ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [fic rebron/KHR] Love danger กุหลาบอาบยาพิษ || เอ็มม่า วิกตอเรีย
APPLICATION
"บนโลกใบนี้มันไม่มีคำว่าเริ่มต้นจากศูนย์หรอกนะ~
เพราะถ้าหากมันคือศูนย์ ก็แสดงว่าเรายังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยยังไงล่ะ :)"
คู่ :: ฮิบาริ เคียวยะ || Hibari Kyoya
ชื่อ :: เอ็มม่า วิกตอเรีย || Emma Victoria [ ชัยชนะอันสมบูรณ์แบบ ]
ชื่อเล่น :: เอ็มม่า || Emma [ ทุกคนสามารถเรียกได้เป็นปกติ ]
แคลร์ || Claire [ สำหรับคนสนิทอละคนพิเศษเท่านั้น ]
- อนึ่ง แคลร์มีความหมายว่า แสงสว่างอันเป็นนิรันดร์
รูปร่าง :: เอ็มม่า หรือ แคลร์ เป็นหญิงสาวชาวยุโรปผู้ปราศจากเชื้อสกุลจุลชาติของบิดามารดาที่อท้จริง มีเพียงสกุลของผู้มีพระคุณเท่านั้น หล่นมีรูปร่างเพรียวบางทว่าสมส่วนราวกับถูกปั้นแต่งมาจากเทพเจ้าอย่างปราณีต ด้วยส่วนสูงเพียง 160 เซนติเมตร ทำให้ผู้คนรอบข้างเข้าใจผิดว่าหล่อนเป็นเพียงเด็กมัธยมต้นย่างเข้ามัธยมปลายแต่แคลร์ก็ได้หาสนใจไม่ ถึงแม้จะไม่ได้สูงยาวเข่าดีอะไรแต่ส่วนสูงนี้ก็รับกับน้ำหนัก 50 กิโลกรัมเป็นอย่างดี ทำให้สาวเจ้าดูมีน้ำมีนวลอย่างอิสตรีทั่วไปที่พึงมี ไม่ดูผอมแห้งแรงน้อยหรือบอบบางเกินไปจนดูไม่น่ามอง ผิวพรรณขาวเรียบเนียนอันเป็นผลมาจากการบำรุงรักษาด้วยโลชั่นประทินผิวมาเป็นอย่างดี ทำให้เนื้อกายของเจ้าหล่อนมีกลิ่นกุหลาบจากโลชั่นที่ใช้อยู่เป็นประจำชวนหลงใหล โครงหน้าหญิงสาวเรียวสวยได้รูปดวงตาคู่สวยสีทองสว่างไสวที่มักทอประกายความขี้เล่นและหยอกล้อชวนใจเต้นในเวลาเดียวกัน แต่กลับเจือปนความเจ้าเล่ห์ด้วยหางตาที่ชี้สูงขึ้นเล็กน้อย ทำให้เธอนั้นมีดวงตาที่มีเสน่ห์มากคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เหนือดวงตาคู่สวยประดับตกแต่งด้วยขนตาโค้งงอนหนาเป็นแพชวนจับจ้อง คิ้วโค้งคันศรช่วยเพิ่มความสวยงามให้แก่ใบหน้าขาวเรียบเนียนเป็นธรรมชาติไร้ซึ่งเครื่องสำอางใดๆมาแต่งแต้ม จมูกโด่งรั้นพองามรับกับริมฝีปากบางอมชมพูที่มักยกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างไม่รู้เบื่อ ด้วยริมฝีปากที่อมชมพูตามธรรมชาติทำให้หล่อนเป็นคนที่น่าประทับจุมพิตคนหนึ่ง ใบหน้าเรียวได้รูปถูกรายล้อมไปด้วยเส้นเกศานุ่มลื่นดุจแพรไหมที่ได้รับการบำรุงรักษามาอย่างดี เรือนผมสีบลอนด์ทองของหล่อนให้ความรู้กราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยายที่มีตัวตนอยู่จริง มีความยาวถึงหลังบางรับกับสะโพกอรชรเป็นอย่างดี เมื่อมองไล่ลงมาจะเห็นได้ชัดว่าแคลร์เป็นสาวหุ่นดีคนหนึ่งที่แขนขายาวสมส่วนไม่ดูเก้งก้างจนเกินไป หน้าอกหน้าใจมีพอประมาณเพื่อไม่ให้ดูเกะกะเวลาทำสิ่งใด ร่างกายเจ้าหล่อนไร้รอยตำหนิราวกับได้รับการดูเลจากเทพีวีนัสมาก็ไม่ปาน
นิสัย :: หากขนานนามถึงหญิงสาวผู้มีใบหน้าสวยหวานราวอัปสรสวรรค์ คงไม่มีผู้ใดมองข้าม เอ็มม่า วิกตอเรีย หรือ แคลร์ หญิงสาวชาวยุโรปผู้ใช้สกุลของบิดามารดาบุญธรรมมาตั้งแต่วัยเยาว์ไปได้ สิ่งที่คุณจะได้รับรู้ต่อจากนี้ไป คือคำบอกเบ่าเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของหล่อนในมุมมองของผู้อื่น
