คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #88 : สาวไส้ CIA
สาวไส้ CIA
บทความนี้แปลจากเวบของบีบีซี เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2007 มีชื่อจริง ๆว่า
CIA to reveal decades of misdeeds
(ซีไอเอจะเปิดเผยทศวรรษแห่งการทำชั่ว)
หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ จะต้องเปิดเผยเอกสารหลายร้อยหน้าเกี่ยวกับรายละเอียดพฤติกรรมเลวร้ายที่ผิดกฏหมายบางอย่างของตนในช่วงทศวรรษที่ห้าสิบถึงทศวรรษที่เจ็ดสิบ
เอกสารที่จะถูกนำออกมาเปิดเผยในอาทิตย์หน้าจะมีรายละเอียดแผนการลอบสังหาร การสืบความลับและการดักฟังทางโทรศัพท์ภายในประเทศ การลักพาตัวและการทดลองโดยใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือ
เหตุการณ์หลายๆ เรื่องนั้นเป็นที่รู้กันแล้วแต่คาดว่าเอกสารจะให้ข้อมูลที่ทำให้เห็นภาพรวมทั้งหมด
"มันเป็นภาพที่ดูไม่ดีไม่งาม แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของหน่วยงานเรา" Michael Hayden ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองกล่าว
"นี่คือการบอกชาวอเมริกันถึงสิ่งที่พวกเราได้ทำลงไปในนามของพวกเขา" นายพล Michael Hayden ได้บอกในที่สัมนาของนักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศ
เอกสารเหล่านั้นที่ได้ชื่อว่า "อัญมณีแห่งครอบครัว" ได้ให้"ภาพของหน่วยงานนี้ในรูปแบบและเวลาที่แตกต่างกันมาก"
เอกสารจำนวนหกร้อยเก้าสิบสามหน้าเต็มซึ่งได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมที่ผิดกฏหมายเกี่ยวกับซีไอเอถูกนำมารวบรวมไว้ตามคำสั่งของผู้อำนวยการซีไอเอในสมัยนั้นคือ James Schlesinger ในปี 1973
เขาตื่นตระหนกถึงเรื่องที่ซีไอเอไปเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาววอเตอร์เกตภายใต้ผู้อำนวยการคนก่อนและขอให้เจ้าหน้าที่ซีไอเอแจ้งเขาถึงกิจกรรมทุกเรื่องที่แอบทำกันนอกเหนือไปจากกฏระเบียบขององค์กร
โครงกระดูก
ก่อนหน้าที่เอกสารจะถูกเปิดเผยโดยซีไอเอ แผนกจดหมายเหตุความมั่นคงของชาติ ซึ่งเป็นองค์กรค้นคว้าอิสระได้ตีพิมพ์เอกสารที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองได้รับในวันพฤหัสบดี
เอกสารเหล่านี้ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการถกเถียงกันของเจ้าหน้าที่รัฐบาลในปี 1975 เกี่ยวกับความชั่วของซีไอเอและการแจกแจงเรื่องราวต่าง ๆโดยผู้อำนวยการคนก่อนหน้าชาร์ลซิงเกอร์คือ William Colby
เหตุการณ์เหล่านั้นซึ่งทำให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องกฏหมายในปัจจุบันได้แก่
การกักตัวชาวโซเวียตที่หันมาแปรพักตร์ให้กับสหรัฐฯ ในกลางทศวรรษที่หกสิบ
แผนการลอบสังหารผู้นำต่างประเทศรวมไปถึงฟิเดล คาสโตรของคิวบา
การดักฟังโทรศัพท์และการลอบติดตามบรรดาสื่อมวลชน
การทดลองการดัดสันดานต่อพลเมืองสหรัฐฯ "ที่โง่เง่า"
การลอบติดตามกลุ่มที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาลในช่วงปี 1967 ถึง 1971
การแอบเปิดจดหมายไปและจากโซเวียตในช่วงปี 1953 ถึง 1973 กับจดหมายไปและจากจีนในช่วงปี 1969 ถึง 1972
