ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้องพักออริที่'นก'

    ลำดับตอนที่ #7 : {Fic Rebron/KHR} The Love Project vongola & farina รักวุ่นๆ ของสาวๆเฟริเน่ | แคลร์ เจสซิก้า

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ย. 60



    ข้อแนะนำสำหรับคนเล่นในโทรศัพท์
    - เปิดโหมดหมุนหน้าจอ
    - พลิกเป็นแนวนอน


    Smile Like Sunlight

    รอยยิ้มที่เปรียบดั่งแสงตะวัน



    No matter when The sun will shine to the glacier. To dissolve the cold covered. Even if it takes a long time.

    ไม่ว่าเมื่อไร แสงตะวันก็จะสาดส่องไปยังธารน้ำแข็ง เพื่อหลอมละลายความหนาวเหน็บที่เข้าปกคลุม ถึงแม้ต้องใช้เวลานานเท่าไรก็ตาม





    One man built a wall in his mind. Do not open anyone. It is a cold glacier with no glory. As the clouds drifted to self. Want more freedom than a puppet to be controlled both body and soul.











    Another one is the sun that shines warm. There are smiles and laughter. Ready to step through walls or doors that block the mind. With the fingers reaching I have to find the cold hard to break. However, this light will not give up in giving warmth to one person.






    หนึ่งคน สร้างกำแพงขึ้นมาในใจ ไม่เปิดรับใครเข้ามา มีบรรยากาศหนาวเหน็บราวกับธารน้ำแข็ง เย็นชา ไม่สุงสิงกับผู้ใด ดั่งเมฆที่ลอยไปตามใจตนเอง ต้องการอิสระมากกว่าการเป็นหุ่นเชิดที่ต้องถูกควบคุมทั้งร่างกายและวิญญาณ














    อีกหนึ่งคน เปรียบเสมือนแสงตะวันที่คอยสาดส่องให้ความอบอุ่น มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ พร้อมที่จะก้าวข้ามผ่านกำแพงหรือประตูทุกบานที่ปิดกั้นหัวใจ ด้วยมือที่เอื้อมไปหา แม้จะต้องเจอความหนาวเหน็บที่ยากจะฝ่าฟัน แต่ถึงกระนั้นแสงอ่อนๆนี้ก็จะไม่ยอมแพ้ในการไปมอบความอบอุ่นให้กับคนๆหนึ่ง

    If he is ice 
    She is like the sun.

    หากเขาคือน้ำแข็ง
    เธอก็จะเปรียบดั่งดวงตะวัน


    If he is a cloud 
    She's like the sky.

    หากเขาคือเมฆา
    เธอคงดุจท้องนภาที่กว้างใหญ่



    If he is dark 
    She will be the light that shines.

    หากเขาคือความมืดมิด
    เธอก็จะเป็นดั่งแสงสว่างที่สาดทอเข้าไป

    'เพื่อทลายสิ่งที่เรียกว่ากำแพงในจิตใจนั้นลง'

     

    APPLICATION



    "อะไรที่มันเหมือนๆกันน่ะ ไปกันไม่รอดหรอกน๊า~
    ถ้ายังจินตนาการไม่ออกก็ลองนึกถึงขั้วบวก กับขั้วลบดูสิ
    ความเหมือนจะนำมาซึ่งความไกลห่าง ความต่างจะนำมาซึ่งความใกล้ชิด"



    ชื่อ : แคลร์ เจสซิก้า || Claire Jessica

    ชื่อเล่น : แคลร์ || Claire

    ความหมายแสงสว่างอันมีพระเจ้าคอยปกป้องดูแล

    ธาตุ : เมฆา - สายหมอก [ยึดเมฆาเป็นหลัก]

    อายุ : 17

    ลักษณะภายนอก : แคลร์ หญิงสาวชาวยุโรปผู้ถือกำเนิดภายใต้สกุลเจสซิก้า หล่อนมีรูปร่างเรียวบางทว่าสมส่วนราวกับถูกปั้นแต่งมาจากเทพเจ้าอย่างปราณีต ด้วยส่วนสูงเพียง 160 ทำให้ผู้คนรอบข้างเข้าใจผิดว่าหล่อนเป็นเพียงเด็กมัธยมต้นย่างเข้ามัธยมปลายไม่ใช่หญิงสาววัยสิบเจ็ด แต่แคลร์ก็ได้หาสนใจไม่ ถึงแม้จะไม่ได้สูงยาวเข่าดีอะไรแต่ส่วนสูงนี้ก็รับกับน้ำหนัก 50 กิโลกรัมเป็นอย่างดี ทำให้สาวเจ้าดูมีน้ำมีนวลอย่างสตรีทั่วไปที่พึงมี ไม่ดูผอมแห้งแรงน้อยหรือบอบบางเกินไป ผิวพรรณขาวเรียบเนียนอันเป็นผลมาจากการบำรุงรักษาด้วยโลชั่นประทินผิวมาเป็นอย่างดี ทำให้เนื้อกายของเจ้าหล่อนมีกลิ่นกุหลาบจากโลชั่นที่ใช้อยู่เป็นประจำชวนหลงใหล โครงหน้าหญิงสาววัย 17 ปีเรียวสวยได้รูป ดวงตาเฉียบคมคู่สวยต่างสีกัน ด้านขวามีสีมิ้นท์สุกสกาว ด้ายซ้ายมีสีอัทพันสดใสที่มักทอประกายความขี้เล่นและหยอกล้อชวนใจเต้นในเวลาเดียวกัน แต่กลับเจือปนไปด้วยความเจ้าเล่ห์ด้วยหางตาที่ชี้สูงขึ้นเล็กน้อย ทำให้เธอนั้นมีดวงตาที่มีเสน่ห์มากคนหนึ่งเลยทีเดียว เหนือดวงตาคู่สวยประดับตกแต่งด้วยขนตาโค้งงอนหนาเป็นแพชวนจับจ้อง คิ้วโค้งคันศรช่วยเพิ่มความสวยงามให้แก่ใบหน้าขาวเรียบเนียนเป็นธรรมชาติไร้ซึ่งเครื่องสำอางใดๆมาแต่งแต้ม จมูกโด่งรั้นพองามรับกับริมฝีปากบางอมชมพูที่มักยกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างไม่รู้เบื่อ ด้วยริมฝีปากที่อมชมพูตามธรรมชาติทำให้หล่อนเป็นคนที่น่าประทับจุมพิตคนหนึ่ง ใบหน้าเรียวได้รูปถูกรายล้อมไปด้วยเส้นเกศานุ่มลื่นดุจแพรไหมที่ได้รับการบำรุงรักษามาอย่างดี เรือนผมสีชมพูอ่อนดุจดอกบิวตี้เบอร์รี่ของหล่อนให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน มีความยาวถึงต้นขาอ่อนรับกับสะโพกอรชรเป็นอย่างดี เมื่อมองไล่ลงมาจะเห็นได้ชัดว่าแคลร์เป็นสาวหุ่นดีคนหนึ่งที่แขนขายาวสมส่วนไม่ดูเก้งก้างจนเกินไป หน้าอกหน้าใจมีพอประมาณเพื่อไม่ให้ดูเกะกะเวลาทำสิ่งใด ร่างกายเจ้าหล่อนไร้รอยตำหนิราวกับได้รับการดูเลจากเทพีวีนัสมาก็ไม่ปาน

