ลำดับตอนที่ #31
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : [ Fic KHR : Detective Companion ] :: ลาวีน่า เจเนซิส
กุหลาบ แม้ภายนอกจะสวยงาม แต่ ... ก็เต็มไปด้วยอันตราย | เป็นเช่นนั้นแล้ว คุณยังคิดที่จะรับมันมา ไว้ในครอบครองอยู่อีกหรือ? แม้ต้องเจ็บปวดก็ตามที |
ยามนั้น บุปผาไร้เงา จะปรากฏตัว
เพื่อไขคดี...ในครั้งนี้
It's too late.
กว่าจะรู้ตัว...มันก็สายเกินไป
"ฉันพร่ำบอกกับตัวเองเสมอ ว่าจะไม่มีวันรักคุณ"
ㄴ 聞こえないフリをして遠ざけていた ㄱ
ทำเหมือนว่าไม่ได้ยินที่บอก แล้วเดินถอยหนีออกมา
ㄴ あの日の言葉が忘れられない ㄱ
ถ้อยคำที่เธอพูดมาก็ยังไม่ลบเลือนเลยสักที
ㄴ こんなに愛しく思うなんて ㄱ
การที่หัวใจฉันมันรักเธอมากมายซะขนาดนี้
ㄴ 考えもしなかった ㄱ
เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด...มาก่อน
"แต่ทำไม...ทำไมกันล่ะ? หัวใจดวงนี้...ถึงร้องเรียกหาแต่คุณ...
ㄴ どうしてあなたのことを ㄱ
หัวใจ ทำไมต้องรักเพียงเธอ
ㄴ 今になって愛しはじめてしまったのかな ㄱ
แล้วทำไมเพิ่งจะรู้ว่ารักเธอตอนที่ทุกอย่างสายไปแล้วเช่นนี้
ㄴ もう届かないと分かっているのに ㄱ
รู้ดี ว่าไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนวันวานอีกแล้ว
ㄴ 想いが溢れていくの ㄱ
แต่ก็ไม่สามารถยั้งหัวใจตัวเอง
A P P L I C A T I O N
" สำหรับฉันแล้ว มีเพียงผู้ว่าจ้าง และผู้ถูกจ้าง เท่านั้นแหละค่ะ "
" คุณน่ะ...เป็นเพียงนักเดินทางธรรมดาๆ จริงเหรอคะ? "
" คุณอาจสามารถโกหกทางวาจาได้ แต่จนแล้วจนรอดยังไง ดวงตาก็ไม่สามารถปกปิดได้หรอกค่ะ "
" อย่าดูคนจากภายนอก ไม่เคยได้ยินคำนี้เหรอคะ? ฉันไม่ได้อ่อนแออย่างที่คุณเห็นหรอกนะ.. "
คู่ร่วมคดี : โรคุโด มุคุโร่ | Rokudo Mukuro
ชื่อ : พัชราภาอาภาวรรณากา มีส่องแสงคุณุประภานันทรกาดาณี | Patcharapaapawannaka Meesongsangkunupapanantarakadanee [ชื่อเก่า]
ลาวีน่า เจเนซิส | Lavina Genesis [ชื่อใหม่] (มีสาเหตุการเปลี่ยนชื่ออยู่ที่ประวัติค่ะ)
ฉายา : บุปผาไร้เงา
อายุ : 21 ปี
สัญชาติ : อังกฤษ
เกิดวันที่ : วันที่ 7 เดือนกรกฎาคม [วันทานาบาตะตามปฏิทินญี่ปุ่น]
กรุ๊ปเลือด : A
ลักษณะรูปร่าง : พัชราภาอาภาวรรณากา มีส่องแสงคุณุประภานันทรกาดาณี หรือ ลาวีน่า เจเนซิส หญิงสาวลูกครึ่งผู้ได้รับสัญชาติไทยมาจากผู้เป็นมารดา และสัญชาติอังกฤษมาจากผู้เป็นบิดา ใบหน้าหวานเย้ายวนดูอ่อนเยาว์กว่าวัยมีรูปทรงไข่ดูน่ารักน่าชังถูกรายล้อมไปด้วยเรือนผมสีบลอนด์อ่อนนุ่มดุจแพรไหม ทว่าเกศาสีเดิมของสาวเจ้าคือสีนิลราวท้องนภายามรัตติกาลอันได้รับมาจากมารดาอันเป็นสาวชาวสยาม แต่ด้วยความเชื่อบางอย่างของตระกูลทางฝั่งบิดาที่ว่า ผู้มีเรือนผมสีดำนิลจะนำพาโชคร้ายมาสู่ตระกูล เธอจึงตัดสินใจย้อมสีผมให้มีสีเช่นเดียวกับผู้คนทางฝั่งยุโรปด้วยความเข้าใจและเต็มใจ เส้นเกศาอันอ่อนนุ่มนี้มีสุขภาพที่ดีด้วยการบำรุงดูแลรักษามาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ส่งผลให้มีความนุ่มลื่นและกลิ่นของดอกกุหลาบอย่างเบาบาง มีความยาวถึงระดับต้นขาอ่อนเรียวสวยโดยไม่มีแห้งเสียแต่อย่างใด ยังคงความชุ่มชื้นไว้ตลอดเวลา ด้านข้างถักเปียจนนับเป็นเอกลักษณ์ที่คุ้นตาสำหรับผู้ได้พบเห็น ไม่ได้มีการใช่เครื่องประดับตกแต่งอะไรมากไปกว่าหนังยางเพียงเส้นเดียว เกศาถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เว้นเสียแต่เวลาทำงานหรือจริงจังกับบางสิ่งบางอย่าง เรือนผมจะถูกรวบเป็นทรงหางม้าเพื่อไม่ให้ขัดต่อการทำงานต่างๆ นานา ใบหน้าขาวเรียบเนียนทว่ามีสีชมพูอ่อนระเรื่อประดับอยู่บริเวณพวงแก้มจิ้มลิ้มน่าหยิกอันไร้ซึ่งการแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางใดๆ มีเพียงเลือดฝาดที่ไปหล่อเลี้ยงตามใบหน้าอันเป็นผลมาจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอของหญิงสาว จมูกเล็กรูปหยดน้ำเสริมความน่าเอ็นดูสำหรับผู้พบเห็นรับกับริมฝีปากสีเชอร์รี่อ่อนที่ไม่ต้องพึ่งลิปสติกอันใดได้เป็นอย่างดี ริมฝีปากเรียวเล็กมักมีรอยยิ้มบางประดับไว้อยู่เสมอมา หากแต่ผู้อื่นไม่สามารถเห็นมันได้หากไม่สังเกตุดูอย่างละเอียด ทำให้ถูกมองว่าเป็นคนไม่ยิ้มไปบ้าง ทว่าเธอเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีริมฝีปากน่าประทับจุมพิตเลยทีเดียว เครื่องประดับบนใบหน้าเห็นทีจะมีแต่ต่างหูคริสตอลสีแดงดุจโลหิตอันเป็นของดูต่างหน้าจากมารดาที่ได้ให้ไว้แต่เยาว์วัย มีขนาดเล็กเพื่อไม่ให้ขัดขวางในการทำงาน มักใส่ไว้เสมอเว้นเสียแต่เวลาอาบน้ำและเข้านอนอีกทั้งยังถนอมรักษามันเป็นอย่างดี สิ่งที่เสริมความงามให้แก่ใบหน้าอีกอย่างหนึ่งคือดวงเนตรคู่งามสีน้ำเงินดุจท้องน้ำใต้มหาสมุทรที่สุดแสนจะหยั่งถึง ไล่เฉดสีลงมาจนเป็นสีขาวบริสุจดั่งเกลียวคลื่นที่พัดขึ้นฝั่งอย่างไม่เกรงกลัว ด้วยดวงตาที่เปรียบดั่งมหาสมุทรนี้ทำให้ฉายแววความลึกลับและน่าพิศวงออกมาได้อย่างน่าประหลาด ไม่สามารถรู้ได้ว่าดวงตานี้กำลังสื่อถึงสิ่งใด จึงเป็นเหตุทำให้ความลึกลับเริ่มก่อตัวขึ้น หญิงสาวมีระดับสายตาที่เรียกได้ว่าดีจึงไม่ต้องพึ่งสิ่งขยายอย่างแว่นตาเข้ามาช่วยในการมองเห็นสิ่งต่างๆ เว้นเสียแต่เวลาทำงานกับคอมพิวเตอร์เธอจะใช้แว่นกรองแสงเพื่อถนอมสายตาแทน เหนือดวงเนตรคู่งามมีขนตาหนาเป็นแพสีดำสนิทไร้ซึ่งการแต่งแต้มอันใดช่วยเพิ่มความเฉียบคมให้แก่ดวงตาอยู่ไม่น้อย จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นดวงตาอันทรงเสน่ห์คู่หนึ่ง แม้ผู้ที่ได้จ้องมองมันจะต้องตกอยู่ในภวังค์ของคำถามในความลึกลับที่แผ่กระจายออกมาก็ตาม มงกุฎของใบหน้าอย่างคิ้วโค้งคันศรเองก็ช่วยเพิ่มความสง่าตามวัยได้เป็นอย่างดี เมื่อมองรวมบริเวณใบหน้าจะเห็นได้ว่าลูกครึ่งไทย-อังกฤษคนนี้เองก็มีใบหน้าที่หวานเย้ายวน ลึกลับน่าค้นหาและสง่าสมวัยในเวลาเดียวกัน
ไม่เพียงแต่ใบหน้าที่เป็นจุดสนใจ เรือนร่างของสาววัยยี่สิบเอ็ดเองก็เป็นจุดดึงดูดสายตาผู้คนเช่นเดียวกัน พัชราภาอาภาวรรณากา มีส่องแสงคุณุประภานันทรกาดาณี หรือ ลาวีน่า เจเนซิส มีส่วนสูง 165 เซนติเมตร ซึ่งนับได้ว่าเป็นส่วนสูงที่กำลังพอเหมาะพอดีกับร่างกายที่มีน้ำหนัก 52 กิโลกรัม ทำให้เรือนร่างของสาวเจ้าดูมีน้ำมีนวลดุจอิสตรีทั่วไปที่พึงมี ไม่ดูผอมแห้งแรงน้อย หรืออ้วนท้วมเสียจนเกินไป ผิวกายของหญิงสาวขาวเรียบเนียนอีกทั้งยังมีกลิ่นกุหลาบอย่างเบาบางเป็นผลมาจากโลชั่นประทินผิวที่ได้บำรุงรักษามาเป็นอย่างดีในวัยเยาว์ ส่งผลให้เนื้อตัวนุ่มเด้งน่าสัมผัสและน่าทะนุถนอมราวตุ๊กตาก็ไม่ปาน ผิวกายขาวเรียบเนียนนี้เพียงแค่ถูกจับด้วยแรงที่มากพอก็สามารถทำให้เกิดรอยแดงได้ไม่ยาก ทว่าร่างกายของเธอนั้นมิได้บอบบางเฉกเช่นผิวกายเสมอไป ด้วยความเป็นคนรักษาสุขภาพและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้มีสุขภาพแข็งแรงอีกทั้งร่างกายยังเพรียวบางน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง บนเรือนร่างมิได้มีสิ่งของประดับอันใดมากไปกว่าของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่ได้รับมาจากบิดา เป็นกำไลสีโกเมนสวยงามที่ใส่ประดับไว้บริเวณข้อมืออย่างไม่ห่างกายจนนับเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งประจำตัวของหญิงสาว รูปร่างเปลี่ยนเป็นทรงนาฬิกาทรายตามวัย เอวคอดเล็กลงรับกับสะโพกผายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งหน้าอกหน้าใจยังมีพอประมาณไม่ให้ดูน่าเกลียดหรือเป็นอุปสรรคในการทำกิจกรรมต่างๆ เรียกว่าเรือนร่างราวอัปสรสวรรค์ก็คงไม่ผิดนัก เรียวขาขาวเรียบเนียนดึงดูดสายตาผู้ได้พบเห็นมีความยาวที่พอเหมาะกับร่างกายทำให้ไม่ดูเก้งก้างเสียจนเกินไปเช่นเดียวกับแขนเรียวบางที่ดูไร้เรี่ยวแรงหากแต่กลับซ่อนพละกำลังเอาไว้ภายในอย่างน่าประหลาด เป็นอีกจุดหนึ่งที่ส่งผลให้หญิงสาวดูมีความน่าค้นหามากยิ่งขึ้นว่ามีพละกำลังที่ต่างจากรูปร่างอันบอบบางนาทะนุถนอมนั้นได้อย่างไร
ว่าด้วยการแต่งกายของหญิงสาววัยยี่สิบเอ็ด พัชราภาอาภาวรรณากา มีส่องแสงคุณุประภานันทรกาดาณี หรือ ลาวีน่า เจเนซิส มีร่างกายที่เพรียวบางทำให้หาเสื้อผ้าใส่ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ด้วยความที่หญิงสาวเองก็เปรียบเสมือนคนทั่วไปทำให้เน้นเสื้อผ้าในทางสบายและคล่องตัวเอาไว้เป็นหลัก โทนสีที่เธอมักใส่ประจำคือ สีแดง สีดำ และสีขาว เป็นเสื้อผ้าที่หาได้ง่ายและไม่ยุ่งยากเท่าไรนัก หญิงสาวมักสวมใส่เสื้อยืดสีขาวควบคู่กับกางเกงขาสั้นระดับต้นขาอ่อนสีดำเผยเรียวขาเล็กน้อยแต่ไม่ดูน้อยชิ้นจนเกินไปนักเพื่อความทะมัดทะแมงการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันยามที่ไม่มีงานสืบสวนเข้ามา หากแต่ในยามที่มีงานสืบสวนเข้ามาเธอจะแต่งกายด้วยความสุภาพแต่ยังคงความคล่องตัวเอาไว้ คือใส่เสื้อเชิ้ตสีแดงควบคู่กับกางเกงขายาวสีดำ หรือบางครั้งบางคราวก็ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงขายาวสีขาว จากข้างต้นจะเห็นได้ชัดว่าหญิงสาวนั้นไม่สวมใส่กระโปรงเลยแม้แต่น้อย เพราะขยับตัวได้ยากอีกทั้งต้องระวังในความสุภาพของชุดที่สวมใส่จึงไม่เหมาะกับงานที่เธอทำเอาเสียเลย จะมีเพียงสถานการณ์ที่จำเป็นเท่านั้นคืองานเลี้ยง หรือจำต้องแฝงตัวไปสืบคดีในงานเลี้ยงที่ใหญ่โตโอ่อ่า เธอจึงจะยอมใส่ชุดกระโปรงด้วยเหตุผลที่ว่าจำเป็น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ลืมใส่กางเกงขาสั้นไว้ด้านในเพื่อความปลอดภัยและสุภาพด้วย พัชราภาอาภาวรรณากา หรือ ลาวีน่า เป็นคนที่พึงพอใจในส่วนสูงของตนอยู่แล้ว ทำให้เธอไม่แสวงหาความสูงเทียมจากร้องเท้าเสริมส้นแต่อย่างใดหากไม่จำเป็น ตัวอย่างเช่นการไปงานเลี้ยงข้างต้น มักสวมใส่รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าไร้ส้นเป็นหลัก ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อความคล่องตัวโดยทั้งสิ้น หากใส่รองเท้าเสริมส้นก็จะไม่เหมาะกับการวิ่งหรือขยับตัว เธอจึงตัดปัญหามาใส่รองเท้าไร้ส้นแทน เมื่อมองลงมาแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจะเห็นได้ชัดว่า พัชราภาอาภาวรรณากา หรือ ลาวีน่า มีใบหน้าที่หวานเย้ายวน ลึกลับน่าค้นหาและสง่างาม อีกทั้งยังมีรูปกายที่ราวอัปสรสวรรค์ แต่งแต้มด้วยกลิ่นกายคล้ายกุหลาบจากโลชั่นประทินผิวจนเป็นเอกลักษณ์ นับเป็นหญิงสาวที่น่าจับตามองเลยทีเดียว
