ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Forest Story

    ลำดับตอนที่ #1 : ► เรื่องเล่าจากพงไพร บทที่ 1 : Fantasy school • Karin Merelwa

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 140
      0
      22 ก.พ. 64

     Daisy 

    ☆ Brigth and Innocent



    ดอกเดซี่นั้นบอบบางและง่ายต่อการบุบสลาย
    ถึงเช่นนั้นก็ยังคงใช้กายต้านลมพายุอย่างไม่หวั่นเกรง

    - Karin -

    ✿   ✿   ✿   ✿   ✿



    LINK

    "คุณแมว! อย่าไปข่วนเขาแบบนั้นสิคะ! ข..ขอโทษด้วยนะคะ คุณแมวไม่ได้ตั้งใจอย่าถือสาเลยนะคะ"

    "มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าคะ? ระบายให้ฉันฟังได้นะ"

    ✿   ✿   ✿   ✿   ✿

    ✿บท : อื่นๆ / นักเรียน

    ✿ ชื่อ - นามสกุล : คาริน เมเรลวา || Karin Merelwa

    ✿ อายุ : 16 ปี

    ✿ นิสัย : หากกล่าวถึงเด็กสาวที่มีใบหน้าจิ้มลิ้ม มาพร้อมเสียงใสกังวาล ไพเราะและน่าฟัง คงไม่มีใครไม่คิดถึง คาริน เด็กสาวจากเนเธอร์แลนด์ ดินแดนที่อุดมไปด้วยดอกไม้นานาพันธ์คนนี้ ผู้คนต่างกล่าวว่าเธอคือเด็กสาวที่สดใสร่าเริงสมวัย เติบโตท่ามกลางความรักความอบอุ่นของครอบครัว หากแต่มีเพียงน้อยคนนักที่จะรู้เบื้องลึก ว่าจริงๆ แล้ว คาริน มีนิสัยเป็นเช่นไร


    ◘ คำกล่าวจากหญิงสาวคนที่หนึ่ง ◘

              หญิงสาวคนที่หนึ่งกล่าวว่า หากดูจากรูปลักษณ์และนิสัยโดยทั่วไปที่ผู้อื่นสามารถพบเห็น คารินคือเด็กสาวที่เพรียบพร้อมทั้งหน้าตาและลักษณะนิสัย ด้วยวัยของเธอที่สามารถกล่าวได้เต็มปากว่ายังไม่ใช่สาวเต็มตัวเหมือนพี่ร่วมสายเลือด ทำให้เธอมีนิสัยร่าเริง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มสดใสไม่รู้เบื่อราวดวงอาทิตย์ดวงน้อยที่มอบความอบอุ่นแก่ผืนแผ่นดิน เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ชื่นชอบในการผูกมิตรไมตรี ด้วยนิสัยเป็นกันเองและความน่ารักนั้นทำให้น่าเอ็นดูสำหรับผู้คนที่ได้พบเห็น ด้วยการอบรมสั่งสองของทางบ้าน ทำให้คารินมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบการช่วยเหลือคนแม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่ก็พร้อมจะยื่นมือไปช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เพราะการได้เห็นรอยยิ้มของคนรอบข้างก็เป็นของตอบแทนที่มีค่าหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้สำหรับเธอแล้ว รักในอิสระและการพบเจอผู้คน แม้แต่สัตว์ตัวเล็กๆ เองเธอก็สามารถผูกมิตรไมตรีด้วยได้ ทำให้เธอมีทั้งเพื่อนที่เป็นมนุษย์และสัตว์อย่างน่าประหลาดใจ รอยยิ้มของเด็กสาวนั้นราวกับสามารถเยียวยาความเหนื่อยล้าให้ทุเลาลงได้ ด้วยเหตุนี้เองเธอจึงชอบยิ้มให้กับคนรอบข้างเสมอ เพื่อหวังว่าพลังงานด้านบวกของเธอจะมีประโยชน์กับผู้อื่นบ้างไม่มากก็น้อย


    ◘ คำกล่าวจากหญิงสาวคนที่สอง ◘

              หญิงสาวคนที่สองกล่าวต่อ ว่า เด็กสาวคารินนั้นเป็นคนมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่ามนุษย์นั้นมีทั้งด้านที่ดี และด้านที่เลวร้าย เพียงแต่ผู้ใดจะนำด้านในมาใช้ก็เท่านั้น คารินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังด้านบวก สดใสและร่าเริง ทำให้เธอเป็นเด็กสาวที่มองโลกในแง่ดี แต่มองโลกในแง่ดีนี้นั่นก็ไม่ใช่ว่าเธอจะละเลยโลกแห่งความเป็นจริง เธอโตพอที่จะสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี แต่เธอเลือกที่จะมองด้านดีของสิ่งนั้นมากกว่าไปมองด้านแย่และนำมาอคติกับตัวเอง หากทำแบบนั้นชีวิตคงไร้สีสันและความสนุกอย่างแน่นอน ส่งผลให้เธอนั้นเป็นคนคิดบวกอยู่เสมอ คิดถึงแต่สิ่งดีๆ ที่คนนั้นเคยทำ แม้รอบข้างจะด่าทอ เสียดสีคนผู้นั้นอย่างไร แต่คารินจะเป็นหนึ่งคนที่จะไม่มีวันทำเช่นนั้น บางคนทำความดีมาร้อยครั้ง แต่ทำผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็ถูกสังคมประณาม คารินไม่อยากเป็นหนึ่งในนั้นที่ประณามเขา ด้วยความมองโลกในแง่ดีนี้เอง ทำให้เธอเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ยึดติดกับความเกลียดชัง อิจฉาหรือริษยา ใครได้ดีกว่าก็พร้อมจะยินดีไปกับเขาด้วย หากมัวแต่ริษยาอาจทำให้เสียเวลาในการพัฒนาตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย แต่ด้วยเพราะเหตุนี้เองทำให้ครอบครัวแอบกังวลว่าเธอนั้นจะอ่อนต่อโลกภายนอกและรู้ไม่เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของคน แม้คารินจะพยายามบอกหลายครั้งหลายคราว่าไม่ต้องห่วง แต่ก็ไม่ทำให้ความรู้สึกนั้นของครอบครัวลดลงไปเลยแม้แต่น้อย


