ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nor like(yaoi)

    ลำดับตอนที่ #38 : Nor like [special] : Four tales of the halloween

    • อัปเดตล่าสุด 30 ต.ค. 53


    Nor like [special]  : Four tales of the halloween







    “วันฮัลโลวีนในตำนาน?”น้ำเสียงของเด็กหนุ่มบ่งความประหลาดใจอย่างยิ่ง คิ้วสวยได้รูปเลิ่กขึ้นขณะทอดสายตามองคนพูดที่บัดนี้แย้มยิ้มกว้างกว่าเก่า

    “ใช่ วันฮาโลวีนในตำนาน...”คนโดนถามตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ...แต่เจือกระแสสยองพองขนตามแบบฉบับของตนเองไว้อย่างเหนียวแน่น...

    สึโยชิได้แต่ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เหลือบมองมิสึรุที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเท่าไหร่นักและกำลังจ้องกลับมาทางเขาด้วยอาการไม่ต่างกัน...

    ใช่...สึโยชิลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท...วันนี้เป็นวันฮัลโลวีน...ที่มิสึกิดันอยู่ด้วย...

    เขายังจำประสบการณ์เมื่อตอน ม.ต้นได้ดีนัก การฉลองฮาโลวีนของมิสึกิที่ทำเอาเข้าจับไข้ไปหลายวัน แถมปีนี้มันยังเป็น ‘วันฮัลโลวีนในตำนาน’ อีกต่างหาก สึโยชิไม่อยากจินตนาการถึงความเลวร้ายของมันเลยสักนิด...

    สึโยชิลองเหลือบไปทางอีกฝากก็สบสายตากับมัตซึริที่รีบหันหนีเขาทันทีเพราะมีชนักติดหลังอันเบ้อเร่อ เห็นแล้วเด็กหนุ่มก็ได้แต่ยิ้มฝืดๆกับชะตาตัวเอง

    จะโทษพี่มัตซิริก็ไม่ถูกนัก...ออกจะเป็นคราวซวยของพี่มัตซึริด้วยซ้ำที่ดันไปสนิทกับมิสึกิเข้า เลยต้องตกกระไดพลอยโจนมามีเอี่ยวกับงานวันฮัลโลวีนนี้ไปโดยปริยาย แล้วซวยซ้ำซวยซ้อนที่ปีนี้พิเศษกว่าปีอื่นตรงที่มิสึกิย้ำนักย้ำหนาว่าพิเศษกว่าปีอื่นมากๆ...มากจนกระทั่งสั่งให้มัตซึริลากเข ากับมิสึรุมามีเอี่ยวด้วยอย่างขาดไม่ได้...

    “ไม่ต้องกลัวหรอกน่า...สึโยชิ”มิสึกิเอ่ยขึ้นราวกับอ่านใจออกเล่นเอาสึโยชิสะดุ้งโหยง รีบตีหน้านิ่งกลบเกลื่อนทันควัน

    “ใครกลัว? ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัว”

    ปากดี...เขาอยากจะตบปากตัวเองนักโทษฐานหาเหาใส่หัว เพราะทันทีที่เห็นรอยยิ้มเย็นเยือกของมิสึกิ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคงไม่มีพรุ่งนี้สำหรับเขาแน่ๆ...














    ครืด...ครืด...

    เสียงชอล์กที่ขีดลงไปบนพื้นท่ามกลางความมืดมิดฟังดูน่ากลัวราวกับเสียงโหยหวนจากขุมนรก...

    สึโยชิอยากจะร้องไห้ให้มันรู้แล้วรู้รอด เพราะตอนนี้เขาดันตกกระไดพลอยโจนมาร่วมวง ‘เล่าเรื่องผี’ เข้าเสียแล้วอย่างช่วยไม่ได้ แถมไอ้ที่แย่ที่สุดคือไอ้คนตัวตั้งตัวตียังมีการเขียน ‘เขตอาคม’ ไว้อีกต่างหาก!

    “เรียบร้อยแล้ว...”เสียงชอล์กสิ้นสุดลงพร้อมๆกับรอยยิ้มที่ปรากฏบนเรียวปากบาง ซึ่งเป็นส่วนเดียวบนใบหน้าของมิสึกิที่สามารถมองเห็นได้... และแน่นอนไม่มีใครดีใจเลยสักนิดที่มันเสร็จสิ้นลง...

    มิสึกิค่อยๆวางเทียนสีส้มสี่เล่มลงบนเชิงเทียนที่ตั้งอยู่ด้านหน้าทั้งสามทันที หน้าของสึโยชิเผือดซีดลงจนไร้สีเลือด ได้แต่มองมิสึกิที่หย่อนกายนั่งลงหลังเชิงเทียนที่เหลือเพียงอันเดียวช้าๆพร้อมกับแย้มรอยยิ้มเยือกเย็น

    “เอาล่ะ...เรามาเริ่ม...เล่าเรื่องวิญญาณเพื่อเปิดประตูวิญญาณกันเถอะ”

    คำพูดเพียงคำเดียวเรียกเลือดมลายวับไปจากใบหน้าของคนทั้งสาม แต่ดูท่าอาการหนักสุดคงไม่พ้นสึโยชิ ที่ดูเหมือนคนใกล้จะเป็นลมอยู่รอมร่อ...

