ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานอียิปต์ โอม...

    ลำดับตอนที่ #19 : พีระมิดในอียิปต์

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.99K
      1
      10 ธ.ค. 49

    พีระมิดในอียิปต์
    พีระมิดในประเทศอียิปต์เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างขึ้นมา แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางอารยธรรมของอียิปต์โบราณ

    พีระมิดอียิปต์

    พีระมิด (Pyramid) ใน ประเทศอียิปต์ (Egypt) มีมากมายหลายแห่งด้วยกันแต่ที่มีชื่อเสียงที่สุด ได้แก่หมู่พีระมิดแห่ง กิซ่า (Giza) ซึ่งประกอบไปด้วย พีระมิดคีออปส์ (Cheops) คีเฟรน (Chephren) และแมนคีเร (Menkaure) พีระมิดทั้งสามสร้างเรียงต่อกันเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกของกรุงไคโร เมืองหลวงของประเทศอียิปต์ปัจจุบัน ด้วยโครงสร้างรูปทรงเรขาคณิตเฉพาะตัว ทำให้สามารถสังเกตเห็นได้ในระยะไกล รวมทั้งจาก อวกาศ

    พีระมิดคีออปส์ หรือที่นิยมเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "มหาพีระมิด" (the Great Pyramid) เป็นพีระมิดที่ใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุดในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกิซ่า เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัยฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่งราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอาณาจักรอียิปต์โบราณในยุคสัมฤทธิ์ (Bronze Age) เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาลหรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว เพื่อเป็นที่เก็บรักษาพระศพตามธรรมเนียมความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น มหาพีระมิดแห่งคีออปส์ได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งใน เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียวในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

    ยอดพีระมิดคีออปส์เมื่อสร้างเสร็จสูง 147 เมตร (481 ฟุต หรือประมาณเท่ากับอาคารสูง 40 ชั้น เมื่อคิดความสูงที่ชั้นละ 3.6 เมตร) โดยที่ปัจจุบันส่วนยอดสึกกร่อนหายไปประมาณ 10 เมตร ยังคงเหลือความสูงประมาณ 137 เมตร นับจากก่อสร้างแล้วเสร็จพีระมิดคีออปส์นับเป็นสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดในโลก เป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานถึง 43 ศตวรรษ จนกระทั่งมีการก่อสร้างวิหาร Lincoln Cathedral ที่ประเทศอังกฤษซึ่งมียอดวิหารสูง 160 เมตรในปี ค.ศ. 1300 ต่อมายอดวิหารนี้ถูกพายุทำลายในปี ค.ศ. 1549 แต่ในขณะนั้นส่วนยอดของพีรามิดคีออปส์ก็สึกกร่อนลงจนมีความสูงไม่ถึง 140 เมตร ทำให้ วิหาร St. Olav's Church ในแอสโทเนีย (Estonia) ซึ่งเพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1519 กลายเป็นสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดในโลกด้วยความสูงของยอดวิหาร 159 เมตร

    รูปทรงของพีระมิดมีลักษณะเฉพาะตัว ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ประกอบด้วยด้านสามเหลี่ยม 4 ด้านยอดสามเหลี่ยมแต่ละด้านเอียงเข้าบรรจบกันเป็นยอดแหลม ฐานทั้ง 4 ด้านของพีระมิดคีออปส์กว้างด้านละประมาณ 230 เมตร (756 ฟุต กว้างกว่า สนามฟุตบอลต่อกัน 2 สนาม) คิดเป็นพื้นที่ฐานประมาณ 53,000 ตารางเมตรหรือประมาณ 33 ไร่ มีข้อสังเกตว่าแต่ละด้านของฐานพีระมิดมีความกว้างคลาดเคลื่อนจากกันเพียงไม่เกิน 8 นิ้ว หรือคิดเป็น 0.09% ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดงานก่อสร้างและระดับเทคโนโลยีในขณะนั้นฐานล่างสุดของพีระมิดก่อขึ้นบนชั้นหินแข็งซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ชั้นทรายเพื่อป้องกันปัญหาการทรุดตัวของชั้นทรายซึ่งจะมีผลกับความคงทนแข็งแรงของโครงสร้างพีระมิด ผิวหน้าพีระมิดแต่ละด้านทำมุมเอียงประมาณ 52 องศา ซึ่งมีส่วนทำให้พีระมิดคงทนต่อการสึกกร่อนอันเนื่องมาจากพายุทราย สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือด้านทั้ง 4 ของพีระมิดหันออกในแนวทิศ เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ถูกต้องแม่นยำตามทิศจริงไม่ใช่ตามทิศเหนือแม่เหล็กจึงไม่ใช่การกำหนดทิศด้วยเข็มทิศ และแสดงถึงความสามารถในการประยุกต์ความรู้ ทางดาราศาสตร์ของชาวอียิปต์โบราณ มาใช้กำหนดทิศทางได้เป็นอย่างดี