    ◘ คำกล่าวจากหญิงสาวคนที่สาม ◘

              หญิงสาวคนที่สามกล่าวแทรกขึ้น แม้ตัวของคารินจะยังเป็นเด็ก แต่กลับมีความคิดและวุฒิภาวะเทียบเท่ากับผู้ใหญ่บางคนอย่างน่าเหลือเชื่อ ใครจะคิดว่าเด็กตัวเพียงเท่านี้จะสามารถคิดวิเคราะห์แยกแยะเหมือนผู้ใหญ่จนดูเกินวัยของตัวเองไปบ้าง คารินมักใช้เหตุผลเป็นที่ตั้งมากกว่าอารมณ์ เพราะเธอเชื่อมั่นเสมอว่าการใช้เหตุผลย่อมดีกว่าการใช้อารมณ์เข้าจัดการ การใช้อารมณ์พาลแต่จะทำให้เรื่องมันเลวร้ายลงกว่าเก่า การใช้เหตุผลจึงเป็นวิธีที่สามารถแก้สถานการณ์ได้ดีที่สุดสำหรับเธอแล้ว จึงทำให้เธอเป็นคนที่ใจเย็นมาก เวลาจะพูดหรือทำอะไรมักจะคิดไตร่ตรองกับตัวเองให้ดีเสียก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่ ยังไม่มีใครเห็นเธอตอนโกรธมาก่อนว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร จึงไม่สามารถจินตนาการยามเธอโกรธได้ แต่ทุกคนมักเชื่อคำกล่าวที่ว่า หากคารินโกรธขึ้นมา อาจน่ากลัวไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่เกินวัยมันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะมีโทสะปะทุขึ้น คารินนั้นเป็นทั้งผู้รับฟังและผู้ให้คำปรึกษาที่ดี เธอสามารถรับฟังปัญหาชีวิตของผู้อื่นได้ทุกเมื่อหากอีกฝ่ายต้องการระบายให้ฟัง เธอจะรับฟังอย่างตั้งใจและไม่แพร่งพรายเรื่องราวนั้นออกไปโดยเด็ดขาด เพราะมันอาจทำให้ผู้ที่มาปรึกษานั้นเสียหายได้ เธอจึงเป็นคนที่เก็บความลับได้เก่งมากเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่รับฟัง คารินยังสามารถให้คำปรึกษาเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่เธอสามารถทำได้ คนที่มาปรึกษา หากไม่เพียงมาระบายให้ฟังเขาก็ต้องการคำแนะนำกลับไปด้วย แม้คารินไม่ได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมายเท่าบางคนนัก แต่ก็สามารถให้คำปรึกษาหรือกำลังใจได้ เธอจะดีใจทุกครั้งหากคำพูดของเธอมันสามารถทำให้อาการของอีกฝ่ายดีขึ้นมาได้ หากมันเป็นสิ่งที่เด็กคนหนึ่งสามารถทำได้ คารินก็จะทำ


    ◘ คำกล่าวจากหญิงสาวคนที่สี่ ◘

              หญิงสาวคนที่สี่ยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น คารินนั้นยามปกติก็มีท่าทีที่อ่อนโยน เป็นที่รักของทุกคนอยู่แล้ว แต่เมื่อยามที่เธออยู่กับสัตว์ บรรยากาศรอบตัวดูราวกับอบอุ่นขึ้นเป็นเท่าตัว หลายครั้งหลายคราที่จะเห็นเธอนั่งลงพูดคุยกับเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ด้วยใบหน้ามีความสุข หากไม่ใช่ในโลกที่คนมีพลังพิเศษคงโดนหาว่าเป็นคนสติไม่ดีไปแล้ว คารินเป็นคนที่รักสัตว์มากไม่ว่าจะเป็นชนิดใด ขนาดตัวหรือรูปร่างลักษณะเป็นเช่นไรเธอก็รักหมด อ่อนโยนกับสัตว์มากเป็นพิเศษ แสดงถึงความรักความเอาใจใส่ต่อสัตว์ทุกตัวอย่างไม่ปิดบัง อาจจะเพราะว่าเธอมีความสามารถในการสื่อสารกับสัตว์ได้จึงเป็นเหตุทำให้เพื่อนของเด็กสาวส่วนใหญ่คือสัตว์ต่างๆ ที่เคยพบเจอ หากคารินไม่สามารถระบายเรื่องของตัวเองให้ใครฟังได้เธอก็มักจะมาระบายกับสัตว์เหล่านี้ เพื่อหวังว่าเรื่องที่หนักใจอยู่จะเบาลงบ้างไม่มากก็น้อย แม้จะรักสัตว์เพียงใดแต่คารินเป็นคนที่มีความยุติธรรมอยู่ในตัวพอสมควร หากเหล่าสัตว์นั้นเป็นตัวทำผิด เธอก็จะว่าไปตามผิด ไม่นำความสัมพันธ์ของเพื่อนมาตัดสินสถานการณ์ขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นอันขาด และด้วยความที่สัตว์นั้นพูดไม่ได้เธอจึงต้องเป็นคนขอโทษคู่กรณีแทนเพื่อนของตนทุกครั้งไป ทำให้คารินติดภาพลักษณ์ขอโทษผู้อื่นก่อนเสมอแม้ตนจะไม่มีความผิดไปโดยปริยาย


    ◘ คำกล่าวจากเด็กสาวคนที่ห้า ◘

              เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับคารินกล่าวเสริม แม้ภายนอกจะดูอ่อนโยนและมีบุคลิกที่น่ารังแกในสายตาของเด็กคนอื่นๆ แต่แท้จริงแล้วคารินมีจิตใจที่เข้มแข็งมาก ด้วยร่างกายของเธอที่เพรียวบางดูไม่มีเรี่ยวแรง จึงทำให้ตกเป็นเป้าของเด็กเกเรในวัยเดียวกัน บ่อยครั้งที่คารินจะถูกเพื่อนแกล้งเมื่ออยู่ที่โรงเรียน อาจจะเป็นเพราะความไม่ชอบในลักษณะนิสัยและสิ่งที่คารินแสดงออกส่วนตัว จึงทำให้เกิดความเกลียดชังขึ้นมาในจิตใจและหาเรื่องแกล้งเธอทุกครั้งไป ทว่า ปฏิกิริยาของคารินนั้นกลับต่างจากสิ่งที่เด็กเกเรหวังไว้มาก จากที่คิดว่าจะร้องไห้เธอกลับยิ้มตอบด้วยท่าทางไม่ถือสาอะไร ใบหน้าและน้ำสียงยังคงสดใสเหมือนเดิม จึงทำให้ผู้อื่นนั้นมองว่าเธอคือเด็กสาวที่เข้มแข็งมาก อีกทั้งยังบอกกับครอบครัวว่าเป็นเพียงการแกล้งเล่น หยอกล้อกันในเพื่อนฝูงเท่านั้น จึงทำให้ครอบครัววางใจอยู่เรื่อยมา เธอเองก็ไม่แสดงอาการอะไรออกมาเช่นกัน ... ใครจะรู้ว่าภายใต้หน้ากากรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตาและความเจ็บช้ำมากน้อยเพียงใด แต่สิ่งที่แสดงออกมามีเพียงรอยยิ้ม และคำว่า 'ไม่เป็นไร' แม้ภายในใจกำลังเหมือนจะล้มทั้งยืน คารินต้องการให้ครอบครัวเชื่อมั่นในตัวเธอว่าเธอเข้มแข็ง ว่าเธอไม่เป็นอะไรเพื่อไม่ให้ท่านเป็นห่วง เพียงงานที่บ้านบุพการีก็เหนื่อยมากพอแล้ว เธอไม่อยากให้ท่านต้องมาเหนื่อยกับเธอเพิ่มอีก คารินจึงเก็บความรู้สึกเจ็บใจ และความบอบช้ำนั้นไว้กับตัวเองเรื่อยมา แม้แต่พี่สาวแท้ๆ ที่สนิทใจด้วยที่สุดเธอยังไม่กล้าเอ่ยปากว่าพบเจออะไรมาบ้าง ภายใต้หน้ากากรอยยิ้มแห่งความเข้มแข็ง กลับซ่อนตัวตนที่เปลี่ยวเหงาพร้อมจะล้มทุกเมื่อโดยไม่มีใครรู้