นิสัย : หากเอ่ยขานชื่อ พัชราภาอาภาวรรณากา มีส่องแสงคุณุประภานันทรกาดาณี ออกมายามอยู่ทางฝั่งยุโรป จะไม่มีผู้ใดรู้จักชื่อนี้เลยแม้แต่น้อย หากแต่ขานชื่อ ลาวีน่า เจเนซิส ออกมา ไม่ว่าผู้ใดต่างต้องคิดไปในทิศทางเดียวกันและคงไม่มีผู้ใดไม่คิดถึงหญิงสาวผู้ไม่สามารถสรรหาคำใดมาเปรียบเปรยได้นอกเสียจาก ลึกลับ
ลาวีน่า เจเนซิส หญิงสาวผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นผู้ลึกลับน่าค้นหา ด้วยลักษณะนิสัยบางประการของเธอทำให้ถูกมองอยู่เสมอว่าเป็นสาวที่หาตัวจับได้ยาก ลาวีน่าเป็นคนที่นิ่งได้กับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าเวลานั้นเหตุการณ์จะเป็นเช่นใด จะดีหรือร้าย เธอก็มักจะสงบนิ่งเอาไว้เป็นหลัก เพราะถ้าหากทำตัวตื่นตระหนกไปก็พาลแต่จะทำให้เสียสมาธิเอาเปล่าๆ สาวเจ้าจึงเลือกที่จะนิ่งไว้เพราะมีสมาธิในการวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที เธอจะเป็นคนคิดเร็ว คิดไวยามที่มีสมาธิ สามารถหาทางออกในสถานการณ์คับขันได้อย่างไม่ยากนัก อีกทั้งลักษณะนิสัยในส่วนนี้ยังทำให้เธอดูเป็นสาวลึกลับอยู่พอตัว เพราะไม่แสดงอารมณ์ออกมาเท่าไรนัก ทำให้ไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าตัวเธอในตอนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? กำลังมีความรู้สึกแบบใด? กำลังโกรธ? เหงา? เศร้า? หรือดีใจกัน? แม้แต่ภายในดวงตาของเธอก็ไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา ส่งผลให้ตัวเธอนั้นดูเป็นคนเฉยชาไปโดยปริยาย ส่งผลให้ผู้อื่นนั้นต่างพากันสงสัยในอารมณ์ความรู้สึกของเธอและพยายามแสวงหาว่าตัวตนของเธอนั้นไร้อารมณ์จริงหรือ? ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลย ตัวเธอเองก็อยากแสดงอารมณ์ออกมาให้มากกว่านี้ แต่ไม่สามารถทำได้ดั่งใจต้องการ จึงกลายเป็นว่าไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาเท่าไร แต่เพราะเหตุนี้เอง มันจึงเป็นผลดีอย่างหนึ่งสำหรับตัวเธอ โดยเฉพาะเวลาที่กำลังโกรธหรือเศร้า ยามโกรธเธอจะใช้ความสามารถในการไม่แสดงอารมณ์นี้กักเก็บไฟที่กำลังปะทุเอาไว้ พยายามไม่ไปหาเรื่องทะเลาะกับอีกฝ่าย เพราะอาจทำให้เรื่องมันบานปลายไปกันใหญ่ได้ ในส่วนนี้จึงทำให้ลาวีน่าดูมีนิสัยยอมคนอยู่บ้าง เพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำให้โกรธเพียงใดเธอก็จะพยายามไม่โต้กลับและยอมๆ ให้อีกฝ่ายไปด้วยความไม่อยากมีเรื่องมีราวให้มันใหญ่โต ถึงกระนั้นเธอก็ยังมีความใจแข็งให้เห็นอยู่บ้าง ใช่ว่าถูกขอร้องอะไรก็จะทำตามไปเสียหมด จะพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนว่าตนนั้นสามารถทำมันได้หรือไม่ ถึงกระนั้นความใจแข็งนี้ก็อยู่ได้ไม่นานเอาเสียเลย หากถูกขอร้องอ้อนวอนด้วยความจริงใจ เธอก็จะเผลอตกปากรับคำเสียทุกครั้งไป นับเป็นจุดที่น่ารักคงไม่ผิดนัก แต่เธอเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีเส้นด้ายแห่งความอดทนเช่นเดียวกับผู้อื่น หากมันขาดสะบั้นลง คำพูดคำจาของเธอจะเราะร้ายขึ้นทันที ทำให้คนรอบข้างประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ในด้านของความเศร้า เธอจะสามารถกักเก็บอารมณ์นี้ได้ดีกว่ายามโกรธ พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหล พยายามแสดงออกมาว่าตนนั้นยังไหวทั้งที่ใจปวดร้าว พยายามแสดงด้านเข้มแข็งออกมาปิดบังตัวตนที่พร้อมจะล้มทุกเมื่อของตัวเอง ปิดบังทุกสิ่งทุกอย่างที่อ่อนแอไว้ภายใต้หน้ากากที่ไร้ซึ่งอารมณ์ เพราะเธอนั้นไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาสงสาร สมเพช หรือเป็นห่วงเป็นใยอะไรมากมายนัก จึงตัดสินใจเก็บมันเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว จะมีเพียงคนที่เธอคิดว่าสนิทใจมากพอแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถปลดปล่อยด้านที่ถูกปิดบังออกมาได้โดยไม่ต้องคิดอะไร ขอแค่เพียงใครสักคนที่จะอยู่เคียงข้างยามที่ไม่เหลือใครก็เพียงพอ หากแต่ไม่สามารถทนกักเก็บมันไว้ได้ เธอจะผละออกไปอยู่คนเดียวเสียส่วนใหญ่
หลายคนมักเปรียบเปรยคนลึกลับว่าต้องเป็นคนที่มี ความดาร์ค แต่สำหรับเธอแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย ถึงแม้จะถูกมองว่าลึกลับมากเพียงใดแต่ตัวตนจริงของเธอนั้นคือคนที่สุภาพและให้เกียรติ์ผู้อื่นอยู่เสมอ ไม่ก้าวก่ายสิทธิส่วนบุคคลของอีกฝ่ายหากไม่จำเป็น แต่จะส่วนน้อยมากที่เธอจะทำเช่นนั้น ใช่ว่าคนลึกลับจะต้องหยาบคายเฉกเช่นเดียวกับในความคิดของผู้อื่นเสมอไป ลาวีน่าคือหญิงสาวที่มีความสุภาพอยู่ในตัวสูง แม้เธอจะไม่ได้แสดงอารมณ์ออกมามากนัก แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนก็คือความสุภาพของเธอ หลายคนที่ไม่สังเกตุจะเห็นว่าใบหน้าของเธอนั้นเรียบเฉย ทว่ามันกลับไม่ใช่เลย บนใบหน้าของสาวเจ้ามักประดับด้วยรอยยิ้มบางอยู่เสมอ แต่เพราะรอยยิ้มนั้นแหละทำให้ปรอทความลึกลับของเธอเพิ่มสูงขึ้น เพราะผู้อื่นไม่รู้ว่าเธอยิ้มเพราะอะไร? หรือคิดอะไรอยู่ในขณะยิ้ม? ในรอยยิ้มของเธอนับว่ามีความเล่ห์เหลี่ยมอยู่ไม่น้อย จึงเป็นเหตุให้คนรอบข้างมักระวังตัวจากเธอเอาไว้เสมอ แต่บางคนกลับเห็นต่าง ว่ารอยยิ้มอันเบาบางของเธอนั้นไม่ได้ดูเจ้าเล่ห์เจ้ากลอะไร แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นอยู่ไม่น้อย เพราะเธอจะมีลักษณะนิสัยที่เอาใจใส่ผู้คนรอบข้างแบบลับๆ ส่วนน้อยนักที่จะรู้นิสัยของเธอในด้านนี้ แม้อายุอานามอาจจะน้อยกว่าคนรอบข้างไปบ้าง แต่ลาวีน่าเป็นคนที่ดูแลผู้อื่นได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งยังดูแลด้วยใจ ไม่มีการเสแสร้งใดๆ ทั้งสิ้น การเอาใจใส่ของเธอคือทางบวก และไม่มีทางลบมาประสมปนเปอย่างแน่นอน เธอมักให้กำลังใจกับคนที่กำลังท้อแท้ในการพบเจอกับอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต แม้คำพูดคำจาจะดูแข็งไปบ้างตามประสาหญิงสาวที่แสดงอารมณ์ออกมาไม่เก่ง แต่อีกฝ่ายต้องรับรู้ได้อย่างแน่นอนว่าเธอนั้นกำลังเป็นห่วงอยู่ เธอชมชอบที่จะได้เห็นรอยยิ้มของผู้อื่น แม้รอยยิ้มนั้นจะไม่ได้เกิดเพราะตนก็ตาม รอยยิ้มเปรียบเสมือนสิ่งที่แสดงออกว่ากำลังมีความสุข หากคนรอบข้างมีความสุข เธอเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย อีกทั้งเธอยังเป็นคนที่มีสัจจะ หากรับปากว่าจะทำสิ่งใดแล้ว ก็จะลงมือทำให้ถึงที่สุด รวมไปถึงงานสืบสวนของเธอ ลาวีน่าจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคจนกว่างานนั้นจะสำเร็จ ไม่เพียงเท่านั้น เธอไม่ใช่คนปากรั่วปากสว่างแต่อย่างใด คนรอบข้างจึงมั่นใจได้ว่า ไม่ว่าจะบอกความลับอะไรกับเธอไป ความลับนั้นจะไม่มีทางรั่วไหลอย่างแน่นอน เพราะขนาดความลับของตนเองเธอยังสามารถปิดไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อน ถึงความลับในอดีตของเธอ ด้วยลักษณะนิสัยที่จะออกมาให้เห็นบางครั้งบางคราวนี้เองทำให้เธอดูมีเสน่ห์กับคนรอบข้างอยู่ไม่น้อย