    ตามที่มีข้อมูลปรากฏในแหล่งต่างๆ อ้างถึงจำนวนหินที่นำมาก่อสร้างพีระมิดคีออปส์ต่างๆ กันไปตั้งแต่ 2 ล้านถึง 2.6 ล้านก้อน ประมาณน้ำหนักเฉลี่ยก้อนละ 2.5 เมตริกตัน โดยจัดเรียงซ้อนกันขึ้นไปประมาณ 200 ชั้น คิดเป็นน้ำหนักรวมกว่า 6 ล้านเมตริกตัน [1] เปรียบเทียบกับอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กอย่าง ตึกเอ็มไพร์สเตท (Empire State Building) อดีตตึกระฟ้าสูงที่สุดในโลกซึ่งมีน้ำหนักรวม 365,000 เมตริกตัน จะพบว่า พีระมิดคีออปส์ มีน้ำหนักมากกว่า ตึกเอ็มไพร์สเตท ถึงประมาณ 16 เท่าครึ่ง และเมื่อเปรียบเทียบกับ อาคารไทเป 101 (Taipei 101) อาคารสูงที่สุดในโลก ณ ปี ค.ศ. 2006 ซึ่งมีน้ำหนักรวม 700,000 เมตริกตัน พีระมิดคีออปส์ ยังคงมีน้ำหนักมากกว่า อาคารไทเป 101 ถึง 8 เท่าครึ่ง

    การก่อสร้างพีระมิด

    วิธีการยกแท่งหินขนาดใหญ่หนักหลายสิบตัน เพื่อประกอบขึ้นเป็นพีระมิดอย่างแม่นยำยังเป็นปริศนา โครงสร้างเหนือห้องเก็บโลงพระศพ ในพีระมิดคีออปส์ ประกอบขึ้นด้วย แท่งหินแกรนิตสีแดงขนาดใหญ่หลายสิบแท่งซ้อนทับกัน 5 ชั้น แต่ละแท่งมีน้ำหนัก 50 ถึง 70 เมตริกตัน แท่งหินขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่พบในหมู่พีระมิดกิซ่าอยู่ภายในวิหารข้างพีระมิดเมนคีเรเป็นแท่งหินปูนที่มีน้ำหนักมากถึง 200 เมตริกตัน เป็นน้ำหนักประมาณเท่ากับชิ้นส่วนหนักที่สุดภายในเรือไททานิค ซึ่งไม่มีปั้นจั่นใดๆ ในอู่ต่อเรือขณะนั้นสามารถยกได้ จนผู้สร้างเรือต้องว่าจ้างทีมงาน ชาวเยอรมัน มาสร้างปั้นจั่นยักษ์สำหรับยกชิ้นส่วนดังกล่าว

    เฮโรโดตุส (Herodotus) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ซึ่งเดินทางไปอียิปต์ช่วง 450 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 2 พันปีเศษหลังจากพีระมิดสร้างเสร็จ ได้บันทึกคำบอกเล่าของนักบวชชาวอียิปต์โบราณไว้ว่า ในการสร้างพีระมิดชาวอียิปต์โบราณมีอุปกรณ์บางอย่างทำด้วยไม้ใช้สำหรับยกหินขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามไม่พบหลักฐานอื่นๆ ที่อ้างอิงถึงเครื่องมือนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด หรือบันทึกโบราณ เฮโรโดตัสยังได้บันทึกไว้ว่าการก่อสร้างพีระมิดทำเฉพาะช่วงฤดูน้ำหลากซึ่งประชากรว่างจากการเพาะปลูก นั่นคือ ประมาณปีละ 3 - 4 เดือน และก่อสร้างอยู่ 20 ปี จึงแล้วเสร็จ [2]