คนที่หนึ่งกล่าวนำว่า แคลร์ เป็นหญิงสาวที่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าอย่างไม่รู้เบื่อ เป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความเป็นมิตร ขี้เล่น และจริงใจในเวลาเดียวกัน เธอเป็นคนที่สดใสร่าเริงอยู่เสมอ ไม่เครียดหรือซีเรียสอะไรกับเรื่องเล็กๆน้อยๆหากมันไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บมาคิดให้ปวดหัว เธอมักจะเป็นคนที่นำพาความสดใสร่าเริงมาให้ผู้คนรอบข้างเสมอ เรียกได้ว่าถ้าหากอยู่ใกล้เธอจะไม่มีแม้สักวันเดียวที่ความเครียดถาโถมเข้าใส่เลยแม้แต่น้อย ทุกๆวันจะมีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุข ไม่รู้สึกเบื่อหรือเหงาอีกต่อไป เจ้าเหล่อนเปรียบเสมือนแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาภายในห้องมืดๆ เอื้อมมือบางไปหาบุคคลที่กำลังสิ้นหวัง เหงา เศร้า เสียใจ ปิดกั้นตัวเองจากผู้คน ให้ออกมาจากสถานที่แคบๆหรือบรรยากาศเหล่านั้นด้วยความอ่อนโยนและจริงใจเสมอมา และด้วยความร่าเริงของร่างบาง ก็ทำให้มีผลพลอยให้ผู้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย นับว่าถ้าหากขาดเธอไปวันหนึ่ง ก็ราวกับชีวิตขาดสีสันก็ไม่ปาน
คนที่สองกล่าวตามมาว่า แคลร์ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(?)และผู้คนรอบข้างแบบไม่ลำเอียงว่าจะเป็นมิตรกับใครมากกว่ากัน สามารถเข้าหาผู้อื่นได้ง่ายและคนอื่นก็เข้าหาเธอได้ง่ายเช่นเดียวกัน เนื่องจากเธอมักมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดเวลา และมันเป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความจริงใจ ไม่เสแสร้งใดๆทั้งสิ้น ทำให้ใครต่อใครหลายคนไว้เนื้อเชื่อใจและพร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับเธอทุกเมื่อ แคลร์จะเข้าหาผู้อื่นด้วยรอยยิ้ม เพราะมันคือสิ่งที่เปรียบเสมือนแสงสว่างของเธอ เจ้าหล่อนจะชอบเข้าหาคนที่เรียกได้ว่าปิดกั้นหัวใจเป็นพิเศษ เพราะมันก็เปรียบเสมือนการท้าทายตัวเองว่าจะสามารถทำให้คนๆนั้นเปิดใจยอมรับตนได้ไหม เธอจะพยายามเข้าหาทุกๆวัน...ทุกๆวัน เพื่อให้สนิทกันมากยิ่งขึ้นให้ได้ ถึงแม้บางรายจะมีกำแพงสูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าหรือมีประตูคอยปิดกั้นหัวใจไม่ให้มีผู้ใดเข้ามา แต่เธอ ก็จะไม่มีวันลดละความพยายามที่จะเป็นเพื่อนกับเขาหรือเธอคนนั้นให้ได้ ถึงแม้ในบางครั้งบางคราวอาจถูกพูดแรงๆใส่ เช่น 'รำคาญ' 'อย่ามาทำเหมือนสนิทกันได้ไหม' 'หยุดตามตื๊อสักที' แต่มันก็ไม่ได้ชนะความด้าน(?)ที่มีอยู่ในตัวเธอเลยแม้แต่น้อย เจ้าหล่อนจะไม่ใช้วิธีทะลวงหรือพังกำแพงนั่นและประตูเข้าไป แต่จะพยายามปีนข้ามกำแพงที่ถึงแม้มันจะสูงสักเพียงใดก็ไม่หวั่น จะพยายามปลดล็อคประตูของหัวใจเข้าไปอย่างโดยดีและอ่อนโยนดุจแสงตะวันก็ไม่ปาน เธอจะไม่รีบร้อนในการทำสิ่งใดๆ จะค่อยๆเป็นค่อยๆไปทีละขั้นทีละตอนเสมอ เพราะผลีผลามไปมันก็ไม่ได้ผลดีอะไรขึ้นมา กลับกันมันจะยิ่งทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นตรงกันข้ามเสียมากกว่า ไม่เพียงแต่รอยยิ้มเท่านั้นที่เธอใช้เข้าหาคนอื่น คำพูดหรือการกระทำที่แสดงออกถึงความเป็นมิตรไมตรีที่ดีด้วยก็เช่นเดียวกัน เวลาที่อยากสนิทกับใคร เธอมักจะชวนเขาหรือเธอคนนั้นคุยบ่อยๆเพื่อทำให้ระยะห่างมันลดลงทีละล็ก ทีละน้อย แต่ถ้าวิธีการเข้าหาด้วยคำพูดมันไม่ได้ผล ก็จะเปลี่ยนเป็นการเข้าหาด้วยการกระทำแทน แคลร์มักจะเข้าไปช่วยเขาหรือเธอคนนั้นทำอะไรอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ขอก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำก็เพื่อให้อีกฝ่ายมองเห็นเธอในด้านดีๆ ด้านที่น่าเข้าหา แล้วทุกอย่างมันจะลงตัวเองโดยที่ไม่ต้องทะลวงกำแพงเข้าไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะถ้าหากทำเช่นนั้น คิดหรือว่าอีกฝ่ายจะไม่สร้างกำแพงขึ้นมาใหม่...