    ✿ ลักษณะคำพูด : คารินมีน้ำเสียงที่ใสดังกังวาลดุจระฆังแก้ว แต่ยังคงความอ่อนนุ่มในเนื้อเสียงยามสนทนากับผู้อื่นอยู่เสมอ น้ำเสียงมีความไพเราะน่าฟัง อีกทั้งยังวางกิริยาวาจาเหมาะสมกับสถานการณ์ เธอมักมีหางเสียงต่อท้ายประโยคอยู่เสมอไม่ว่าคู่สนทนานั้นจะมีอายุมากกว่า เท่ากัน หรือน้อยกว่าก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่กับสัตว์น้อยใหญ่ คารินเองก็คุยโดยใส่หางเสียงเพื่อเป็นการให้เกียรติ์เช่นกัน คารินจะไม่มีหางเสียงก็ต่อเมื่อสนิทกับเธอมากพอสมควรแล้วเท่านั้น ในกรณีที่คู่สนทนาบอกเธอว่าไม่ต้องพูดแบบมีหางเสียงเช่นเดียวกัน โดยเธอมักเรียกแทนตัวเองว่า ฉัน และแทนคู่สนทนาที่มีอายุมากกว่า - เท่ากันด้วยคำว่า คุณ เสมอ แต่เมื่อคุยกับคนที่มีอายุน้อยกว่าจะแทนตัวผู้ฟังว่า เธอ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพศใดก็ตาม


    [ สถานการณ์ที่ 1 - ยามพบเจอกันครั้งแรก ]

    ♦ "ฉันเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกเองค่ะ คุณนกพอจะนำทางให้ฉันได้ไหมคะ?" คารินเอ่ยถามเสียงใสพลางมองเจ้านกตัวน้อยสีฟ้าที่บินมาเกาะบนไหล่ของเธอ เป็นครั้งแรกที่เธอมาโรงเรียนแห่งนี้อาจทำให้หลงทางได้ คงดีไม่น้อยหากมีนกผู้ที่คุ้นชินกับเส้นทางภายในโรงเรียนเป็นผู้ชี้นำ

    ♦ "สวัสดีค่ะ คารินนะคะ ฉันอยากสนิทกับทุกคนเร็วๆ ... จากนี้ไปขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ!" แม้เสียงจะสั่นเล็กน้อยเป็นผลมาจากการตื่นเต้นเพราะต้องยืนแนะนำตัวหน้าชั้นเรียน แต่เด็กสาวก็พยายามสงบจิตใจตัวเอง ไม่นานก็สามารถทำให้อาการตื่นเต้นนั้นหายไปได้ ก่อนที่จะยกยิ้มให้กับเพื่อนร่วมห้องทุกคน

    ♦ "อ๊ะ คุณคนที่เจอกันเมื่อเช้า...ยินดีที่ได้อยู่ห้องเดียวกันนะคะ หลังจากนี้มาพยายามด้วยกันนะ" คารินระบายยิ้มดีใจอย่างไม่ปิดบัง ดวงตาปิดลงเป็นรูปจันทร์เสี้ยว บดบังดวงตาสีฟ้าครามของเธอไปทั้งหมด มือบางยื่นออกมาด้านหน้าเพื่อเป็นการจับมือทักทาย


    [ สถานการณ์ที่ 2 - ยามดีใจ ]

    ♦ "เอ๊ะ...ให้ฉันเหรอคะ?" เด็กสาวมีอาการชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้รับช่อดอกไม้หลากสีสันห่อหุ้มด้วยกระดาษสีหวานอย่างปราณีต กระพริบตาสองถึงสามครั้งด้วยความไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง คนอย่างเธอสมควรได้รับดอกไม้ที่สดสวยงดงามช่อนี้จริงหรือ "ขอบคุณมากเลยนะคะ เป็นดอกไม้ที่สวยมากเลย ฉันจะดูแลอย่างดีเลยค่ะ!" ใบหน้าถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มกว้างสดใสราวดวงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นแก่โลกใบสีฟ้าคราม สองมือยื่นไปรับช่อดอกไม้มาโอบกอดไว้อย่างทะนุถนอม

    ♦ "แค่คุณเอดิสันอยู่คุยเป็นเพื่อนกับฉัน ฉันก็ดีใจแล้วล่ะค่ะ" คารินก้มหน้าลงมองตักตัวเองเพราะไม่กล้าจะหันไปสบตากับคู่สนทนา รอยยิ้มแห่งความยินดีนั้นยากที่จะปกปิด ยามปกติแล้วเธอมักจะคุยกับสัตว์เสียจนเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป น้อยครั้งนักที่จะได้พบปะหรือพูดคุยกับเพื่อนร่วมโลกที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ไม่ต่างไปจากตนเอง แม้จะดีใจแต่ก็ยังแอบแฝงไปด้วยความประหม่าว่าตนควรจะปฏิตนอย่างไรต่อไป

    ♦ "ว้าว~! พลังของเธอยอดเยี่ยมมากเลย! ไม่เสียแรงที่ฝึกฝนอยู่ทุกวันนะ" เสียงปรบมือแปะๆ ดังออกมาจากเด็กสาวที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มกว้างส่งไปยังเพื่อนสาวที่สามารถฝึกฝนตนเองจนมีพลังที่แกร่งกล้าได้ คารินมักจะดีใจและยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นมากกว่าความสำเร็จของตัวเองเสมอ


    [ สถานการณ์ที่ 3 - ยามเสียใจ ]

    ♦ "ไม่...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันซุ่มซ่าม เดินไม่มองทางเองก็เลยไปชนกับประตูเข้า" มือบางรีบยกปิดรอยแดงบริเวณแก้มด้วยความร้อนรน หันใบหน้าหนีจากอีกฝ่าย สายตาหลุบลงต่ำเล็กน้อยก่อนที่จะรีบเดินหนีไปจากตรงนั้น

