คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
เราจะต้องทำลายเกมออนไลน์!
นี่คือคำขวัญประจำใจที่ผมย้ำเตือนซ้ำๆ อยู่ในหัว ผมจะต้องทำลายมัน มันจะต้องหายไปอย่างจริงจัง แบบไม่เหลือซาก และไม่กลับมาอีก ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม ผมจะทำมันให้สำเร็จ
เปล่า! ผมไม่ใช่พวกต่อต้านเทคโนยี ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับคอมพิวเตอร์ ระบบโค้ดอัจฉริยะ หรืออะไรก็ตามที่ไฮเทค ตรงกันข้าม ผมรักมันยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในชีวิต (เว้นพ่อกับแม่ผมไว้หน่อยก็แล้วกัน) และ เปล่า! ผมไม่ใช่พวกคนแก่หัวโบราณที่คอยโทษมั่วๆ ว่าเกมออนไลน์เป็นปัญหาของสังคมทั้งๆ ที่หากคนจะฆ่ากันก็เป็นเรื่องของสุขภาพจิตส่วนตัว
แต่ขอโทษ… นี่คือยุคปี พ.ศ. 2599 โลกของเรามีปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นให้ต้องห่วง
และปัญหาที่ว่านั่นคือเกมออนไลน์
ย้อนไปเมื่อสามสิบปีก่อน ในปี 2569 เป็นยุคที่เทคโนโลยีเฟื่องฟูถึงขีดสุด ความสำเร็จล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์คือการประดิษฐ์เครือข่ายระบบไร้สายทั่วโลก ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนให้ทุกที่บนโลกเชื่อมต่อกับด้วยระบบอินเตอร์เน็ตไร้สาย อุปกรณ์ทุกตัวที่ต่างยี่ห้อกันจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่ประสบปัญหา อินเทอร์เน็ตกลายเป็นของฟรี กลายเป็นสิ่งสากล ไม่ว่าอยู่ที่ไหนบนโลก เราถูกครอบงำด้วยระบบออนไลน์นั่น มันคือนวัตกรรมที่เปลี่ยนชีวิตของมนุษย์ชาติโดยสิ้นเชิง แน่ล่ะ ในตอนแรกผู้คนก็ทำเหมือนว่า อู้วว! โลกของเรากำลังจะเปลี่ยนไป แล้วไม่ช้าเราก็จะมีจานบินไปเยี่ยมมนุษย์ต่างดาวกับเขาบ้าง
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในปีต่อมา
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ประกาศถึงความสำเร็จของวงการวิทยาศาสตร์แห่งเกมและเทคโนโลยี พวกเขาสามารถสร้างโลกเสมือนจริงได้สำเร็จ โลกที่พวกเราสามารถควบคุมได้ และสัมผัสมันได้ ใช่! ผมรู้ มันฟังดูเหมือนหลุดมาจากนิยายแฟนตาซีเพ้อฝัน (และผมก็เชื่อว่าพวกเขาได้แนวคิดนี้มาจากนิยายแฟนตาซีเพ้อฝัน) พวกเขาเรียกมันด้วยชื่อเรียบๆ ว่า ‘โลกออนไลน์’ เป็นโลกที่สร้างขึ้นมาด้วยระบบโค้ดและโปรแกรม ทุกอย่างเหมือนจริงตามชื่อ เราสามารถเข้าไปอยู่ในโลกนั้น มีปฎิสัมพันธ์กับทุกอย่างในโลกนั้น สามารถเจ็บ ป่วย แก่ ได้ในโลกนั้น นั่นแหละ คือจุดกำเนิดของหายนะครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์ชาติ