    นิสัย : หากขนานนามถึงอิสตรีผู้หนึ่งมีความงามพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตาและจิตใจ ไม่มีใครมองข้าม แคลร์ เจสซิก้า ไปได้ เพราะเธอนั้นเหมาะสมกับคำว่า ยามาโตะ นาเดชิโกะอย่างแท้จริง แต่ถ้าหากคุณได้รู้ถึงนิสัย้บื้อลึกที่จะได้รับฟังจากบุคคลเหล่านี้ คุณอาจชอบใจเธอมากกว่าเก่าก็เป็นได้

            คนแรกกล่าวนำ แคลร์ เป็นหญิงสาวที่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าอย่างไม่รู้เบื่อ เป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความเป็นมิตร ขี้เล่น และจริงใจในเวลาเดียวกัน เธอเป็นคนที่สดใสร่าเริงอยู่เสมอ ไม่เครียดหรือซีเรียสอะไรกับเรื่องเล็กๆน้อยๆหากมันไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บมาคิดให้ปวดหัว เธอมักจะเป็นคนที่นำพาความสดใสร่าเริงมาให้ผู้คนรอบข้างเสมอ เรียกได้ว่าถ้าหากอยู่ใกล้เธอจะไม่มีแม้สักวันเดียวที่ความเครียดถาโถมเข้าใส่เลยแม้แต่น้อย ทุกๆวันจะมีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุข ไม่รู้สึกเบื่อหรือเหงาอีกต่อไป เจ้าเหล่อนเปรียบเสมือนแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาภายในห้องมืดๆ เอื้อมมือบางไปหาบุคคลที่กำลังสิ้นหวัง เหงา เศร้า เสียใจ ปิดกั้นตัวเองจากผู้คน ให้ออกมาจากสถานที่แคบๆหรือบรรยากาศเหล่านั้นด้วยความอ่อนโยนและจริงใจเสมอมา และด้วยความร่าเริงของร่างบาง ก็ทำให้มีผลพลอยให้ผู้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย นับว่าถ้าหากขาดเธอไปวันหนึ่ง ก็ราวกับชีวิตขาดสีสันก็ไม่ปาน

            คนที่สองกล่าวตามมา แคลร์ เจสซิก้า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(?)และผู้คนรอบข้างแบบไม่ลำเอียงว่าจะเป็นมิตรกับใครมากกว่ากัน สามารถเข้าหาผู้อื่นได้ง่ายและคนอื่นก็เข้าหาเธอได้ง่ายเช่นเดียวกัน เนื่องจากเธอมักมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดเวลา และมันเป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความจริงใจ ไม่เสแสร้งใดๆทั้งสิ้น ทำให้ใครต่อใครหลายคนไว้เนื้อเชื่อใจและพร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับเธอทุกเมื่อ แคลร์จะเข้าหาผู้อื่นด้วยรอยยิ้ม เพราะมันคือสิ่งที่เปรียบเสมือนแสงสว่างของเธอ เจ้าหล่อนจะชอบเข้าหาคนที่เรียกได้ว่าปิดกั้นหัวใจเป็นพิเศษ เพราะมันก็เปรียบเสมือนการท้าทายตัวเองว่าจะสามารถทำให้คนๆนั้นเปิดใจยอมรับตนได้ไหม เธอจะพยายามเข้าหาทุกๆวัน...ทุกๆวัน เพื่อให้สนิทกันมากยิ่งขึ้นให้ได้ ถึงแม้บางรายจะมีกำแพงสูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าหรือมีประตูคอยปิดกั้นหัวใจไม่ให้มีผู้ใดเข้ามา แต่เธอ ก็จะไม่มีวันลดละความพยายามที่จะเป็นเพื่อนกับเขาหรือเธอคนนั้นให้ได้ ถึงแม้ในบางครั้งบางคราวอาจถูกพูดแรงๆใส่ เช่น 'รำคาญ' 'อย่ามาทำเหมือนสนิทกันได้ไหม' 'หยุดตามตื๊อสักที' แต่มันก็ไม่ได้ชนะความด้าน(?)ที่มีอยู่ในตัวเธอเลยแม้แต่น้อย เจ้าหล่อนจะไม่ใช้วิธีทะลวงหรือพังกำแพงนั่นและประตูเข้าไป แต่จะพยายามปีนข้ามกำแพงที่ถึงแม้มันจะสูงสักเพียงใดก็ไม่หวั่น จะพยายามปลดล็อคประตูของหัวใจเข้าไปอย่างโดยดีและอ่อนโยนดุจแสงตะวันก็ไม่ปาน เธอจะไม่รีบร้อนในการทำสิ่งใดๆ จะค่อยๆเป็นค่อยๆไปทีละขั้นทีละตอนเสมอ เพราะผลีผลามไปมันก็ไม่ได้ผลดีอะไรขึ้นมา กลับกันมันจะยิ่งทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นตรงกันข้ามเสียมากกว่า ไม่เพียงแต่รอยยิ้มเท่านั้นที่เธอใช้เข้าหาคนอื่น คำพูดหรือการกระทำที่แสดงออกถึงความเป็นมิตรไมตรีที่ดีด้วยก็เช่นเดียวกัน เวลาที่อยากสนิทกับใคร เธอมักจะชวนเขาหรือเธอคนนั้นคุยบ่อยๆเพื่อทำให้ระยะห่างมันลดลงทีละล็ก ทีละน้อย แต่ถ้าวิธีการเข้าหาด้วยคำพูดมันไม่ได้ผล ก็จะเปลี่ยนเป็นการเข้าหาด้วยการกระทำแทน แคลร์มักจะเข้าไปช่วยเขาหรือเธอคนนั้นทำอะไรอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ขอก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำก็เพื่อให้อีกฝ่ายมองเห็นเธอในด้านดีๆ ด้านที่น่าเข้าหา แล้วทุกอย่างมันจะลงตัวเองโดยที่ไม่ต้องทะลวงกำแพงเข้าไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะถ้าหากทำเช่นนั้น คิดหรือว่าอีกฝ่ายจะไม่สร้างกำแพงขึ้นมาใหม่...