    พระเจ้า! นี่เขาจะผ่านคืนนี้ไปได้ไหมนี่!













    ทางเดินอาคารเรียนเก่าแก่ยังคงมีคนบางตา ยิ่งช่วงเวลาพลบค่ำขนาดนี้แทบจะไม่มีคนกล้าย่างกรายเข้ามาใกล้ แต่วันนี้เด็ก

    ชายจำใจต้องกลับบ้านเพียงลำพังเพราะประธานนักเรียนดันไหว้วานให้เขาเอาหนังสือเก่ามาเก็บที่ห้องนี้ และเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธเสียด้วย

    เสียงย่ำเท้าเป็นจังหวะสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาในทางเดินที่ไร้ผู้คน เด็กหนุ่มกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังบันได พยายามไม่เหลียวซ้ายแลขวาใดๆทั้งสิ้น ...เพราะเขาได้ยินกิตติศัพท์ของอาคารเรียนนี้มามากเกินพอ...

    พลันฝีเท้าเด็กหนุ่มก็หยุดชะงักลงเมื่อสะดุดเข้ากับรอยจางๆ... ขาที่กำลังจะก้าวลงบันไดค้างทันควันก่อนที่จะหมุนร่างตรงไปยังรอยสีแดงเข้มที่สะท้อนเข้าตา...

    รอยเลือด...

    เลือดหยดเล็กๆซึ่งมาจากที่ใดก็ไม่ทราบหยดเป็นทางยาว เด็กหนุ่มลองไล่สายตาหาต้นตอและพบว่ามันเป็นทางลากขึ้นบันได...

    เขาเม้มริมฝีปาก หัวใจเต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น ชั่งใจอยู่พักหนึ่งว่าควรจะเดินตามรอยขึ้นไปดีหรือไม่...แต่ในที่สุดความหวาดกลัวก็เอาชนะ เด็กหนุ่มตัดสินใจจะวิ่งลงไปบอกยาม แต่ทันทีที่หมุนตัว ร่างของเขาก็ชะงักกึกกับสิ่งที่เห็น!

    กำแพง!

    กำแพงสีขาวตั้งตระหง่านกั้นด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ เขารู้เพียงว่ามันปิดกั้นทางเดินเขา จนเหลือเพียงทางเดียว...คือเดินขึ้นบันได...

    เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พยายามรวบรวมความกล้าแล้วก้าวขึ้นบันไดช้าๆ ทุกๆย่างก้าวเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

    รอยเลือดเริ่มมากๆขึ้น เขารู้สึกได้ว่ากำแพงด้านหลังไล่ตามเขาเข้ามาเรื่อยๆราวกับจะเร่งฝีเท้าของเด็กหนุ่มให้เร็วขึ้น...

    เขาเดินขึ้นมาถึงประมาณชั้นสี่เหงื่อก็พาลไหลอาบร่าง เมื่อหูแว่วเสียงร้องไห้สะท้อนก้องแว่วผสานไปกับเสียงฝีเท้าของเขา... เท้าของเด็กหนุ่มชะงักค้าง ไม่อาจรวบรวมความกล้าเพื่อก้าวต่อไปได้...

    แต่กำแพงด้านหลังนั้นไม่ยอมปราณี เมื่อมันเบียดขิดด้านหลังและดันร่างเขาให้ก้าวต่อไป...ต่อไป...

    และทันทีที่สองขาเหยียบย่างพื้นชั้นที่สี่ กำแพงด้านหลังก็พลันมลายวับ!

    ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกระทันหันเล่นเอาเด็กหนุ่มปรับตัวเกือบไม่ทัน เขานิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะเหลียวไปด้านหลัง แต่ยังไม่ทันเห็นว่ากำแพงหายไปรึยัง สายตาก็พลันสะดุดเข้ากับร่างๆหนึ่งเสียก่อน...

    ร่างของเด็กสาวคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนพื้น...ร่างนั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือดจนย้อมชุดสีขาวสะอาดให้เปลี่ยนเป็นสีแดงจัด รอยเลือดที่ทอดยาวมาตลอดทางบัดนี้เด็กหนุ่มรู้แล้วว่าเป็นของใคร... เสียงสะอื้นไห้บางๆจากร่างนั้นฟังแล้วขนลุกซู่จนเขาเผลอก้าวถอยหลัง แต่ก้าวได้เพียงครึ่งก้าว... ร่างๆนั้นก็ค่อยๆเหลียวกลับมาช้าๆ...

    ไม่ต้องเสียเวลารอมอง เด็กหนุ่มวิ่งเต็มเหยียดไม่มีเหลียวหลัง เขาใส่สุดฝีเท้าลงไปตามบันไดที่เพิ่งขึ้นมา หัวใจเต้นระรัว

    แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมชะลอความเร็วลง

    ระหว่างที่อยู่ตรงชานพักบันได... กระจกซึ่งวางอยู่บริเวณชานพักก็สะท้อนให้เขาเห็นอะไรบางอย่าง...ทั้งๆที่ไม่อยากเห็น...