ภายใต้เกม ที่ใช้ชื่อว่า Ages of online โลกที่ทุกคนสามารถใช้พลังเหนือมนุษย์ เวทมนต์ ต่อสู้กัน มีอาณาจักรและสิ่งก่อสร้างที่ดูราวกับหลุดมาจากนิยายขายดี มีสิ่งมีชีวิต สัตว์ประหลาด เทพ นางฟ้า หรืออะไรบ้าบอเทือกนั้นอาศัยอยู่ ทุกอย่างถูกสร้างมาเพื่อตอบสนองจินตนาการอันโคตรเพ้อเจ้อของมนุษย์ ไม่แปลกใจเลยที่ในปีแรกของการวางขายเกม ผู้คนแห่แหนกันเข้าไปซื้อเจ้าเครื่องที่ชื่อว่า ‘หมวกโพรงกระต่าย’ อุปมาเหมือนหมวกกันน็อก ที่พอสวมเข้าไป เราก็จะหลุดไปอยู่อีกโลกเหมือนอลิสที่หลุดเข้าไปอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ผ่านโพรงกระต่าย
จากนั้นผู้คนก็พากันเสพติดเกมออนไลน์นั่น พวกเขาหลงมัวเมาอยู่กับโลกที่ไม่มีอยู่จริง เวลาผ่านไปเป็นปี เป็นห้าปี เป็นสิบปี สังคมในโลกของเราก็ค่อยๆ ถูกกลืนให้รวมกับโลกออนไลน์จนจะกลายเป็นสิ่งเดียวกัน ผู้คนเอาแต่พูดถึงเรื่องโลกออนไลน์ในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้คนทำงานน้อยลง หันไปอยู่ในโลกของเกมแล้วทำงานในนั้นแทน เพราะเมื่อเราสวมหมวกโพรงกระต่าย ทั้งสมองและระบบร่างกายของเราจะถูกแช่แข็ง เราจะไม่หิว ไม่ง่วง แต่ร่างกายของเราก็อาจจะแก่ไปบ้างตามเวลา แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนทั้งโลกหมกมุ่นอยู่กับเกมพวกนั้น
ไม่ช้าโลกออนไลน์ก็กลายเป็นโลกที่แท้จริงของพวกเขา ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ หรือแม้แต่คนแก่ ทุกคนชอบมัน ชอบโลกออนไลน์นั่น จำนวนประชากรที่ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์แบบถาวรเพิ่มขึ้นมหาศาลในทุกปี ผู้คนบนถนนก็เริ่มบางตาลง จนกระทั่งประชากรที่ใช้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงกลายเป็นส่วนน้อย ทุกคนลืมความฝันที่จะพัฒนาโลก ลืมความฝันที่จะผลิตยานอวกาศออกไปหามนุษย์ต่างดาว หมดสิ้นทุกอย่าง
ปี 2580 การต่อต้านเกิดขึ้น เราเรียกเหตุการณ์นั้นว่า ‘วันโค่นออนไลน์’ คนหลายกลุ่มเริ่มลุกฮือขึ้นมาสนับสนุนให้เลิกเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ เกิดการแบ่งแยกคนออกเป็นสองกลุ่มแบบครึ่งต่อครึ่ง กลุ่มที่เลือกที่จะใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ถาวร และกลุ่มที่ปฎิเสธมัน ขออยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงตลอด และสังคมก็เหมือนจะเริ่มสงบ ทุกอย่างเริ่มเป็นไปได้ด้วยดี ต่างคนต่างอยู่โดยสิ้นเชิง สองปีหลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็ถือกำเนิดขึ้น