    ♦ "ที่โรงเรียนปกติดีค่ะคุณแม่ เพื่อนๆ ทุกคนน่ารักมากเลยล่ะ อ๋อ...ที่เสื้อผ้าเปียกเหรอคะ? หนูเดินสะดุดถังน้ำน่ะค่ะ มันเลยคว่ำใส่ตัวแบบนี้" เสียงใสของคารินวัยเก้าขวบเอ่ยกับมารดาเพื่อให้ท่านสบายใจ แม้ตามร่างกายจะเปียกชุ่มไปด้วยน้้ำก็พยายามหาเหตุผลที่พอฟังขึ้นมาเป็นข้ออ้าง เธอไม่มีทางบอกเด็ดขาดว่าเกิดจากการกลั่นแกล้งของเพื่อนที่โรงเรียน

    ♦ "ฉันเหรอคะ?" คารินชี้นิ้วมาที่ตัวเองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเล็กน้อยยามได้ยินคำถามจากอีกฝ่ายว่าเธอนั้นมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า เด็กสาวค่อยๆ ระบายยิ้มออกมาแม้มันจะดูยากลำบาก น้ำสีใสรื้นขึ้นบริเวณดวงตาแต่ก็ต้องพยายามกลั้นมันเอาไว้ "ฉันไม่มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรอกค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ" กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ไม่นานเธอก็ขอตัวลาและเดินหนีไปทันที


    [ สถานการณ์ที่ 4 - ยามโกรธ ]

    ♦ ดวงเนตรคารินเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเตะสุนัขที่หาของกินในถังขยะด้วยความหิวโหย ไม่ทันรู้สึกตัวเธอก็รีบวิ่งไปผลักชายคนนั้นออกห่างจากสุนัขทันทีและยืนขวางไว้ "ทำไมคุณถึงทำแบบนี้คะ!"

    " อ๋อ นี่มึงเป็นเจ้าของไอ้หมาสกปรกนี่เองสินะ หัดดูแลมันดีๆ บ้าง! มันมากินแฮมเบอร์เกอร์กูหมดแล้วเนี่ย!" เสียงกระแทกแดกดันและถ้อยคำที่รุนแรง คารินพบเจอไม่บ่อยนักจึงทำให้รู้สึกสั่นกลัวคนตรงหน้าเล็กน้อย สายตาเบนไปยังถังขยะที่มีแฮมเบอร์เกอร์เหลือๆ ถูกทิ้งอยู่

    "แต่คุณก็ทิ้งไปแล้วนี่คะ ในเมื่อคุณไม่กินมันแล้วคุณหมาก็มีสิทธิ์ที่จะกินมันนะคะ" เด็กสาวรวบรวมความกล้าพูดออกไป เธอไม่คิดจะถอยแม้แต่ก้าวเดียว ไม่อย่างนั้นสุนัขตัวนี้อาจถูกทำร้ายเหมือนเมื่อครู่ก็เป็นได้ ยอมรับว่าตอนนี้เธอโกรธมาก น้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่าการห้ามปราม

    "นังเด็กนี่!!" ชายตรงหน้าง้างมือขึ้น ด้วยสัญชาตญาณเธอจึงปิดตาลงแน่นด้วยความหวาดกลัว ทว่า ร่างกายของเธอไม่ได้รับความเจ็บปวดอะไร กลับเป็นเสียงร้องของชายนุ่มที่ดังขึ้น เพราะสุนัขตัวเดิมวิ่งเข้าไปกัดขาของเขาไม่ยอมปล่อย ชายคนนั้นร้องดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะรีบกระเตงพาร่างตัวเองหนีไป

    "ค..คุณหมา! พอแล้วค่ะ!!" คารินรีบพุ่งตัวเข้าไปกอดรั้งสุนัขที่กำลังจะวิ่งตามไป  เพราะความกลัวทำให้ขาของเธอแทบไม่เหลือแรงจึงทรุดนั่งลงข้างเจ้าหมาตัวนั้นแทน เจ้าหมาเลียฝ่ามือของเธอเล็กน้อยพร้อมเสียงคำว่า 'ขอโทษที่สร้างเรื่องให้เธอ และขอบคุณ' ที่เธอได้ยินเพียงแค่คนเดียว "ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณหมา ฉันแทบไม่ได้ทำอะไรเลย คุณหมาเองก็ไม่ได้ผิดด้วย" เด็กสาวยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ แต่เธอก็ไม่ลืมกำชับให้สุนัขตัวนั้นย้ายถิ่นฐานเสีย ผู้ชายคนนั้นอาจกลับมาอีกก็เป็นได้


    [ สถานการณ์ที่ 5 - อื่นๆ ]

    ♦ "...." สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก คารินยืนนิ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีเสียงนกร้องไม่ขาดสาย ใกล้ๆ นั้นเองก็มีนักเรียนสาวสองคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า 'นกพวกนี้ร้องเพลงเพราะมากเลย เนอะ' แต่สำหรับคนที่คุยกับสัตว์ได้เช่นเธอมันไม่ใช่แบบนี้เลย... "จะบอกพวกเขาดีไหมนะ..ว่าคุณนกกำลังด่าอยู่ต่างหาก" กล่าวด้วยเสียงเบาหวิวและปิดท้ายด้วยการถอนหายใจ เรื่องแบบนี้ไม่ควรบอกไปสินะ

    ♦ "เอ่อ คือ...แผลแค่นี้เอง คุณไม่ต้องมาลำบากก็ได้นะคะ.." คารินค่อยๆ ดึงมือตัวกลับโดยที่บริเวณปลายนิ้วยังคงมีโลหิตสีแดงไหลอย่างต่อเนื่อง เพราะความไม่ระวังของเธอเองในคาบคหกรรมทำให้โดนมีดบาดระหว่างหั่นผัก แต่ครั้นจะดึงมือกลับก็ถูกอีกฝ่ายฉุดไว้และปิดพลาสเตอร์บริเวณปากแผลให้เสร็จสรรพ "ข..ขอบคุณมากนะคะ และขอโทษนะคะที่ฉันรบกวนเวลาของคุณ"

    ♦ "ม..ไม่เป็นไรหรอกค่ะเรื่องเล็กน้อยเอง" คารินรีบโบกมือปฏิเสธเมื่อหญิงชราตรงหน้ายื่นถุงที่มีแอปเปิ้ล4-5ลูกมาให้กับเธอ เพราะเธอไปช่วยนางเก็บของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น เด็กสาวเม้มริมฝีปากเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำกล่าวของหญิงชราที่ยืนยันจะให้เธอให้ได้ จึงยื่นมือออกไปรับแต่โดยดี "ขอบคุณมากนะคะคุณยาย เดินทางระวังๆ นะคะ"

    ✿ ประวัติ : หากกล่าวถึงเด็กสาวนามว่า คาริน ผู้มีอุปนิสัยร่าเริงสมวัย หลายคนอาจคิดว่าในวัยเยาว์ของเธอนั้นต้องเต็มไปด้วยเรื่องดีๆ และน่าอบอุ่นหัวใจ จึงส่งผลให้เธอเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูในปัจจุบัน แต่จะมีใครรู้เล่า ว่าอดีตของเด็กสาวนั้นไม่ได้ถูกโปรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เธอพบเจอเรื่องราวมากมายจนน่าแปลกใจ ว่าทำไมยังมีรอยยิ้มจนถึงทุกวันนี้กัน?