    ใบหน้าเด็กสาวที่เขาไม่กล้ารอมองเมื่อครู่ บัดนี้เด็กหนุ่มได้เห็นเต็มๆตา... เพราะร่างๆนั้น...กำลังพาดอยู่บนคอเขา และส่งยิ้มมาให้ผ่านกระจก...

    ฟู่...

    เทียนเล่มที่สองดับลงท่ามกลางความเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม...

    มือของสึโยชิเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็ง ใบหน้าซีดเผือดเหมือนใกล้จะเป็นลมเต็มแก่ เด็กหนุ่มบีบต้นขาตนเองหนักๆเพื่อกลั้นเสียงร้องซึ่งอาจจะออกมาได้ทุกเมื่อ

    มิสึรุมองมาทางสึโยชิด้วยความห่วงใย... นัยน์ตากลมโตมองใบหน้าขาวซีดซึ่งแย้มรอยยิ้มนิดหนึ่งราวกับจะบอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งๆที่ในใจนั้นเต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่น

    “สึโยชิ...”เสียงเรียกที่เด็กหนุ่มสะดุ้ง หันไปมองคนเรียกช้าๆพลางปั้นยิ้มจืดๆ

    “ตาฉันเหรอ?”น้ำเสียงขาดเป็นห้วงที่มิสึกิพยักหน้าแทนคำตอบ...

    ร่างโปร่งยิ้มค้าง หัวใจเต้นแรงรัวขึ้นราวกับจะหลุดออกจากอก รู้สึกสมเพชตัวเองที่สุดในชีวิต ...เขาไม่น่ามาอยู่ที่นี่เลย... ให้ตาย...

    “ไหวมั้ย สึโยะจัง...”มิสึรุถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเด็กหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ...


    รับไม่ได้...เธอรับไม่ได้ ทำใจไม่ได้...

    ร่างเล็กบางของเด็กสาวพยายามวิ่งไล่ตามร่างสูงโปร่งเบื้องหน้าไปอย่างสุดความสามารถ ...คืนสิ้นสุดงานวัฒนธรรมที่ใครๆต่างก็บอกกันว่าถ้าสารภาพรักวันนี้จะสมหวัง

    โกหกทั้งเพ!

    “เธอไม่ใช่แบบที่ฉันชอบ”ประโยคที่ซ้ำไปซ้ำมาในความรู้สึก กรีดลึกราวกับใบมีดที่ทิ่มแทงหัวใจ ...ไม่รัก...ไม่...

    รอก่อน...

    เธอตะโกนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแต่เขาก็ไม่ยอมหันมา ความพยายามที่ไร้ผลแต่เธอไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ร่างเล็กพยายามวิ่งสุดฝีเท้าจนระยะย่นเข้ามาใกล้ขึ้น...ใกล้ขึ้น... จนมันห่างเพียงปลายนิ้วสัมผัสเท่านั้น...

    โครม!

    แผ่นเหล็กที่นำมาใช้ประดับงานและถูกรื้อถอนเมื่อใช้เสร็จหล่นใส่เธอเมื่อตอนวิ่งผ่าน ชายหนุ่มหันกลับมามอง เขาตะลึงค้างชั่วขณะก่อนจะวิ่งหนีไปอีกทางทันที

    กลับมา... ช่วยด้วย...

    หญิงสาวเพรียกร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้ง เธอพยายามดิ้นรนออกจากแผ่นเหล็กที่ทับบนร่าง เจ็บเหลือเกิน...เจ็บจนชา...

    เธอตะกุยตะกายออกมาจากแผ่นเหล็กได้สำเร็จในที่สุด หญิงสาวพยายามคลานออกมาในที่ๆมีฝูงชนเดินผ่าน เธอกำลังจะหมดเรี่ยวแรง... เธอกำลังจะตาย...

    สนามเห็นอยู่ลิบๆตา คนจำนวนมากกำลังเต้นโฟล์คแดนล้อมกองไฟอย่างสนุกสนาน เสียงเพลงอื้ออึงช่วยให้เธอมีกำลัง ...เขาคนนั้น... เธอเห็นได้จากไกลๆว่าเขากำลังมองมาทางเธอ...

    มาช่วยฉันสิ... ช่วยฉัน...
    แต่ความหวังกลับพังทลายลงอีกครั้ง... เขาไม่มอง และหันกลับไปยังคู่เต้น แสนสวย...น่ารัก... คนที่เขารัก...
    เรี่ยวแรงที่จะพยุงชีวิตไว้สูญสลายจนหมดสิ้น น้ำตาค่อยๆรินไหลอาบแก้มช้าๆ...

    ถ้าฉันเป็นอย่างที่เธอชอบ...เธอคงจะรักฉัน...

    ถ้าฉันเป็นอย่างที่เธอชอบ...เธอคงจะช่วยฉัน...

    เมื่อหมดความหวังในการมีชีวิต ลมหายใจสุดท้ายก็ค่อยๆปลิดปลิวไป ทิ้งไว้เพียงเสียงกระซิบบางๆที่แว่วไปตามสายลม

    ...แล้วฉันจะเป็นอย่างที่เธอชอบ...

    หลังจากนั้น...บางครั้งบางคราวหากมีผู้ใดผ่านไปบริเวณนั้น จะพบว่ามีคนที่ชอบ... เดินเข้ามาใกล้และทำท่าทางสนิทสนม แต่อย่าเผลอไปแตะต้องตัว... เพราะอาจจะไม่ได้กลับมาอีก...ตลอดกาล...