พ่อของผมเป็นชาวอเมริกา และแม่ของผมเป็นคนไทย แต่หน้าตาผมดูไม่มีเค้าของลูกครึ่งเลยแม้แต่น้อย ดูยังไงก็ไทยแท้ อย่างดีที่สุดอย่างหนึ่งที่ผมได้จากพ่อคือผมสีน้ำตาลเข้มที่เกือบดำ และดวงตาสีน้ำตาลอ่อน
พ่อกับแม่ของผมเป็นนักโปรแกรมอัจฉริยะ ที่ทำงานให้กับบริษัทเจ้าของเกม Ages of online ทั้งคู่มีตำแหน่งอยู่ในระดับแนวหน้าของทีมผู้ดูแลเกม และมีชื่อเสียงในหมู่ประชากรของโลกออนไลน์ คนในโลกนั้นบางครั้งก็นับถือพ่อกับแม่ของผมราวกับเป็นประธานาธิบดีเลยทีเดียว ในฐานะผู้ที่คอยพัฒนาและควบคุมเกมมาตลอด ผู้คนต่างคิดว่าผมจะต้องเป็นเด็กผู้โชคดี ที่จะมีสิทธิพิเศษมากมายเมื่อเข้าไปใช้ชีวิตในโลกออนไลน์แน่ๆ แต่เปล่าเลย… พ่อกับแม่ของผมไม่เคยอยากให้ผมเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ พวกเขาเกลียดมัน
ในใจลึกๆ ทั้งคู่รู้ว่าพวกเขากำลังทำลายโลกแห่งความเป็นจริง กำลังมอมเมาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ สาเหตุเดียวที่พวกเขายังคงทำงานนั้น ก็เพื่อควบคุมไม่ให้เกมเลยเถิดไปมากกว่านี้ พวกเขาสอนผมตลอดเรื่องความสวยงามของธรรมชาติในโลกแห่งความเป็นจริง ผมจำได้ว่าในวัยเด็ก พ่อจะพาครอบครัวของเราออกไปเที่ยวตั้งแคมป์ในป่าและปีนเขาในทุกๆ วันหยุด พวกเขาสอนให้ผมเห็นถึงความสนุกและเสน่ห์ของโลกแห่งความเป็นจริง ความท้าทาย ความตื่นเต้น และการเสี่ยงชีวิต เด็กๆ คนอื่นมองว่าผมโชคร้าย และมีชีวิตที่ห่วยบรม พวกเขาคิดว่าผมเป็นคนแปลกประหลาด เป็นลูกอกตัญญูที่ปฎิเสธจะใช้ชีวิตในโลกออนไลน์อันสุดแสนวิเศษ
โรงเรียนคือสิ่งที่ถูกยกเลิกไปในตอนที่ผมยังเด็ก เพราะในโลกออนไลน์ พวกเขามีโรงเรียนที่เจ๋งกว่า และเด็กๆ รุ่นใหม่ก็อยากไปเรียนที่นั่น ผมจึงเกือบเรียกได้ว่าโตมาในป่า ย้อนไปตอนที่ผมอายุห้าขวบ พ่อเคยย้ายออกจากเมือง และพาผมไปอยู่ในบ้านพักเล็กๆ ใกล้ป่า ผมเรียนรู้หลายอย่างที่นั่น ผมรู้วิธีปีนต้นไม้ รู้วิธีว่ายน้ำ บางครั้งก็ไปเก็บผลไม้ในป่า และเกือบตายเพราะกินเห็ดพิษ… ผมรู้ ผมไม่ค่อยมีเพื่อนนัก ส่วนใหญ่มักจะได้เพื่อนคุยเป็นคนแก่ๆ หรือเพื่อนผู้ใหญ่ที่พ่อกับแม่ทำงานด้วย แต่ชีวิตของผมก็มีความสุขดี
จนกระทั่งถึงวันที่ผมอายุได้สิบขวบ…
ปี 2591 คือปีที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป โลกแห่งความเป็นจริงกำลังมุ่งเข้าสู่เหตุการณ์ที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายเหมือนนรก…