    เนื่องจากเทคโนโลยีในขณะนั้นยังไม่มีระบบปั้นจั่นไม่รู้จักแม้กระทั่งล้อเลื่อน และไม่มีหลักฐานการใช้พาหนะที่ลากด้วยแรงสัตว์ การเคลื่อนย้ายหินจึงใช้แรงงานคนลากเข็นไปบนแคร่ไม้ ซึ่งรองด้วยท่อนซุงที่เหลาเป็นแท่งกลมเรียงต่อกันเป็นแคร่เลื่อน พอขยับก็ย้ายซุงด้านหลังมาต่อข้างหน้าไปเรื่อยๆ โดยมีการราดน้ำเพื่อช่วยลดแรงเสียดทาน การเคลื่อนย้ายวัตถุน้ำหนักมากๆ ด้วยวิธีนี้มีหลักฐานเป็นภาพแกะสลักนูนต่ำบนฝาผนังหิน ซึ่งแสดงการเคลื่อนย้ายเทวรูปหินขนาดใหญ่ด้วยแรงคนนับร้อย

    วิธีการลำเลียงหินขึ้นสู่บริเวณก่อสร้างในระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างการก่อสร้างคืออีกส่วนหนึ่งที่เป็นปริศนา แนวคิดแรกเริ่มเชื่อกันว่าชาวอียิปต์โบราณใช้วิธีสร้างทางลาดบริเวณด้านข้างของพีระมิด และชักลากหินขึ้นตามทางลาดที่ก่อสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามความสูงของระดับการก่อสร้างจนถึงจุดสูงสุดยอด และเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จจึงทำการรื้อทางลาดดังกล่าวออกคงเหลือไว้แต่ พีระมิด ที่สร้างเสร็จ ถ้าแนวคิดนี้เป็นจริงสิ่งก่อสร้างใหญ่ที่สุดในโลกยุคนั้นอาจไม่ใช่พีระมิด แต่อาจเป็นทางลาดสูงเท่าตึก 40 ชั้นที่ใช้ก่อสร้างพีระมิดแทน มีแนวคิดอื่นๆ เสนอว่าทางลาดดังกล่าวอาจไม่ได้สร้างอยู่ด้านใดด้านหนึ่งข้างพีระมิด แต่อาจสร้างเป็นทางวนรอบพีระมิดแทน หรืออาจบางทีแต่ละชั้นของพีระมิดนั่นเองคือทางที่ใช้ชักลากหินขึ้นสู่ชั้นถัดไป ผ่านทางลาดขนาดเล็กที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างแต่ละชั้น

    แม้จะยังไม่มีข้อสรุปถึงวิธีการลำเลียงหินขึ้นสู่บริเวณก่อสร้าง แต่การประกอบหินแต่ละก้อนสามารถสรุปได้ว่าผ่านการตัดแต่งแบบก้อนต่อก้อน เนื่องจากแต่ละก้อนต้องมีขนาดและแง่มุมพอดีกับหินก้อนอื่นๆที่จัดเรียงไว้ก่อนหน้า เพราะในการก่อสร้างพีระมิดไม่มีการใช้วัสดุเชื่อมประสาน หินแต่ละก้อนวางซ้อนกันอยู่ได้ด้วยน้ำหนักกดทับด้านบน และระนาบที่เท่ากันในแต่ละชั้นจึงต้องตัดแต่งอย่างปราณีตแบบก้อนต่อก้อนก่อนประกอบเข้าสู่ตำแหน่ง

    ด้วยเครื่องมือง่ายๆ อย่างไม้วัดระดับแนวราบ และสายดิ่งที่ใช้ตรวจสอบผิวหน้าหินในแนวตั้ง โดยใช้ลิ่มหินควอตซ์ (Quartz)ซึ่งเป็นหินอัคนีความแข็งสูงในการขัดแต่งผิวหน้าของหินแต่ละด้านให้เรียบ ช่างหินอียิปต์โบราณสามารถสร้างผลงานดีเยี่ยม จนผิวสัมผัสระหว่างหินแต่ละก้อนห่างกันเพียง 0.02 นิ้วเท่านั้น