    ฟู่...


    เทียนเล่มที่สามถูกดับลง ...แต่คราวนี้ไม่เงียบงันเหมือนกับทุกครั้ง... ลมแรงเริ่มพัดมาจากนอกหน้าต่างให้ความรู้สึกหนาวเยือกไปถึงไขสันหลัง สึโยชิขดกายเข้าหากัน พยายามสะกัดกลั้นอาการสั่นสะท้านของตนเอง
    เปลวเทียนสุดท้ายเพียงไหววูบน้อยๆเมื่อต้องแรงลม ทั้งๆที่ลมนั้นแรงจนโต๊ะเก้าอี้ในห้องเริ่มครูดไปกับพื้น ต่างคนต่างมองกันเลิ่กลั่ก มีเพียงมิสึกิคนเดียวเท่านั้นที่ยังเล่าต่อไปด้วยความมุ่งมั่น...




















    “เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยฉันอยู่ ม.ต้น หมอนั่นเป็นเพื่อนสนิทฉันเอง...”คำขึ้นเรื่องที่คนฟังพากันกลั้นหายใจ โดยเฉพาะมิสึรุที่เม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาฉายชัดถึงความหวาดหวั่น...

    “หมอนั่นเป็นพวกที่ใครๆก็เรียกว่าโอตาคุ... วันๆเอาแต่หมกมุ่นกับการ์ตูน เหมือนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แต่แล้วหมอนั่นก็ตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง ...เธอเป็นเด็กผู้หญิงในห้องที่สวย น่ารัก มนุษสัมพันธ์ดีจนใครๆต่างก็หลงรัก เพื่อนฉันชอบเธอมาก...”

    ลมพัดแรงขึ้นจนร่างทั้งร่างหนาวสะท้าน... เสียงหวีดหวิวฟังดูน่ากลัวจนสึโยชิเริ่มเขยิบเข้าหามิสึรุ แม้สายตาจะยังคงจับจ้องอยู่ที่มิสึกิ...

    “วันหนึ่งหมอนั่นได้ยินว่าเธอชอบคนที่เต้นฮิปฮอปได้... หมอนั่นเลยแอบไปฝึกด้วยตัวเอง ทุกวันๆ ที่โรงยิมตอนที่ทุกคนกลับไปแล้ว... จนวันหนึ่ง... หมอนั่นก็เกิดอุบัติเหตุ ระหว่างที่กำลังตีลังกาก็ลงพลาด... คอหักตายคาที่...”

    มิสึกิหัวเราะขื่นๆกับตนเอง เหมือนจะจมอยู่ในภวังค์จนไม่ทันรู้สึกถึงบรรยากาศรอบด้านที่หนาวเยือกขึ้นทุกขณะ เสียงแก๊กๆ แปลกๆที่ประตูเรียกให้อีกสามคนสะดุ้ง มองหน้ากันเลิ่กลั่ก

    “มีคนพบศพหมอนั่นหลังจากนั้นไม่นาน... แต่ที่สำคัญ... ทุกคืนตอนเย็นๆจะชอบมีคนเห็นผู้ชายคนหนึ่งฝึกเต้นที่โรงยิมประจำ แล้ว... เด็กผู้หญิงที่หมอนั่นชอบก็เคยเจอ ...นายรู้มั้ย เขาพูดว่ายังไง...”มิสึกิกระตุกยิ้มนิดๆ ก่อนจะเล่าต่อโดยไม่ฟังคำตอบ “เธอบอกว่า... หมอนั่นน่ะทำอะไรเกินตัว ไม่ระวังเลยสักนิด แถมตายแล้วยังมาหลอกคนอื่นอีก...เกลียดที่สุด...”

    “แล้วหลังจากนั้นมา คนที่เดินผ่านก็จะเปลี่ยนเป็นได้ยินเสียงร้องไห้ ซ้ำๆ เหมือนวิญญาณของหมอนั่นจะรู้ว่าเธอพูดว่าอะไร”

    ฮือ...

    เสียงร้องไห้ที่ลอยแว่วมาตามลมเรียกให้มิสึกิชะงัก เด็กหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะสะดุดอยู่ที่เทียนที่ยังส่องสว่างเพียงเล่มเดียวในห้อง เขาค่อยๆโน้มตัวลง..เป่าเทียนเบาๆและทั้งห้องก็ปกคลุมด้วยความมืดมิด...
    ครึ่ก ครึ่ก ....

    เสียงคล้ายอะไรบางอย่างกำลังดันประตูห้องเรียกให้โยชิสะดุ้งก่อนจะเขยิบไปนั่งชิดมิสึรุทันควัน ลมพัดแรงขึ้นจนเก้าอี้และโต๊ะเริ่มล้มลงบนพื้น

    เสียงเปียโน...

    เสียงเปียโนที่แว่วมาตามลมเล่นเอาทั้งสามหน้าซีดเผือด มัตซึริรีบกระโดดมานั่งเกาะกลุ่มกับสึโยชิพลางเพ่งไปทางประตูด้วยแววตาไม่ค่อยไว้ใจ

    เลือด...