มันเริ่มขึ้นในคืนที่เงียบสงบคืนหนึ่ง จู่ๆ ก็เริ่มมีรายงานข่าวเกี่ยวกับปรากฎการณ์ประหลาด มีแสงไฟปริศนาสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้าเหนือเมืองสำคัญๆ ทั่วโลก ผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา ออกจากบ้านมาดูให้เห็นกับตา ต่างคนต่างล่ำลือถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาวบุกโลก มนุษย์ที่ยังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงทั้งตื่นเต้น และหวาดกลัว ใช้เวลาไม่นานเลย ก่อนที่พวกเราจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
มีคนจำนวนหนึ่งลอยลงมาจากแสงเหล่านั่น และเมื่อผมพูดว่าลอย ใช่! พวกเขาลอยจริงๆ! ลงมาจากท้องฟ้าเหมือนเทวดา แต่ไม่ใช่ พวกนั้นคือมัจจุราช ผมจำได้ว่าคืนนั้นครอบครัวของเรากลับมาที่เมืองไทย เพื่อฉลองวันเกิดครบอายุสิบขวบให้ผม ผมมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพยายามเรียกให้พ่อกับแม่มาดู ผมพูดว่าพวกเขาแต่ละคนสวมชุดประหลาดเหมือนที่วัยรุ่นชอบใส่เมื่อมีงานเทศกาลย้อนยุคประวัติศาสตร์ แต่ชุดของพวกนั้นให้ความรู้สึกถึงพลังที่แฝงอยู่ มีความสวยงาม เหมือนพ่อมดหรือบาทหลวง ต่างคนต่างมีอาวุธประจำตัวที่ไม่น่าจะมีจริงบนโลกแห่งนี้ ดาบใหญ่ที่ฝังมรกต คทาที่มีอัญมณีอยู่บนปลายด้าม ธนูลวดลายตระการตาที่ใหญ่เกือบเท่าตัวคน เพียงคืนเดียวผ่านไปก็มีคลิปวิดีโอและภาพภ่ายที่ยืนยันเหตุการณ์เดียวกันจากทั่วโลก และส่วนใหญ่ก็ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน
คนเหล่านั้นเรียกตัวเองว่า ภาคียูนิตี้ (Order of the Unity) หรือผู้รวมโลก
ไม่มีใครรู้จุดประสงค์ของพวกนั้นจนกระทั่งวินาทีแห่งประวัติศาสตร์ หัวหน้าแห่งภาคียูนิตี้ขอให้เขาและตัวแทนได้เข้าพบผู้นำจากทุกประเทศทั่วโลก ทุกคนต่างตื่นเต้น รอคอยอย่างลุ้นระทึก เกิดคำถามมากมายว่าคนกลุ่มนั้นเป็นใครกันแน่? พวกเขามาจากไหน คำอธิบายที่ดูน่าเชื่อถือที่สุดในตอนนั้นคือพวกเขาเป็นมนุษย์ที่มาจากดาวดวงอื่นอันไกลโพ้น แต่ทันทีที่พ่อกับแม่ของผมเห็นลักษณะของพวกนั้น ทั้งคู่ต่างนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก พวกเขารู้อะไรบางอย่าง ทั้งสองคนตื่นตระหนกในแบบที่ผมไม่เห็นมาก่อน
พ่อกับแม่กระวีกระวาดรื้อของทุกอย่างในบ้านเก็บใส่กระเป๋าเดินทาง หยิบของทุกอย่างที่พอจะเอาไปได้ อาหาร น้ำ เครื่องดื่ม เสื้อผ้า เราทิ้งของหลายอย่างที่ไม่ควรจะทิ้ง เราต้องย้ายบ้านกะทันหันทั้งๆ ที่ยังดึก ย้อนไปตอนนั้น ผมที่เพิ่งจะฉลองวันเกิดอายุสิบขวบเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก แม่จับผมโยนเข้าไปในรถแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยแน่น สั่งห้ามไม่ให้ผมไปไหน ไม่มีใครอธิบายอะไรทั้งสิ้น ผมได้แต่แอบเงี่ยหูฟังการสนทนา แล้วจับใจความสั้นๆ ได้ว่า
“พวกนั้นมาจากโลกออนไลน์!!”