    ► เรื่องเล่าจากพงไพร - วันที่ตะวันดวงน้อยถือกำเนิด ◄

    ในวันที่ท้องฟ้าสดใส เสียงระฆังดังก้องกังวาลไกลราวกำลังอวยพรให้ชีวิตน้อยๆ ดวงนี้เติบโตด้วยสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เด็กหญิงเรือนผมสีเงินรีบวิ่งเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี มองร่างของมารดาและดวงใจดวงน้อยในอ้อมกอดที่ได้ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก บิดาใช้มือหนาลูบผมเด็กหญิงเบาๆ พลางเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มทุ้ม

              "คิดชื่อน้องสาวไว้หรือยัง ฟาร์"

              เรลฟาร์พยักหน้ารับ "แน่นอนค่ะคุณพ่อ! หนูจะให้น้องชื่อว่า..."

    "คาริน เมเรลวา ค่ะ!"

    คาริน เมเรลวา บุตรสาวคนที่สองแห่งตระกูล เมเรลวา ร้านขายดอกไม้และเพาะพันธุ์ดอกไม้รายใหญ่ที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีในนาม Mere's Flower ประกอบด้วยสมาชิกครอบครัวสี่คน ผู้นำของครอบครัว เฟลิกซ์ เมเรลวา ภรรยาข้างกาย เดน่า เมเรลวา บุตรสาวคนที่หนึ่ง เรลฟาร์ เมเรลวา และบุตรสาวคนที่สองที่ลืมตาดูโลกเมื่อไม่นานมานี้ คาริน เมเรลวา ผู้คนต่างแสดงความยินดีกับทารกที่เกิดใหม่ และหวังให้ทารกน้อยมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เป็นที่รักของทุกคน บริสุทธิ์ดุจแก้วใสที่ไร้ความมัวหมอง มารดาจึงมอบดอกไม้ประจำตัวให้แก่บุตรสาวเพื่อหวังให้เธอเติบโตขึ้นเหมือนดอกไม้ดอกนี้

    ดอกเดซี่

    คารินเติมโตเป็นเด็กหญิงที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงสมความปรารถนา อีกทั้งยังได้รับความรักความอบอุ่นจากครอบครัวอย่างล้นเหลือ ส่งผลให้คารินนั้นเป็นเด็กหญิงที่มีจิตใจเมตตา กรุณา สดใสร่าเริงสมวัย และเป็นที่รักของทุกคนดั่งคำอวยพร คนในครอบครัวทุกคนรักเธอมาก และไม่เคยมีปัญหากับพี่สาวที่อายุห่างกันสี่ปีเลยแม้แต่น้อย เพราะบิดามารดานั้นรักลูกเท่ากัน จึงทำให้พี่น้องยิ่งรักกันแน่นแฟ้นขึ้นไม่มีปัญหาเลือกที่รักมักที่ชังอย่างแน่นอน

              "พี่ฟาร์ โจทย์ข้อนี้ทำยังไงเหรอคะ รินไม่เข้าใจ.." เสียงเล็กใสของเด็กหญิงวัยหกปีเอ่ยถามขึ้น พลางยกมือข้างหนึ่งเกาศีรษะด้วยความงง.งวย พี่สาวที่ได้ยินดังนั้นก็รีบวางการบ้านของตนและตรงมา่วยน้องสาวในทันที

              "รินเอานิ้วขึ้นมา 7 นิ้วนะ แล้วก็นับต่อไปอีก 7"

              "แต่ว่า..นิ้วของรินมีไม่พอนะคะ" ประโยคนั้นทำเอาเรลฟาร์เกือบปล่อยหัวเราะออกมา แต่ก็เข้าใจว่าเพราะเด็กมากำให้มีความคิดเช่นนั้น

              "อะ พี่ให้ยืมนิ้วของพี่ด้วยเลย" เรลฟาร์ชูนิ้วทั้งสิบของตัวเองขึ้นและยื่นให้แก่คารินที่บัดนี้มีใบหน้าเปี่ยมสุขพร้อมลงมือนับนิ้วด้วยความตั้งใจ เรลฟาร์มักช่วยน้องสาวทำการบ้านเสมอเมื่อคารินเจอสิ่งที่ไม่เข้าใจ การเรียนของเรลฟาร์อยู่ในระดับ Top เป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของบ้านเมเรลวา และเธอก็ตั้งปณิธานเอาไว้แล้วว่า จะทำให้น้องสาวเก่งเหมือนเธอให้ได้

              "ว่าไงสาวๆ ทำอะไรกันอยู่" เสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นหูดังขึ้นพร้อมร่างสูงกำยำของบิดาจะปรากฏต่อหน้า มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยถุงผ้าที่มีขนมบรรจุอยู่ด้านใน เด็กหญิงทั้งสองรีบวิ่งไปกอดแขนบิดาคนละข้างอย่างเอาอกเอาใจ ทว่าสายตาก็ยังคงจดจ่ออยู่ที่ขนมเหมือนกันไม่มีผิด 

              "แหม สายตานี่จ้องอยู่แต่ขนมนะ" เสียงเอ่ยแซวของมารดาทำให้เด็กหญิงทั้งสองเปลี่ยนเป้าหมายและตรงเข้าไปกอดแขนของหญิงสาวด้วยท่าทางและแววตาออดอ้อนแทน

              "คุณแม่คะ ข้าวเย็นวันนี้ฟาร์ขอทานสองจานได้ไหมคะ มันน่าอร่อยมากๆ เลย"

              "ใช่ค่ะคุณแม่ รินเองก็ขอทานสองจานด้วยคนนะคะ รับรองว่ารอบเดียวไม่อ้วนแน่นอนค่ะ!" น้ำเสียงที่เด็กทั้งสองเอ่ยออกมานั้น เพียงได้ฟังก็ทำให้หัวใจคนเป็นพ่อแม่อ่อนยวบลงไปแล้ว เฟลิกซ์และเดน่าไม่อาจต้านทานแววตานั้นได้จริงๆ จึงยอมให้ลูกสาวทั้งสองทานอาหารเย็นสองจานได้หนึ่งวัน เด็กหญิงทั้งสองกระโดดกอดกันดีใจเมื่อได้รับคำอนุญาตนั้น เท่านี้ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่าคารินนั้นเติบโตมาด้วยสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและสมบูรณ์แบบจนน่าอิจฉา แต่เรื่องราวหลังจากนี้มันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น