            คนที่สามเอ่ยแย้ง ถึงแม้จะเป็นคนสดใสร่าเริงสักเพียงใด ก็ใช่ว่าจะมองโลกเป็นสีขาวไปหมดเสียทีเดียว แคลร์ เป็นหญิงสาวที่มองโลกในแง่ความเป็นจริงหรือสีเทา ไม่ได้ละเมอเพ้อฝันว่าทุกสิ่งทุกอย่างสวยงามราวกับเทพนิยายไปเสียหมด และไม่ได้คิดติดลบว่าทุกสิ่งทุกอย่างมืดมน หม่นหมอง จองร้ายและไร้คุณธรรมเปรียบเสมือนสีดำรัตติกาลไปเลยเสียทีเดียว ทุกๆอย่างบนโลกใบนี้เธอจะมองเป็นสีเทา มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดีผสมปนเปกันอยู่จนทุกอย่างลงตัว ไม่มีสิ่งใดที่ดีที่สุด และไม่มีสิ่งใดที่แย่ที่สุด ไม่เว้นแม้แต่คนเราที่เปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน มีทั้งหัวและก้อย มีทั้งสีดำและสีขาวอยู่ในคนๆเดียวกัน สีขาวและสีดำจะผสมปนเปกันจนกลายเป็นสีเทาอย่างลงตัวจึงจะเรียกว่ามนุษย์ที่แท้จริง แม้แต่เจ้าหล่อนเองก็ยังคงเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน ที่มีทั้งด้านบวกและด้านลบอยู่ในตัว ด้านลบของเธอมักจะออกมาเมื่ออารมณ์กำลังพุ่งพล่านเช่นเวลาโกรธ จากคนที่เคยร่าเริงแปลเปลี่ยนเป็นคนนิ่งเฉยได้กับทุกสถานการณ์ แววตาที่ทอประกายความขี้เล่นและเป็นมิตรอยู่เสมอจะกลับกลายเป็นเพียงอดีตที่ถูกแทนที่ด้วยความเรียบนิ่ง ราวกับไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ปากคอจะเราะร้ายขึ้นราวกับคนละคนที่เห็นกันอยู่หลัดๆ น้ำเสียงจะแปรเปลี่ยนเป็นกระแทกดุดันเล็กน้อย หรือไม่บางครั้งบางคราวจะเป็นเสียงเรียบนิ่งราวแม่น้ำที่นิ่งสงบ เธอมักจะถือคติโดนทำอะไรไว้ก็จะเอาคืนให้เท่าที่ทำกับตน แต่โดยนิสัยส่วนตัวแล้วเธอจะเป็นคนที่โกรธยากมากๆเพราะมีความอดทนสูง จึงไม่ค่อยมีใครได้เห็นด้านนี้ของเธอเสียเท่าไร หากเรื่องนั้นมันไม่จำเป็นที่ต้องโกรธจริงๆเธอก็พร้อมที่จะให้อภัยทุกเมื่อ เพราะไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรอยู่แล้ว แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดูถูกหรือหมิ่นเหยียดหยามครอบครัวของตนเด็ดขาด เพราะถึงแม้ว่าจะมีความอดทนสูงเพียงใด แต่เธอก็ยังคงเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีเส้นด้ายแห่งความอดทนเหมือนคนธรรมดาทั่วไปเช่นเดียวกัน มีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนมักพูดอยูเป็นประจำ ว่าสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการซ่อนเงินเมีย(?) คือผู้หญิงโกรธและมันจะยิ่งน่ากลัวกว่านั้นหากเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยโกรธ กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นเธอ เพราะฉะนั้นอย่าทำให้เธอโกรธจะดีที่สุด ในบางกรณีถ้าหากทำให้เธอโกรธแบบไม่ตั้งใจหรือไม่รู้ตัว วิธีที่จะทำให้แคลร์หายโกรธนั้นง่ายมากจนไม่อาจคาดคิดมาก่อนได้ นั่นก็คือการแสดงความจริงใจและขอโทษออกมาจากใจจริง เพียงเท่านี้หญิงสาวในด้านสีขาวคนเดิมก็จะกลับมาสร้างรอยยิ้มให้กับคนรอบข้างอีกครั้ง

            คนที่สี่เสริม แคลร์ เป็นคนที่เก็บอารมณ์ความรู้สึกเก่งพอสมควรโดยเฉพาะอารมณ์ตอนที่กำลังเศร้าโศกเสียใจ ด้วยความที่เธอนั้นไม่ได้ต้องการให้คนอื่นมาเป็นห่วง สงสาร หรือสมเพช มันจะทำให้เธอนั้นรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอถึงขั้นต้องมีคนมาคอยปลอบหรือเอาใจใส่อะไรมากมายเกินกว่าที่ควร เมื่อเจอเรื่องที่มากรีดแทงให้หัวใจเธอเจ็บปวดเจ้าหล่อนจะพยายามยิ้มรับไว้เสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม จะเล็กหรือใหญ่แต่บาดแผลมันก็ยังคงเป็นบาดแผลอยู่วันยันค่ำ เธอมักจะแสดงด้านเข้มแข็งออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น เพื่อให้อีกฝ่ายมองว่าตนนั้นไม่ได้อ่อนแอ ไม่ได้เศร้าโศกเสียใจใดๆทั้งสิ้น ทั้งๆที่ในใจนั้นแทบแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆเหมือนกระจกใสสะอาดที่ตกลงสู่พื้นพร้อมแตกกระจายออกไปแบบไม่มีทีท่าว่าจะสมานกันใด้เหมือนใหม่อีกแล้ว เพื่อทำให้ตัวเองดูเข้มแข็งจึงพร้อมที่จะแบกรับความเจ็บปวดนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว และจะไม่ระบายออกไปให้ผู้อื่นรับรู้ถึงความเจ็บปวดทรมานที่สั่งสมอยู่ภายในจิตใจแม้แต่นิดเดียว