โชคดีที่รถยนต์ของพ่อผมเป็นรุ่นเก่ามาก เราจึงยังมีทีวีที่รับสัญญาณการถ่ายทอดสดได้อยู่ในรถ เราทั้งสามคนนั่งเงียบ จดจ่ออยู่กับข่าวที่กำลังบันทึกเหตุการณ์ครั้งสำคัญ หัวหน้ากลุ่มยูนิตี้เข้าพบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นคนแรก ผมจำได้ว่าผมรู้สึกถึงบรรยากาศที่แสนตึงเครียดและไม่ชอบมาพากลในการถ่ายทอดสดครั้งนี้
ประธานาธิบดีเดินเข้ามาในฉาก เขาเหงื่อท่วมตัว ดูหายใจไม่ทั่วท้อง มีแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปมากมายคอยทำให้เขากะพริบตาตลอด หัวหน้ากลุ่มยูนิตี้ก้าวเข้ามาช้าๆ อย่างสุขุมและใจเย็น แต่ดูน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน ผมรู้สึกไม่ชอบเขาเอาเสียเลย ประธานาธิบดีก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน เพราะตอนที่เขายื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อทำการจับมือทักทาย ชายผู้มาจากต่างแดนกลับยื่นคทาประหลาดให้เขาจับ จากนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบไปทั่วห้อง พอแสงหายไป ประธานาธิบดีก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพียงแต่อาจไม่ครบทุกส่วน ตรงท้องของเขามีรูโบ๋กลมๆ ที่ใหญ่มากพอจะมองทะลุตัวเขาไปได้ เลือดกระจายไปทั่วห้อง แล้วต่อด้วยเสียงกรี๊ดอย่างอลหม่าน ไม่ช้ากลุ่มยูนิตี้ก็เริ่มทำการสังหารหมู่ พวกเขาใช้พลังประหลาดที่ผมช็อกจนแทบหยุดหายใจ มันเหมือนพลังจิต เวทมนต์ หรือคำสาปที่ทำให้ทุกคนในห้องเหลือแต่ซากภายในเวลาชั่วครู่
จากนั้นภาพก็ค่อยๆ ตัดไปที่การถ่ายทอดสดทั่วโลก ผู้นำและคนสำคัญๆ ของแต่ละประเทศถูกสังหารไปทีละคน ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย แม่รีบเอามือปิดตาไม่ให้ผมดูต่อ หลังจากนั้นผู้นำภาคีก็เริ่มกล่าวคำแถลงการของตัวเองผ่านการถ่ายทอดสดทั่วโลก ผมที่ยังอายุเพียงสิบขวบในตอนนั้นไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังพูดอะไร รู้เพียงแต่น้ำเสียงทุ้มต่ำนั่นบาดลึกไปถึงไขสันหลัง เนื้อหาประกาศสามารถสรุปได้สั้นๆ เพียงว่า เราถูกควบคุม… โลกของเราถูกยึด และจากนี้ไปทุกคนจะต้องเชื่อฟังตามคำสั่งของพวกเขา ไม่ว่าเขาจะสั่งให้เราตาย หรืออยู่ ก็ต้องเป็นไปตามนั้น
นับตั้งแต่วินาทีที่คำแถลงการณ์จบลง วันมหาวิบัติก็เริ่มขึ้น เราเรียกมันว่า ‘วันสิ้นโลกจริง’