    ► เรื่องเล่าจากพงไพร - วันที่มรสุมโถมใส่ ◄

    เวลาผ่านล่วงเลยไป 7 ปี เด็กหญิงวัย 6 ปีเติบโตขึ้นเป็นเด็กสาววัย 13 ปี เข้ารับการศึกษาระดับมัธยมต้นปีที่ 1 ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง โลกใบนี้ทุกคนมีสิ่งที่เรียกว่าพลัง ไม่ว่าจะเป็นพลังแแห่งการควบคุม พลังตามธาตุต่างๆ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ เพื่อนๆ ภายในห้องของเธอเองก็มีพลังพิเศษแตกต่างกันไปเช่นกัน แต่คารินนั้นกลับต่างออกไป พลังของเธอไม่เหมือนเพื่อนคนอื่น เพราะเด็กสาวสามารถพูดคุยกับสัตว์ได้ อาจจะดูเป็นเรื่องแปลกไปเสียหน่อย เพราะบิดาและมารดาต่างมีพลังในการควบคุมต่างๆ พี่สาวของเธอเองก็มีพลังในการควบคุมธาตุไฟ ทว่า เธอกลับได้ยีนส์ด้อยมาจากคุณปู่ ซึ่งก็คือการพูดคุยกับสัตว์ ในสายตาของคนอื่น พลังการสื่อสารกับสัตว์นั้นเรียกได้ว่ามีประโยชน์เพียงน้อยนิด หากเทียบกับพลังอื่นๆ แล้วเรียกได้ว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากคลายเหงา ประกอบกับที่คารินนั้นดูเป็นคนที่อ่อนแอและน่ารังแก จึงทำให้เธอตกเป็นเป้าหมายของเพื่อนในห้อง

    ทุกวันที่มาโรงเรียนเธอมักจะถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนห้องเดียวกันเสมอ ไม่ว่าจะนำรองเท้าไปซ่อนบ้าง นำกล่องดินสอไปทิ้งลงถังขยะ หรือแม้แต่ขีดเขียนโต๊ะด้วยถ้อยคำดูถูก เสียดสี ด่าทอต่างๆ นานามากมายก็เคยโดนมาแล้ว ทว่า คารินยังคงนิ่งงัน ไม่โต้กลับทั้งทางวาจาหรือการกระทำ ยังคงยิ้มรับไว้ราวกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตา นั่นจึงทำให้เพื่อนคนอื่นๆ ได้ใจและรังแกเธอในทุกวัน

              "คาริน พวกนั้นมันแกล้งเธอขนาดนี้แล้ว ไม่คิดจะโต้กลับบ้างเหรอ?" เพื่อนสาวสนิทเพียงคนเดียว เอลลี่ กล่าวด้วยเสียงไม่สบอารมณ์ กอดอกมองเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่เดินผ่านไปโดยที่คนในกลุ่มนั้นมองมาทางคารินและพากันหัวเราะเยาะ คารินที่ก้มหน้าอ่านหนังสือระบายยิ้มเล็กน้อยพร้อมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสาว

              "ไม่เป็นไรหรอกน่าเอลลี่ ถ้าฉันโต้กลับอาจจะทำให้เรื่องมันบานปลายก็ได้นะ"

              "แต่ถ้าเธอไม่ทำอะไรอยู่แบบนี้ พวกนั้นมันก็ยิ่งได้ใจนะ พูดแล้วฉันก็อยากจะอัดสักหมัดสองหมัด!" ยามที่อารมณ์ของเอลลี่พลุ่งพล่านจะทำให้ร่างกายของเธอปล่อยพลังไฟฟ้าออกมาโดยอัตโนมัติ คารินปิดหนังสือพร้อมใช้มันแตะไหล่เพื่อนสาวเบาๆ เพื่อหวังให้อีกฝ่ายสงบจิตใจลง

              "อย่าเลยน่า เดี๋ยวพวกนั้นก็คงหยุดแกล้งฉันไปเอง ไม่ต้องกังวลหรอกนะ" เพราะความมองโลกในแง่ดีจึงทำให้คารินคิดเช่นนั้นเรื่อยมา ว่าอีกเดี๋ยวทุกคนภายในห้องคงหยุดรังแกเธอและจะกลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทว่า ความปรารถนาของเธอนั้น ยากที่จะเป็นความจริง

              "คาริน เย็นนี้หลังเลิกเรียนไปหาฉันที่ห้องเก็บของหน่อยสิ ฉันมีเรื่องอยากขอโทษเธอแค่สองต่อสองน่ะ ไม่ต้องพาเอลลี่ไปด้วยหรอกนะ"

              "อื้อ! ได้สิ" คารินตอบรับเสียงใสเปี่ยมไปด้วยความดีใจเมื่อเพื่อนสาวในห้องคนหนึ่งเอ่ยชวนเธอเช่นนั้น คารินยิ้มให้อีกฝ่ายบางๆ พร้อมเดินไปหาเอลลี่เพื่อไปทานข้าวด้วยกัน โดยที่ไม่ทันสังเกตเลยว่า ใบหน้าของเพื่อนคนนั้นกำลังมีรอยยิ้มบิดเบี้ยวจนน่าฉงนใจ

    เย็นวันนั้น คารินมาตามนัดของเพื่อนสาวภายในห้องที่คุยกันเมื่อตอนกลางวัน เธอเดินมาถึงห้องเก็บของของโรงเรียนโดยไม่ได้บอกเอลลี่แม้แต่น้อย ดวงตากวาดมองรอบบริเวณที่เงียบสงัด ไม่มีเสียงพูดคุยหรือเสียงใดเลย

              "คุณลูน่า อยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ?" เด็กสาวตัดสินใจเอ่ยถามด้วยเสียงที่ดังมากพอเพื่อหวังให้อีกฝ่ายได้ยิน เท้าก้าวเข้าไปยังห้องเก็บของเพราะคิดว่าลูน่าจะอยู่ด้านใน ทันใดนั้น ภาพตรงหน้าของเธอราวกับถูกตัด ร่างของเด็กสาวถูกผลักเข้าไปในตู้เหล็กเก่าๆ ที่ว่างเปล่าตู้หนึ่งพร้อมประตูตู้ที่ถูกปิดลงทันทีตามมาด้วยเสียงล็อกแม่กุญแจ คารินตื่นตกใจรีบใช้มือทุบประตูเหล็กหวังให้มันเปิด ด้านนอกเองก็มีเสียงหัวเราะแห่งความสนุกสนานจำนวนหลายคนดังก้องไปรอบบริเวณ

              "ทำตัวเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ไปได้นังคาริน! คิดเหรอ? ว่าพวกฉันจะขอโทษแกแล้วก็ไปเป็นเพื่อนแกน่ะ!" เสียงลูน่าดังขึ้น

              "ทำตัวแอ๊บแบ๊วใสๆ เห็นแล้วรำคาญลูกตา!" เสียงเพื่อนของลูน่าเอ่ยสมทบมาแทบจะติดๆ กัน คารินทำเป็นไม่ได้ยินประโยคนั้นและยังคงทุบตู้ต่อไป

              "ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ! ถ้าฉันทำอะไรผิด..ฉันขอโทษ!"