    เลือดจากไหนไม่รู้เริ่มหยดลงรอบๆเขตอาคม... หน้าของสึโยชิซีดจนไร้สีเลือด ไล่สายตามองรอยสีแดงสลับกับประตูที่ถูกกระแทกไปมา...

    “ไม่มีอะไร อย่าตกใจ...”เสียงของมิสึกิพยายามปลุกสติของทั้งสามให้กลับคืนมา มัตซึริเพียงพยักหน้าช้าๆตอบรับ แม้จะดูไม่ศรัทธาเอาเสียเลย

    ครืด...

    ความสนใจของทุกคนในห้องพุ่งไปยังประตูที่ถูกเลื่อนเปิดออก พร้อมๆกับที่ร่างๆหนึ่งเดินเข้ามาภายใน... ร่างนั้นค่อยๆเดินเข้ามาใกล้...เข้ามาใกล้...องศาคอนั้นดูแปลกๆ...เหมือนกับ...หัก...

    “มิ...สึ...กิ...”เสียงเย็นเยียบชวนขนหัวลุกจนสึโยชิต้องรีบตะครุบปิดปากกลั้นเสียงร้องของตน เขาเบียดมิสึรุจนแทบจะนั่งตัก เผลอเขยิบถอยหลังเมื่อร่างนั้นเข้ามาใกล้โดยอัตโนมัติ

    “มันเข้ามาในเขตอาคมไม่ได้หรอก...อย่าตกใจ...”มิสึกิพูดด้วยเสียงสั่นๆ เขาเป็นคนเดียวที่ยังไม่มานั่งรวมกับพวกสึโยชิ เด็กหนุ่มฝืนใจเพ่งมองร่างนั้นพยายามจ้องให้ถนัดถนี่...

    ร่างนั้นยังคงเขยิบเข้ามาใกล้... เสียงร้องไห้แหบโหยเสียดทะลุไปถึงไขสันหลัง ทุกๆครั้งที่ระยะเริ่มย่นเข้ามา กลุ่มก้อนก็ยิ่งกระจุกแน่นจนแทบจะขี่คอกันอยู่รอมร่อ...

    “มิ...สึ...กิ...”ร่างนั้นหยุดยืนอยู่ที่ริมเขตอาคม พลางจ้องหน้าของมิสึกิที่เริ่มก้มหน้าก้มตางึมงำอะไรอยู่เพียงลำพัง

    “มิ...สึ...กิ...”เสียงนั้นเรียกอีกครั้ง พลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนมิสึกิผงะถอยหลัง

    “อย่ากลัว...หมอนั่นเข้ามาในเขตอาคมไม่ได้...”มิสึกิพูดราวกับจะปลอบตนเอง...

    แต่คำพูดของมิสึกิเรียกให้ร่างนั้น ‘ยิ้ม’ แล้วเปลี่ยนจากหยุดยืนอยู่นอกวง เป็น...ก้าวเข้ามาในวง...

    ไม่ต้องเสียเวลาคิด... เจ้าของเขตอาคมถลันตัวขึ้นแล้วโกยอ้าวออกไปสุดฝีเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนอีกสามคนได้แต่นั่งนิ่ง มองร่างที่วิ่งลับไปด้วยความตกตะลึง...

    “ฮือ...ฮือ...”เสียงที่แว่วมาจางๆพร้อมกับที่ร่างนั้นค่อยๆขยับเข้ามาใกล้เป้าหมายใหม่สามคนที่นั่งตัวติดกัน
    เหมือนเวลาหยุดค้างไปชั่วขณะ...

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”เสียงตะโกนประสานเสียงก่อนที่วงจะแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง แต่ละคนวิ่งไม่คิดชีวิตไม่มีเหลียวหลัง...

    ค่ำคืนที่แสนยาวนานกำลังจะเริ่มต้นขึ้น...















    น่าเบื่อ...

    นารุมิขยับแก้วในมือพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ นัยน์ตาคมปลาบไล่มองบรรยากาศในงานเพียงผ่านๆ ไม่มีความคิดที่จะออกไปเต้นหรือพูดคุยกับผู้ร่วมงานสักนิด

    งานปาร์ตี้ฮัลโลวีน... เขาไปมาทุกปีจนรู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทน นอกจากแต่งชุดแฟนซีมาประชันกันเขาก็ยังหาข้อแปลกของงานนี้ข้ออื่นอีกไม่ได้ นี่ถ้าพ่อไม่บังคับให้มาล่ะก็ จ้างให้เขาก็ไม่มาเด็ดขาด ...แต่ยังดี... ที่พ่อไม่บังคับให้เขาแต่งชุดแฟนซีมารับวันฮาโลวีนนี่ด้วย... ไม่งั้นหัวเด็ดตีนขาดยังไงเขาก็จะไม่มีทางเหยียบมาในงานแน่ๆ

    “โมริซัง...บอกพ่อด้วยนะครับว่าผมขอตัวกลับก่อน”ความเบื่อหน่ายเริ่มรุกเร้าจนเขาไม่อยากจะยืนอยู่ต่อไป...นารุมิหันไปสั่งชายว ัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างกาย อีกฝ่ายเพียงยิ้มน้อยๆแล้วพยักหน้ารับแต่โดยดี