พ่อเร่งความเร็วของรถ เร็วมาก เร็วเกินไป เขาพาพวกเราไปที่ไหนสักแห่ง การจราจรติดขัด คนในเมืองตื่นตระหนก ความกลัวแพร่กระจายไปทั่ว เกิดเสียงระเบิดตูมตามในเมือง ทุกคนพยายามหนี กลุ่มคนประหลาดลงมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง พวกนั้นใช้อาวุธแปลกๆ ทำลายทุกอย่างในเมือง แม้แต่ตำรวจก็ยังต้องหนีเอาชีวิตรอด แต่จุดประสงค์ของพวกนั้นไม่ใช่ฆ่าคน พวกเขาต้องการจับตัวคนไป จับทุกคนบนโลกไปทำอะไรสักอย่าง
คืนแรกของการหลบหนี พ่อพาครอบครัวของเราไปซ่อนอยู่ในป่าที่พวกเราเคยไปตั้งแคมป์บ่อยๆ เราตัดสินใจปิดเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด เพราะแม่บอกว่าพวกนั้นสามารถตามสัญญาณมาได้ เราใช้ป่านั้นปิดบังหลักฐานการดำรงอยู่ของพวกเรา พ่อกับแม่ไม่เคยอธิบายอะไรให้ผมฟังเลย เรากินอาหารกระป๋องและอาบน้ำในทะเลสาบได้เป็นเดือน ตัดขาดจากโลกภายนอกตลอดเวลา ผมมีแต่คำถามรบกวนใจที่ไม่สามารถระบายออกกับใครได้
มีวันนึงที่พ่อตัดสินใจเสี่ยงชีวิตออกไปดูสภาพโลกภายนอก พ่อพบว่าเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้าง และน่าจะเป็นแบบนี้ทั่วโลก นอกจากสัตว์ป่าชนิดต่างๆ ที่แทบจะยึดพื้นที่ทั้งหมดในเมืองแล้วก็ไม่มีการปรากฎตัวของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อีกเลย ถูกจับตัวไปหมด พ่อกลับเข้ามาในป่าพร้อมอาหารกระป๋อง และแท่งไม้ยาวๆ ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตสองสามแท่ง พ่อบอกว่ามันคือ ‘ปืนล่าสัตว์’ เป็นของโบราณที่เลิกใช้ไปตั้งแต่สมัยพ่อยังเด็ก พ่อไม่ชอบให้ผมไปยุ่งกับก้อนเหล็กหนักๆ ที่เรียกว่ากระสุน เขาเริ่มสอนให้ผมยิงปืน และผมก็ยิงแม่นมากเสียด้วย
เวลาผ่านไปสองปี ผมเริ่มโตขึ้น เราใช้ชีวิตทั้งหมดส่วนใหญ่ในป่า พ่อยอมให้ผมออกไปนอกป่าได้ในบางครั้งถ้ามีพ่อไปด้วย ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่จะได้กลับเข้าไปในเมือง ไปค้นหาของน่าสนใจๆ หลายอย่างที่อยู่ตามซากตึกร้างต่างๆ ไปหยิบเสื้อผ้าที่ผมชอบจากสถานที่ที่เคยถูกเรียกว่า ‘ห้าง’ จากนั้นเราก็จะกลับไปหาแม่ เอาของดีๆ กลับไปฝาก แม่เป็นคนชอบประดิษฐ์ แม่สร้างอุปกรณ์ฉลาดๆ ด้วยวัตถุดิบอะไรก็ได้ที่ผมไปเจอในเมือง ครั้งหนึ่งแม่เคยสร้างกลไกดักจับปลาอัตโนมัติ และมันก็ทำให้เราไม่เคยหิวตาย
เมื่อผมอายุสิบสาม ในช่วงฤดูฝน ผมกับพ่อออกไปสำรวจสิ่งต่างๆ ตามเมืองเหมือนปกติ จนกระทั่งเรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตามลำพัง ใครบางคนอยู่ในเมืองนั้นกับเรา มันสวมชุดแปลกๆ แบบเดียวกับที่ผมเคยเห็นใน ‘วันสิ้นโลกจริง’ แถมยังถืออาวุธแปลกๆที่ปรากฎรังสีพลังงานอะไรบางล้อมรอบ ผมกับพ่อพยายามหลบเงียบๆ แต่ก็เกิดความผิดพลาดเล็กน้อย ใครคนนั้นเกือบเจอเรา แล้วตอนนั้นแหละ ที่เราได้รับความช่วยเหลือจากใครอีกคน เขาเป็นมนุษย์ที่รอดจากเหตุการณ์วันสิ้นโลกจริงเช่นกัน เขาพาเราไปหลบที่จุดดีๆ พอคนของพวกยูนิตี้จากไป ชายคนนั้นก็รีบอธิบายอะไรบางอย่างให้เราฟัง