    วัตถุดิบและแรงงานในการสร้างพีระมิด

    พีระมิดแห่งกิซ่า ในสมัย คริสต์ศตวรรษที่ 19

    พีระมิดแห่งกิซ่า ในสมัย คริสต์ศตวรรษที่ 19


    แหล่งหินที่นำมาสร้างพีระมิด ไม่อยู่ในบริเวณที่ก่อสร้างแต่ต้องขนส่งจากเหมืองหินที่อยู่ห่างไกลนับร้อยไมล์ มาตามแม่น้ำไนล์ แล้วขนส่งทางบกต่อไปอีกจนถึงบริเวณก่อสร้างซึ่งห่างจากริมฝั่งแม่น้ำไนล์ประมาณ 22 กิโลเมตร หินปูนซึ่งเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้างส่วนใหญ่อยู่ทางใต้ห่างไปกว่า 200 กิโลเมตร เรียงรายตามแนวฝั่งแม่น้ำไนล์ เหมืองหินปูนใกล้ที่สุดอยู่บริเวณเมืองตูราห่างจากกรุงไคโรไปทางใต้ประมาณ 50 กิโลเมตร ส่วนหินแกรนิตที่ใช้สร้างห้องเก็บพระศพ และโลงพระศพ อยู่บริเวณตอนเหนือของเขื่อนอัสวานในปัจจุบัน ซึ่งห่างจากบริเวณก่อสร้างไปทางใต้กว่า 900 กิโลเมตร การขนย้ายหินจากระยะทางไกลขนาดนั้นต้องใช้พาหนะขนาดใหญ่ล่องตามแม่น้ำไนล์เป็นแรมเดือน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับประเทศไทยจะประมาณเท่ากับการล่องเรือจากเชียงรายลงมาถึงกรุงเทพฯ

    การลำเลียงหินขึ้นลงจะใช้แคร่เลื่อนไม้และอาจใช้จังหวะที่มีน้ำท่วมเข้าถึงบริเวณเหมืองและพื้นที่ก่อสร้าง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการขนย้ายหิน มีข้อสังเกตว่าพาหนะที่ใช้บรรทุกหินจะต้องสามารถรับน้ำหนักได้มากถึงหลายสิบตัน จึงจะสามารถขนแท่งหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่ใช้ในการก่อสร้าง พาหนะดังกล่าวอาจมีลักษณะคล้ายเรือใหญ่ ซึ่งมีคานให้เรือขนาดเล็กกว่าหลายๆ ลำช่วยกันพยุงรับน้ำหนักอยู่ด้านล่าง เมื่อเปรียบเทียบกับเรือขุดขนาดใหญ่ของไทยขนาด 45-55 ฝีพายซึ่งยาวร่วม 30 เมตร ยังสามารถรับน้ำหนักได้ไม่เกิน 10 เมตริกตันต่อลำ พาหนะที่ชาวอียิปต์โบราณใช้ขนส่งหินหนักถึง 70 เมตริกตันจะต้องรับน้ำหนักได้มากกว่าเรือขุดขนาดใหญ่ของไทยหลายเท่า จากการขุดพบเรือโบราณขนาดใหญ่สร้างด้วยไม้ในบริเวณเดียวกับ พีระมิดคีออปส์ เป็นหลักฐานสำคัญว่าชาวอียิปต์โบราณมีความสามารถในการต่อเรือขนาดใหญ่ได้ดี

    ควรทราบอีกว่า ณ เวลานั้นโลกยังไม่เข้าสู่ ยุคเหล็ก โดยที่เทคโนโลยีการตีเหล็กยังไม่ถูกพัฒนาขึ้นจนกว่าอีก 1 พันปีต่อมา เครื่องมือโลหะที่มีใช้ในสมัยนั้นทำด้วย ทองแดง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายหากต้องการตัดหินปูนและหินแกรนิตให้ได้ขนาดและรูปทรงตามต้องการ ผู้ศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยียุคโบราณเชื่อว่า ช่างอียิปต์โบราณใช้ แท่งโลหะพันด้วยเชือก เพื่อหมุนปั่นแท่งโลหะเจาะรูลึกในก้อนหินโดยมีการโรยผงทรายลงในรูที่เจาะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือ

    หากประมาณจำนวนแรงงานที่ใช้ก่อสร้างพีระมิด จากจำนวนหินที่ใช้ก่อสร้าง 2,500,000 ก้อนหารด้วยระยะเวลาก่อสร้าง ปีละ 3-4 เดือนในฤดูน้ำหลาก รวม 20 ปี จะพบว่าต้องก่อสร้างให้ได้ประมาณ 1,000 ถึง 1,400 ก้อนต่อวัน หากต้องสกัดหินจากเหมืองหินให้ได้ขั้นต่ำวันละ 1,000 ก้อน และต้องมีแรงงานขนหินออกจากเหมืองมายังแม่น้ำ แรงงานสำหรับควบคุมการขนส่งมายังพื้นที่ก่อสร้าง และแรงงานสำหรับยกหินขึ้นฝั่งที่ปลายทาง ถ้าทั้งหมดนี้ใช้คนทั้งสิ้นประมาณ 10 คนต่อหิน 1 ก้อนจะต้องมีแรงงานในส่วนนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000 คน [3]

    นอกจากนี้ในบริเวณก่อสร้างยังต้องมีแรงงานสำหรับขนย้ายหินขึ้นสู่บริเวณก่อสร้างบนพีระมิด ผู้เขียนคิดเองว่าน่าจะเป็นแรงงานคนละชุด กับที่ขนย้ายหินมาจากแม่น้ำ และน่าจะต้องใช้คนมากว่า 8 คนต่อหิน 1 ก้อนเนื่องจากเป็นการขนย้ายหินขึ้นสู่ที่สูง ยิ่งการก่อสร้างดำเนินไประดับของพื้นที่ก่อสร้างก็จะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และยังไม่รวมช่างฝีมือในบริเวณก่อสร้างแต่ละชั้นซึ่งต้องตัดแต่งหินให้ได้ระดับแง่มุมที่ถูกต้องแบบก้อนต่อก้อน เชื่อว่าแรงงานขนย้ายหินรวมกับแรงงานประกอบหิน น่าจะไม่ต่ำกว่า 3-4 หมื่นคนในระหว่างการก่อสร้างแต่ละปี และเป็นไปได้ว่าแรงงานที่หมุนเวียนกันมาก่อสร้างตลอด 20 ปีจะมีถึงกว่า 100,000 คน

    มีเรื่องน่าสังเกตอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับความเชื่อแต่เดิมที่ว่า พีระมิด ก่อสร้างขึ้นด้วยแรงงานทาส โดยมีการบังคับกดขี่ทาสอย่างทารุณ ทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการในวงการบันเทิง เมื่อหลักฐานที่พบในเวลาต่อมาบ่งชี้ว่า แรงงานที่มาก่อสร้างพีระมิดเป็นชาวอียิปต์ที่ทำงานด้วยความสมัครใจในระหว่างว่างเว้นจากงานเกษตรกรรม โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นอาหาร และในกรณีที่ทำงานได้มากจะมีการจดบัญชีเพื่อจ่ายค่าตอบแทนให้ในรูปแบบอื่นๆ อีกด้วย ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งจากหลักฐานที่พบใหม่ๆ คือแรงงานที่มาก่อสร้างมีการจัดตั้งกันแบ่งเป็นหมวดหมู่ตามลำดับชั้น และมีการกำหนดหน้าที่ให้กับแต่ละกลุ่ม คล้ายกับโครงงานก่อสร้างขนาดใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งสำหรับเมื่อ 4,600 ปีก่อนนับว่าชาวอียิปต์มีความล้ำหน้าอารยธรรมอื่นๆ ในยุคเดียวกันมาก