สืบเนื่องจากข้อด้านบน ลาวีน่าคือหญิงสาวที่มีสเน่ห์กับคนรอบข้าง เพราะเธอนั้นมีสิ่งที่เรียกว่า มาดต้องตา มักอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ว่ากับผู้ใดหรือวรรณะใด ไม่แสดงอำนาจหรือวางท่าทางเหนือใครเป็นอันขาด หากรู้ตนว่าเป็นผู้ที่มีอายุน้อยกว่า เธอจะไม่ประพฤติสิ่งที่ไม่เหมาะสมออกมาให้ผู้ใดได้เห็น แต่ก็ใช่ว่าเธอจะแสดงอำนาจกับผู้ที่มีอายุน้อยกว่าเช่นเดียวกัน ปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมไม่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ลาวีน่าคือคนที่ไม่รู้สึกเสียเกียรติ์ที่จะกล่าวคำขอโทษหากตนนั้นผิดจริง เห็นแบบนี้เธอเป็นคนที่รักในความถูกต้องเป็นอย่างมาก หากถึงคราวต้องตัดสินถูกผิด จะไม่มีความว่าคนรู้จักหรือความสนิทสนมเข้ามาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย ผิดก็จะว่าไปตามผิด ถูกก็จะว่าไปตามถูก หากตนผิดจริงก็พร้อมที่จะเอ่ยคำขอโทษอย่างไม่ยากเย็นนัก แต่หากมั่นใจว่าไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายคือคนผิด เธอจะยืนกรานที่จะไม่ขอโทษทันที ไม่ว่าอีกฝ่ายนั้นจะใหญ่โตมาจากที่ใดก็ตาม แต่ก็พยายามไม่ให้เสียมารยาทมากไปนัก มักเตือนตนอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไร และไม่ให้อารมณ์เข้าครอบงำจิตใจได้เป็นอันขาด อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้อื่นมองเห็นคือความสง่างามในตัวของหญิงสาว รู้จักวางตัวอย่างเหมาะสมในทุกสถานการณ์ ไม่เดินช้าจนเกินไป และไม่เดินเร็วจนมีท่าทีลุกลี้ลุกลน แต่หากเป็นสถานการณ์ที่เร่งด่วนจริงๆ มันก็ต้องมีข้อยกเว้นกันบ้าง เห็นแบบนี้ใช่ว่าเธอจะไม่มีมุมเล่นกับคนอื่นเลย แต่เธอจะรู้ตัวดีเสมอว่าเวลาไหนควรเล่น เวลาไหนควรจริงจัง จึงทำให้ดูมีลุคผู้ใหญ่เกินวัยไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่จุดด้อยของเธอแต่อย่างใด อีกทั้งสาวเจ้ายังเป็นคนที่รู้จักกาลเทศะในการแต่งกายเป็นอย่างดี เธอจะไม่แต่งกายตามใจตนเองหากต้องไปร่วมงานที่ใดที่หนึ่ง แต่จะแต่งตามสภาพของงานนั้นๆ เฉกเช่นงานเลี้ยงที่ยอมใส่กระโปรงไปเพื่อให้เกียรติ์แก่เจ้าภาพงาน แต่ก็ไม่ลืมคำนึงถึงความสุภาพแต่อย่างใด
ลาวีน่าเป็นคนที่รักในความสะอาดและความเป็นระเบียบอยู่พอตัว มักรักษาความสะอาดของบ้าน ห้อง หรือสถานที่ต่างๆ อยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่ร่างกายของตนเองและผู้อื่นจนติดเป็นนิสัย ในด้านความชมชอบความเป็นระเบียบนั้น เรียกได้ว่าเป็นคนนิยมความสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ เธอจะต้องการหรือปรารถนาความสมบูรณ์เพรียบพร้อมจากตนเองหรือผู้อื่น พยายามไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องใดๆ ทั้งสิ้น เวลาเห็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบเธอก็จะเผลอตัวเข้าไปแก้ไขมันเสียทุกครั้งไป ไม่เพียงเท่านั้น ลาวีน่ายังจัดสิ่งของต่างๆ ให้เข้าที่เข้าทางอย่างเรียบร้อย อยู่ในที่ๆ มันสมควรอยู่ หากนำไปใช้ก็จะเก็บไว้ที่เดิมทุกครั้งที่ใช้เสร็จ เพื่อง่ายต่อการค้นหาหากต้องการใช้ในครั้งต่อไป แต่ถ้าผู้อื่นหยิบของสิ่งนั้นไปใช้แล้วไม่นำกลับมาวางไว้ที่เดิม เธอจะแสดงอาการหงุดหงิดออกมาเล็กน้อยแต่ไม่มากนัก จนสามารถเรียกได้ว่าดูไม่ออกว่าเธอกำลังหงุดหงิดเลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังเคร่งในเรื่องกฎระเบียบต่างๆ อีกด้วย รักษากฎอย่างเคร่งครัดไม่ให้ออกนอกกรอบโดยเด็ดขาด จนดูเป็นคนจู้จี้จุกจิกไปโดยปริยาย มักจัดอันดับสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันไว้เสมอโดยไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่ก็ใช่ว่าเธอจะเจ้าระเบียบเช่นนี้ทุกเวลา เธอเข้าใจดีว่าเวลาไหนควรเคร่งครัด และเวลาไหนควรพักผ่อน จึงทำให้เธอดูมีมุมสบายอยู่บ้าง อีกสิ่งหนึ่งคือ เธอเป็นคนที่มีความคิดแปลกใหม่ หรือความคิดสร้างสรรค์ มักเห็นต่างออกไปจากคนอื่นเสมอทำให้ดูไม่เข้าพวกไปบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย เธอมักมีความคิดริเริ่มอยู่เสมอ แปลกใหม่ไม่ซ้ำใครและแตกต่างจากความคิดธรรมดา ส่วนมากจะเน้นไปทางการแต่งเพลงหรือดัดแปลงสิ่งของ DIY มากกว่า มีความคิดคล่องแคล่ว โดยความคิดที่เกิดขึ้นมักเป็นความคิดที่ไม่ซ้ำกันในด้านต่างๆ สามารถดัดแปลงประสบการณ์ที่ตนได้พบเจอมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้อีกด้วย
ความลึกลับไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวกำหนดให้เธอเลือกเดินเส้นทางของการเป็นนักสืบ ทว่ามันคือคุณสมบัติของนักสืบที่ไหลเวียนอยู่ในตัวเธอโดยไม่รู้สึกตัวมาก่อน
ลาวีน่าเป็นคนที่เข้าใจในสิ่งต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม เช่นเดียวกับเนื้อหาของงานที่ว่าจ้าง ทำให้เธอสามารถเข้าใจเนื้อหาของงานได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง อีกทั้งเธอยังมีไหวพริบที่สูงอยู่พอตัว คิดก่อนพูดไม่ใช่พูดก่อนคิด เวลาที่จะพูดอะไรออกไปเธอมักจะคิดทบทวนกับตัวเองอยู่เสมอว่ากำลังจะพูดสิ่งใดออกไป ให้เวลาตัวเองได้หยุดคิดว่าคำพูดทั้งหลายนั้นตีความได้อย่างไรบ้างเพื่อป้องกันไม่ให้เผลอแสดงความคิดเห็นอย่างหุนหันพลันแล่น อีกทั้งเธอยังเลือกใช้คำอย่างระมัดระวังหรือฉลาดในการตอบ จะพยายามเบี่ยงเบนประเด็นทันทีหากบทสนทนานั้นก้าวก่ายกับงานมากเกินไป เธอจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับงานสืบไว้เป็นความลับ ไม่มีทางให้มันรั่วไหลออกมาอย่างเด็ดขาด มีปัญญาและรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของคน เธอสามารถมองออกได้ว่าคนๆ นั้นมาดีหรือมาร้าย แต่ก็ต้องใช้เวลาในการมองอยู่บ้าง ไม่สามารถรู้ได้อย่างทันท่วงที เพราะบางคนนั้นใช่ว่าจะดูออกอย่างง่ายดายเสียที่ไหนกัน ไม่เพียงเท่านั้น หญิงสาวยังมีความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อีกด้วย เวลาที่มีปัญหาถาโถมเข้าใส่เธอจะวิเคราะห์ปัญหาเป็นสิ่งแรก และพยายามแก้ไขปัญหานั้นให้ทันท่วงทีเรียกอีกอย่างคือแถให้สุด(?)
ลาวีน่าเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก ไม่ว่าจะทางจิตใจ อารมณ์ หรือทางร่างกาย เธอสามารถอดทนมันได้ดีเลยทีเดียว นักสืบเกี่ยงไม่ได้หากต้องออกไปทำงานในสภาพที่ร้อนจนตับจะแตก หรือหนาวจนแทบกระดิกนิ้วไม่ได้ ทำให้เธอฝึกความอดทนของร่างกายเสมอมา จนสามารถทนต่อสภาพอากาศได้มากเลยทีเดียว อีกทั้งเธอยังเป็นคนที่พร้อมทุกเวลาสำหรับงาน แม้จะไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นออกมาแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีกะจิตกะใจในการทำงาน ด้วยว่างานของนักสืบนั้นทำไม่เป็นเวลา เธอจึงต้องมีความเตรียมพร้อมไว้เสมอ ไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจก็ตาม ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายดี แข็งแรงพร้อมสำหรับทุกงานที่ถาโถมเข้าใส่ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่ายๆ เรียกได้ว่าเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายมาเป็นอย่างดี เคลื่อนไหวคล่องตัว ไม่เหยาะแหยะหรือเอื่อยเฉื่อยแต่อย่างใด ลาวีน่ายังเป็นคนที่ละเอียดอ่อนพอสมควร แม้แต่จุดเล็กจุดน้อยของงานก็เก็บไม่เหลือ ไม่มีทางปล่อยให้ผลงานของตนเองขาดตกบกพร่องอย่างแน่นอน คุณสมบัติที่นักสืบทุกคนต้องมีคือการสังเกตุ เธอเองก็เป็นคนชอบสังเกตุสิ่งต่างๆ รอบตัวเช่นเดียวกัน และสามารถจดจำรายละเอียดต่างๆ ที่สังเกตุมาได้ดีอีกด้วย ที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด เธอจะเป็นคนที่ชอบจับผิด ยิ่งกับคนที่เพิ่งพบกันแล้วให้ความรู้สึกแปลกประหลาด เธอจะจับผิดมากกว่าปกติ สิ่งแรกที่มอบให้คือความไม่ไว้ใจและหวาดระแวง เพราะยังไม่รู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนยังไง มีนิสัยใจคอยังไง จะทำเช่นนี้กับทุกคนนอกจากลูกค้าที่มาว่าจ้าง ถ้ารายนั้นต้องแสดงความเป็นมิตรออกมาเสียหน่อย แม้ลูกค้าจะไม่มีทางสังเกตุเห็นก็ตาม(?) แต่หากอีกฝ่ายนั้นแสดงให้เธอเห็นว่าสามารถไว้ใจได้ เธอเองก็พร้อมที่จะเปิดใจเช่นเดียวกัน แล้วคุณจะได้พบกับด้านเอาใจใส่ของเธออย่างแน่นอน ทั้งหมดที่กล่าวมาคือลักษณะนิสัยของหญิงสาวที่ได้รับคำเปรียบเปรยว่า ลึกลับ และ มีคุณสมบัติของนักสืบ ลาวีน่า เจเนซิส นั่นเอง
ประวัติ : ยามรัตติกาลที่ไร้ซึ่งแสงสุริยันสาดส่อง มีเพียงความสว่างอันเบาบางของจันทราดวงกลมที่ลอยเด่นเป็นสง่าท่ามกลางหมู่ดวงดาราที่เปล่งแสงระยิบระยับอย่างไม่มียอมกัน ภายในศาลาแก้วอันเงียบสงบมีเพียงเสียงธารน้ำที่ไหลลงอย่างเชื่องช้าและเสียงของหริ่งเรไรจากธรรมชาติที่ยังคงดังอย่างไม่ขาดสาย ร่างของเด็กสาวผู้มีเรือนผมสีชมพูอ่อนบางเบาอ่อนนุ่มดุจแพรไหมหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้สีขาวสะอาดตาอย่างไม่รีบเร่ง นัยน์ตาสีฟ้าครามประกายทองมองคุณที่อยู่ด้านตรงข้ามก่อนระบายยิ้มออกมา ในขณะที่มือกำลังรินชากุหลาบใส่แก้วไปพลาง
"คุณมาที่นี่ เพราะอยากทราบเรื่องราวของพัชราภาอาภาวรรณากาสินะคะ...ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าลาวีน่าสินะ" เสียงหวานดุจระฆังแก้วเอ่ยถามคุณที่อยู่ด้านตรงข้ามพลางวางแก้วชาไว้ด้านหน้าอย่างมีมารยาท
"หากเป็นเช่นนั้น ฉันก็ยินดีที่จะเล่าให้คุณฟัง มาทานขนมอร่อยๆ แล้วจิบชาฟังไปพลางกันดีกว่าค่ะ" รอยยิ้มของเด็กสาวที่แสดงออกถึงความจริงใจนั้นทำให้คุณไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้เลย จึงทำได้เพียงจิบชาเพื่อรอฟังเรื่องราวต่อจากนี้
"หลังจากนี้ สิ่งที่คุณจะได้รับรู้ คือเรื่องราวในอดีตของพัชราภาอาภาวรรณากา ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นลาวีน่า ที่มีเพียงผู้คนน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้ เอาล่ะ...ฉันจะเริ่มเล่าให้ฟังแล้วนะคะ เรื่องราวนี้มันเริ่มต้นขึ้นด้วยเสียงระฆังที่ราวกับกำลังอวยพร..."