    นารุมิตั้งท่าจะเดินออกแต่สาวน้อยคนหนึ่งก็มายืนขวางหน้าไว้เสียก่อน... เด็กสาวอยู่ในชุดแม่มดสีดำดูน่ารักไม่เบา กระโปรงฟูฟ่องตัดกับเสื้อคอปาดคว้านลึก ทั้งดูน่ารักและเซ็กซี่ในตัว

    เธอส่งยิ้มกว้างให้นารุมิที่ชะงักเล็กน้อย เด็กสาวค่อยๆขยับกายเข้ามาใกล้ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองเด็กหนุ่มที่ใบหน้านั้นยังสงบราบเรียบ

    “จะกลับแล้วเหรอคะ?”เธอถามเสียงใสต่างกับอากัปกิริยาลิบลับ จากองศานี้นารุมิมองลงไปก็เห็นอะไรต่อมิอะไรผ่านคอเสื้อลึกไปถึงไหนๆ แต่เขาก็ทำเป็นไม่เห็นไปเสียอย่างนั้น

    “ครับ...ผมมีธุระคงต้องขอตัว”เด็กหนุ่มส่งยิ้มตามมรรยาท พยายามจะเบี่ยงตัวออกจากแม่สาวตรงหน้าแต่เธอกลับคว้าแขนของเขาเอาไว้

    “งั้นอาโออิไปด้วยได้มั้ยคะ”เธอออดอ้อนพลางใช้หน้าอกของตนเบียดกับแขนนารุมิ

    มารยาหญิง...

    เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะก้มลงใช้มาตรการขั้นสุดท้ายด้วยความเหนื่อยหน่าย...

    “อาโออิ...”เสียงกระซิบแผ่วๆขณะที่นารุมิค่อยๆโน้มกายลงไปใกล้จนปลายจมูกแทบชิด..
    .
    ใบหน้าเด็กสาวร้อนผ่าว แก้มขึ้นสีจัดทันทีที่สบเข้ากับนัยน์ตาคู่สวย เธอรีบหลบตานารุมิก่อนที่ตัวเองจะหัวใจวายตายไปเสียก่อน...

    อาโออิรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นเมื่อยามปลายนิ้วร้อนๆเริ่มไล่ไปตามเรือนแก้ม นิ้วเรียวไล้เรื่อยก่อนจะหยุดแตะเบาๆที่ริมฝีปาก...

    “วันนี้ผมไม่ว่าง...ต้องขอโทษจริงๆนะครับ...”เสียงกระซิบข้างหูที่เธอหลับตาแน่น มือสั่นจนเกินควบคุม ได้แต่พยักหน้าช้าๆแล้วปล่อยให้เด็กหนุ่มเดินจากไป...





    นารุมิรีบเร่งฝีเท้าเดินออกจากงาน เด็กหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วต้องสบถอย่างหัวเสีย เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมสมุดการบ้านไว้ที่โรงเรียน แถมที่สำคัญ...สมุดการบ้านนั่นก็ยังเป็นของยูยะแล้วมันก็ต้องส่งพรุ่งนี้อีกต่างหาก

    “พี่จะหนีกลับคนเดียวได้ไง”เสียงที่เรียกฝีเท้าของนารุมิให้ชะงัก เขาหันไปหาเสียงเรียกและสบเข้ากับรอยยิ้มกว้างของเจ้าน้องชายตัวดี เล่นเอาต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

    “นายจะกลับด้วยรึไงล่ะ”เขาถามเรียบๆ ซึ่งอากิระก็รีบพยักหน้ารับทันควัน

    “ก็ไปด้วยน่ะสิ เบื่อจะแย่”ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็รีบเร่งฝีท้ามาทางพี่ชาย อ้าปากจะแซวไอ้เหตุการณ์ที่เขาเห็นเต็มๆตาเมื่อกี้แต่อีกฝ่ายกลับเดินหนีไปเสียก่อน

    “งั้นก็ไป...แต่เดี๋ยวต้องแวะโรงเรียนก่อน พอดีลืมของไว้ที่นั่น”นารุมิพูดโดยไม่มองหน้า

    “โหยยย ลืมอะไร เอาพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ”

    “ไม่ได้หรอก การบ้านส่งพรุ่งนี้”นารุมิตอบเลี่ยงๆ เร่งฝีเท้าไปที่รถโดยไม่เสียเวลาหันกลับไปมองน้องชายที่เดินตามหลังมาอีกเลย...








    ระเบียงทางเดินทำไมมันถึงยาวนักก็ไม่รู้...


    มัตซึริตั้งหน้าตั้งตาวิ่งสุดฝีเท้า เขาเหลือบมองร่างเล็กข้างกายเป็นระยะๆแม้จะยังไม่ชะลอความเร็วลง รู้สึกใจชื้นที่มีคนร่วมทาง อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องวิ่งหนีผีคนเดียว...