            คนที่ห้ากล่าวตามมา แคลร์ เป็นหญิงสาวที่อยู่นิ่งไม่ค่อยได้เรียกอีกอย่างคือมีความไฮเปอร์อยู่ในตัวเองสูง วันๆของเจ้าหล่อนจะไม่มีวันไหนที่อยู่ติดที่เลยหากมันไม่จำเป็นจริงๆ มักจะออกไปนู่นมานี่อยู่เสมอเพื่อเปิดหูเปิดตาและรับสิ่งใหม่ๆที่เข้ามา ทำให้เธอนั้นค่อนข้างเป็นคนที่ตามเล่ห์เหลี่ยมทันอยู่ไม่น้อย ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ฟันฝ่ามาหลายๆอย่างทำให้เธอสามารถพิจารณาได้ว่าคนนี้น่าเชื่อถือหรือไม่ แต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ไม่ใช่ดูแวปแรกแล้วจะสามารถรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายดีหรือไม่ดี ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่เธอต้องการเข้าหา จำพวกสัตว์ตัวเล็กๆ น่ารักๆต่างๆด้วยก็เช่นเดียวกัน แคลร์เป็นคนที่รักสัตว์มาก แต่ก็ใช่ว่าจะรักสัตว์ทุกชนิด ส่วนมากจะเป็นประเภทที่เอาไว้เลี้ยงเสียมากกว่า เช่น แมว สุนัข เต่า นก เป็ด เป็นต้น เวลาเดินไปเจอสัตว์ที่ไหนเธอก็มักจะเข้าไปลูบหัวมันเล่นแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เผลอๆจะรักสัตว์มากกว่ามนุษยชาติด้วยกันเสียอีก สาวเจ้าจะพกขนมปังสอดไส้ไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลาจนทำให้ดูเหมือนคนกินไม่ขาดปากไปบ้าง แต่ใครจะไปรู้ว่าส่วนใหญ่แล้วมันคือของสัตว์ต่างๆที่เธอมักพบเห็นตอนเดินเล่นต่างหาก ด้วยเหตุนี้เธอมักจะใจอ่อนกับสัตว์มากกว่า และยังมีความสงสารเหล่าสัตว์ทั้งหลายมากกว่าคนอีกด้วย เวลาเดินไปพบสัตว์บาดเจ็บเข้าเธอก็มักจะงัดความสามารถในการปฐมพยาบาลออกมาใช้อย่างสุดความสามารถและดูแลมันอย่างดีจนกว่าแผลจะหายและจะปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ แต่ถ้าสัตว์ตัวใดที่เกิดชอบเธอขึ้นมา แคลร์เองก็ไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไปเช่นกัน

            คนที่หกกล่าวแทรกขึ้น แคลร์ รักความถูกต้องและยุติธรรมเป็นที่สุด เธอที่สร้างมิตรไมตรีไปทั่วทุกหนแห่ง(?)ใครจะไปคิดถึงล่ะว่าจะเป็นคนที่เด็ดขาดในเรื่องของความยุติธรรม ผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่มีการโอนอ่อนใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าจะสนิทกันมากเพียงใดก็ตาม แต่ความสนิทมันไม่ใช้ตัวที่จะตัดสินว่าถูกหรือผิดเสียหน่อยนี่? ถึงแม้ยามปกติเธอจะเป็นคนที่โอนอ่อนให้กับคนรอบข้างได้ง่าย แต่เมื่อถึงยามที่ต้องตัดสินว่าสิ่งใดถูกหรือผิด จะกลับกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งคำว่าโอนอ่อนเลยแม้แต่น้อย ถ้าเธอเป็นฝ่ายผิดจริง ก็พร้อมที่จะเอ่ยขอโทษออกมาจากใจจริงไม่เสแสร้งใดๆ และยังคงหวังว่าอีกฝ่ายจะยังให้อภัยเพราะเรื่องบางเรื่องเธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตนนั้นกำลังทำผิดอยู่ แต่ถ้าหากอีกฝ่ายผิดแล้วเอ่ยขอโทษออกมา เธอก็พร้อมที่จะให้อภัยทุกเมื่อ หากมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเก็บมาซีเรียสอะไร แต่ครั้งต่อไปจะต้องไม่ทำผิดซ้ำรอยเดิมอีก เพราะเธอเองก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ให้อภัยคนหน้าเดิมๆได้ไม่มากนัก และจะคอยปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ตนทำผิดซ้ำสองเสียเอง

            คนที่เจ็ดเอ่ยขึ้นต่อ แคลร์ เป็นคนที่มีปณิธานสูงมาก เมื่อคิดสิ่งใดหรือได้รับมองหมายให้ทำงานใด เธอก็จะพยายามทำสุดความสามารถและต้องทำสำเร็จให้จงได้ ไม่ว่าจะต้องเจออุปสรรค์หรือขวากหนามมากมายเข้ามาขวางกั้น แคลร์ก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้เลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าหากคิดยอมแพ้แต่เนิ่นๆก็ไม่ต่างอะไรกับคนขี้ขลาดที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับอุปสรรค์ต่างๆ และอุปสรรค์เหล่านี้มันจะช่วยทำให้เธอนั้นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เปรียบดั่งกำลังฝึกฝนเธออยู่ก็ไม่ปาน แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าเธอจะเป็นคนที่จริงจังไปเสียหมด มุมขี้อ้อนของเธอก็มีเช่นเดียวกัน โดยส่วนมากแล้วจะอ้อนคนที่สนิทเสียส่วนใหญ่ และด้วยความที่เธอสนิทกับแทบทุกคนที่ได้ผูกมิตรไมตรีที่ดีต่อกันทำให้เธอเลือกอ้อนไม่ถูกเลยทีเดียว(?) แต่..เธอก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจตนหนึ่งที่อ้อนเฉพาะเวลาที่อยากได้สิ่งใดหรือต้องการความช่วยเหลือเพียงเท่านั้น เพราะเธอคิดอยู่เสมอว่าอ้อนมากเกินไปโดยใช่เหตุมันจะทำให้คนรอบข้างเอือมระอาเอาเปล่าๆ เพราะฉะนั้นจึงตัดสินใจอ้อนเวลาที่มีเหตุผลมากพอเท่านั้น ทำให้คนรอบข้างรู้ตัวได้ในทันทีเลยว่าที่เธอเข้ามาอ้อนเพราะมีสิ่งที่อยากได้หรือต้องการให้ช่วยนั่นเอง 

            คนที่แปดกล่าวปิดท้าย แคลร์ จัดได้ว่าเป็นคนที่อินโนเซ้นส์ในเรื่องของความรักมาก เวลาที่ตนรักใครชอบใครก็จะไม่รู้ตัวว่าหัวใจกำลังรู้สึกเช่นนั้นกับเขา จนในบางครั้งเผลอคิดว่าการที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เป็นเพราะตัวเองกำลังจะเป็นโรคหัวใจ(?) แต่พอไปหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตกลับไม่พบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย จนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงไม่รู้อยู่ดีว่าอาการหัวใจเต้นแรงมันเป็นเพราะอะไร และเจ้าหล่อนยังคงเป็นพวกเก็บอาการตอนที่เรียกได้ว่าเขินไม่ค่อยอยู่ ไม่เหมือนกับตอนเก็บอาการเศร้าเอาเสียเลย อาจมีการพูดตะกุกตะกักหรือหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศโดยที่ตัวเองไม่ทันรู้ตัวเลยว่ากำลังมีอาการเช่นนี้อยู่ ถ้าถึงขั้นที่ทนไม่ไหวจริงๆก็จะวิ่งเตลิด(?)ไปเลย แล้วก็มาถามตัวเองว่าเมื่อกี้วิ่งหนีมาทำไว(วะ)? เราเป็นอะไรไป? ความอินโนเซ้นส์ด้านความรักไม่มีใครเปรียบเทียบกับเจ้าหล่อนได้อีกแล้ว 

    ประวัติ :: แคลร์ เจสซิก้า หญิงสาวผู้เกิดมาภายใต้สกุลเจสซิก้าที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรนัก แต่เธอก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรพ่อแม่เลยแม้แต่น้อย เพราะท่านทั้งสองเองก็คงไม่อยากให้เธอเกิดมาในตระกูลนี้เหมือนกัน แต่เธอกลับดีใจเสียอีกที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อและแม่คนนี้ จนกระทั่งเมื่อเธออายุได้ 10 ปี ก็เริ่มรู้...ว่าตนนั้นคิดผิดที่ดันไปหลงเชื่อคำอุบายของผีพนันสองตัวนี้..