เรื่องเล่าจากอลิซ - กำเนิดอาทิตย์ดวงน้อย
ยามเช้าที่สดใสสอดแทรกประสานด้วยระฆังเสียงใสที่ดังก้องกังวาลราวอวยพรชีวิตใหม่ที่ได้ถือกำเนิดขึ้น เสียงร่ำไห้ตามประสาเด็กทารกดังไปพร้อมๆ กับระฆังนั้นภายใต้ความยินดีปรีดาของผู้เป็นบิดาชาวอังกฤษ และมารดาชาวสยาม หยดน้ำสีใสแห่งความดีใจยามได้เห็นทารกน้อยนั้นไม่สามารถหาคำใดมาเปรียบเปรยได้ คู่สามีภรรยาได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่า หากลูกเป็นชาย จะตั้งชื่ออังกฤษตามบิดา หากแต่เป็นหญิง จะตั้งชื่อไทยตามมารดา และทารกน้อยนี้ก็ได้รับชื่ออันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักมาจากมารดาว่า พัชราภาอาภาวรรณากา มีส่องแสงคุณุประภานันทรกาดาณี
ทารกน้อยได้เติบโตขึ้นพร้อมกับความรัก ความดูแลเอาใจใส่ และความอบอุ่นฉบับครอบครัวอย่างเหลือล้น ส่งผลให้เธอนั้นมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดเวลา สร้างความปริ่มใจให้แก่บุพการีอยู่ไม่น้อยที่ธิดาตนนั้นเป็นเด็กที่สดใสตามวัยดั่งใจหวัง ทุกๆ วันของเด็กหญิงผ่านพ้นไปอย่างมีความสุข ไม่มีวันใดที่ความเศร้าหมองจะปกคลุมเลยแม้แต่น้อย
"คุณแม่คะ~!" เสียงใสดุจระฆังแก้วดังก้องมาแต่ไกล ก่อนร่างของเด็กหญิงวัยประมาณหกถึงเจ็ดปีจะวิ่งมากอดมารดา พรรณประภา ที่ทำอาหารอยู่ในครัวในสภาพที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยดินตามประสาเด็กวัยกำลังซน หญิงสาววางมือจากการทำอาหารและหันมาหาเด็กน้อย พร้อมย่อตัวลงกอดร่างเล็กอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์
"ว่ายังไงคะ? อาทิตย์ดวงน้อยของแม่" มารดากล่าวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเฉกเช่นยามปกติ พลางใช้มือบางลูบหลังผมของเด็กหญิงอย่างแผ่วเบา
"วันนี้อาหารเย็นคืออะไรเหรอคะ?" พัชราภาอาภาวรรณากาเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้นอันปิดไม่มิด เมื่อได้เห็นท่าทางเช่นนั้นจึงทำให้เกิดรอยยิ้มบางบนใบหน้าเรียวสวยขึ้นมาทันตาเห็น
"วันนี้มีต้มยำกุ้งที่ลูกชอบด้วยนะ"
"ต้มยำกุ้งเหรอคะ?! เย้!" เด็กหญิงผละตัวออกจากมารดาพร้อมแสดงท่าทีดีใจออกมาจนอดยิ้มตามไม่ได้
"แต่ตอนนี้พัชต้องไปล้างตัวก่อนนะคะ ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ให้ทานนะ" ประโยคที่ราวกับกำลังออกคำสั่งนั้นถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนไม่สามารถคิดว่ามันเป็นคำสั่งได้ เด็กหญิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ยังคงไม่หายไปจากใบหน้า ในขณะที่เธอกำลังเดินไปห้องน้ำนั้นก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อสียงประตูหน้าบ้านถูกเปิดออก
"คุณพ่อคะ~!" เด็กน้อยรีบเปลี่ยนเส้นทางวิ่งไปกอดบิดา ออสติน ที่เพิ่งกลับมาจากการทำงานเกี่ยวกับน้ำหอม ซึ่งทางฝั่งบิดาเองก็ย่อตัวลงกอดเธอกลับเช่นเดียวกัน
"ว่ายังไงเอ่ย? ดวงอาทิตย์น้อยของพ่อ" ริมฝีปากประทับลงบนแก้มนุ่มของเด็กน้อยเรียกเสียงหัวเราะคิกคักได้เป็นอย่างดี
"ไปอาบน้ำกับหนูหน่อยสิคะ!" เสียงเอ่ยชวนนั้นมีความกระตือรือร้นแฝงอยู่ด้านในอย่างเต็มเปี่ยม ชายหนุ่มอุ้มร่างของเด็กหญิงขึ้นพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าก่อนเดินเข้าครัวไปอีกครั้งเพื่อทักทายภรรยาที่ยังคงทำหน้าที่แม่บ้านศรีเรือนอยู่ในครัว
"กลับมาแล้วเหรอคะคุณ"
"กลับมาแล้ว" ว่าพลางบรรจงประทับริมฝีปากบนแก้มขาวเนียนอย่างแผ่วเบา "ผมกับลูกไปอาบน้ำก่อนนะ อยากอาบน้ำหรือยังเจ้าตัวน้อย?"
"อยากแล้วค่า!" เอ่ยตอบรับเสียงใสก่อนผู้เป็นบิดาจะเดินไปยังห้องน้ำพร้อมกับร่างของเด็กหญิง มารดามองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยสายตาที่ยังคงอ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมรอยยิ้มอันบางเบา
"พัช รู้ไหมเอ่ยวันนี้วันอะไร?" บิดาเอ่ยถามพลางสระผมสีนิลดูสวยงามให้ลูกสาวอย่างเบามือ เด็กหญิงหันมองเล็กน้อยก่อนส่ายหน้าเบาๆ
"วันอะไรเหรอคะ คุณพ่อ?" ผู้เป็นพ่อมิได้เอ่ยตอบคำใดกลับมา มีเพียงรอยยิ้มที่ยังคงไม่หายไปจากใบหน้า ก่อนเร่งมือทำความสะอาดร่างกายให้ลูกสาวจนเสร็จ
สองพ่อลูกเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนที่ไฟตามทางเดินจะดับมืดลง เด็กหญิงสะดุ้งตัวโหยงก่อนรีบกอดแขนบิดาที่ยืนข้างๆ ไว้ด้วยความตกใจและกลัว
"ค-คุณพ่อคะ...ไฟดับเหรอคะ.." เสียงของพัชราภาอาภาวรรณากาสั่นเครือด้วยความกลัว แต่ไม่นานหลังจากนั้นความกลัวทุกอย่างก็ถูกแสงเทียนจำนวนแปดเล่มที่ปักอยู่บนเค้กกลืนกินจนหมดสิ้นไป จากดวงตาที่กำลังร้องไห้ แปรเปลี่ยนเป็นดวงตาที่แสดงถึงความดีใจและความสุข เสียงเพลงอวยพรวันเกิดเริ่มบรรเลงขับขานจากปากของบุพการีทั้งสอง เด็กน้อยราวกับดวงอาทิตย์มองมารดาที่ย่อตัวลงให้เธอเป่าเทียนได้สะดวกยิ่งขึ้น เธอจึงหลับตาลงอธิษฐานและลงมือเป่าเทียนนั้นด้วยสีหน้าแห่งความสุขของครอบครัว
"จัดมาหก เจ็ดปีแล้วยังจำวันเกิดตัวเองไม่ได้อีกนะ" บัดนี้ครอบครัวได้ย้ายมานั่งบริเวณห้องนั่งเล่นพร้อมคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยที่บิดาเริ่มพูดประโยคดังกล่าวแล้วยีผมของลูกน้อยเบาๆ
"แหะๆ ขอโทษค่า" เด็กหญิงระบายยิ้มสดใสออกมาในขระที่ตักเค้กขึ้นมาทานอีกคำหนึ่งด้วยสีหน้าสุขสม เมื่อเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
"ปีนี้พ่อมีของขวัญที่ลูกต้องชอบมาให้ด้วยนะ" กล่าวจบชายหนุ่มจึงหยิบกล่องของขวัญขนาดไม่ใหญ่มากออกมาและยื่นให้เด็กหญิง วินาทีแรกที่ได้เห็นกล่องนั้นก็ทำให้แววตาของเธอเป็นประกายขึ้น พร้อมรีบเอ่ยขอบคุณและรับกล่องของขวัญนั้นมาแกะทันที เมื่อเปิดออกมาเธอก็ได้พบกับกำไลข้อมือสีโกเมนสวยงามที่เด็กผู้หญิงทุกคนต้องชอบ พัชราภาอาภาวรรณาการีบนำมันใส่ที่ข้อมือของตนทันที แต่เพราะขนาดที่ใหญ่เกินไปสำหรับเด็กทำให้กำลังนั้นร่วงหล่นลงมายามปล่อยแขนลง มารดาหัวเราะน้อยๆ ก่อนเก็บกำไลขึ้นมาวางบนมือเด็กหญิง
"สิ่งนี้ เก็บไว้สวมใส่ตอนที่ลูกโตขึ้นไปนะจ๊ะ"
"ค่ะ คุณแม่!" เด็กน้อยยิ้มกว้างออกมาอีกครา ก่อนโผกอดบุพการีอย่างมีความสุขอันไม่สามารถปิดมันไว้ได้ บรรยากาศของครอบครัวนั้นนับเป็นสิ่งที่อบอุ่นมาก จนอยากจะให้มันคงอยู่ตลอดไป แต่จนแล้วจนรอดยังไง โชคชะตาก็ต้องพรากความสุขนี้ไป อย่างไม่มีหวนคืน..
เรื่องเล่าจากอลิซ - วันที่แสงสว่างแตกสลาย
"คุณแม่คะ~! หนูอยากไปที่นั่นอีกจังค่ะ" เด็กหญิงวัยสิบปีเอ่ยอ้อนมารดาที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาตัวนุ่ม ในขณะที่เธอเองก็นอนตักของหญิงสาวพร้อมดูไปเช่นเดียวกัน
"ที่นั่น? อควาเรียมเหรอจ๊ะ?" มือบางบรรจงลูบศีรษะของเด็กน้อยพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยนขณะเอ่ยถาม
"ใช่ค่ะ!"
"แล้วคุณพ่อล่ะจ๊ะ? ท่านบอกจะไปด้วยไหม?"