เราพบว่ายังมีคนบางกลุ่ม ที่รอดเหลือจากเหตุการณ์ครั้งนั้น มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และคนแก่ พวกเขาใช้ชีวิตและสร้างฐานที่อยู่อาศัยใต้ดิน โดยใช้ประโยชน์จากอุโมงค์รถไฟฟ้าเก่าที่โดนยกเลิกใช้เมื่อนานมาแล้ว พวกเขามีคนอยู่สักสิบกว่าคนได้ คนส่วนใหญ่เป็นทั้งนักประดิษฐ์ วิศวกร ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ พวกเขามีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างที่เราต้องการ รู้อะไรหลายอย่างที่เราไม่รู้ และที่สำคัญ พวกเขารวมตัวกันเพื่อก่อตั้งกลุ่มลับๆ ที่สามารถช่วยให้โลกเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม และเขาต้องการให้พ่อกับแม่ของผมช่วย
ครอบครัวของเราตกลงทันที หลังจากนั้นพวกเราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง เริ่มจากเรื่องที่ว่าพวกยูนิตี้ยังคงเสาะหามนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ พวกนั้นพยายามจะจับเราไปยังฐานทัพที่อยู่อันไกลโพ้น เรียกว่า บาสตีล (bastille) สิ่งที่พวกนั้นต้องการคือกักขังทุกคนไว้ บังคับให้พวกผู้ใหญ่และคนแก่สวมหมวกโพรงกระต่าย พวกนั้นต้องการให้ทุกคนเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ ส่วนเด็กที่ยังเล็กๆ พวกเขาจะทำการล้างสมองโดยการพร่ำสอนค่านิยมผิดๆ ต่างๆ ลงไปในหัว พวกนั้นทำให้ทั้งวัยรุ่นและเด็กๆ เชื่อว่าโลกแห่งความเป็นจริงเป็นของปลอม และโลกออนไลน์ต่างหากที่เป็นของจริง หลังจากนั้นถึงจะค่อยๆ พาพวกเขาเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์แบบถาวร ใครก็ตามที่ขัดขืนหรือกระด้างกระเดื่องต่อคนในภาคีมากไป พวกนั้นจะจับเราไปประจานที่บาสตีล แล้วประหารต่อหน้าประชาชนซะ
เขาสันนิษฐานว่าภาคียูนิตี้คือกลุ่มคนที่หลุดมาจากโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม คนพวกนั้นค้นพบวิธีที่จะสามารถทำให้โปรแกรมในโลกออนไลน์กลายเป็นความจริงได้ ไม่ว่าจะพลังที่พวกเขาใช้ หรืออาวุ ธที่พวกนั้นชอบถือ ทุกอย่างล้วนมาจากเกมออนไลน์ที่ชื่อว่า Ages of online ทั้งสิ้น และที่แย่กว่านั้นคือกลุ่มยูนิตี้ได้เข้าควบคุมโลกออนไลน์ทั้งหมด พวกนั้นกำลังควบคุมทั้งสองโลก และปกครองทั้งสองแห่งด้วยความกลัวที่มากพอกัน พ่อกับแม่ของผมเองก็คงจะรู้เรื่องนี้ แต่ไม่ยอมอธิบายให้ผมฟังด้วยเหตุผลบางอย่าง