              "อะไร? แกก็มีพลังคุยกับสัตว์อะไรพวกนั้นนี่ พลังที่ไม่มีประโยชน์อะไรจนจะถูกเรียกว่าต่ำต้อยก็ไม่ผิด ขอให้พวกมันพาออกมาเองสิ!" ลูน่ากล่าวด้วยประโยคดูถูกดูแคลนและระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ เสียงฝีเท้าและเสียงหัวเราะเริ่มห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลง มีเพียงเสียงทุบประตูและเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของคารินเท่านั้น

              "ช่วยด้วย..ฮึก! ที่นี่มันมืด...คารินกลัว พี่คะ..ช่วยหนูด้วย ฮือ.." ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่เธอร้องขอให้คนช่วยอยู่แบบนี้ อากาศภายในตู้เริ่มหมดไปทุกชั่วขณะ เสียงของเด็กสาวก็เบาลงตามลำดับ

              [ "เด็กน้อย ทำไมเธอถึงเข้าไปอยู่ในนั้นได้ล่ะ" ] เสียงนุ่มคล้ายหญิงสาวดังแว่วเข้ามาในหู คารินปาดน้ำตาและบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ เมื่อตั้งสติก็ได้ยินเสียง ฟ่อ อยู่ด้านนอกของตู้เหล็ก ประโยคเมื่อครู่คงเป็นเสียงของงูที่คุยกับเธอ

              "คุณงูคะ ฉัน..ฮึก! ฉันถูกจับขังไว้ในนี้ ช่วยฉัน..ด้วย ฮึก..ฮือ.." แม้พยายามสะกดกลั้นน้ำตาแต่เพราะความกลัวถึงขีดสุดทำให้เธอต้องปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เจ้างูตัวสีดำได้ฟังดังนั้นจึงเกิดความสงสารเวทนา ปลายหางเรียวชูขึ้นและเริ่มทำการไขแม่กุญแจนั้นอย่างชำนาญ ไม่นานแม่กุญแจก็เปิดออกพร้อมร่างของคารินที่ร่วงออกมาจากตู้ นั่งกองอยู่กับพื้นเหมือนคนไม่มีแรง ใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา ดวงตาแดงก่ำเกิดจากการร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เจ้างูสีดำใช้ปลายหางลูบหัวคารินเบาๆ เพื่อปลอบประโลม

              [ "เป็นยังไงบ้าง อาการดีขึ้นหรือยัง?" ]

              "ขอบคุณคุณงูมากเลยนะคะที่มาช่วยฉันไว้.." คารินยกมือขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตา หยิบกระจกจิ๋วขึ้นมาส่องใบหน้าตัวเอง ก่อนที่จะพยายามยกยิ้มขึ้นเพื่อฝึกตัวเองให้ชินกับรอยยิ้มก่อนกลับบ้านไปหาครอบครัว เจ้างูมองคารินด้วยแววตาเหลือเชื่อเล็กน้อย ไม่คิดว่าเด็กคนนี้ต้องมายิ้มกับกระจกเพื่อไม่ให้คนอื่นคิดมากอะไร "ถ้าพบกันครั้งหน้า คารินจะตอบแทนคุณงูอย่างแน่นอนค่ะ! ไว้พบกันใหม่นะคะ!"

              [ "..." ] เจ้างูมองเด็กสาวที่กล่าวเสียงใสพลางวิ่งออกไปราวกับเรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องโกหก

    อาทิตย์ดวงน้อยที่คอยฉายแสง แม้พบเจอเรื่องราวเลวร้ายมามากเท่าใด สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงยิ้มรับ และแสดงออกมาต่อหน้าทุกคนว่าเธอไม่เป็นอะไร แม้ขาทั้งสองที่ยืนหยัดอยู่นั้นกำลังอ่อนล้าลงทุกวันก็ตาม


    ► เรื่องเล่าจากพงไพร - วันที่ท้องฟ้าแจ่มใส สายลมพัดผ่าน ◄

    หลังจากผ่านเหตุการณ์ในวันนั้น ไม่นานก็มีข่าวว่าเด็กกลุ่มนั้นถูกงูทำร้าย ไม่ว่าจะเป็นการบุกรุกเข้าห้องนอนบ้าง อยู่ในห้องน้ำบ้าง หรือเจอตามทางบ้าง ทุกคนล้วนมีชะตากรรมเดียวกันคือถูกงูฉก ยังโชคดีที่ไม่มีพิษทำให้อาการของกลุ่มลูน่านั้นไม่ร้ายแรงมากนัก คารินที่ได้รู้ข่าวเดินกลับไปยังห้องเก็บของของโรงเรียนอีกครั้ง พร้อมนั่งลงเพื่อหวังว่าจะพบงูตัวนั้นอีกสักครั้ง

              [ "แปลก ที่เห็นเธออยู่ที่นี่" ] เสียงนุ่มคล้ายหญิงสาวที่คุ้นหูดังขึ้น เมื่อหันมองก็ทำให้คารินมั่นใจว่าใช่งูตัวเดียวกันอย่างแน่นอน

              "คุณงู...ทำเพื่อฉันเหรอคะ"?

              [ "ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วน พวกมันบุกรุกพื้นที่ของฉัน จึงต้องจัดการสักหน่อย" ]

              "ขอบคุณมากนะคะคุณงู ฉันติดหนี้คุณสองรอบแล้ว ไม่รู้ว่า.."

              [ "ถ้าเรื่องทดแทนบุญคุณนั่นล่ะก็ เธอทำตามคำที่ฉันขอก็พอ" ] เจ้างูเอ่ยแทรกขึ้น คารินจึงหันมองด้วยความสงสัย [ "หลังจากนี้ จงเชื่อมั่นในพลังพิเศษที่เธอมี แม้มันจะเป็นเพียงการสื่อสารกับสัตว์ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นพลังที่ต่ำต้อย หากเธอเอ่ยปากขอร้องให้ทำสิ่งใด สัตว์ตัวนั้นจะปฏิเสธคำขอเธอได้ยาก "]

    เป็นครั้งแรกที่คารินได้ฟังถึงพลังพิเศษของตัวเอง เธอคิดมาโดยตลอดว่าพลังนี้ทำได้เพียงคุยกับสัตว์เท่านั้น แต่ยังสามารถขอร้องให้สัตว์ทำสิ่งต่างๆ ให้เธอได้อีกด้วย? คารินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนที่จะระบายยิ้มกว้างไปทางเจ้างูสีดำ