"คุณพ่อบอกว่าวันนี้ติดประชุมน่ะค่ะ บอกว่าให้หนูไปกับคุณแม่ก็ได้" เมื่อได้ฟังคำตอบเช่นนั้น ผู้เป็นมารดาจึงพยักหน้าตกลงด้วยรอยยิ้ม ส่งผลให้เด็กหญิงดีดตัวขึ้นจากตักอย่างดีใจพร้อมด้วยเสียงหัวเราะที่แสดงถึงความสดใสตามวัย เธอรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องตัวเองเพื่อเตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พร้อมสำหรับการไปเที่ยว
ไม่นานเกินรอนัก พัชราภาอาภาวรรณากาก็เดินลงมาพร้อมชุดกระโปรงสีแดง ตัดกับสีเกศาสีนิลของเธอได้เป็นอย่างดี หญิงสาวมองภาพอันน่ารักของลูกน้อยก่อนระบายยิ้มออกมา มือบางเอื้อมจับมือเล็กไว้และพาขึ้นรถไปเพื่อเดินทางไปยังอควาเรียมที่เธอชื่นชอบ
ผู้คนในอควาเรียมมีมากหน้าหลายตาเดินขวักไขว่ดูปลาตามตู้กระจกต่างๆ เด็กหญิงมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเป็นประกาย ก่อนรีบวิ่งไปดูปลากระเบนที่แหวกว่ายผ่านบนศีรษะไปด้วยความตื่นเต้นอันปิดไม่มิด
"ไปถ่ายรูปกับคุณแพนกวินกันดีไหมจ๊ะ?" มารดาย่อตัวลงเอ่ยถามลูกน้อย ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาไม่ได้ผิดไปจากการคาดการณ์เท่าไรนัก เด็กน้อยพยักหน้าขึ้นลงเป็นอันตอบตกลงโดยที่รอยยิ้มยังคงไม่เลือนหายไปจากใบหน้าง่ายๆ พัชราภาอาภาวรรณากา ใช้เวลาถ่ายรูปกับเพนกวินสักพักก่อนที่จะชวนมารดาไปเดินดูตามจุดต่างๆ โดยไม่มีท่าทีว่าจะหมดแรงง่ายๆ เลย ฝ่ายหญิงสาวที่ไม่อยากขัดใจลูกน้อยจึงยอมตามไปทุกที่โดยไม่บ่นออกมาสักคำ การได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเช่นนี้ก็ทำให้ความเหนื่อยทั้งหมดหายไปแล้ว หญิงสาวคิดเช่นนั้น
"คุณโลมาน่ารักมากๆ เลยค่ะคุณแม่~" เด็กหญิงเดินจับมือมารดาออกมาหลังจากรับชมโลมาแสดงความสามารถพิเศษจบลง
"พัชชอบ แม่ก็ดีใจจ้ะ" หญิงสาวเอ่ยตอบลูกน้อย ก่อนที่เสียงประกาศจากพนักงานจะดังขึ้น เป็นสัญญาณว่าอควาเรียมแห่งนี้กำลังจะปิดในไม่ช้า เด็กหญิงมีสีหน้าที่หมองลงเล็กน้อยแต่เพราะมือบางของมารดาที่แตะแก้มเธออย่างอ่อนโยนนั้นมันทำให้สีหน้าของเธอดีขึ้น
"เดี๋ยววันหลัง เรามากันทั้งครอบครัวเลยเนอะ"
"คุณแม่สัญญาแล้วนะคะ? เย้!" เสียงดีใจนั้นดังขึ้นท่ามกลางบทสนทนาพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารของผู้คนบริเวณโดยรอบ ก่อนที่สองแม่ลูกจะเดินกลับไปยังรถเพื่อเดินทางกลับบ้านในทันที
ซ่าาาา!!
ระหว่างทางกลับบ้าน หยาดน้ำจากฟากฟ้าได้ตกลงกระทบพื้นถนนและรถยนต์ที่ขับสัญจรไปมาอย่างไม่ขาดสาย หญิงสาวชะลอความเร็วลงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ขณะนั้นมีเสียงกู่ร้องจากฟากฟ้าดังลอดเข้ามา แม้จะไม่มากนักแต่มันก็ทำให้เด็กน้อยกลัวได้ไม่ยากนัก
"ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ แม่อยู่ข้างๆ หนูนะ" น้ำเสียงอันอ่อนโยนนั้นช่วยปลอบประโลมจิตใจเด็กหญิงที่นั่งอยู่ข้างเบาะคนขับได้เป็นอย่างดี เธอยกมือบางขึ้นมาปิดใบหูพร้อมหลับตาลงเพื่อไม่ให้เห็นสายฟ้าบนท้องนภาผืนเทานี้ ในขณะที่กำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรานั้น...
เอี๊ยดดดด!!!
กรี๊ดดดดด!!
เธอก็ได้ยินเสียงแตรรถ รวมไปถึงเสียงเบรคและเสียงกรีดร้องของผู้เป็นมารดา ทันทีที่ลืมตาเธอก็พบกับรถบรรทุกคันใหญ่ที่ขับมาด้วยความเร็วและพุ่งเข้าใส่รถเธออย่างจัง ภาพสุดท้ายที่สติอันเลือนรางพอมองเห็น คือภาพของมารดาที่ตรงเข้ามากอดเธอไว้เพื่อป้องกันจากอันตราย ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป
สติของเธอกลับมาอีกครั้งในสถานที่ที่ทุกอย่างเป็นสีขาว ตามร่างกายของเธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก มีเพียงผ้าพันแผลบริเวณศีรษะที่ดูจะหนักกว่าที่ใด เด็กน้อยพยายามยันกายขึ้นพร้อมจับบริเวณที่ปวดเอาไว้ สายตาอันพร่ามัวกวาดมองโดยรอบ คำแรกที่ออกมาจากปาก คือการร้องเรียกหา...
"คุณแม่....คุณแม่..คะ.." เสียงอันแผ่วเบานั้นราวกับกำลังกระซิบ บานประตูของห้องในโรงพยาบาลถูกเปิดออกพร้อมร่างของบิดาที่วิ่งเข้ามาโอบกอดเธออย่างโล่งอก
"ขอบคุณพระเจ้า...ลูกไม่เป็นอะไร"
"คุณพ่อ...คุณแม่ล่ะคะ..คุณแม่อยู่ไหน?" เด็กหญิงเอื้อมมือโอบกอดบิดาไว้พร้อมเอ่ยถามซ้ำไปซ้ำมา แต่มันไม่มีแม้แต่คำตอบที่จะเอ่ยออกมาจากปากของชายตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย มีเพียงมือหนาที่วางต่างหูคู่หนึ่งที่มารดามักใส่ไว้เป็นประจำลงบนมือเธอเท่านั้น แม้จะยังเด็กแต่เธอก็เข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดี หยดน้ำสีใสไหลรินออกจากตาอาบแก้มนุ่มอย่างไม่ขาดสาย ในหัวพยายามค้านว่ามันไม่จริง มันเป็นเพียงเรื่องโกหก มันแค่คำหลอกลวง ทั้งหมดนั้น...มันเป็นเพียงคำหลอกตัวเอง
"ไม่จริง...ใช่ไหมคะ..คุณพ่อบอกหนูสิว่ามันไม่จริง!!"
แขนเรียวเล็กของเด็กน้อยเพิ่มแรงกอดบิดามากขึ้น ยามนี้แม้ร่างกายจะเจ็วปวดมากเท่าไร แต่มันกลับทรมานใจราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสียมากกว่า ไม่นานหลังจากนั้น ร่างของสองพ่อลูกก็เดินเข้ามาภายในห้องๆ หนึ่งที่มีร่างที่ถูกปกคลุมไปด้วยผ้าสีขาวสะอาดตาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พัชราภาอาภาวรรณากาเดินไปที่ร่างนั้นด้วยตัวคนเดียวอย่างยากลำบากเล็กน้อย มือเล็กกอบกุมมือบางที่พ้นผ้าสีขาวออกมาพร้อมน้ำตาที่หยดลงบนฝ่ามือนั้น
"คุณ...แม่ คุณแม่คะ...อย่าเงียบแบบนี้สิ คุณแม่...ตื่นขึ้นมาคุยกับหนูก่อนสิ.." แม้ใจจะรู้ว่าไม่ว่ายังไง ร่างนี้ก็ไม่สามารถเอ่ยตอบอะไรได้ แต่ยังทำใจยอมรับมันไม่ได้จึงทำเพียงโกหกตัวเองอยู่ร่ำไป จากการกุมมือ เด็กหญิงเปลี่ยนเป็นกอดร่างนั้นผ่านเนื้อผ้าพร้อมร้องไห้ออกมาอย่างไม่ปิดบัง
"คุณแม่สัญญาแล้วไม่ใช่เหรอคะ?! ว่าครั้งหน้าเราจะไปอควาเรียมกันทั้งครอบครัว...ถ้าขาดคุณแม่ไป มันก็ไม่เรียกว่าครอบครัวหรอกนะคะ! คุณแม่!!!"
มันเป็นเพราะหนู...ถ้าหนูไม่ไปที่อควาเรียม เหตุการณ์แบบนี้คงไม่เกิดขึ้น...หนู..ขอโทษ
มือหนาของชายหนุ่มวางลงบนไหล่เล็กของเด็กหญิง ก่อนทรุดตัวลงกอดมันไว้ราวกับกลัวว่าจะเสียดวงใจไปอีกดวง แม้แต่เขาที่พยายามไม่ร้องไห้ ก็กลับ...กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้
"คุณแม่คะ...หนูสัญญา ว่าจะเป็นเด็กดี จะเป็นเด็กที่เข้มแแข็ง...คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ.." มือเล็กยกมือปาดนำตาออก ก่อนหมุนตัวกลับมากอดบิดาไว้แน่น เหตุการณ์อันโศกเศร้านั้นช่างผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนก็ไม่ปาน บิดาตัดสินใจขายบ้านที่ไทยและพาเธอไปอยู่บ้านที่อังกฤษแทน
"พัช...แน่ใจเหรอว่าจะเปลี่ยนชื่อ?" หนึ่งวันก่อนเดินทาง เด็กหญิงได้ขอให้บิดาเปลี่ยนชื่อให้กับตน เมื่อได้ฟังคำถามเช่นนั้น เธอจึงพยักหน้าเบาๆ เรียกได้ว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมา เธอกลายเป็นเด็กเก็บตัว และพูดน้อยไปโดยปริยาย จากน้ำเสียงที่ร่าเริงสดใส กลับแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งดูไร้อารมณ์ไปเสียอย่างนั้น ฝ่ายบิดาเองก็ไม่สามารภทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ จึงทำได้เพียงภาวนาให้เวลารักษาเธอเท่านั้น
"หนูอยาก...ทิ้งอดีตที่ใช้ชื่อพัชราภาอาภาวรรณากาไปค่ะ..."
"..พ่อเข้าใจแล้ว หลังจากนี้ไป ลูกจะชื่อ ลาวีน่า เจเนซิส อาทิตย์ดวงน้อยของพ่อ" ริมฝีปากประทับจุมพิตบริเวณหน้าผากมน แต่ทว่าสิ่งที่ถูกเรียกว่าดวงอาทิตย์เมื่อครู่ บัดนี้กำลังจะกลับกลายเป็นจันทราที่หนาวเหน็บ เรือนผมสีดำสนิทได้ถูกย้อมให้เป็นสีบลอนด์ก่อนที่เธอและบิดาจะเดินทางไปยังอังกฤษในที่สุด...
เรื่องเล่าจากอลิซ - ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนและดวงเทียนที่ส่องนำทาง
พัชราภาอาภาวรรณากา ที่ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น ลาวีน่า เจเนซิส อาศัยอยู่กับบิดาที่อังกฤษเป็นเวลาห้าปีมาแล้ว บิดาได้แต่งงานใหม่กับหญิงสาวคนหนึ่งที่ประกอบกิจการน้ำหอมเหมือนกัน ทางด้านของ แม่คนใหม่ มีลูกติดมาด้วยสองคน เป็นชายหนึ่ง และหญิงหนึ่ง เธอพยายามไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับทางนั้นมากนัก แต่จนแล้วจนรอดยังไง อยู่บ้านเดียวกันก็ต้องพบเจอหน้ากันเป็นเรื่องธรรมดา
"หนูลาวีน่า" ในขณะที่เธอกำลังจะเดินกลับขึ้นไปบนห้อง ก็ได้ยินเสียงเรียกของหญิงสาวนาม เลน่า จึงหันกลับไปมองด้วยสายตาที่ไม่สามารถคาดเดาความคิดได้
"มีอะไรเหรอคะ...?"