    “ย...หยุดก่อนเหอะทาคาฮาระ เราวิ่งมาไกลมากแล้ว”มัตซึริหยุดยืนหลังจากวิ่งมาได้ครู่ใหญ่ เขารั้งแขนมิสึรุเอาไว้พลางชำเลืองไปทางด้านหลัง

    “ไม่มีใครตามมาแล้ว...”มัตซึริยิ้มนิดๆอย่างโล่งใจ แม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อยแต่ก็โล่งอก

    “ไม่รู้ป่านนี้พี่มิสึกิกับสึโยะจังจะเป็นไงบ้าง...”มิสึรุมองกลับไปทางระเบียงทางเดินซึ่งปกคลุมด้วยความว่างเปล่า ก่อนจะรีบหันกลับมาทางมัตซึริเพราะรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมากะทันหัน

    มัตซึริเห็นท่าทางอีกฝ่ายก็นึกขำ กำลังจะอ้าปากตอบว่าคงไม่มีอะไรแต่ก็สะดุดกับใบหน้าที่ซีดเผือดลงเรื่อยๆของมิสึรุ... นัยน์ตากลมๆของอีกฝ่ายมองผ่านเขาไปยังทางด้านหลัง... ซึ่งมัตซึริก็ค่อยๆหันมองตาม...

    รอยเลือด... รอยเลือดที่ทอดขึ้นบันไดมาจากที่ไหนก็ไม่รู้...

    มัตซึริหันมาสบตากับมิสึรุ ทั้งสองยิ้มแหยๆให้กัน แล้วโดยไม่ได้นัดหมาย สองคนก็หันหลัง เตรียมโกยหน้าตั้งกำลังสอง!

    แต่ทุกอย่างกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด... เมื่อกำแพงสูงมหึมาดันมาขวางกั้นทางออก แล้วพอหันกลับไปอีกฝั่ง... บันไดที่ตอนแรกก็อยู่ห่างแต่ตอนนี้กลับย่นระยะใกล้ขึ้นเหมือนจะเชิญชวนให้เดินขึ้นไปยังไงยังงั้น... แล้วไม่มีบันไดทางลงซะด้วยสิ...

    “อ...เอาไงดี...”มัตซึริที่บัดนี้หน้าซีดจัดมองมิสึรุสลับกับบันไดไปมา

    ข้อดีเพียงอย่างเดียวตอนนี้ที่หาได้คือเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ถ้าขืนมัตซึริอยู่คนเดียวในเหตุการณ์แบบนี้... รับรอง... เขาต้องเป็นลมตายแหงๆ

    ...แล้วเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นลอยแว่วมามาจากที่ไหนก็ไม่ทราบ...

    รู้แต่เพียงว่ามันทำให้ทั้งสองคนที่ยังนิ่งอยู่สติแตกทันควัน ก่อนที่ขาเล็กๆแต่กลับเปี่ยมด้วยพละกำลังจะเริ่มถีบกำแพงสุดแรง!

    มัตซึริเห็นอาการนั้นของอีกฝ่ายก็ไม่รอช้า ระดมถีบ เตะ ต่อย กำแพงหวังจะให้มันล้มอย่างคนสิ้นสติ มิสึรุเริ่มใช้ท่าไม้ตายโดยการกระโดดถีบขาคู่เสริมแรง ทั้งสองต่างง่วนอยู่กับการทำลายกำแพงโดยไม่หันไปสนใจทางด้านหลัง...

    ฮือ...

    พลันเสียงสะอื้นที่ลอยมาก็เรียกให้ทั้งสองชะงัก เหลือบมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย...

    ...เพราะเสียงมันดันลอยมาจาก...ข้างหลัง...

    ราวกับเจ้าของเสียงร้องไห้จะรู้ว่ายังไงๆทั้งคู่ก็คงไม่หันมาแน่ๆ ร่างนั้นจึงย่นระยะ...มายืนอยู่ที่ว่างระหว่างสองคนแล้วเงยหน้าที่อาบชุ่มไปด้วยเลือดขึ้นมอง...พร้อมรอยยิ้ม...

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”ทั้งคู่ตะโกนอย่างสิ้นสติ หันหลังแล้วใส่เกียร์หมาโกยไม่คิดชีวิต ทั้งสองกระโจนพรวดๆขึ้นบันไดแล้วชะงักพร้อมกันเมื่อเห็นกระจกอยู่ลิบๆตา

    ถ้าตามเรื่องล่ะก็...จะต้องเห็นว่าไอ้ตัวนั้นมันขี่อยู่ที่หลัง...

    “ทาคาฮาระกระโดดขึ้นมา!”มัตซึริย่อตัวลงให้มิสึรุที่รีบกระโจนขึ้นขี่คออย่างรู้หน้าที่ แล้วรีบวิ่งต่ออย่างใจชื้นขึ้นเพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรแปลกๆมาขี่คอได้แล้ว... แต่ทั้งคู่คิดผิด...

    ทันทีที่วิ่งผ่านกระจกมัตซึริก็แทบสะดุดหัวทิ่ม ใบหน้าซีดลงจนไร้สีเลือด... เมื่อไอ้ภาพที่สะท้อนมาทางกระจก... มันแสดงให้เห็นว่าคนขี่คอเขาซึ่งควรมีเพียงคนเดียวกลับเพิ่มมาเป็นสอง! แถมร่างนั้นที่นั่งอยู่บนคอของมิสึรุยังยิ้มกว้างมาให้เสียอีก!