              "ฉันจะทำตามคำขอของคุณงูค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ"

    จากวันนั้น ก็ผ่านล่วงเลยมาแล้วสองปี คารินเรียนจบในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และตัดสินใจเข้ารับการศึกษา ณ Fantasy School บิดาและมารดามั่นใจในสถาบันการศึกษาแห่งนี้ เธอละทิ้งซึ่งอดีตที่เคยถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นานา เป็นคารินที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอย่างที่ใครหลายคนรู้จักดี แม้จะแอบเสียดายที่เอลลี่ไม่สามารถมาเรียนกับเธอได้ เพราะอีกฝ่ายก็เลือกที่จะทำตามฝันของตัวเองอย่างการเปิดร้านอาหารจึงเลือกเดินทางสายอาหารอย่างเต็มตัว 

              [ "ตื่นเต้นเหรอ?" ]
              "อ๊ะ คุณนกที่เจอกันเมื่อเช้า" คารินเงยหน้าตามเสียงเล็ก พบกับนกสีฟ้าตัวหนึ่งค่อยๆ บินลงมาเกาะที่ไหล่ของเธอ
              [ "มาสถานที่ใหม่ๆ เป็นครั้งแรก ตื่นเต้นก็ไม่แปลกหรอก พยายามเข้านะ" ]
              "ขอบคุณมากนะคะคุณนก ฉันจะพยายามค่ะ!" น้ำเสียงของเด็กสาวเปี่ยมไปด้วยพลังบวก มองโรงเรียนด้านหน้าที่เธอต้องเข้ารับการศึกษา และหวังว่ามันจะเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีของเธอ
    ► เรื่องเล่าจากพงไพร - คาริน เมเรลวา ◄ 

    ✿ ชอบ : ♥ สัตว์ ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดเธอก็ชอบทั้งหมด เพราะตั้งแต่เด็กแล้วเธอมักไม่มีเพื่อน จะมีก็แต่สัตว์ต่างๆ ที่คอยคุยด้วยและอยู่เป็นเพื่อนเธอเสมอ เรียกได้ว่าเพราะพลังพิเศษของเธอทำให้มีเพื่อนสัตว์มากมายขนาดนี้

                     ♥ ดอกไม้ เธอชอบกลิ่นหอมของมันที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายแบบธรรมชาติ อีกทั้งยังมีสีสันสดใส ช่วยทำให้คารินสงบจิตใจได้ไม่ยากยามจ้องมอง

                     ♥ การผูกมิตร เพราะเธอชอบการเข้าสังคมแม้ว่าจะมีอดีตที่ไม่ดีเท่าไรนัก อาจจะเป็นเพราะไม่ชอบความเงียบเหงา เธอจึงรักที่จะหาเพื่อนใหม่ๆ และพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารกันอยู่เสมอ

                     ♥ อ่านหนังสือ เพราะนอกจากจะทำให้จิตใจสงบ มีสมาธิ ยังทำให้เธอมีความรู้มากขึ้นโดยไม่ต้องรออาจารย์สอนภายในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว แต่ในบางครั้งอาจอ่านหนังสือจนลืมสนใจคนรอบข้างไปบ้าง

                     ♥ การช่วยเหลือคนอื่น หากเธอสามารถช่วยเหลือใครได้จะทำให้เธอมีความสุขมาก เพราะอย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าเธอยังพอมีประโยชน์กับคนอื่นๆ อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

    ไม่ชอบ : ♣ ของหวาน เพราะมีครั้งหนึ่งที่เธอทานของหวานมากเกินไปทำให้ฟันผุ ยังดีที่เป็นฟันน้ำนมทำให้ฟันแท้ที่งอกออกมามีสุขภาพดี เธอปณิธานกับตัวเองเอาไว้แล้วว่าจะทานของหวานให้น้อยลงหรืองดไปเลย จึงน้อยครั้งนักที่จะเห็นเธอทานของหวาน พาลทำให้รู้สึกไม่ชอบไปเลยก็มี

                        ♣ เสียงตะโกนหรือขู่กรรโชก ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบเสียงดังที่เกิดจากการคุยกันของคนหมู่มาก แต่เธอไม่ชอบเสียงตะโกนกระแทกแดกดัน และการขู่กรรโชก เพราะมันเปรียบเสมือนการไม่ให้เกียรติ์ซึ่งกันและกัน

                        ♣ เหงื่อ เพราะหากเหงื่อออกจะทำให้รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว และทำให้สมาธิในการอ่านหนังสือของเธอลดลงไปมาก

    ✿ พลัง : พูดคุยกับสัตว์ พลังพิเศษของเธอนั้นไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอะไรมากนัก ทำได้เพียงพูดคุยกับเหล่าสัตว์น้อยใหญ่เท่านั้น ทำให้ดูเป็นพลังที่ไม่มีพิษไม่มีภัย และไม่มีประโยชน์ในสายตาของผู้อื่น แต่หากเธอเอ่ยปากขอร้องให้สัตว์ทำสิ่งใดให้แล้วล่ะก็ พลังนี้อาจจะน่ากลัวอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เพราะสัตว์เหล่านั้นเมื่อถูกเอ่ยขอร้องแล้ว ยากนักที่จะปฏิเสธเธอได้

    ✿ โซโล่ กิลด์ หรือสมาพันธ์ : กิลด์

    ✿ เพิ่มเติม : • คารินสนใจในความหมายของดอกไม้ชนิดต่างๆ เพราะฉะนั้นหนังสือที่เธออ่านส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องของดอกไม้และสัตว์ ด้วยความที่เธอนั้นมักพกหนังสือติดตัวตลอดเวลาทำให้ติดภาพลักษณ์เด็กเรียนไปบ้าง ( ความจริงแล้วหัวคิดของเธอก็อยู่ในขั้นธรรมดาทั่วไป )

                         • คารินมักถูกเรียกด้วยฉายา Disney โดยฉายานี้มาจากคำเสียดสีของเพื่อนสมัยเยาว์วัย เพราะเธอสามารถคุยกับสัตว์ได้ราวกับเจ้าหญิงในดิสนีย์ ทำให้เธอถูกเรียกด้วยฉายาเสียดสีแบบนั้นเรื่อยมาก ( แม้จะรู้แต่คารินไม่ได้ติดใจเอาความอะไร )

                         • คารินจะยอมแสดงทุกอารมณ์ของตนเองออกมาเมื่ออยู่ต่อหน้าสัตว์เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เหงา เศร้า โกรธ ราวกับเป็นการระบายที่เธอไม่สามารถทำได้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน เหล่าสัตว์เองก็เข้าใจเธอเช่นกันว่าต้องแบกรับอะไรไว้บ้าง จึงทำเพียงรับฟังและปลอบประโลมเมื่อมีโอกาสเท่านั้น

                         • Support Character [ Click ]



    SNAP
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×