"น้าอบคุกกี้มาน่ะจ้ะ ทานด้วยกันนะ" ผู้เรียกแทนตัวเองว่า น้า หรือก็คือมารดาคนใหม่กล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมถือจานคุกกี้ไว้ในมือ ลาวีน่ามองจานคุกกี้ก่อนหันหลังกลับและเดินขึ้นบันไดไปทันที
"หนูไม่หิวค่ะ..." เลน่ามองตามแผ่นหลังบางนั้นไปด้วยดวงตาที่สั่นคลอนเล็กน้อย ไม่ว่าจะพยายามทำเช่นไร ลาวีน่าก็ไม่เคยเปิดใจยอมรับในตัวของเธอเลย
"ท่าทางอวดดีนั่น น่ารำคาญ" น้ำเสียงที่แสดงถึงความรำคาญถูกเอ่ยออกมาจากปากบุตรสาวที่มีอายุน้อยกว่าลาวีว่าปีหนึ่งหรือก็คือ ลูซี่
"ลูซี่ ไปพูดถึงหนูลาวีน่าแบบนั้นได้ยังไง" ลูซี่ไม่ตอบมารดาของตน ก่อนเดินออกไปจากบ้านทันที เลน่าทำได้เพียงถอนหายใจให้กับนิสัยของลูกสาวในสายเลือดที่ไม่ได้เหมือนพี่ชายเอาเสียเลย
"ปล่อยยัยนั่นไปเถอะครับ แม่" เสียงทุ้มของ ลีโอ บุตรชายคนโตสุดทำให้เลน่าหันมองและพยักหน้าลงเบาๆ เชิงเห็นด้วย "ขนมนั่น เอาไปให้ลาวีน่าใช่ไหมครับ?"
"ใช่จ้ะ แต่หนูลาวีน่าเขาบอกว่ายังไม่หิว.."
"ก็แค่ข้ออ้างน่ะครับ เดี๋ยวผมเอาไปให้เอง" ลีโอรับจานคุกกี้มาจากมารดา และเดินตามลาวีน่าขึ้นไปบนห้อง
..........
ลาวีน่าทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้ากระจก ดวงตาเหม่อมองต่างหูสีแดงที่เธอใส่พลันมีหยดน้ำสีใสไหลลงมาอีกครั้ง ก่อนที่มือบางอันมีกำไลสีโกเมนสวมใส่อยู่จะปาดมันออก
"สัญญากับแม่ไว้แล้วนี่นา....ว่าจะไม่ร้องไห้ ว่าจะ...เข้มแข็ง" เด็กสาววัยสิบห้าปีเอ่ยพูดกับตัวเอง ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะเป็นตัวช่วยดึงให้สติของเธอกลับมา ลาวีน่ารีบลุกขึ้นไปเปิดประตูก่อนพบกับพี่ชายต่างแม่ที่พบหน้ากันไม่บ่อยนัก
"พี่ขอเข้าไปได้ไหม?"
"......" เด็กสาวไม่ตอบอะไรเพียงแต่เปิดประตูให้กว้างขึ้นแทนคำอนุญาต ชายหนุ่มเดินเข้ามาก่อนวางจานคุกกี้ไว้บนโต๊ะข้างเตียงนอนแสนนุ่ม
"แม่ตั้งใจทำมาให้เธอเลยนะ"
"หนูบอกไปแล้ว...ว่าไม่หิวค่ะ"
"อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิ อีกอย่าง...ไม่ต้องเก็บมันไว้คนเดียวหรอกนะ" คำพูดนั้นทำให้เธอชะงักไปชั่วขณะ พร้อมเงยหน้ามองอีกคนที่มีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่ ราวกับได้รับความอบอุ่นแบบที่ไม่เคยได้สัมผัสมานาน หยดน้ำสีใสไหลรินออกจากตาอีกครั้งและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆ ลีโอเข้ากอดร่างของเธอเบาๆอย่างปลอบประโลม พร้อมพร่ำบอกว่าเขายังอยู่ข้างเธอเสมอ นับแต่นั้นมา พี่ชายมักมาพูดคุยกับเธอทุกวัน ชวนออกไปข้างนอกบ้างอะไรบ้าง ทำให้เธอเริ่มเปิดใจทีละเล็ก ทีละน้อย
"อะ-- วันนี้น้าลองทำพายแอปเปิ้ลดู มาทานด้วยกันนะจ๊ะ" เสียงของเลน่าเอ่ยเรียกเด็กสาวที่เดินผ่านหน้าห้องครัวไป เมื่อได้ยินเสียงนั้นเธอจึงเดินถอยหลังกลับมามองก่อนระบายยิ้มออกมาบางๆ แต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากสายตามองมารดาคนใหม่ได้
"ขอทานด้วย...นะคะ แม่.." วินาทีที่คำสุดท้ายออกมาจากปาก หญิงสาวมีอาการดีใจอย่างปิดไม่มิด เลน่ายิ้มพร้อมเดินมากอดเธอด้วยความอบอุ่นเหมือนอย่างที่มารดาของเธอเคยทำ
"ดีใจจัง..ที่หนูยอมเรียกว่าแม่แล้ว.."
"....." เธอไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับไป ได้แต่เพียงเก็บซ่อนใบหน้าที่มีสีเลือดฝาดนั้นไว้ ก่อนที่เลน่าจะตักพายแอปเปิ้ลให้เธอชิ้นหนึ่งและเริ่มลงมือทานในทันที
ฝ่ายลีโอได้แอบมองภาพนั้นพร้อมรอยยิ้มบาง ทว่ามีคนหนึ่งที่จะดูไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ลูซี่
"น่ารำคาญ..."
"เธอนั่นแหละที่น่ารำคาญ" คำพูดนั้นทำให้ลูซี่นิ่งค้างไป ก่อนที่จะมองพี่ชายแท้ๆ ของตนด้วยสายตาไม่ชอบใจ
"พี่! ฉันเป็นน้องพี่นะ?!"
"แล้วยังไงล่ะ? เลือกได้ฉันอยากให้ลาวีน่ามาเป็นน้องแท้ๆ แทนเธอด้วยซ้ำ ถ้ายังไม่อยากถูกตัดออกจากสารบบก็ช่วยปรับปรุงตัวหน่อยเถอะ" กล่าวจบ เขาก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อร่วมทานพายแอปเปิ้ลพร้อมมารดาและน้องสาวต่างสายเลือด ปล่อยให้ลูซี่มองภาพนั้นด้วยความไม่ชอบใจที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
"ยัยลาวีน่า...หึ!" ลูซี่เดินกระฟัดกระเฟียดออกจากบ้านไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
"แล้ว...คุณพ่อล่ะคะ..?" เธอเอ่ยถามในขณะที่นำพายแอปเปิ้ลเข้าปากพร้อมมองเลน่าด้วยสายตาที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป
"ช่วงนี้งานท่านค่อนข้างมากน่ะจ้ะ เลยไม่ได้กลับบ้านสักพัก" ลาวีน่าพยักน้าเข้าใจเบาๆ ก่อนมองเลน่าและลีโอสลับกัน เธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากสองคนนี้ ต่างกับลูซี่ที่ไม่ว่าดูยังไงก็จงเกลียดจงชังเธอราวกับว่าใช้ออกซิเจนบนโลกเดียวกันไม่ได้ยังไงยังงั้น และคนที่ดีกับเธอมากที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพี่ชายต่างสาดเลือดที่ทำให้เธอนั้นกล้าที่จะเปิดใจอีกครั้งหนึ่ง
"พี่ลีโอ...เข้าใจว่าพี่รักหนู และเป็นห่วงหนูนะคะ...แต่ไม่ต้องถึงขั้นติดเครื่องติดตามและเครื่องดักฟังไว้ตามเสื้อผ้าหนูเลยก็ได้นี่นา"
"หยึย--"
"ลีโอ.." น้ำเสียงของมารดาที่ต่างไปจากทุกทีทำให้ชายหนุ่มขนลุกทั่วตัวอย่างช่วยไม่ได้ ภาพตรงหน้าทำให้เธอหลุดยิ้มออกมาก่อนที่มันจะกลับเป็นรอยยิ้มบางเบาอีกครา แต่เธอก็เข้าใจว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะพี่ชายคนนี้เป็นห่วง จึงไม่คิดที่จะนำเครื่องติดตามและเครื่องดักฟังนั้นออกเป็นอันขาด
..........
"เอ๋...ไม่มี?" รุ่งเช้าวันถัดมา ในขณะที่เธอกำลังค้นตู้เสื้อผ้าเพื่อหาชุดที่จะใส่ไปงานเลี้ยงของบริษัทผลิตน้ำหอมที่บิดาและมารดาเป็นคนดูแลอยู่นั้น แต่กลับพบว่าไม่มีชุดนั้นอยู่ในตู้ โดยที่เธอมั่นใจว่าตนเก็บมันเข้าตู้เสื้อผ้าแล้ว
"หายไปไหนกันนะ..." ตอนนั้นเอง จมูกของเธอก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นไหม้จากด้านล่าง จึงรีบลงไปดู ในบริเวณสวนหลังบ้านเธอได้พบกับลูซี่ที่กำลังนำชุดที่เธอตามหาใส่ลงไปในกองไฟ ไฟนั้นเริ่มเผาผลานชุดไปทีละเล็กทีละน้อยพร้อมกับรอยยิ้มราวกับสมใจของลูซี่
"ลูซี่! เธอทำอะไรน่ะ?!!" ลาวีน่ารีบนำน้ำมาดับไฟและหยิบชุดของตนขึ้นมาดู พบว่ามันไหม้จนไม่สามารถใส่ได้อีกแล้ว ไม่มีคำตอบใดจากปากอีกฝ่าย มีเพียงเสียงหัวเราะคิกคักก่อนที่จะเดินจากไป
"ลูซี่..." เธอมองตามแผ่นหลังนั้นไป ก่อนก้มมองชุดในมือด้วยดวงตาที่สั่นคลอน ร่างบางกอดชุดนั้นไว้ เพราะเป็นชุดที่บิดาซื้อให้ตนเป็นของขวัญวันเกิดครบรอบสิบห้าปีของเธอ ไม่นานหลังจากนั้นเธอจึงตัดสินใจเดินกลับห้องโดยที่ถือชุดนั้นขึ้นไปเก็บไว้ส่วนในสุดของตู้เสื้อผ้าแทน ตกเย็นของวันนั้น
"ลาวีน่า ลูกจะไม่ไปจริงเหรอ?" ออสตินเอ่ยถามลูกสาวที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจมาบอกตนว่าจะไม่ขอไปงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ ทั้งที่ตอนเช้าเธอดูมีความสุขที่จะได้ไปร่วมงาน
"ค่ะ...คุณพ่อ" เธอกล่าวพลางหลุบตาต่ำลง
"คงไม่มีชุดใส่ไปมั้งคะคุณพ่อ" ลูซี่กล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังดีใจและสะใจในเวลาเดียวกัน พร้อมเหยียดยิ้มมองลาวีน่าโดยไม่ให้บิดา มารดาและพี่ชายสังเกตุเห็น
"ไม่มีชุด? แล้วชุดที่พ่อให้เป็นของขวัญวันเกิดล่ะลูก"
"...หนูแค่อยากอยู่บ้านค่ะ คุณพ่อรีบไปเถอะ งานเลี้ยงคงกำลังจะเริ่มแล้ว.."
"อยู่บ้านคนเดียวได้แน่นะ? ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนไหม?"
"พี่ลีโอ?!" ลูซี่ขึ้นเสียงใส่ลีโออย่างขัดใจ ก่อนหันหน้าหนีไปทางอื่นราวไม่สบอารมณ์ ลีโอถอนหายใจก่อนเลิกสนใจน้องสาวแท้ๆ แล้วหันมารอฟังคำตอบของลาวีน่าแทน
"..ไม่เป็นไรค่ะพี่ ที่บ้านก็มีบอดี้การ์ดกับแม่บ้านอยู่ ไม่มีใครมาทำอะไรหนูหรอกค่ะ" เมื่อได้ฟังเช่นนั้นลีโอจึงพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่ทั้งสี่จะขึ้นรถเพื่อไปยังงานเลี้ยง เธอมองภาพด้านหน้าก่อนปิดเปลือกตาลง และเดินขึ้นห้องของตนไป
..........
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เธอที่กำลังนั่งอ่านหนังสือนิยายอยู่ชั้นล่างก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่มาจอดอยู่บริเวณหน้าบ้าน เธอวางหนังสือลงก่อนเดินออกมาดู พบลีโอที่มีบอดี้การ์ดพยุงลงมา ลาวีน่ารีบเข้าไปช่วยพยุงและได้กลิ่นแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งอยู่ตามตัวของพี่ชายต่างสายเลือดของตน
"พี่เขาเป็นอะไรคะ..?"