คนที่สามแย้งว่า ถึงแม้จะเป็นคนสดใสร่าเริงสักเพียงใด ก็ใช่ว่าจะมองโลกเป็นสีขาวไปหมดเสียทีเดียว แคลร์ เป็นหญิงสาวที่มองโลกในแง่ความเป็นจริงหรือสีเทา ไม่ได้ละเมอเพ้อฝันว่าทุกสิ่งทุกอย่างสวยงามราวกับเทพนิยายไปเสียหมด และไม่ได้คิดติดลบว่าทุกสิ่งทุกอย่างมืดมน หม่นหมอง จองร้ายและไร้คุณธรรมเปรียบเสมือนสีดำรัตติกาลไปเลยเสียทีเดียว ทุกๆอย่างบนโลกใบนี้เธอจะมองเป็นสีเทา มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดีผสมปนเปกันอยู่จนทุกอย่างลงตัว ไม่มีสิ่งใดที่ดีที่สุด และไม่มีสิ่งใดที่แย่ที่สุด ไม่เว้นแม้แต่คนเราที่เปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน มีทั้งหัวและก้อย มีทั้งสีดำและสีขาวอยู่ในคนๆเดียวกัน สีขาวและสีดำจะผสมปนเปกันจนกลายเป็นสีเทาอย่างลงตัวจึงจะเรียกว่ามนุษย์ที่แท้จริง แม้แต่เจ้าหล่อนเองก็ยังคงเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน ที่มีทั้งด้านบวกและด้านลบอยู่ในตัว ด้านลบของเธอมักจะออกมาเมื่ออารมณ์กำลังพุ่งพล่านเช่นเวลาโกรธ จากคนที่เคยร่าเริงแปลเปลี่ยนเป็นคนนิ่งเฉยได้กับทุกสถานการณ์ แววตาที่ทอประกายความขี้เล่นและเป็นมิตรอยู่เสมอจะกลับกลายเป็นเพียงอดีตที่ถูกแทนที่ด้วยความเรียบนิ่ง ราวกับไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ปากคอจะเราะร้ายขึ้นราวกับคนละคนที่เห็นกันอยู่หลัดๆ น้ำเสียงจะแปรเปลี่ยนเป็นกระแทกดุดันเล็กน้อย หรือไม่บางครั้งบางคราวจะเป็นเสียงเรียบนิ่งราวแม่น้ำที่นิ่งสงบ เธอมักจะถือคติโดนทำอะไรไว้ก็จะเอาคืนให้เท่าที่ทำกับตน แต่โดยนิสัยส่วนตัวแล้วเธอจะเป็นคนที่โกรธยากมากๆเพราะมีความอดทนสูง จึงไม่ค่อยมีใครได้เห็นด้านนี้ของเธอเสียเท่าไร หากเรื่องนั้นมันไม่จำเป็นที่ต้องโกรธจริงๆเธอก็พร้อมที่จะให้อภัยทุกเมื่อ เพราะไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรอยู่แล้ว แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดูถูกหรือหมิ่นเหยียดหยามครอบครัวของตนเด็ดขาด เพราะถึงแม้ว่าจะมีความอดทนสูงเพียงใด แต่เธอก็ยังคงเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีเส้นด้ายแห่งความอดทนเหมือนคนธรรมดาทั่วไปเช่นเดียวกัน มีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนมักพูดอยูเป็นประจำ ว่าสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการซ่อนเงินเมีย(?) คือผู้หญิงโกรธและมันจะยิ่งน่ากลัวกว่านั้นหากเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยโกรธ กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นเธอ เพราะฉะนั้นอย่าทำให้เธอโกรธจะดีที่สุด ในบางกรณีถ้าหากทำให้เธอโกรธแบบไม่ตั้งใจหรือไม่รู้ตัว วิธีที่จะทำให้แคลร์หายโกรธนั้นง่ายมากจนไม่อาจคาดคิดมาก่อนได้ นั่นก็คือการแสดงความจริงใจและขอโทษออกมาจากใจจริง เพียงเท่านี้หญิงสาวในด้านสีขาวคนเดิมก็จะกลับมาสร้างรอยยิ้มให้กับคนรอบข้างอีกครั้ง