    แต่ก่อนนั้นท่านทั้งสองรักเธอก็จริง แต่พอนานๆไปเข้าท่านกลับแสดงกิริยาที่บ่งบอกว่า'ชิงชัง'เธอมากเพียงใด เมื่อเธออายุได้ 10 ปี พ่อและแม่เริ่มหันเข้าหาการพนัน ไปแทงบอลบ้างล่ะ คาสิโนบ้างล่ะ จนที่บ้านติดหนี้มากมายถึงขั้นที่เรียกได้ว่าชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด แล้วสองสามีภรรยาก็มาโทษลูกน้อยของตนเองที่เกิดมาเพิ่มภาระให้พวกเขา
            "เพราะแก!! ถ้าแกไม่เกิดมาฉันก็มีเงินไปแทงบอลมากกว่านี้แล้ว!!"
            "ใช่!! ไม่น่าเสียเงินมากมายเลี้ยงดูแกมาจนอายุได้เท่านี้เลย!! น่าจะปล่อยให้ตายๆไปซะ!!!!" นี่ก็เป็นอีกวันที่สองสามีภรรยาโทษลูกของตนที่ทำให้เสียค่าใช้จ่ายมากเกินจำเป็นโดยไม่ย้อนมองดูสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไปบางเลย เด็กหญิงวัย 10 ปีที่นั่งอยู่กับพื้นด้วยแรงผลักจากผู้เป็นบิดา เงยมองบุพการีทั้งสองที่ด่าทอตนด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่าพวกท่านทั้งสองกำลังพูดอะไร 
            "พ่อคะ แม่คะ..ด่าหนูทำไม..." แคลร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มือเล็กเอื้อมไปหาบุพการีอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่แล้ว..

    เพี้ยะ !!

    ผู้เป็นมารดากลับปัดมือนั้นทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ก่อนที่จะตรงเข้ามาตบหน้าเธออีกครั้ง

    เพี้ยะ !!!

    หน้าของเด็กหญิงหันไปตามแรงตบ หยดน้ำใสๆเริ่มมารวมกันที่เบ้าตาแต่มันก็ไม่สามารถไหลออกมาได้ เธอยังคงมีอาการตกใจว่าทำไมท่านทั้งสองจึงทำกับเธอแบบนี้
            "หงุดหงิดโว้ย!! ไปเอาทุนคืนหน่อยดีกว่า!!!" สิ้นเสียง สองสามีภรรยาจึงเดินกึ่งกระแทกเท้าออกไป แคลร์มองภาพนั้นด้วยหยดน้ำตาไปเริ่มไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนมือเล็กจะเลื่อนขึ้นมาปาดมันแบบลวกๆแล้วลุกขึ้นไปทำงานบ้านต่อ
    วันรุ่งขึ้น..

            "พ่อคะ!! จะพาหนูไปไหน!!"
            "ตามมาแล้วอย่าพูดมาก!!" ผู้เป็นบิดาบีบแขนเธออย่างแรงพร้อมกระชากขึ้นรถทันทีโดยที่เธอไม่สามารถใช้แรงของตนเองขัดขืนได้เลยแม้แต่น้อย จนต้องจำใจทำตามที่ชายวัยกลางคนสั่งแล้วนั่งเงียบๆโดยไม่พูดอะไร รถคันเก่าแล่นมาจอดอยู่หน้าสถานที่ที่ใหญ่โตราวกับปราสาท เธอมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าจะมีสถานที่ที่สวยงามราวกับในเทพนิยายแบบนี้อยู่ด้วย
            "อ่ะ! พ่อคะ! หนูเจ็บ!" เด็กสาวถูกผู้เป็นบิดากระชากลงมาจากรถอีกครั้งก่อนพาเข้าไปด้านในทันที พร้อมเหวี่ยงเธอลงตรงทางเดินอย่างแรง

            อึก..!

            "เฮ้ๆ อย่าทำรุนแรงสิ เดี๋ยวก็มีตำหนิกันพอดี"
            "ขอโทษครับ ผมเผลอตัวไป" กิริยามารยาทของพ่อเปลี่ยนไป ก่อนที่เธอจะพยายามเงยมองชายในชุดสูทหลายคนที่ยืนมองเธออยู่จนทำให้ต้องหลบสายตามามองพื้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมีชายผมทองคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมเชยคางเธอขึ้นให้สายตาประสานกัน ร่างของเด็กหญิงสั่นเทาไปด้วยความกลัวแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะขัดขืนการกระทำนั้น
            "ของดีใช้ได้ เอาเงินไปให้มัน" ชายหนุ่มอายุราวๆ 15 ปีเอ่ยขึ้นก่อนชายในชุดสูทด้านหลังจะนำเงินก้อนโตไปให้ผู้เป็นพ่อของตนที่มีท่าทางดีใจ ผิดกับเธอที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เสียเท่าไหร่ เมื่อได้รับเงินแล้วชายวัยกลางคนก็เดินออกไปจากปราสาทพร้อมขับรถไปทันที
            "พ่อคะ!! พ่อ!!"
            "อย่าไปเรียกร้องหาคนที่ขายได้แม้กระทั่งลูกตัวเองเลย.."
            "ขาย..ลูกตัวเอง..?" เธอหันมองชายผมทองด้วยสายตาไม่เข้าใจผสมกับความกลัว ก่อนที่มือหนานั้นจะวางบนหัวเธอทำให้สะดุ้งเล็กน้อย
            "ก็คนๆนั้นน่ะ ขายเธอให้กับฉันแล้วยังไงล่ะ.."
            "!!!" เด็กหญิงหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อได้ฟังสิ่งที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของผู้ที่มีอายุมากกว่าตน 5 ปี พร้อมอาการหวาดกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
            "แต่ ไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอหรอก แค่ยื่นข้อเสนอให้คนๆนั้นขายเธอเพื่อที่จะได้พาออกมาจากสถานที่แย่ๆนั่นไง^^"
            "อ..เอ๋..?"
            "อะไรกัน หน้างงๆแบบนั้นน่ะ จะพูดให้เข้าใจง่ายๆคือ ฉันซื้อเธอมาเพื่อให้เป็นน้องสาวบุญธรรม จบนะ^^?"
            "เอ๊!!!!" ยิ่งพูดมันยิ่งทำให้เธอตกใจ จู่ๆก็ถูกขายให้มาเป็นน้องสาวของผู้ชายที่น่ากลัวในตอนแรก แต่กลับเป็นคนที่ดูอบอุ่นในตอนนี้ สมองของเธอกำลังประมวณผลอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเร็วมากจนตามแทบไม่ทัน แต่อีกใจก็รู้สึกดีใจที่ได้ออกมาจากสถานที่แย่ๆนั่น ตอนนี้เธอกำลังพยายามปรับตัวเป็นอย่างมากเพื่อให้ชินกับสถานที่อยู่ใหม่นี้ได้
            "ว่าแต่ เธอขื่ออะไรเหรอ?"
            "ค-แคลร์ เจสซิก้า...ค่ะ.."
            "แคลร์สินะ หลังจากนี้ไปเรามาเป็นพี่น้องกันเนอะ ฉันชื่อดีโน่นะ"
            "พี่...ดีโน่..?" แคลร์ลองเรียกชื่อนั้นออกไป สิ่งที่ได้กลับมาคือฝ่ามือหนาที่ยีผมเธอเบาๆอย่างอ่อนโยน นับเป็นสิ่งที่เธอไม่ได้พบเจอหรือสัมผัสมานานมานานมากเลยล่ะ ความอบอุ่นแบบนี้...
            "ป่ะ! เดี๋ยวพี่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอควรรู้ให้ฟัง"