"ดื่มหนักไปน่ะครับ เขาไม่รู้ว่าเครื่องดื่มนั้นมันแรง" บอดี้การ์ดได้ส่งต่อหน้าที่ให้กับเธอเมื่อได้เห็นสัญญาณที่ลาวีน่าแสดงว่าเธอจะเป็นคนดูแลต่อเอง เด็กสาววัยสิบห้าปีส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ก่อนพยุงร่างของพี่ชายที่ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่นั้นขึ้นห้องของเขาไป
ร่างบางวางลีโอลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลพร้อมปาดเหงื่อเล็กน้อย แต่เพราะชอบออกกำลังกายเป็นฐานเดิมอยู่แล้วทำให้เธอไม่มีอาการเหนื่อยอะไรมาก ในขณะที่กำลังจะหมุนตัวกลับนั้น ลีโอก็ได้กระชากตัวเธอลงมานอนบนเตียงพร้อมขึ้นคร่อมร่างนั้นไว้อย่างรวดเร็ว
"อึก..! พ-พี่ลีโอ พี่จะทำอะไร.." เธอมองใบหน้าของผู้เป็นพี่ที่คร่อมร่างของเธอไว้ด้วยคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัว อีกฝ่ายเงียบไปสักพัก ก่อนเอ่ยตอบกลับมาว่า
"ทำไมเธอถึงทำตัวเหินห่างกับพี่นักล่ะ..."
"เหินห่าง...? หมายความว่ายังไงคะ..?" น้ำเสียงสั่นเครืออันเต็มไปด้วยความกลัวที่เริ่มก่อนตัวขึ้นของลาวีน่า ทำให้เขาไม่สามารถตอบกลับสิ่งใดออกมาได้ ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงประทับจุมพิตอย่างแผ่วเบาก่อนเริ่มรุนแรงขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ลาวีน่าพยายามเบือนหน้าหนี แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะมือหนานั้นรั้งใบหน้าของเธอไว้ไม่ให้ขยับ มือที่ดันไหล่อีกคนก็เริ่มไม่มีแรงลงไปทุกที ลีโอถอนริมฝีปากออกก่อนเลื่อนลงมาซุกไซร้ซอกคอขาวด้วยอารมณ์ที่ครอบงำประสมกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ แม้พยายามต่อต้านแต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้
"พี่คะ!! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!" ลาวีน่ากล่าวด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ ทำให้ชายหนุ่มชะงักไป แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ขบกัดที่ไหล่ของผู้เป็นน้องผ่านเนื้อผ้า ส่งผลให้เด็กสาวสะดุ้งตัวโหยงทันที
"รู้อะไรไหม ลาวีน่า.." เสียงแหบต่ำนั้นกระซิบข้างใบหูเธอก่อนที่จะขบเม้มติ่งหูเบาๆ "พี่ไม่อยากให้เธอมองพี่ เป็นพี่ชายเลย"
"อ-อะไรนะคะ? อึก...!!" ไม่มีคำตอบใดหลังจากนั้น มือหนาสอดแทรกผ่านสาบเสื้อเขามาเล่นกับหน้าท้องแบนราบ ร่างกายขอลาวีน่าสั่นเทาด้วยความกลัวพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาพลางอ้อนวอนให้พี่ชายหยุดการกระทำนั้น แต่ดูเหมือนคำขอของเธอจะไม่อาจส่งถึงเขาได้
"พี่หยุดนะคะ!!" ตอนนั้นเธอรวบรวมแรงที่เหลือทั้งหมดกระทุ้งเข่าใส่ท้องอีกคนก่อนผลักร่างนั้นออกและรีบยืนขึ้นจากเตียงจัดทรงเสื้อผ้าเผ้าผมให้ดี พร้อมมองชายหนุ่มที่นอนกุมท้องอยู่บนเตียง เสียงหอบหายใจอย่างไม่เป็นจังหวะและเสียงสะอื้นประสานกับเสียงโอดครวญอันแผ่วเบาของเป็นพี่ชาย มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาก่อนพยายามพูดไม่ให้เสียงสะอื้นนั้นออกมาด้วย
"ทำไม...พี่ถึงทำแบบนี้กับหนู พี่มัน..." ไม่ทันที่จะพูดจบ เด็กสาววิ่งออกไปจากห้องนั้นพร้อมน้ำตาและเข้าห้องของเธอทันที ฝ่ายลีโอที่พยายามเอื้อมมือจะไขว่คว้าลาวีน่าฟุบลงบนเตียงพร้อมเอ่ยโทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
"ลีโอ..แกทำอะไรของแก อย่าให้...อารมณ์ครอบงำสิ.."
.
.
.
"ลาวีน่า...พี่ขอโทษ.."
แม้เหตุการณ์ในครั้งนั้นจะผ่านล่วงเลยมาสี่ปีแล้วก็ตาม แต่ความกลัวและตื่นตกใจยังคงไม่หายไป ทุกคืนที่หลับฝันเธอจะเห็นภาพเดิมเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นซ้ำไปมา ราวหนังม้วนที่ฉายอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ฝันร้ายยังคงตามหลอกหลอนไม่ปล่อย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเดินหน้าต่อไป เธอจึงตัดสินใจขอบิดามารดาออกไปอยู่คนเดียว และไปเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองลอนดอน ซึ่งทางบ้านเองก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด เพราะที่นั่นก็มีบ้านที่ซื้อสำรองไว้ให้เธอไปอยู่ได้ ก่อนเดินออกจากบ้านเธอได้มองไปยังลีโอที่ยังคงทำหน้ารู้สึกผิด คาดเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายก็ยังคงไม่ลืมเรื่องราวนั้นเช่นเดียวกัน เธออยู่ตัวคนเดียวจนอายุได้ยี่สิบเอ็ดปี จึงคิดที่จะหางานทำบ้าง และได้ไปเจอกับแผ่นกระดาษที่รับงานนักสืบอยู่ ด้วยความที่ว่าตัวเองน่าจะมีคุณสมบัติอยู่บ้างจึงตัดสินใจรับงานนี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า...
..........
"มันคืองานที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปตลอดกาล..." เด็กสาวปิดท้ายด้วยรอยยิ้มพลางวางแก้วที่เหลือชาเพียงเล็กน้อยลง พร้อมมองมายังคุณด้วยแววตาที่แอบแฝงไปด้วยเลศนัยบางอย่าง
"หากรู้เรื่องนี้แล้ว...กรุณาปิดมันไว้เป็นความลับนะคะ นักสืบเผยอดีตให้ผู้อื่นได้รับรู้...คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก" สิ้นเสียงเด็กสาวจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางจัดเรือนผมสีชมพูหวานของตนเล็กน้อย ก่อนเดินออกไปจากศาลาแก้วนั้นโดยที่ทิ้งภาพรอยยิ้มไว้ให้เป็นเพียงแค่อดีต
เรื่องเล่าจากอลิซ
END
ลักษณะการพูด : ลาวีน่า เจเนซิส เป็นคนที่มีน้ำเสียงเรียบนิ่งดุจสายน้ำ บางครั้งก็มีน้ำเสียงโมโนโทนน่าฟังชวนเคลิ้มหลับ แฝงไปด้วยความอ่อนหวานที่สัมผัสได้เพียงเบาบางเท่านั้น แต่หากยามโกรธน้ำเสียงของเธอจะแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย แต่ก็สามารถจับสังเกตุได้ไม่ยากนัก สร้างความตกใจให้คนรอบข้างอยู่ไม่น้อย หากแต่ยามเศร้าหรือเสียใจ น้ำเสียงจะแผ่วเบาลงราวกับกำลังกระซิบในทันที พูดชัดถ้อยชัดคำ ไม่เร็วเกินไปและไม่ช้าจนเกินไป เรียกแทนตัวว่า ฉัน เสมอ แทนคนด้วยคำว่า คุณ ไม่ว่าจะสนิทหรือไม่ก็ตาม หากยังไม่สนิทจะเรียกด้วย นามสกุล เท่านั้น หากเรียก ชื่อจริง หรือ ชื่อเล่น ของใคร นั่นหมายความว่าเธอมอบความไว้วางใจให้คนๆ นั้นหมดหัวใจอย่างไม่มีข้อกังขา สำหรับครอบครัวจะแทนตัวเองว่า หนู รวมถึงพูดมีหางเสียงทุกครั้ง
สถานการณ์ที่ 1 | ยามปกติ
"สวัสดีค่ะ ฉันชื่อลาวีน่า เจเนซิส ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ.."
"ไม่ว่างานอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการสืบ ฉันยินดีที่จะรับมัน ตราบใดที่ยังคงอยู่ในความถูกต้องนะคะ.."
"ที่เหนื่อยง่าย มันเป็นเพราะคุณไม่ชอบออกกำลังกายมากกว่านะคะ"
"เดี๋ยวไปตรงนั้นที เดี๋ยวมาตรงนี้ที คุณเป็นแค่นักเดินทางจริงๆ น่ะหรือคะ?"
"แม้ฉันจะสังเกตุอะไรได้ไม่มาก แต่ทางด้านความจดจำ อดทน และปิดความลับล่ะก็ ไม่ด้อยไปกว่าใครแน่นอนค่ะ.."
สถานการณ์ที่ 2 | ยามโกรธ
"กรุณาหุบปากของคุณด้วยค่ะ.."
"ฉันไม่มีเวลามาฟังคำพูดไร้สาระพวกนั้นหรอกนะคะ"
"โตๆ กันแล้วก็ควรคิดได้นะคะ ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันถูกหรือผิด?"
"อย่าให้ฉันต้องถอนหงอกคุณเลยค่ะ..."
"อย่าใส่เสื้อลายดอกเด็ดขาดเลยนะคะ....เดี่ยวฉันแยกไม่ได้ ว่าอันไหนเสื้อ...อันไหนคุณ.."
สถานการณ์ที่ 3 | ยามเศร้า
"ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ..."
"แค่ขออยู่คนเดียวสักพัก...คุณทำให้ฉันไม่ได้เหรอคะ?"
"มันคงเป็น...ฝันร้ายที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำแล้วล่ะค่ะ.."
"ขอโทษค่ะแม่...ที่หนู...รักษาสัญญาที่จะไม่ร้องไห้อีกไม่ได้...หนูขอโทษ.."
"คุณไม่มีทางเข้าใจฉันหรอก..! ไม่มีใคร...เข้าใจ"
สถานการณ์ที่ 4 | ยามดีใจ/ดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น
"ให้ฉันเหรอ? .... ขอบคุณ..นะ" แววตาแสดงถึงความดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด แม้สีหน้าจะยังคงไม่เปลี่ยนก็ตาม
"ถ้ามีเรื่องทุกข์ใจล่ะก็ ... ฉันยินดีที่จะฟังมันนะคะ.."
"..ฉันไม่ใช่คนใจดีอะไรอย่างที่คุณคิดหรอกค่ะ พูดแบบนั้นไปก็ไม่ยอมใจอ่อนหรอกนะ.." สุดท้ายก็ต้องยอม(?)
"ขอบคุณที่ไว้ใจฉันนะคะ" ระบายยิ้มออกมาบางๆ
"นี่ค่ะ น้ำ...ฉันซื้อมาเกินน่ะ" ที่จริงแล้วตั้งใจจะซื้อมาฝาก
สถานการณ์ที่ 5 | อื่นๆ
"ฉันไม่ได้กลัวนะคะ...ตุ๊กแกนั่นน่ะ..ไม่ได้กลัวเลย.." พูดด้วยเสียงสั่นเครือ
"ย-อย่ามาจับฉันนะ..!" ว่าพลางดึงมือกลับจากเพศตรงข้าม ด้วยเพราะมีอดีตที่ฝังใจทำให้เธอเลือกที่จะเลี่ยงการสัมผัสตัวกับเพศตรงข้ามที่ไม่ใช่บิดาและคนที่ตนไว้วางใจ
"พัชราภาอาภาวรรณากา? ... มันไม่มีอีกแล้วล่ะค่ะ หลังจากนี้ไป...จะมีแต่ ลาวีน่า เท่านั้น"
"ข-ขอโทษนะคะ ฉัน...ไม่ได้ตั้งใจ.."