    พีระมิดในยุคต่อมา

    พีระมิดคีเฟรน เมื่อ ฟาโรห์คีเฟรนผู้เป็นโอรสของ ฟาโรห์คีออปส์ ขึ้นปกครองอียิปต์ ได้สร้าง พีระมิดคีเฟรน ขึ้นเคียงข้าง พีระมิดคีออปส์ และสำเร็จด้วยขนาด ใกล้เคียงกันที่ความสูง 144 เมตร (ปัจจุบันคงเหลือความสูง 136 เมตร) ฐานแต่ละด้านกว้างประมาณ 215 เมตร และเอียงทำมุมประมาณ 53 องศา เนื่องจากก่อสร้างบนพื้นหินที่สูงกว่าและตั้งอยู่เป็นองค์กลางของพีระมิดทั้ง 3 แห่งกิซ่า ทำให้เมื่อมองด้วยตาพีระมิดคีเฟรนจะมีขนาดใหญ่พีระมิดคีออปส์ทั้งที่ในความเป็นจริงมีความสูงน้อยกว่าและมีขนาดฐานแคบกว่า ลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่งของพีระมิดคีเฟรนคือส่วนยอดของพีระมิดยังคงมีชั้นหินปูนขัดมัน ที่ชาวอียิปต์โบราณก่อสร้างปิดเป็นผิวชั้นนอกของพีระมิดหลงเหลืออยู่ หินปูนขัดมันที่เป็นผิวชั้นนอกนี้บางก้อนมีน้ำหนักถึง 7 เมตริกตัน

    พีระมิดเมนคีเร ในยุคต่อมา ฟาโรห์เมนคีเร หรือชื่อในภาษากรีกคือฟาโรห์ไมซีรีนัส (Micerinus)โอรสของ ฟาโรห์คีเฟรน ขึ้นปกครองอียิปต์ได้สร้างพีระมิด ขึ้นเป็นหลังที่สามที่ความสูง 65.5 เมตร (ปัจจุบันคงเหลือความสูง 62 เมตร) ฐานแต่ละด้านกว้างประมาณ 105 เมตร และเอียงทำมุมประมาณ 51 องศา ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า แต่ก็ยังสูงประมาณอาคาร 18 ชั้น (เมื่อคิดความสูงที่ชั้นละ 3.6 เมตร) สำหรับพีระมิดเมนคีเรนี้ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตว่า หากนับตำแหน่งมุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ ของพีระมิดเมนคีเร เป็นตำแหน่งอ้างอิง และหากพีระมิดเมนคีเรมีขนาดใหญ่ประมาณเท่ากับพีระมิดคีเฟรน มุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพีระมิดจะต่อกับมุมด้านตะวันตกเฉียงใต้ของพีระมิดคีเฟรนพอดี และมีระยะห่างกันเท่ากับระยะระหว่างพีระมิดคีออปส์และคีเฟรน นั่นคือเป็นไปได้ว่าเดิมการก่อสร้างพีระมิดเมนคีเร อาจมีความตั้งใจสร้างให้มีขนาดเท่ากับพีระมิดแห่งกิซ่า 2 องค์ก่อนหน้า แต่ภายหลังได้ตัดสินใจก่อสร้างเป็นขนาดเล็กอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

    พีระมิดแห่งกีซ่า ยังจัดเป็นงานระดับอภิมหาโปรเจกต์แม้ในยุคปัจจุบัน มีผู้ประเมินว่าหากทำการก่อสร้างพีระมิดคีออปส์ขึ้นใหม่ โดยเลือกพื้นที่ รัฐอะริโซน่า ในอเมริกา ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับสถานที่ก่อสร้างพีระมิดเดิม แต่ได้เปรียบ ที่มีทางรถไฟสะดวกในการขนส่งวัสดุก่อสร้าง ใช้รถโฟค์ลิฟ 400 คัน เครนก่อสร้าง 20 ตัว และเฮลิคอปเตอร์ขนส่งอีก 1 ลำ โดยใช้หินปูนจากเหมืองหินสมัยใหม่รวม 4 แห่ง พร้อมทั้งงบประมาณอีก 45,000 ล้านบาท จะสามารถระดมก่อสร้างมหาพีระมิดคีออปส์ขึ้นมาใหม่ได้ภายในเวลา 5 ปี

    แต่หากต้องการสร้างหมู่พีระมิดกิซ่าทั้งหมดขึ้นมาใหม่ให้ครบทั้ง 3 หลัง นั่นหมายถึงจะต้องใช้งบประมาณกว่า 120,000 ล้้านบาทสำหรับโครงการอภิมหายักษ์นี้ และแน่นอนว่าหากไม่อาศัยเครื่องจักร และระบบขนส่งสมัยใหม่ การก่อสร้างมหาพีระมิดคีออปส์เพียงหลังเดียว ซึ่งเปรียบเทียบได้กับการเคลื่อนย้ายภูเขาด้วยแรงมนุษย์ ก็ยังยากจะเป็นไปได้แม้ในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะใช้งบประมาณมากมายเพียงใดก็ตาม