คนที่สี่เสริมว่า แคลร์ เป็นคนที่เก็บอารมณ์ความรู้สึกเก่งพอสมควรโดยเฉพาะอารมณ์ตอนที่กำลังเศร้าโศกเสียใจ ด้วยความที่เธอนั้นไม่ได้ต้องการให้คนอื่นมาเป็นห่วง สงสาร หรือสมเพช มันจะทำให้เธอนั้นรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอถึงขั้นต้องมีคนมาคอยปลอบหรือเอาใจใส่อะไรมากมายเกินกว่าที่ควร เมื่อเจอเรื่องที่มากรีดแทงให้หัวใจเธอเจ็บปวดเจ้าหล่อนจะพยายามยิ้มรับไว้เสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม จะเล็กหรือใหญ่แต่บาดแผลมันก็ยังคงเป็นบาดแผลอยู่วันยันค่ำ เธอมักจะแสดงด้านเข้มแข็งออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น เพื่อให้อีกฝ่ายมองว่าตนนั้นไม่ได้อ่อนแอ ไม่ได้เศร้าโศกเสียใจใดๆทั้งสิ้น ทั้งๆที่ในใจนั้นแทบแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆเหมือนกระจกใสสะอาดที่ตกลงสู่พื้นพร้อมแตกกระจายออกไปแบบไม่มีทีท่าว่าจะสมานกันใด้เหมือนใหม่อีกแล้ว เพื่อทำให้ตัวเองดูเข้มแข็งจึงพร้อมที่จะแบกรับความเจ็บปวดนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว และจะไม่ระบายออกไปให้ผู้อื่นรับรู้ถึงความเจ็บปวดทรมานที่สั่งสมอยู่ภายในจิตใจแม้แต่นิดเดียว
คนที่ห้ากล่าวตามมา แคลร์ รักความถูกต้องและยุติธรรมเป็นที่สุด เธอที่สร้างมิตรไมตรีไปทั่วทุกหนแห่ง(?)ใครจะไปคิดถึงล่ะว่าจะเป็นคนที่เด็ดขาดในเรื่องของความยุติธรรม ผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่มีการโอนอ่อนใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าจะสนิทกันมากเพียงใดก็ตาม แต่ความสนิทมันไม่ใช้ตัวที่จะตัดสินว่าถูกหรือผิดเสียหน่อยนี่? ถึงแม้ยามปกติเธอจะเป็นคนที่โอนอ่อนให้กับคนรอบข้างได้ง่าย แต่เมื่อถึงยามที่ต้องตัดสินว่าสิ่งใดถูกหรือผิด จะกลับกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งคำว่าโอนอ่อนเลยแม้แต่น้อย ถ้าเธอเป็นฝ่ายผิดจริง ก็พร้อมที่จะเอ่ยขอโทษออกมาจากใจจริงไม่เสแสร้งใดๆ และยังคงหวังว่าอีกฝ่ายจะยังให้อภัยเพราะเรื่องบางเรื่องเธอก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตนนั้นกำลังทำผิดอยู่ แต่ถ้าหากอีกฝ่ายผิดแล้วเอ่ยขอโทษออกมา เธอก็พร้อมที่จะให้อภัยทุกเมื่อ หากมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเก็บมาซีเรียสอะไร แต่ครั้งต่อไปจะต้องไม่ทำผิดซ้ำรอยเดิมอีก เพราะเธอเองก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ให้อภัยคนหน้าเดิมๆได้ไม่มากนัก และจะคอยปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ตนทำผิดซ้ำสองเสียเอง
คนที่หกกล่าวเสริมว่า แคลร์ เป็นคนที่มีปณิธานสูงมาก เมื่อคิดสิ่งใดหรือได้รับมองหมายให้ทำงานใด เธอก็จะพยายามทำสุดความสามารถและต้องทำสำเร็จให้จงได้ ไม่ว่าจะต้องเจออุปสรรค์หรือขวากหนามมากมายเข้ามาขวางกั้น แคลร์ก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้เลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าหากคิดยอมแพ้แต่เนิ่นๆก็ไม่ต่างอะไรกับคนขี้ขลาดที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับอุปสรรค์ต่างๆ และอุปสรรค์เหล่านี้มันจะช่วยทำให้เธอนั้นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เปรียบดั่งกำลังฝึกฝนเธออยู่ก็ไม่ปาน แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าเธอจะเป็นคนที่จริงจังไปเสียหมด มุมขี้อ้อนของเธอก็มีเช่นเดียวกัน โดยส่วนมากแล้วจะอ้อนคนที่สนิทเสียส่วนใหญ่ และด้วยความที่เธอสนิทกับแทบทุกคนที่ได้ผูกมิตรไมตรีที่ดีต่อกันทำให้เธอเลือกอ้อนไม่ถูกเลยทีเดียว(?) แต่..เธอก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจตนหนึ่งที่อ้อนเฉพาะเวลาที่อยากได้สิ่งใดหรือต้องการความช่วยเหลือเพียงเท่านั้น เพราะเธอคิดอยู่เสมอว่าอ้อนมากเกินไปโดยใช่เหตุมันจะทำให้คนรอบข้างเอือมระอาเอาเปล่าๆ เพราะฉะนั้นจึงตัดสินใจอ้อนเวลาที่มีเหตุผลมากพอเท่านั้น ทำให้คนรอบข้างรู้ตัวได้ในทันทีเลยว่าที่เธอเข้ามาอ้อนเพราะมีสิ่งที่อยากได้หรือต้องการให้ช่วยนั่นเอง