"อย่าพยายามปิดบังเลยค่ะ ยังไงก็โกหกฉันไม่ได้หรอก" มองด้วยสายตาคาดคั้นกว่าทุกที
สิ่งที่ชอบ : อากาศเย็นสบายออกไปทางหนาวเล็กน้อย - เพราะทำให้เธอรู้สึกสบายเนื้อสบายตัว อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยให้นอนหลับได้สบายอีกด้วย ที่สำคัญยังช่วยชาติประหยัดน้ำได้ด้วยนะ-- #ผิดๆ
ของหวาน - เพราะมันสามารถคลายความเครียดได้ดีสำหรับเธอ เวลามีเรื่องไม่สบายใจหรือคิดมาก ของหวานจะเป็นตัวช่วยลดอาการเหล่านั้นได้ดีเลยทีเดียว อีกทั้งยังทำให้อารมณ์ดีอีกด้วย
น้ำผลไม้ - ด้วยความเป็นคนดูแลสุขภาพร่างกายอยู่แล้ว ทำให้เธอเป็นคนที่ชอบดื่มน้ำผลไม้มากกว่าน้ำหวานหรือน้ำอัดลม เพราะคิดไว้เสมอว่าน้ำหวานหรือน้ำอัดลมจะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดและอาจทำร้ายสุขภาพร่างกายของตนได้
ดวงดาว - ยามได้มองขึ้นไปบนฟ้ายามราตรีและได้เห็นหมู่ดาว จะทำให้เธอสามารถสงบจิตใจได้เป็นอย่างดี ไม่คิดฟุ้งซ่าน และยังทำให้นอนหลับฝันดีในบางครั้งบางคราวอีกด้วย
ความเงียบสงบ - เพราะความเงียบสงบจะทำให้เธอมีสมาธิมากขึ้น สามารถคิดวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเรื่องอะไร ตามคำกล่าว สติมา ปัญญาเกิด
ดอกกุหลาบ - เพราะเป็นดอกไม้ชนิดแรกที่เธอได้พบเห็น ถ้าให้เปรียบคงเหมือนสัตว์ตัวหนึ่งที่เห็นสิ่งใดเป็นสิ่งแรกแล้วจะคิดว่านั่นคือพ่อแม่ของตน แต่ในกรณีของเธอที่ได้เห็นดอกกุหลาบเป็นสิ่งแรกในหมู่ดอกไม้ทั้งหมด ส่งผลให้เธอชอบดอกกุหลาบมากจนเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวเลยก็ว่าได้
รอยยิ้มของผู้อื่น - เธอชอบที่จะได้เห็นรอยยิ้มของผู้อื่น เพราะมันจะทำให้เธอยิ้มตามเสมอ แม้จะเป็นรอยยิ้มบางๆ ยากแก่การสังเกตก็ตาม
ต้มยำกุ้ง - เพราะเป็นอาหารที่โปรดปรานมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย หากเป็นฝีมือมารดาของแม่ตนคงดีกว่านี้..
สิ่งที่ไม่ชอบ : สายฝน - เพราะมันจะทำให้เธอคิดถึงเหตุการณ์การสูญเสียในอดีตเสมอ เธอจึงเลือกที่จะปฏิเสธมันต่อมา พยายามไม่มองหรือบางครั้งก็พยายามข่มตาหลับ หากแต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ก็จะพยายามฝืนทนไว้อย่างสุดความสามารถ
อากาศร้อน - เพราะทำให้จิตใจของเธอไม่สงบเอาเสียเลย อีกทั้งยังมีเหงื่อไหลทำให้เหนอะหนะไปทั้งตัวและทำให้ไม่สบายเนื้อสบายตัวเอามากๆ
กาแฟ - เพราะคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟสามารถทำร้ายสุขภาพร่างกายได้เช่นเดียวกับน้ำอัดลม เธอจึงเลือกที่จะเลี่ยงมันไว้ก่อน หากง่วงแต่ยังต้องทำในสิ่งที่คั่งค้างไว้เธอจะใช้วิธีล้างหน้าให้ตาสว่างแทน
เสียงดัง - เพราะมันจะทำให้เธอเสียสมาธิ การคิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ก็พาลถดถอยลงไปด้วย หากเสียงดังมากอาจทำให้เส้นด้ายแห่งความอดทนของเธอขาดแล้ววีนใส่เลยก็ว่าได้
แมว - เพราะตอนเด็กเคยมีวีรกรรม(?)กับมันมาก่อน อุ้มอยู่ดีๆ มันกลับข่วนแบบไม่ทราบสาเหตุ ยังดีที่ไม่ใช่แผลเป็น จึงทำให้เธอไม่ชอบแมวไปโดยปริยาย
สิ่งที่กลัว : เพศตรงข้ามที่ยังไม่สนิทกัน - เพราะในอดีตเธอเคยพบกับเหตุการณ์น่ากลัวจากชายแปลกหน้มาก่อน จึงจำฝังใจ
ตุ๊กแก - เพราะลวดลายสวยงาม(?)บนตัวนั้นทำให้เธอขนลุกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ถ้าอ้าปาก...ตัวใครตัวมัน(?)
งานอดิเรก : อ่านหนังสือ (เน้นไปทางนิยายแนวสืบสวน) | แต่งเพลง (ไม่ได้แต่งให้ใครฟังแต่อย่างใด เพียงแต่แต่งและนำมาร้องเล่นคนเดียวเท่านั้น) | ออกกำลังกาย (ส่วนมากจะเป็นการวิ่งและซิตอัพ)
เพิ่มเติม : - ไม่มีใครรู้จักชื่อเก่าของเธอนอกเสียจากบิดา มารดาและพี่ชาย
- ลักษณะการแต่งกาย (คลิกที่ตัวเลขเพื่อดูรูป)
> ยามอยู่บ้าน สบายๆ 1
> ยามไปงานเลี้ยง (ตามเมจนางเลยงับ--)
- สิ่งของที่ได้รับมาจากบิดา และมารดาคนแรก (คลิกที่ตัวอักษรเพื่อดูรูป)
- ครอบครัว คลิก
- ฉายาบุปผาไร้เงานั้น ได้มาเพราะเธอเป็นคนลึกลับ เปรียบเปรยว่าแม้แต่เงาก็ไม่สามารถหาได้พบ ในส่วนของบุปผา เพราะของประจำตัวของเธอคือดอกกุหลาบสีแดง | เราแถค่ะ 555555555
- ปัจจุบันยังติดต่อกับครอ[ครัวบ้างเป็นบางครั้งบางคราว คนที่ติดต่อบ่อยสุดเห็นที่จะเป็นพี่ชายต่างสายเลือด แม้ความกลัวจะยังไม่หายไปอย่างสมบูรณ์ แต่เธอก็พอให้อภัยเขาได้ เธอพยายามคิดว่าเขาทำไปเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ แม้ในตอนนั้นจะมีความต้องการของเขาส่วนตัวอยู่ด้วยก็ตาม
---------------------------------------------
Talk with character.
ห้องสี่เหลี่ยมคุมโทนสีขาวในตึกสูงระฟ้าที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง เก้าอี้หนึ่งตัวหันหลังให้กับหญิงสาวเจ้าหน้าที่นักสืบคนหนึ่งที่ยืนรอฟังคำสั่งของบุคคลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น เสียงเรียบหวานของบุคคลที่มี ' ตำแหน่งสูงที่สุด ' (บอส)เอ่ยขึ้นกับสาวนักสืบที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอ
- พวกสกอตแลนด์ยาร์ดกำลังหัวปั่นกับปริศนา ' ความตาย ' ที่เกิดขึ้นมากมาย คุณคิดจะทำยังไงต่อดีล่ะ คุณนักสืบ?
: หญิงสาวเจ้าของเกศาสีบลอนด์จ้องมองคู่สนทนาด้วยแววตาที่คาดเดาความคิดได้ยากดังเช่นทุกครั้ง คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำถามเช่นนั้น มือบางทั้งสองประสานเข้าหากันราวตัดสินใจบางอย่างได้ ก่อนริมฝีปากสีเชอร์รี่อ่อนจะขยับเอ่ยตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเฉกเช่นปกติ
"ก็คงต้อง...สืบมันอย่างจริงจังแล้วล่ะค่ะ เกี่ยวกับ...ปริศนาความตายนั้นน่ะ" กล่าวจบเธอจึงปิดเปลือกตาลงอย่างแผ่วเบา
- งั้นเหรอ ฉันกำลังคิดว่าแค่ตัวคุณตามลำพังคงไม่อาจไขคดีนี้ได้สำเร็จแน่ คุณคิดว่าบนโลกใบนี้ ยังมีคนพิเศษที่มีความสามารถแตกต่างจากคนทั่วไปอยู่หรือไม่?
: ลาวีน่าเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งพร้อมใช้ดวงเนตรสีท้องน้ำใต้มหาสมุทรมองอีกฝ่ายโดยที่มีคำตอบอยู่ในใจเมื่อคำถามสิ้นสุดลง
"โลกใบนี้มันกว้างใหญ่มากนะคะ.." กล่าวพลางเบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่นเล็กน้อย "การที่จะมีคนแบบนั้นอยู่สักคน สองคน...ไม่สิ มากกว่านั้น? ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรค่ะ.."
- ปริศนาครั้งนี้อาจต้องแลกด้วยการเสียสละ คุณจะยอมเสี่ยงเพื่อค้นหาความจริงของปริศนานี้ไหม?
: ดวงตาของหยิงสาวเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบกับคำถามที่ไม่คาดคิด ตามธรรมชาติของมนุษย์ไม่ว่าใครก็ย่อมต้องกลัวความตายและคำว่าเสียสละ แต่ในเมื่อมันต้องทำ อะไรก็คงหยุดไม่ได้
"หากมันเป็นสิ่งที่จำเป็น ... ฉันก็จะทำค่ะ" มือบางสอดประสานกันแน่นยิ่งขึ้นโดยมีอาการสั่นเล็กน้อยก่อนที่มันจะหายไป "ไม่มีใคร..ฝ่าฝืนโชคชะตาได้หรอกค่ะ"
- แล้วถ้าเกิด คุณรู้สึกมี ' ความรัก ' ให้กับคู่หูของคุณล่ะ คุณกับเขายังจะร่วมงานด้วยกันอยู่ใช่มั้ย?
: "ความรัก..?" ลาวีน่าแค่นหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนกระแอมไอเล็กน้อยเพื่อปรับให้เข้าสู้โหมดปกติ "คุณพูดว่า 'ถ้าเกิด' สินะคะ แสดงว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ก็ได้ แต่ถ้าหากมันคือความจริง.." หญิงสาวเว้นช่องว่างประโยคไว้สักพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบพร้อมดวงตาที่สั่นคลอนเล็กน้อย "ฉันก็จะร่วมงานกับเขาต่อไปค่ะ...ลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่คะ"
- ฉันคงหมดคำถามแล้วล่ะ ขอให้คุณโชคดีกับคู่หูนักสืบของคุณก็แล้วกันนะ
: "..ขอบคุณค่ะ" เอ่ยกล่าวขอบคุรแค่เพียงสั้นๆ แต่เต้มไปด้วยความน้อบน้อมที่สามารถสัมผัสได้ นิ้วเรียวยาวม้วนปอยผมเล่นเล็กน้อยพร้อมพึมพำออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา "ความรักเหรอ...ฉันจะสามารถมีมันได้ไหมนะ?"
---------------------------------------------
Talk with parent.
- ดีงับ คุณผู้ปกครองของลูกสาวที่น่ารักทั้งหลาย ชื่ออะไรกันเหรองับ?
: ชื่ออลิซขอรับบบ
- ทำไมถึงส่งลูกสาวเข้าสมัครเรื่องนี้เหรองับ มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่างับ?
: รักไรท์ค่ะ-- แฮ่ม... พล็อตเรื่องคือดีงามมากเวอร์ น่าสนใจสุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ! > < มันมีช่วงนึงที่เราติดอีเว้นท์นักสืบจากเกม Yume100 ค่ะ หนุ่มๆ งานดีมากกก แถมอนิเมยังสนุกด้วย-- (โฆษณาแบบไม่มีค่าจ้าง) อีกใจคือ อยากมาขัดเกลาฝีมือตัวเองสักหน่อย-- ห่างหายจากการปั่นจริงๆ จังๆ ไปนานพอสมควร ฝีมือดรอปลงไปเยอะเลยล่ะค่ะ ;-; เรื่องนี้คือขัดสนิมออกแล้วมาปั่นล้วนๆ--
- อ่อ เป็นงี้นี่เอง คิดว่าลูกสาวมีสิ่งที่พิเศษตรงไหนไหมงับ?
: เมจงาม-- .โดนโบก อะแฮ่ม! พิเศษตรงสิ่งของประจำตัวอย่างกุหลาบแล้วกันค่ะ อิ_อิ
- พอดีไรท์รับจำนวนจำกัดจริงๆ หากสมมุติว่าลูกสาวไม่ติดจะ ' รับกลับ ' หรือเปล่างับ?
: หวา..เป็นคำถามที่ตอบยากอะไรเบอร์นี้ ;-; เราขอรับกลับแล้วกันนะคะ การตั้งใจปั่นตัวละครใดตัวละครหนึ่งขึ้นมามันต้องใช้ความตั้งใจมากจริงๆ และอยากให้น้องได้บทที่เล็งไว้น่ะค่ะ-- .กราบ
- คำถามสุดท้าย มีอะไรจะบอกกับไรท์พัพเพ็ตก่อนจากกันไหมงับ?
: รักและคิดถึ-- .กราบดักรอ จะทากาวตราช้างติดกับนิยายเรื่องนี้ไว้เลยนะคะ! XD สู้ๆนะตัว!
---------------------------------------------
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น