    เปรียบเทียบความสูงพีระมิดคีออปส์กับสิ่งก่อสร้างในประเทศไทย

    หากเปรียบเทียบกับความสูงของสิ่งก่อสร้างในกรุงเทพมหานคร พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ซึ่งก่อสร้างเพิ่มเติมในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 จากพระปรางค์องค์เดิมสมัยอยุธยาที่สูงเพียง 8 วา เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2394 (ประมาณ ค.ศ. 1851) พระปรางค์องค์ใหญ่ มีความสูง 1 เส้น 13 วา 1 ศอก 1 คืบ 1 นิ้ว (ประมาณ 67 เมตร) นับเป็นสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดในกรุงเทพมหานครขณะนั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2420 (ประมาณ ค.ศ. 1877) การก่อสร้างพระเจดีย์ภูเขาทอง (พระบรมบรรพต) ซึ่งเป็นพระเจดีย์ที่สร้างบนยอดภูเขาซึ่งก่อขึ้นโดยฝีมือมนุษย์จากไม้และอิฐ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จมีความสูงถึงยอดเจดีย์ 1 เสัน 19 วา 2 ศอก (ประมาณ 77 เมตร) จึงนับเป็นสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดแห่งใหม่ในกรุงเทพมหานคร

    สิ่งก่อสร้างสำคัญอีกแห่งหนึ่งได้ก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนหน้าพระเจดีย์ภูเขาทองเล็กน้อย คือ พระปฐมเจดีย์ ที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งเมื่อดำเนินการก่อสร้างเจดีย์องค์ใหม่ครอบเจดีย์องค์เดิมเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2413 (ประมาณ ค.ศ. 1870) ทำให้ พระปฐมเจดีย์องค์ใหม่ มีความสูงถึง 3 เส้น 1 คืบ 6 นิ้ว (ประมาณ 120.45 เมตร) นับเป็นสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดในประเทศไทยต่อมาอีกเป็นเวลากว่า 100 ปี

    ในปี ค.ศ. 1970 โรงแรมดุสิตธานีก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นอาคาร 21 ชั้น มีความสูง 82 เมตรนับเป็นอาคารสูงที่สุดในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากก่อนหน้านั้น อาคารสูงที่สุดในกรุงเทพฯ คือ Cathay Trust Building (Esso Building) สูงเพียง 12 ชั้นเท่านั้น

    ต่อมาในปี ค.ศ. 1982 อาคารธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ 32 ชั้น ก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้ครองตำแหน่งอาคารสูงที่สุดในกรุงเทพฯ ด้วยความสูง 134 เมตร โดยที่ยังคงมีความสูงน้อยกว่า พีระมิดคีออปส์ ที่อียิปต์ซึ่งขณะนั้นผุพังลงจนมีความสูงประมาณ 137 เมตร

    จนถึงปี ค.ศ. 1987 กรุงเทพมหานครจึงมีอาคาร โรงแรมใบหยกสวีท (Baiyoke Suite Hotel) เป็นอาคาร 44 ชั้นที่ความสูง 151 เมตร ซึ่งนับเป็นอาคารแห่งแรกในประเทศไทยที่มีความสูงมากกว่า พีระมิดคีออปส์ ที่ชาวอียิปต์สร้างไว้เมื่อ 4,600 ปีก่อน หลังจากนั้นจึงมีการก่อสร้างอาคารสูงทำลายสถิติความสูงของ ใบหยกสวีท อีกหลายแห่ง โดยที่ อาคารใบหยกทาวเวอร์ 2 (Baiyoke Tower 2) ซึ่งสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1997 เป็นอาคาร 85 ชั้นมีความสูงถึง 304 เมตร กว่า 2 เท่าความสูง พีระมิดคีออปส์ และยังครองตำแหน่งอาคารสูงที่สุดในกรุงเทพมหานครอยู่ ณ ปี ค.ศ. 2006

    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%95%E0%B9%8C#.E0.B8.9E.E0.B8.B5.E0.B8.A3.E0.B8.B0

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×