คนที่เจ็ดปิดท้ายว่า แคลร์ จัดได้ว่าเป็นคนที่อินโนเซ้นส์ในเรื่องของความรักมาก เวลาที่ตนรักใครชอบใครก็จะไม่รู้ตัวว่าหัวใจกำลังรู้สึกเช่นนั้นกับเขา จนในบางครั้งเผลอคิดว่าการที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เป็นเพราะตัวเองกำลังจะเป็นโรคหัวใจ(?) แต่พอไปหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตกลับไม่พบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย จนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงไม่รู้อยู่ดีว่าอาการหัวใจเต้นแรงมันเป็นเพราะอะไร และเจ้าหล่อนยังคงเป็นพวกเก็บอาการตอนที่เรียกได้ว่าเขินไม่ค่อยอยู่ ไม่เหมือนกับตอนเก็บอาการเศร้าเอาเสียเลย อาจมีการพูดตะกุกตะกักหรือหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศโดยที่ตัวเองไม่ทันรู้ตัวเลยว่ากำลังมีอาการเช่นนี้อยู่ ถ้าถึงขั้นที่ทนไม่ไหวจริงๆก็จะวิ่งเตลิด(?)ไปเลย แล้วก็มาถามตัวเองว่าเมื่อกี้วิ่งหนีมาทำไม(วะ)? เราเป็นอะไรไป? ความอินโนเซ้นส์ด้านความรักไม่มีใครเปรียบเทียบกับเจ้าหล่อนได้อีกแล้ว
ประวัติ :: หากกล่าวถึงประวัติของ เอ็มม่า หญิงสาวผู้ปราศจากเชื่อสกุลจุลชาติจากบิดามารดาที่แท้จริงแล้ว คุณอาจจะๆม่อยากรับรู้ถึงเรื่องราวนี้ก็เป็นได้ เพราะไม่มีผู้ใดรู้เลย ว่าภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีนั่น กลับต้องพบกับสิ่งที่เลวร้ายมากมายในอดีต เรื่องราวต่อจากนี้ไปอาจทำให้คุณมองเอ็มม่าไม่เหมืนเดิมก็เป็นได้ ฉันขอแนะนำให้คุณล้มเลิกที่จะรับฟังเสียตอนนี้จะดีกว่า
.
.
.
.
.
แต่ในเมื่อคุณคะยั้นคะยอจะฟังเสียให้ได้ ฉันก็มิอาจห้าม...แต่ขอมห้เรื่องราวต่อจากนี้ เป็นเพียงความลับ ระหว่างคุณ..และฉัน :)
[ตำนานกล่าวขานจากเด็กสาว - แด่เธอผู้ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง ]
เอ็มม่า คือเด็กที่ลืมตาขึ้นมาดูโลกภายใต้สกุลเจเนซิสผู้มีบิดามารดาเป็นนักสืบฝีมือดี ท่านทั้งสองรักและเอ็นดูเธอมากเหนือสิ่งอื่นใด ดูแลอบรมเธอมาเป็นอย่างดี จนกระทั่งเธอนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆด้วยความรักความอบอุ่นตามฉบับครอบครัว ทำให้เธอกลายเป็นเด็กที่สดใสร่าเริงมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ช่วงเวลาแห่งความสุข...มักไม่ยั่งยืนเสียเท่าไหร่ ทุกคนต่างรู้กฎข้อนี้เป็นอย่างดี
"อะไรนะคะ..?!" เสียงฟังดูตกใจเปล่งออกมาจากปากมารดาที่มองสามีด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ในเวลานี้เธอไปโรงเรียนจึงทำให้สามารถคุยกันแบบสะดวกได้
"มีคนปองร้ายเราสองคนอยู่ คาดว่าเป็นพวกที่เราไปสืบเรื่องราวของมันแล้สเอาไปให้ตำรวจ"
"แล้วเรา..จะทำยังไงดีคะ.."
"ถึงดิ้นรนหนียังไง ก็ไม่สามารถรอดจากพวกมันแน่"
"คุณกำลังจะบอกว่า..."