เอกสารเหล่านั้นยังได้แสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวลอันทับทวีคูณของรัฐบาลภายใต้ ประธานาธิบดี Gerald Ford ที่ว่าสิ่งที่ถูกเรียกว่า "โครงกระดูก"ของซีไอเอนั้นกำลังปรากฏโฉมให้กับสื่อมวลชน
Henry Kissinger ซึ่งขณะนั้นเป็นทั้งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติได้ต่อต้านความพยายามของนายโคบี้ในการสืบสวนความชั่วของซีไอเอในอดีตและความจริงที่ว่าความลับขององค์กรกำลังถูกนำมาเปิดเผย
นาย คิสซิงเจอร์กล่าวว่า "ข้อกล่าวหาที่ปรากฏในสื่อเกี่ยวกับซีไอเอนั้น "เลวร้ายยิ่งกว่ายุคของ นาย McCarthy"(วุฒิสมาชิกที่พยายามใส่ร้ายคนอเมริกันด้วยกันว่าร่วมมือกับคอมมิวนิสต์ในทศวรรษที่ห้าสิบ-ผู้แปล) เสียอีก"
บทเสริมจากผู้แปล
หากเรามองในด้านดีก็เป็นเรื่องอันประเสริฐของอเมริกาที่ยังกล้าเปิดเผยความชั่วขององค์กรตัวเอง ดีกว่าเมืองไทยซึ่งความชั่วของหน่วยงานของรัฐไม่มีทางที่จะเปิดเผยกันเป็นทางการ (ยกเว้นว่าอีกฝ่ายต้องการจะใช้เป็นประโยชน์ทางการเมืองอย่างเช่นปัจจุบัน) แต่มองในด้านร้ายคือคำถามที่ว่า เพิ่งมาเปิดเผยอะไรตอนนี้หลังจากผ่านไปห้าสิบปีสามสิบปี? คนที่กระทำผิดก็ล้มหายตายจากไปเกือบหมดแล้ว (ที่แน่ๆ เหลืออยู่คนคือนาย Henry Kissinger) ไม่ต้องมารับผิดอะไร แต่สิ่งที่คงอยู่คือ บาดแผลของเหยื่อและมรดกเลือดที่ลูกหลานของเหยื่อได้รับอันเกิดจากน้ำมือของซีไอเองนั่นแหละ และความจริงที่ว่าภาษีของคนอเมริกันที่ถูกนำมาใช้ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง (เหมือนกับคมช.พยายามจะเอาภาษีของประชาชนมาตั้งเป็นค่าตอบแทนให้ตัวเองนั่นแหละ)ก็เป็นความจริงที่ไม่มีทางลบเลือนได้ ส่วนชาวโลกมองซีไอเอในแง่ดีก็เพราะถูกหนังกระแสหลักของฮอลลีวู๊ดล้างสมองเอาเป็นจำนวนมาก(แน่นอนว่าในหนังไม่ค่อยได้บอกเราถึงตัวหนังสือสีแดงข้างบนใช่ไหมครับ ?)
มีฝรั่งอเมริกันบอกกับผมทางพันธ์ทิพย์ว่าทำเช่นนี้เพราะเกิดจากความผิดพลาดของนโยบายของรัฐ ใคร ๆก็ทำผิดกันได้และที่สำคัญหากเขาไม่ทำเช่นนี้ฝ่ายตรงกันข้ามก็ต้องทำ การกล่าวเช่นนี้ถือว่าไม่รับผิดชอบเพราะหลายครั้งแสดงให้เห็นว่ารัฐอเมริกันกระทำความชั่วโดยไม่เกิดจากความต้องการต่อสู้พวกตรงกันข้ามแบบตาต่อตาฟันต่อฟันเลยแต่เกิดจากความฉ้อฉลในองค์กรของตัวเองและผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองตัวเองมากกว่า ส่วนภัยคุกคามจากฝ่ายตรงกันข้ามนั้นหลายครั้งเป็นภาพที่รัฐสร้างขึ้นเองเพื่อหาผลประโยชน์ของตัว (เหมือนกับกฏหมายความมั่นคงที่รัฐไทยพยายามจะผลักดันในปัจจุบันนี้แหละ) กระนั้นถ้าจะอ้างว่าต้องต่อสู้กันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน สหรัฐฯ ก็ไม่มีสิทธิในการอ้างว่าตัวเองขาวสะอาดได้ เพราะตัวเองก็ทำความชั่วเหมือนกันและเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเป็นอันดับแรก เหมือนกับตำรวจฆ่าคนมากมายทั้งร้ายบ้างดีบ้างเพื่อตัวเองแล้วบอกกับชาวบ้านว่าเพื่อรักษากฏหมายปกป้องประชาชน
เครดิต
Johann sebastian Bach(bloggang.com)
ความคิดเห็น