ทุกวันนี้ยังมีกลุ่มคนทั่วโลกที่ยังคงต่อสู้และหลบหนี ภาคียูนิตี้จะคอยส่งคนมาตรวจตราหาคนที่ยังเหลือ เราเรียกพวกนี้เล่นๆ ว่า ‘ผู้เก็บเกี่ยว’ เพราะพวกนั้นจะคอยลวงให้เราเข้าไปสู้อ้อมแขนของนรกเสมอหากไม่ระวัง จะต้องคอยหลบหน้าพวกนั้นให้ดี เราจำเป็นต้องมีเวรยามอย่างแน่นหนา และจำกัดจำนวนคนที่จะออกไปหาของเสบียงที่โลกภายนอก ผมเป็นหนึ่งในคนที่พอจะมีฝีมือ จึงมักจะได้ขึ้นมาจากใต้ดินบ่อยๆ
นับตั้งแต่นั้นมา ผมใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มคนในฐานลับใต้ดินมาตลอด ผมได้มีเพื่อน ได้เรียนรู้ทักษะที่มีประโยชน์หลายๆ อย่างจากคนที่นั่น ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราสามารถช่วยชีวิตคนจำนวนมากที่ยังหลงเหลืออยู่และพลัดหลงเข้ามาในเมือง บางครั้งพวกเราก็สามารถติดต่อกับกลุ่มผู้รอดชีวิตที่กบดานอยู่ในเมืองอื่นๆ ได้ พวกเราเรียกตัวเองว่า ‘ขบวนการในความมืด’ (People in the dark) เพราะพวกเราส่วนใหญ่จะซ่อนอยู่ในที่มืดๆ
สิ่งเดียวที่พวกเราปรารถนาร่วมกันคือการนำโลกกลับคืนมา นำผู้คนที่ถูกจับตัวไปกลับคืนมา และทำลายโลกออนไลน์ ปิดระบบที่เชื่อมต่อหมวกโพรงกระต่ายซะ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เพราะหากทุกคนถูกจับให้อยู่ในหมวกโพรงกระต่ายโดยถาวร ไม่ได้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกเลยละก็ ทุกๆ คนบนโลกก็จะค่อยๆ ทยอยแก่ตายในโลกแห่งความเป็นจริง มนุษย์จะไม่มีโอกาสผลิตลูกหลานอีก และเผ่าพันธุ์ของเราก็จะสูญพันธุ์
แม้ว่าเราจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ แต่เราก็ไม่เคยอยู่เฉย กลุ่มคนในความมืดคอยร่วมมือช่วยกันหาทางวางแผนที่จะปิดระบบโลกออนไลน์ลง โดยเฉพาะพ่อกับแม่ของผมที่มีบทบาทสำคัญและถือเป็นแนวหน้าของกลุ่ม พวกเขาแชร์ความรู้หลายอย่างที่มีประโยชน์มากที่สุด จากการพยายามมานานจนกระทั่งตอนนี้ เราพบวิธีบางอย่างที่จะสามารถช่วยโลกของเราได้
ลึกลงไปใต้ดินของเมือง ไม่ช้ากลุ่มคนเล็กๆ อย่างพวกเราจะเปล่งเสียงร้องและทวงคืนอิสรภาพที่หายไป ผมจะต้องพาคนที่ถูกจับตัวไปกลับมาจากโลกออนไลน์ ก่อนที่มนุษย์จะพบจุดจบ
ปีนี้คือปี พ.ศ. 2599
พวกเราตั้งปฎิญาณไว้ว่า ก่อนที่โลกจะเข้าสู้ยุค 2600 เราจะต้องช่วยโลกให้สำเร็จให้ได้
หมดยุคแห่งออนไลน์ และถึงเวลาของการออฟไลน์สู่โลกแห่งความเป็นจริงเสียที
ผมชื่อ อาคินทร์ อายุ 18 ปี
และผมจะเป็นคนที่ปิดระบบโลกออนไลน์ด้วยตนเอง!!!!
= = = = = = = = = = = = = =
โปรด ติด ตาม ตอน ต่อ ไป
ความคิดเห็น