู้ว่าคุณคิดอะไร! อย่าเพิ่งคิดไปไกล ผมไม่ใช่คนเลว อันที่จริงผมไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำ แต่ทำไมผมถึงถูกไล่ออกจากบ้านน่ะเหรอ เอ่อ... เรื่องมันยาว เอาไว้ให้พวกเราสนิทกันมากกว่านี้แล้วผมจะบอกคุณก็แล้วกัน มันค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะ…
ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลยสินะ ผมชื่อแมต ฟิตซ์ อายุสิบเจ็ดปี แต่คนมักจะเข้าใจว่าผมอายุสิบสามหรือสิบสี่ เพราะความสูงซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานสุดๆ จนอาจจะเรียกได้ว่าพิการทางความสูงเลยทีเดียว สถานะตอนนี้ของผมคือคนไร้บ้าน เสียดายที่ไม่ได้อัพเดทสถานะนี้ลงเฟซบุคหรือทวิตเตอร์ เพราะผมใช้เวลาทั้งคืนในการลากสัมภาระไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้จะไปที่ไหน แทบไม่เชื่อตัวเองด้วยซ้ำที่สามารถขนของหนักๆ พวกนี้มาตั้งแต่เมื่อคืน จนตอนนี้ก็ใกล้จะเช้าแล้ว
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
แสงแรกของพระอาทิตย์ส่องผ่านเมฆฝนทำให้บรรยากาศตอนนี้อึมครึมและหนาวเย็น สองข้างทางของผมคือบ้านของผู้คนเรียงรายไปตามทางยาว ทุกบ้านปิดประตู หน้าต่างแน่นหนาเพราะยังไม่เช้าเท่าไหร่ บนถนนไร้ผู้คน เปียกชื้น และหดหู่
คุณเคยเป็นคนไร้ที่อยู่มั้ย?
ผมเดาว่าไม่เคย
ชีวิตของคนเราต้องเจอปัญหาทุกวัน งานของคุณอาจจะหนัก ครูของคุณอาจจะให้การบ้านเยอะ อาทิตย์หน้าคุณอาจจะมีสอบ แฟนคุณอาจจะบอกเลิก แต่ไม่ว่าคุณจะเจอปัญหาหนักแค่ไหน คุณก็รู้ว่าคุณยังมีบ้าน... มีที่ๆคุณจะได้พักผ่อน ที่ๆคุณจะตัดขาดตัวเองออกจากโลกอันแสนโหดร้ายและทำในสิ่งที่คุณชอบ สิ่งที่คุณรัก ที่ๆคุณไม่ต้องแสแสร้งหรือยิ้มโง่ๆเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับใคร ที่ๆคุณยังมีครอบครัว... ไว้คอยปลอบใจ ที่สุดท้าย ที่คุณจะรู้สึกปลอดภัยที่สุด
คุณคงจะพอจินตนาการออกแล้วนะ ว่าถ้าไม่มีบ้านอยู่ มันจะเป็นยังไง
เวลาที่คุณมองไปรอบตัว แล้วเกิดคำถามว่า คุณจะอยู่ที่ไหน? มันรู้สึกเปล่าเปลี่ยว เหงา จะเดินไปทางไหนดี? ผมไม่รู้จักใครสักคน... นั่นเหละคือความรู้สึกของผมตอนที่เดินอยู่บนถนนเวลานี้
ครืด... ครืด... เสียงลากกระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้าและสิ่งของส่วนตัวดังเป็นจังหวะ ตลอดทางที่เดินมา เสียงนี้คอยดังตามตัวราวกับเป็นเงา ผมก้มหน้าลงต่ำ ดวงตาเหม่อลอย มองพื้นใต้เท้าที่ค่อยๆ เลื่อนไปตามทาง มือที่ลากกระเป๋ายังคงสั่นเทา สายฝนจำนวนมากตกลงมากระทบพื้นผิว แต่น่าแปลก ที่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ทุกอย่างมันเงียบ.... เงียบจนอึดอัด
เคยรู้สึกไหม อาการที่อยู่ๆ เราก็รู้สึกไม่ปลอดภัย รู้สึกเหมือนกับว่า แค่เดินผ่านตรงนั้นไป ก็จะมีอะไรบางอย่างกระโจนออกมาจากพุ่มไม้แล้วฆ่าเราซะ มันเป็นความระแวงที่แปลกประหลาดและไร้ที่มา อาการนั้นเหละที่ผมกำลังเป็นอยู่ ผมเริ่มมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากความว่างเปล่า
ทำไมอากาศถึงหนาวอย่างนี้นะ? ผมหยุดเดินแล้วโอบเเขนตัวเอง รู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังขนลุก และผมรู้ดีว่าไม่ได้ขนลุกเพราะความหนาว ยิ่งไปกว่านั้น หัวใจผมยังเริ่มเต้นถี่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมนะ?