"สิ่งที่ทำได้..มีเพียงยอมรับชะตากรรม" ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ เมื่อเห็นเช่นนั้น มือหนาจึงเลื่อนไปลูบหัวภรรยาเบาๆพร้อมส่งยิ้มบางๆให้ ราวกับกำลังดูออกว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้กลัวเรื่องที่ตัวเองจะตาย แต่กลัวว่าลูกของพวกเขาจะไม่รอด
"คุณไม่ต้องกังวลเรื่องลูกนะ ผมจะส่งลูกไปอยู่กับเพื่อนผม รับรองว่าลูกของเราต้องปลอดภัย"
"ถ้าคุณพูดแบบนั้น..ฉันก็วางใจค่ะ" เมื่อทั้งสองตกลงกันได้ ในเช้าวันต่อมาจึงบอกให้เธอเก็บเสื้อผ้าต่างๆ โดยให้เหตุผลว่าตะพาไปฝากกับลุงเพราะต้องไปทำงานที่ญี่ปุ่น ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้ขัดอะไร เมื่อเดินทางมาถึล ทางฝั่งตระกูลวิกตอเรียต้อนรับเธอเป็นอย่างดี เปรียบเสมือนมีพ่อแม่อีกคน เมื่อร่ำลาเสร็จบิดามารดาที่แท้จริงจึงขับรถออกไปโดยที่เธอไม่รู้เลยส่าภัยร้ายได้คืบคลานเข้ามาหาบิดามารดาจองตนอย่างช้าๆ...ไม่รู้เลยอม้แต่นิดเดียว
เธอใช้ชีวิตอยู่ที่คฤหาสน์วิกตอเรียอย่างมีความสุข เพราะมีพี่ชายที่อายุห่างจากเธอไม่กี่ปีอาศัยอยู่ด้วยทำให้ไม่เหงา แต่แล้ววันหนึ่ง เธอก็ได้ยินสิ่งที่ผู้นำตระกูลและภรรยาพูดกันโดยบังเอิญ
"แล้วเราจะบอกเรื่องนี้กับหนูแคลร์ยังไงดีคะ"
"ตอนนี้เธอยังเด็กมาก ให้รู้เรื่องนี้ไปก็กลัวว่าจะทำให้แคลรฺต้องเจ็บปสดเกินไป"
"แต่ไม่บอก มันก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะคะ? เรื่องที่พ่อกับแม่ของเธอตายแล้วน่ะ" วินาทีนั้น ราวกับแสงสว่างทั่งโลกทั้งใบดับวูบลงไป เธอหยุดหายใจไปชั่วขณะพร้อมกับเรี่ยวแรงที่ค่อยๆหายไปเรื่อยๆจนทรุดไปนั่งกับพื้น หยาดน้ำตาค่อยๆรินไหลอย่างช่วยไม่ได้ รู้ตัวอีกทีเธอก็พยายามลุกขึ้นพร้อมเดินไปหาท่านทั้งสองด้วยคราบน้ำตา
"หมายความ...ว่ายังไงคะ.."
"แคลร์!!"
"หมายความว่ายังไงคะ..ฮึก! ที่พ่อกับแม่...ตายแล้วน่ะ..คุณลุงกับคุณป้าโกหกหนูใช่ไหมคะ...ฮึก!" ณ ตอนนั้นเขาทั้งสองไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลยแม้แต่ปลอบประโลม เอส ที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์นั้นพอดีรีบเดินเข้ามาหาแคลร์พร้อมกับมองไปนังบิดามารดาของตน
"คุณพ่อ คุณแม่ มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ?"
"...ไว้พ่อจะเล่าให้ฟังทีหลัง ลูกพาน้องไปพักที่ห้องก่อน" ถึงแม้จะสงสัยแต่ก็ไม่วามารถถามอะไรได้ เขาจึงตัดสินใจพาเธอเข้ามาฝนห้องของเด็กสาวพร้อมเช็ดน้ำตาให้เบาๆ
"เกิดอะไรขึ้น? บอกพี่ได้ไหม?"
"ฮึก! พ่อกับแม่....พ่อกับแม่ทิ้งหนูไปแล้ว..." สิ้นประโยคน้ำตาก็ไหลรินกว่าเก่า เมื่อเห็นดังนั้นเอสจึงดึงเธอเข้ามากอดทันที
"ไม่ร้องนะเด็กดีของพี่...อย่าพูดว่าท่านทิ้งเธอสิ ไม่มีใครอยากใฟ้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรอกนะ" เสียงร้องไห้ยังคงดังไม่ขาดสายผู้เป็นพี่ก็ทำได้เพียงปลอบประโลมเท่านั้น
"หลังจากนี้ไป มาใช้นามสกุลพี่นะ เอ็มม่า วิกตอเรีย"
[ตำนานเล่าขานจากเด็กสาว - แด่เธอให้ทุกข์ทรมาน]
แคลร์ใช้ชีวิตภายใต้สกุลวิกตอเรียได้อย่างปกติสุข ทุกๆวันคนรอบข้างจะเห็นแต่รอยยิ้มบนใบหน้าและความสดใสร่าเริง โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่า มีคราบน้ำตาซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มนั้น เพราะไม่ต้องการให้ใครต้องมาเป็นกังวล เธอจึงยิ้มรับไว้เสมอ แต่มีหนึ่งคนที่มองออกหมดทุกอย่าง เอส วิกตอเรีย
"แคลร์ อย่ายิ้มแบบนั้นได้ไหม?"