    ว่าแล้วผู้ที่เปรียบเสมือนพี่ชายก็ประคองเธอให้ลุกขึ้นพร้อมกับพาเดินรอบปราสาทพลางอธิบายทุกอย่างให้เธอฟังอย่างไม่ปิดบัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาเฟียหรืออะไรก็ตาม วันเวลาผ่านไปเธอเริ่มสนิทกับคนๆนี้มากขึ้นจนสามารถเรียกเขาว่า'พี่'ได้อย่างเต็มปากแบบไม่ต้องเขินอายอีกต่อไป เธอกลับมามีรอยยิ้มที่สดใสอักครั้ง เป็นที่รักของเหล่าลูกน้อง ถึงแม้บางครั้งจะก่อเรื่องไปบ้างแต่ก็ได้รับการให้อภัยเสมอมา เธอปฏิเสธที่จะใช้สกุลของคาบัคโรเน่ และใช้สกุลเดิมตลอดมาถึงแม้จะเป็นความหลังที่ขมขื่น แต่สกุลนี้มีไว้เพื่อเธอผู้เปรียบดั่งแสงสว่างของพระเจ้า จนกระทั่งเธออายุได้ 17 ปี
            "นี่ เห็นพี่ดีโน่บ้างไหม?" หญิงสาววัย 17 ปีผู้เป็นเข้าของเรือนผมสีชมพูอ่อนสดใสมีระดับความยาสถึงขาอ่อนเอ่ยถามถึงผู้เป็นพี่ชายบุญธรรมของตน และคำตอบที่ได้มาก็ยังคงเหมือนดังเช่นทุกครั้งไป
            "ไปญี่ปุ่นอีกแล้วเหรอ ที่นั่นมีอะไรน่าสนใจกันนะ" แคลร์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาก่อนที่จะกอดอกใช้ความคิดที่น้อยครั้งจะได้เห็นเธอในสภาพแบบนี้
            "หรือว่า...วองโกเล่รุ่นที่ 10 ซาวาดะ สึนะโยชิ.." เอ่ยทวนชื่อนั้นขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ก่อนที่ดวงตาเธอจะทอประกายแววแห่งความตั้งใจออกมา
            "ครั้งหน้าต้องไปกับพี่ให้ได้เลย~!"

    และ...เมื่อผู้เป็นพี่ชายของตนกลับมา

            "พี่ขาาาาา"(?) หญิงสาวกระโดดกอดผู้เป็นพี่โดยไม่กลัวว่าเขาจะล้ม(?)พร้อมมองด้วยสายตาเชิงอ้อนเหมือนลูกแมว ซึ่งมันทำให้'ดีโน่ คาบัคโรเน่'รู้ได้ทันทีว่าน้องสาวบุญธรรมของตนต้องมีเรื่องให้ช่วยหรือขออะไรสักอย่างแน่ๆ
            "ว-ว่าไง? ^^;"
            "คือ~ น้องสาวที่แสนน่ารักส์(?)คนนี้ขอไปญี่ปุ่นด้วยได้มั้ยง่า~"
            "ไม่ ไม่ได้เด็ดขาด..= ="
            "น๊าๆ พี่ชายสุดหล่อนะ~ น้องสาวอยากไปเปิดหูเปิดตาบ้างอ่ะ~!"
            "ไม่ต้องเลยยัยแคลร์ อีกอย่างพี่ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นสักหน่อย ไปดูศิษย์น้องต่างหาก"
            "นั่นแหละๆ! น้องสาวอยากไปด้วยง่าาาาา" ตอนนี้หญิงสาวที่กำลังอ้อนพี่ชายสุดชีวิต แทบจะกระดึ๊บขึ้นไปขี่คอ(?)อยู่แล้วแต่คำตอบก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม แถมยังถูกไล่ให้ไปนอนอีก
            "ชิส์! พี่อ่ะ ทำไมต้องห้ามด้วย ฉันรู้นะว่าที่นั่นมีเรื่องสนุกๆรออยู่น่ะ" แคลร์นั่งบนรึพึงรำพันอยู่ในห้องนอนของตน พลางกอดอกแล้วคิดหาวิธีที่จะไปญี่ปุ่นให้ได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง...ในขณะที่เธอกำลังเดินเล่นในย่านการค้าโดยปราศจากลูกน้องที่ปกติมักจะตามคุมหน้าคุมหลัง แต่วันนี้เป็นวันที่เธอมีความสุขที่สุด เพราะลูกน้องทั้งหลายต้องฝึกฝนอย่างหนักต่างจากวันอื่นๆยังไงล่ะ ทุกๆอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีจนถึงทางกลับ โชคร้ายราวกับถูกดูดเข้ามาหาด้วยแม่เหล็ก เธอจึงเดินไปชนนักเลงร่างใหญ่เข้าอย่างจัง 
            "เฮ้ย!! เดินดูตาม้าตาเรือ-- ...... ว่าไงจ๊ะน้องสาว~ ;)"
            "อ-เอ่อ..ขอโทษนะคะ ฉันเดินไม่ดูทาง..--"
            "ถ้อยากขอโทษ ก็ไปกับพวกเราสิ"
            "...ถ้าอย่างนั้นขอเวลาโทรจองพื้นที่สักครู่ค่ะ" ว่าแล้วเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาพร้อมโทรหาสถานที่หนึ่งว่าให้เตรียมที่ไว้ประมาณ 3 ที่ก่อนตัดสายทิ้งไป
            "เอาล่ะ เราไปที่นั่นกันเลยดีไหม? :)"
            "แล้วเมื่อกี้นี่โทรหาใคร"
            "โทรจองหลุมศพไว้ให้พวกแกยังไงล่ะ :)" สิ้นเสียงเธอก็เข้าจัดการชายตรงหน้าด้วยความสามารถด้านการต่อสู้อันได้รับการฝึกฝนมาจากพี่ชาย แต่กว่าจะจัดการได้สำเร็จก็ทำเอาเสียพลังงานไปมากเลยทีเดียว
            "อ-อึดชะมัดเลยพวกนี้ เล่นซะแทบแย่แหนะ" ช่วงวินาทีนั้นมีเสียงปรบมือช้าๆเป็นจังหวะดังขึ้นพลันทำให้เธอหันไปมองในทันที
            "ฝีมือไม่เลว สนใจมาเป็นส่วนหนึ่งของเฟริเน่ไหม?" เพียงวินาทีแรกที่ได้ยินคำถาม ก็ราวกับมีสิ่งดึงดูดใจให้เธอตกลง พร้อทกับหนี(?)ไปอยู่กับเฟริเน่โดยไม่ล่ำราพี่ชายเลยแม้แต่น้อย...