เสียงอะไร?
คุณได้ยินไหม? ผมไม่แน่ใจว่าเสียงมันเป็นแบบไหน เป็นเสียงที่ผมถ่ายทอดมาเป็นตัวอักษรไม่ถูก ผมเริ่มหายใจหนักหน่วงขึ้นจนเห็นเป็นไอ ผมหันหลังกลับไปดู คราวนี้มองให้ละเอียดขึ้น แต่ยังคงไม่มีอะไรนอกจากความหนาว และในตอนนั้นเองตัวผมก็แข็งทื่อ
ผมรู้สึกได้เลย ถึงบางสิ่งที่อยู่หลังผม ไม่ไกล้ไม่ไกล ผมไม่กล้าหันกลับไป รู้เพียงแต่ว่าหากหันกลับไปผมจะต้องเจอกับสิ่งนั้นแน่ๆ
ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ร่างกายเกร็งจนปวด ภาวนาในใจว่า อะไรก็ตามที่อยู่ข้างหลัง ขอให้มันไปเสียที
ความเงียบที่เกิดขึ้นช่างทรมาน อึดอัด และกดดัน เป็นความเงียบที่อำมหิต และเยือกเย็น ราวกับมันกำลังบาดลึกลงไปในผิวหนัง ไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้นเลย แต่มันกลับช่างสั่นประสาทยิ่งนัก
ผมเงียบ จนกระทั้งเสียงของบางอย่างแทรกมา ดัง “ฉึก”ความสงสัยเกิดขึ้น ผมจำเป็นต้องหันกลับไป และเงยหน้ามองตรง นั่นเองที่ทำให้ผมเพิ่งจะเห็น“เธอ” เธอที่ยืนนิ่งใส่ชุดคลุมสีดำยาว... เธอที่ใส่หน้ากาก... หน้ากากของหญิงชราผิวหนังเหี่ยวย่น มีตุ่มขึ้นเต็มไปหมด เธอที่ถือมีดเปื้อนของเหลวสีแดง เธอที่กำลัง.... จ้องมองผม
มองผ่านช่องหน้ากากหญิงชรา คือความมืดมิดที่ไม่มีสิ้นสุด เมื่อผมจ้องมองก็รู้สึกทันที ผมรู้ว่าเธอกำลังจะทำอะไร สายฝนที่ตกลงมาชำระล้างเลือดบนมีดเล่มนั้นไหลลงมาบนพื้น ไม่ช้า เธอก็เริ่มขยับเเขน และเพียงวินาทีเดียวที่ผมเห็นมีดนั้นเคลื่อนไหวเข้ามา ผมก็สะดุ้งเฮือก! เท้าถอยหลังเองโดยอัตโนมัติ
ผมต้องวิ่ง!... หันหลังกลับ และวิ่งสุดชีวิต ทิ้งสัมภาระลงตรงนั้น ไม่สนใจอะไรอีก วิ่งไปให้ไกลที่สุด ความเย็นเข้าปะทะใบหน้า ท้องรู้สึกโหวงเหวง เสียงรองเท้าของคนสองคนที่กำลังไล่ล่ากันกระทบพื้นถนนดัง ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!ตึก! ราวกับมันเป็นเสียงของจังหวะการเต้นหัวใจ ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
กลิ่นคาวน่าสะพรึงกลัว ลอยมาตามลม และยิ่งกลิ่นชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่ เธอก็เข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเท่านั้น มือที่กำลังเงื้อมีดข้างหลัง เห็นเป็นเงาทอดยาวเพราะแสงไฟข้างทาง มันบิดเบี้ยว และเรียวยาวเหมือนมือของแม่มด... ใช่... เหมือนหน้ากากหญิงชราของเธอ มันคือหน้ากากแม่มด