"...หมายความว่าไงคะ?"
"เลิกยิ้มที่ไม่มีหัวใจแบบนั้นสักที.." ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา จากรอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มที่จะเรือนลางหายไป แทนที่ไปด้วยหยดน้ำใสที่ค่อยๆไหลรินลง
"ขอโทษ..ฮึก! ทั้งๆที่จะไม่ทำให้พี่เป็นห่วงแล้วแท้ๆ แต่มัน...หนูขอโทษ.."
"เราเหลือกันสองคนพี่น้องแล้วนะ ถ้าไม่ให้พี่ห่วงเธอแล้วตะให้ไปห่วงใครล่ะ" ผู้เป็นพี่ดึงเธอเข้ามากอดเบาๆต่อหน้าหลุมศพสองหลุ่มที่อยู่เคียงกัน ใช่...พ่อและแม่บุญธรรมของเธอเองได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ทำให้เวลานี้เธอเหลือแสงสว่างสุดท้ายเพียงหนึ่งเดียว ก็คือพี่ชาย แคลร์กอดอีกฝ่ายกลับเบาๆพร้อมร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจกลั้น มันช่างทุกข์ทรมานเหลือเกิน ทำไมโชคชะตาต้องกลั่นแกล้งเธอกัน? ถ้าหากเสียพี่ไปอีกคนเธอคงไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร...
"อะไรนะคะ?" แคลร์ถามขึ้นด้วยความสงสัยจนถึงขีดสุด ที่จู่ๆพี่ชายก็พูดขึ้นว่าจะส่งเธอให้ไปทำงานกับมาเฟียแฟมลี่หนึ่ง
"ก็..ตามที่ได้ยิน พี่ต้องไปสานงานต่อจากคุณพ่อที่ต่างประเทศ...คงเอาเธอไปด้วยไม่ได้"
"แล่วทำไม...ต้องเป็นมาเฟีย.."
"แคลร์ คิดว่าพี่ไม่รู้? ว่าเธอแอบฝึกต่อสู้"
"!! พี่รู้?!" รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า มืออันอ่อนโยนลูบหัวเธอเบาๆก่อนเอ่ยว่า
"คิดว่าพี่อยู่กับเธอมานาาแค่ไหนกัน? เป็นไปได้ก็อยากจะให้ไปวันนี้เลยนะ" ว่าแล้วเขาก็ยื่นเส้นทางการไปฐานทัพของแฟมลี่ดังกล่าว เธอที่กลัวว่าพี่ชายจะเป็นห่วงขึ้นมาอีกจึงรีบเก็บของแล้วร่ำราพี่ชายก่อนไปตามแผนที่ทันที
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่มีใครรู้ แคลร์ได้เดินทางมาถึงฐานทัพซึ่งแฟมิลี่นี้รับเธอเข้าอย่างง่ายดาย คงเพราะสกุลวิกตอเรียที่มีงานเบื้องหลังคือนักฆ่าทำมห้เธอนั้นได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างไม่ยากนัก วันนั้นผ่านพ้นไปด้วยดี จนวันถัดมาช่วงเวลาโพล้เพล้ เธอที่กำลังเดินกลับฐานทัพสะดุดตาเข้ากับข่าวทางโทรทัศน์เข้าพาดีจึงหยุดดู ณ ตอนนั้นหัวใจเธอแทบแหลกสลาย เมื่อข่าวเสนอเกี่ยวกับสายการบินที่พี่ของเธอใช้เดินทางไปต่างประเทศเกิดข้อผิดพลาดทำให้ตกลงสู่มหาสมุทร สถานการณ์คือ...ไม่พบผู้รอดชีวิต
"ทำไม..." น้ำใสๆไหลรินออกมาจากดวงตาอีกครั้ง "ทำไม..แม้แต่พี่ก็ทิ้งหนู.."
พระเจ้าจะเล่นสนุกกับฉันไปถึงเมื่อไหร่กัน!!