    สิ่งที่ชอบ : พี่ชายสุดที่รักส์(?)หรือเฮียโน่(?) - [ เพราะเป็นคนที่เธอสนิทและไว้ใจมากที่สุด ว่าเขาคนนี้จะไม่ทำให้เธอเสียใจอย่างแน่นอน เธอมักจะกระโดดกอดแทบทุกครั้งที่เจอ แต่ถ้าตอนนั้นกอดเพื่ออ้อนก็จะไต่ขึ้นไปเรื่อยๆจนแทบขี่คอ(?) ]

    เอ็นซีโอ้และฮิเบิร์ด - [ เพราะมันคือสัตว์ตัวเล็กๆที่น่าร้าก(?) ยกเว้นตอนเอ็นซีโอ้ดูดน้ำเข้าไปจนขยายร่างยักษ์ น่ากลัว...(?) บางครั้งก็แอบไปขโมย(?)ฮิเบิร์ดมาจากเคียวยะ เพื่อเล่นกับมัน ]

    พิซซ่า - [ เพราะมันคืออาหารที่พี่ชายชอบ เธอจึงมักโดนบังคับ(?)ให้กินบ่อยครั้งในอดีต จนมันกลายเป็นอาหารสุดโปรดของเธอไปเสียแล้ว ]

    น้ำมะพร้าว - [ เพราะมีกลิ่นหอมจางๆ เวลาดื่มเข้าไปแล้วมันจะทำให้เธอรู้สึกชื่นใจมากๆ ไม่ได้เอามาล้างหน้านะเฮ้ย!(??) ]

    ดวงดาวบนท้องฟ้า - [ เพราะมันจะทำให้เธอจิตใจสงบลง แถมยังเป็นยานอนหลับชั้นดี(?)สำหรับเธอ ที่วันไหนนอนไม่หลับก็มาดูดาว ไม่นานนักความง่วงจะเริ่มถาโถมเข้าใส่อย่างแน่นอน ]

    สิ่งที่ไม่ชอบ/เกลียด : คนที่ไม่รักพวกพ้อง - [ เพราะเธอนั้นเคยมีความรู้สึกที่ไม่เคยถูกรักมาก่อน ทำให้รู้ดีว่ามันเจ็บปวดเพียงใด และคนที่ไม่รักพวกพ้องมันก็ไม่ต่างอะไรกับขยะในสายตาเธอนัก ]

    คำโกหก - [ เพราะเธอนั้นชอบเรื่องจริงมากกว่าเรื่องโกหก มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าไม่มีความจริงใจให้ต่อกัน แต่ถ้าเขาหรือเธอคนนั้นมีเหตุผลที่ต้องโกหก เธอก็พร้อมจะให้อภัย ]

    คนที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า - [ รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางสู้แต่ก็ยังไปรังแกเขา แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน ]

    อากาศร้อนแบบเมืองไทย(?) - [ เพราะมันจะทำให้เธออารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเป็นบ้าสูง(?) ]

    สิ่งที่กลัว : ตุ๊กแก - [ ลวดลายสวยงาม(?)ที่อยู่บนตามตัวมันทำให้ขนลุกซู่--(?) ยิ่งถ้าอ้าปากนะ แทบกรี๊ด--(?) ]

    จิ้งจก - [ ด้วยลักษณะตัวที่คล้ายตุ๊กแกทำให้อาการไม่ต่างกันเสียเท่าไหร่(?) ]

    ลักษณะคำพูด : แคลร์ เป็นคนที่มีน้ำเสียงร่าเริงสดใส ออกแนวโมโนโทนชวนเคลิ้มหลับไปบ้าง น้ำเสียงของเธอจะบ่งบอกถึงอารมณ์ในขณะนั้นได้อย่างชัดเจน มักเรีนกแทนตัวเองว่าฉันเสมอ เรียกแทนคนอื่นว่าคุณ เธอ นาย แล้วแต่โอกาส

    สถานการณ์ที่ 1 ยามปกติ มีน้ำเสียงสดใส บ่งบอกได้ว่าตอนนั้นมีอารมณ์ที่ดี เรียกแทนตัวว่าฉัน แทนคนอื่นว่าเธอ นายไม่ว่าจะสนิทหรือไม่ก็ตาม มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเสมอ

    "สวัสดี! ฉันชื่อว่าแคลร์ เจสซิก้า ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ~!"
    "นี่ๆ ออกมานี่สิ คืนนี้ดาวบนท้องฟ้าสวยมากเลยล่ะ~"
    "เอ็นซีโอ้~! อย่าเข้าใกล้แม่น้ำน้า~!!"
    "เช้านี้อากาศดีจังน้า~ เราออกไปเดินเล่นกันเถอะ!"
    "ยังไงซะ สัตว์ตัวเล็กๆก็น่ารักเป็นอะนดับหนึ่งอยู่ดี ^~^"

    สถานการณ์ที่ 2 ยามโกรธ น้ำเสียงจะฟังดูแข็วกร้าวขึ้นมาเล็กน้อย มักกดเสียงต่ำจนดูน่ากลัว สรรพนามแทนคนอื่นอาจเปลี่ยนจากเธอ นาย เป็นแกไปก็เป็นได้

    "ถ้ายังอยากมีปากไว้กินข้าว แนะนำให้เธอหยุดพูดซะ..."
    "อยากรู้จริงไว่านายภาคภูมิใจอะไร? การเหยียบคนอื่นเพื่อให้ตัวเองสูงขึ้นเนี่ย...โคตรน่าภูมิใจสำหรับนายเลยสินะ?"
    "แกน่ะ หยุดพล่ามไร้สาระสักที..."
    "แอบนินทาลับหบังเนี่ย..คงเตรียมใจมาแล้วสินะ..?"
    "เธ ก็รู้ ว่าฉันเกลียดคำโกหกมากมายเพียงใด แต่เธอก็ยังคงทำมัน...หลังจากนี้ฉันจะมองเธอไม่เหมือนเดิม...จำไว้"

    สถานการณ์ที่ 3 ยามเศร้าหรือเสียใจ น้ำเสียงจะแผ่วเบาลงอย่างเห็นได้ชัด มีอาการสั่นเครือเล็กน้อยพร้อมน้ำตาที่ค่อยๆไหลริน

    "ขอร้อง..อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย...อีกเลยนะ.."
    "ฉันไม่อยาก..เสียใครไปอีกแล้ว.."
    "ไม่เป็นไรหรอกน่า~ เธอก็เห็นนี่ ว่าฉันกำลังยิ้มอยู่" เผยยิ้มบางๆออกมาแต่งดวงตาไม่ยิ้มตาม
    "ฉันไม่เคยคิดเลยนะ ..... ว่าคนที่ทำให้ฉันเสียใจจะเป็นนาย.."
    "ตอนแรก..ฉันคิดว่านายจะต่างไปจากคนอื่น แต่เปล่าเลย..นานก็เหมือนอินคิวบัสที่ใตัวตนอยู่จริง..."