ผมกำลังวิ่งสู่ความว่างเปล่า ท่ามกลางสายฝน และในตอนนั้นคมมีดก็ตวัดบาดหลังอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นเข้ามา ผมชะงักลงและกรีดร้องด้วยความตกใจ ผมล้มลงหน้าแนบกับพื้นที่เย็นเฉียบและเปียกแฉะ กลัว... พรั่นพรึง... หวาดผวา ... เธอเงื้อมีดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับพุ่งปลายแหลมลงมาอย่างรวดเร็ว ผมพลิกตัวได้ทัน มีดจึงกระทบกับพื้นคอนกรีตดัง“แคร้ง!!”
ในวินาทีนั้นเอง ที่ผมเพิ่งจะรู้ตัวจริงๆว่า ตัวเองกำลังจะตาย เพียงแค่พลาดนิดเดียว มีดเล่มนั่นก็จะพุ่งผ่านทะลุผิวหนัง ชั้นไขมัน เส้นเลือดฝอย และปลายทางสุดท้ายคือหัวใจ... ตลกใช่ไหมล่ะ คุณเพิ่งถูกไล่ออกจากบ้าน ต้องออกมาร่อนเร่บนถนน แล้วตอนนี้ ก็มีใครไม่รู้ถือมีดจะเข้ามาฆ่าคุณ ฟังดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย แต่...ด้วยความที่ผมดูหนังจำพวกสยองขวัญเยอะ ผมจึงค่อนข้างจะมีประสบการณ์ในการตั้งข้อสันนิษฐานสำหรับเหตุการณ์ต่างๆ ในกรณีนี้ผมมีสามทฤษฏีด้วยกัน
-(หนึ่ง) เธออาจเป็นคนบ้าเสียสติที่เพิ่งหนีออกมาจากโรงพยาบาล และตอนนี้เธอกำลังดักซุ่มรอฆ่าคนทีละคนในวันฮัลโลวีน
-(สอง) เธอเป็นเด็กสาวใจแตกอายุสิบห้าที่เพิ่งจะหนีออกจากบ้านโดยการปลอมตัวเป็นแม่มด และเข้าใจผิดว่าผมคือแฟนเก่าของเธอที่ทิ้งเธอไป จึงคลั่ง โมโห จะฆ่าผมให้ตายไปซะ(ยอมรับว่าข้อนี้เพ้อเจ้อไปหน่อย)
-(สาม) เธอคือฆาตกรที่เพิ่งจะฆ่าคนมาหมาดๆ และผมก็เดินมาผิดจังหวะจึงรู้เห็นการฆาตกรรมที่เกิดขึ้น เธอจึงจะฆ่าผมปิดปาก
อย่าหาว่าผมโม้นะ แต่ความคิดทั้งหมดมันเกิดขึ้นในหัวผมเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง แต่ทว่า...มันดันเป็นเสี้ยววินาทีเดียวกันกับตอนที่เธอพุ่งปลายมีดตรงมายังลำตัวของผม และเสียบมันเข้าไป ผมมองดูตอนที่มีดเล่มนั้นเสียบเข้าผิวหนังอย่างนุ่มนวล เหมือนส้อมที่จิ้มลงบนเนื้อเค้ก ผมกรีดร้อง... แต่น่าแปลกที่ผมไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ในหูมีเพียงเสียงเล็กแหลมดัง “วี้.............................” ก้องกังวานแสบแก้วหู และมันกำลังดังขึ้นเรื่อยๆ ผมเข่าอ่อน ดวงตาเบิกโพลง ภาพที่เห็นจางลงกลายเป็นสีขาวดำ เหมือนฉากจบของละครเศร้าที่เคยดูตอนเด็กๆ แม่มดดึงมีดออกโดยไม่สะทกสะท้าน แล้วปล่อยให้ผมนอนลงบนพื้นถนนด้วยความเจ็บปวด ร่างกายของผมกระตุกเล็กน้อย ไม่มีใครมาช่วยผม ภาพสุดท้ายที่เห็นคือท้องฟ้าสีดำมืดครึ้ม และสายฝนซึ่งตกลงมาชะล้างเลือดที่ไหลไปตามถนน ...เลือดสีแดงฉาน... มันกำลังไหลเรื่อยๆ สู่ความมืดมิด
ผมไม่คิดมากหรอกนะว่าจะตายยังไง สักวันผมอาจจะแก่ตาย หรืออาจจะโดนรถชนตายอะไรทำนองนั้น แต่ผมไม่เคยคิดว่าจะตายในแบบนี้.... ตายในตอนที่ผมไม่มีใคร ตายในตอนที่ผมกลายเป็นคนไร้ครอบครัว พนันได้เลยว่าพอตำรวจแจ้งให้ครอบครัวผมรู้ว่าผมตาย พวกเขาก็คงจะเฉยๆ อาจจะเอาศพผมลงไปฝังโดยไม่จัดงานศพ ไม่มีใครร้องไห้หรือเสียใจที่ผมจากไป ผมคงจะถูกจดจำในฐานะเด็กเอ๋อประจำโรงเรียน ลูกศิษย์ที่เรียนไม่เอาไหน ลูกชายที่ไม่ได้เรื่อง...
คิดๆไปแล้วตายตอนนี้อาจจะดีกว่าการมีชีวิตต่อไปอย่างไร้จุดหมายก็ได้ เพราะบางครั้งคนเราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ชีวิตของเรายัดเยียดให้ ตอนนี้ชีวิตกำลังยัดเยียดความตายให้ผม ผมก็คงต้องยอมรับมัน.....
แล้วตอนนั้นเองที่ผมเหมือนได้ยินคำพูดของใครคนนึงในหัว เป็นคำพูดที่ได้ยินเมื่อนานมาแล้ว จำไม่ได้ว่าใครพูด แต่ประโยคนั้นยังเด่นชัด “บางครั้งการยอมรับว่าตัวเองแพ้ก็เป็นเรื่องที่โอเค แต่นั่นหมายความว่าเราได้สู้จนถึงที่สุดแล้ว สู้จนหมดกำลังที่มี สู้จนเราจะไม่มีวันเสียใจในภายหลัง” …ใช่แล้ว... ผมยังไม่ได้สู้เลย ผมยังไม่เคยพยายามตีสนิทกับเพื่อนที่โรงเรียน ยังไม่เคยพยายามปรับความเข้าใจกับครอบครัว ยังไม่เคยพยายามแสดงให้ทุกคนเห็นเลยแม้แต่น้อยว่าเราไม่ใช่เด็กโง่ ผมยังไม่ได้ทำมันเลย แล้วแบบนี้จะให้ยอมรับความตายได้ยังไง ผมจะไม่ตายหรอก เอาสิ! แม้แต่ความตายก็ฉุดผมไปไม่ได้ เพราะผมไม่ยอม!!!
และนั่นเป็นความคิดสุดท้ายก่อนที่ผมจะหลับตาลง ผมไม่เสียใจหรอกนะ อย่างน้อยผมก็ไม่คิดเหมือนไอ้ขี้แพ้ก่อนตาย และนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด.....
...แล้วผมก็ตาย...
ความคิดเห็น