หลังจากผ่านเหตุดารณ์ในวันนั้นเธอพยายามเป็นอย่างมากในการยิ้มออกมา แน่นอนว่าไม่มีใครมองออกว่าเธอนั้นเจ็บปวดเพียงใด และนี่..ก็คือประวัติของ เอ็มม่า วิกตอเรีย หรือ แคลร์
ชอบ :: น้ำมะพร้าว - [ เพราะมีกลิ่นหอมจางๆ เวลาดื่มเข้าไปแล้วมันจะทำให้เธอรู้สึกชื่นใจมากๆ ไม่ได้เอามาล้างหน้านะเฮ้ย!(??) ]
ดวงดาวบนท้องฟ้า - [ เพราะมันจะทำให้เธอจิตใจสงบลง แถมยังเป็นยานอนหลับชั้นดี(?)สำหรับเธอ ที่วันไหนนอนไม่หลับก็มาดูดาว ไม่นานนักความง่วงจะเริ่มถาโถมเข้าใส่อย่างแน่นอน ]
สัตว์ตัวเล็กๆ - [ หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าคนอย่างเธอจะรักสัตว์ แต่ส่วนมากจะเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ เพราะมันน่ารักและเป็นเพื่อนแก้เหงาสำหรับเธอ ]
เกลียด :: คนที่ไม่รักพวกพ้อง - [ เพราะเธอนั้นเคยมีความรู้สึกที่ไม่เคยถูกรักมาก่อน ทำให้รู้ดีว่ามันเจ็บปวดเพียงใด และคนที่ไม่รักพวกพ้องมันก็ไม่ต่างอะไรกับขยะในสายตาเธอนัก ]
คำโกหก - [ เพราะเธอนั้นชอบเรื่องจริงมากกว่าเรื่องโกหก มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าไม่มีความจริงใจให้ต่อกัน แต่ถ้าเขาหรือเธอคนนั้นมีเหตุผลที่ต้องโกหก เธอก็พร้อมจะให้อภัย ]
คนที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า - [ รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางสู้แต่ก็ยังไปรังแกเขา แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน ]
กลัว :: เสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่า - [เธอจะรีบนำมือปิดหูพร้อมขดตัวลงทันทีด้วยความกลัว กรณีอยู่ในห้องหรืบ้านเธอจะเจ้าไปหลบในตู้เสื้อผ้า แต่ในบางกรณีอาจเผลอกระโจนกอดคนที่ยู่ใกล้ที่สุดเลยก็มี]
การสูญเสียคนสำคัญ - [เพราะเธอต้องพบเจอมันมาถึงสองครั้ง และไม่อย่างให้มันเกิดขึ้นอีก]
ธาตุ :: เมฆา - อรุณ
อาวุธ ::
สัตว์กล่อง ::
เพิ่มเติม ::
Talk To Boss
boss :: หึ! ว่าไงสาวน้อย:)
= "สวัสดีค่ะบอส!" เสียงใสนุ่มนวลน่าฟังดังออกมาจากปากของหญิงสาวที่ส่งยิ้มให้คู่สนทนา
boss :: เหอะ! คงไม่มีใจให้พวกนั้นหรอกใช่มั้ย
= "แหม~ เรื่องนั้นน่ะ จะไปมีได้นังไงกันล่ะคะ~" เอ็มม่าเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงปกติของตน ทั้งที่ในใจแอบหสั่นเกรงว่าจะเป็นดังที่บอสพูดจริงๆ 'ไม่หรอกน่า เราจะไปมีใจให้พวกนั้นได้ยังไง..'
boss :: หน้าที่กับความรัก จะเลือกอะไรล่ะ
= หญิงสาวชะงักไปชั่สครู่เมื่อได้ยินคำถามนั่น ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆแล้วเอ่ยตอบ "ไม่ว่าจะเลือกทางใด สุดท้ายจุดจบก็ต้องพบกับความเศร้า แต่...ฉันเลือกหน้าที่ค่ะ!"
boss :: เป็นคำตอบที่ดี ยืนเซ่ออยู่ได้นะ รีบไปทำงานสิ
= "รับทราบค่า~" ว่าแล้วก็รีบวิ่งออกไปทันที ทั้งที่ฟร้าตายิ้มแย้มแต่จิตใจกลับว้าวุ่นอย่างแปลกประหลาด...ไม่หรอก คิดมากไปเอง..
Talk To Me
1.สวัสดีค่า มายุเองนะคะ ผปค.ชื่ออะไรคะ
= อายะค่าาาา
2.อืมๆ ทำไมถึงมาสมัครเรื่องนี้ล่ะคะ
= อย่างแรกเลย สะดุดตาคำว่ากุหลาบค่ะ คอนเซ็ปของกุหลาบคือถึงแม้จะสวยงามแต่กลับแฝงไปด้วยอันตราย เป็นอะไรที่ชอบมากๆเลยล่ะค่ะ!
อย่างที่สอง เพราะมีขุ่นฮิดึงดูด--- แค่ก!
อย่างที่สาม เราเป็นพวกขี้หวง(?) เจอใครส่งไม่ได้ก็อยากส่งบ้าง--/โดนโบก
3.อ๋อเหรอ! ถ้าไม่ติดจะทำคุณไสยใส่เราป่ะ
= ไม่ทำหรอกค่ะ แหม~ แต่แค่อาจจะเฟลนิดหน่อย เพราะลูกๆของเราทุกคนตั้งใจปั่นมากจริงๆ แต่เราก็เคารพในการตัดสินใจของมายุซังนะคะ! '^'
4.ถ้าไรท์ดองล่ะ
= อืม~ คนเราทุกคนสามารถดองได้หมดค่ะ แต่แค่ไม่ทิ้งก็พอเนอะ!
5.เอ่อ...บายคะ
= บายค่า~ <3
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น