    สถานการณ์ที่ 4 ยามปลอบหรือเตือนสติ น้ำเสียงจะมีหนักมีเบาบ้างตามสถานการณ์ว่าจะปลอบหรือเตือนสติ

    "นี่ หยุดร้องไห้เถอะนะ เธอเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่านะ" ว่าพลางระบายยิ้มออกมาบางๆพร้อมปาดน้ำตาให้อย่างเบามือ
    "โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวเสียงพวกนี้ก็สงบลงแล้วล่ะ" กอดปลอบเพื่อนที่กลัวเสียงฟ้าร้องพร้อมคอยอยู่ข้างๆ
    "ถ้าเธอมีอะไรล่ะก็...มาระบายกับฉันก็ได้นะ ฉันจะเป็นต้นกระบองเพชรคอยรับฟังเธอเอง"
    "นี่! ตั้งสติหน่อยสิ ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นหรอกนะ ไม่ใช่ความผิดนายสักหน่อย!"
    "ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ...เธอคิดว่าคนรอบข้างจะเสียใจแค่ไหน?! ตั้งสติสิ!"

    สถานการณ์ที่ 5 ยามทลายกำแพงจิตใจ น้ำเสียงจะเป็นมิตรมากกว่าปกติ และจะชวนคุยมากกว่าปกติด้วย

    "นี่ๆ วันนี้เราไปซื้อเค้กมะพร้าวกินกันไหม? นายน่าจะชอบนะ"
    "วันเสาร์นี้ไปเที่ยวกันนะ~! ^-^"
    "นี่ เธอชอบกินอะไรเหรอ? เผื่อว่าวันหลังจะทำมาให้ทานน่ะ"
    "นี่~ ยิ้มบางสิ อย่าเอาแต่ทำหน้านิ่งๆแบบนั้น เซลล์ประสาทที่หน้าตายด้านหรือไง?"(?)
    "โอะ..ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่นายเริ่มบทสนทนา ฮะๆ ดีจัง~ ^-^"

    อาวุธ :
    เคียวโซ่
    เป็นอาวุธที่สามารถใช้โจมตีได้ทั้งระยะประชิดและระยะกลาง ซึ่งเป็นอะไรที่สะดวกมาก เมื่อเติมไฟสายหมอกลงไป เคียวโซ่นี้จะมีลูกเล่นเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการหลอกตาคู่ต่อสู้ ทำให้ชนะได้ไม่ยาก
    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เคียวโซ่


    ปืนเมฆา 
    ธาตุเมฆาที่มีคุณสมบัติเพิ่มพูน ทำให้เวลายิงออกไป กระสุนจะแบ่งแย่งอนุภาคของมันจนทำให้มีดระสุนหลายลูดในการยิงครั้งเดียว ใช้ในการโจมตีระยะไกลและฝีมือการยิงปืนของเธอ ไม่ด้อยไปกว่าใครแน่นอน มีความแม่นยำสูงมาก มีซองปืนแบบรัดขา(เรียกแบบนี้ป่าวหว่า)ซ่อนอยู่ใต้กระโปรงบริเวณขาอ่อนข้างซ้าย เพื่อที่จะหยิบมันมาใช้ได้อย่างทันท่วงที
      

    สัตว์กล่อง
    หมาป่าเมฆา
    ชื่อคริส เป็นสายโจมตีเหมือนเจ้าของ ที่ไม่ว่าอะไรก็ใส่ๆเอา//โดนแคลร์ยิง(?)
    แต่ในบางเวลาถ้ามันเกิดอาการขี้เกียจขึ้นมาจะทำให้ร่างกายเป็นลูกหมาตัวน้อยๆ ธรรมดาๆ จึงต้องพาไปเดินเล่นและฝึกฝนเพื่อให้มันมีกะจิตกะใจอีกครั้ง


    มุมสอบถาม

    สวัสดี ชั้น บอสแห่งเฟริเน่ เธอล่ะ 
    :: "สวัสดี~! ฉันชื่อแคลร์ เจสซิก้า ยินดีที่ได้รู้จักนะ~" หญิงสาวสัย 17 ปีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัดพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่าย

    แน่นอนว่าชั้นเป็นบอสเธอจะต้องฟังคำสั่งของบอส ทำได้มั้ยล่ะ:)
    :: "มันก็ต้องแน่อยู่แล้วสิบอส! ถ้าฉันไม่ฟังคำสั่งบอส แล้วจะให้ฟังคำสั่งใครล่ะ~" ว่าพลางเอนกายพิงพนักเก้าอี้พร้อมกอดอกฮัมเพบงอย่างสบายใจ

    งั้นก็ขอให้โชคดี(มีแค่นี้หรอ//โดนเสย)
    :: "ไว้เจอกันใหม่น้า~" ว่าพลางโบกมือลาพร้อมรอยยิ้ม

    Talk

    สวัสดีค่า~~ ไฮโกะเองค่า ที่รักมีชื่อว่าอะไรคะ •~•
    :: แฮร่! อายะคนเดิม คนที่มาลองคาร์ไง--- แค่ก!

    ถ้าลูกสาวของที่รักไม่ติดจะค่าไฮมั้ยคะ
    :: ไม่ฆ่าค่ะ แต่จะเฟล- เฟลมากๆ เพราะตัวละครนี้ยาวที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา รู้สึกเสียดายเวลานิดหน่อย ._.

    ถ้าไฮไฮดองล่ะจะค่ามั้ยคะ
    :: ดองได้นา-- แค่อย่าทิ้งเป็นพอ--

    ขอคำพูดถึงลูกสาวหน่อยค่ะ
    :: ตะวันน้อยของแม่-- ถ้าไม่คิดก็กลับมาซบอกแม่นะลูก--
    ปล.ถ้าไม่ติดขอรับตัวกลับนะคะ

    งั้นก็ขอให้โชคดีค่าา~~~ เดินระวังด้วยน้า~~
    :: คร้าบผมมมม


    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×