    ซ้อนสองมันผิดกฎหมายนะเฟ้ย!!!!

    แล้วด้วยความเป็นสุภาพบุรุษมัตซึริจึงสลัดมิสึรุทิ้งโดยไม่ต้องคิด ร่างของมิสึรุร่วงลงบนพื้นแต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพราะเจ้าตัวตั้งหลักได้ทัน แล้วยังไม่ทันที่มิสึรุจะได้ตั้งสติ แขนของเขาก็ถูกอีกคนคว้าแล้วลากวิ่งตัวปลิวโดยไม่มีเหลียวหลัง...














    ซวยซ้ำซวยซ้อน...

    เป็นคำแรกที่มัตซึริกับมิสึรุนึกออกทันทีที่หลุดเข้ามาในห้องดนตรี...

    เสียงเปียโนเบาๆเป็นท่วงทำนองเศร้าบาดลึกกรีดใจคนฟัง...แม้มันจะเพราะมากๆ...แต่ทั้งสองคนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะฟังเพราะสถานกา รณ์เบื้องหน้ามันคับขันเข้าขั้นวิกฤติ

    “เธอจะดีดเปียโนให้มันได้อะไรขึ้นมา หา!”เสียงของร่างที่องศาคอแปลกๆตะโกนอย่างฉุนเฉียว ร่างนั้น ‘ลอย’ ไปใกล้ๆเด็กสาวที่นั่งอยู่ที่เปียโนซึ่งกำลังเริ่มสะอื้นฮัก

    “เอจิใจร้าย...ชีวิตฉันมีแค่เปียโนเท่านั้น...”

    “เธอไม่มีชีวิตแล้ว! แล้วฉันก็ไม่มีชีวิตด้วยเพราะเธอฆ่าฉัน นังโง่! แกทำลายชีวิตฉันพังยับเยิน!”

    “ฮืออออออ”

    “อย่ามาร้องไห้นะ น่ารำคาญ!”

    เสียงทะเลาะโหวกเหวกที่มัตซึริกับมิสึรุไม่มีความคิดอยากจะเข้าไปห้ามเลยสักนิด... พวกเขากำลังหลงมาอยู่ในเหตุการณ์ ‘ผีทะเลาะกัน’ ซึ่งถ้าในเวลาปกติได้ฟังคงจะขำ แต่ตอนนี้พวกเขาขำไม่ออก...

    ทั้งคู่หันมามองสบตากันเมื่อผีอีกสองตนเอาแต่ทะเลาะกันและไม่เห็นพวกเขาในสายตา... ความหมายที่สื่อในแววตาเรียกให้ทั้งคู่พยักหน้า ขณะที่กำลังจะหันหลังเตรียมเดินออกประตูไป ความสนใจที่พวกเขาไม่เคยอยากได้รับก็พุ่งมาหาแบบที่มัตซึริอยากจะร้องไห้

    “พวกนายดูยัยบ้านั่น”ร่างของผีหนุ่มประชิดแทบจะติดกับหน้าของมัตซึริ แถมยังชี้ไปทางผีสาวที่กำลังสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร ...ไม่พอ... ยังมีฟ้องต่อ...

    “นายดูนะ ยัยนั่นฆ่าฉันแล้วทำมาร้องไห้เสียใจ! นายว่าที่ฉันรำคาญผิดรึเปล่า!”ผีหนุ่มตะโกนอย่างหัวเสีย ซึ่งมัตซึริก็ได้แต่จำใจพยักหน้า...

    “ก็เอจินอกใจฉัน หลอกลวงฉัน ทั้งๆที่ฉันแค่รักเอจิเท่านั้น...”ผีสาวดูเหมือนจะทนให้อีกฝ่ายฟ้องอยู่ตนเดียวไม่ได้จึงรีบลอยมาอยู่ตรงหน้ามัตซึริ จ้องมองเด็กหนุ่มราวกับจะบอกว่าเธอไม่ผิด...

    “แล้วเธอรักฉันเลยต้องฆ่างั้นเหรอ!”ผีหนุ่มตะโกนคืน

    “นั่นเพราะเอจิหลอกลวงฉันต่างหาก”

    ศึกที่ท่าทางจะไม่จบง่ายๆเริ่มเปิดช่องว่างให้คนนอกถอยออกช้าๆ...

    มิสึรุเผ่นแน่บไปได้พักใหญ่แล้ว และคราวนี้ก็ถึงคราวที่เขาต้องโกยบ้าง... เด็กหนุ่มค่อยๆรอจังหวะเวลา... แล้วทันทีที่มั่นใจว่าผีทั้งสองคนไม่ได้สนใจเขาแน่ๆ มัตซึริก็รีบหันหลังแล้ววิ่งออกประตูไปไม่คิดรอฟังผลสรุปของการทะเลาะครั้งนี้












    สึโยชิไม่ได้โชคดีเหมือนมัตซึริกับมิสึรุที่วิ่งไปทางเดียวกัน...

    คราวนี้เด็กหนุ่ม ‘ฉายเดี่ยว’ ซึ่งไม่ได้ถือเป็นข้อดีเลยสักนิด! เขานึกสาปแช่งตัวเองที่ดันสติแตกจนลืมวิ่งไปทางเดียวกับสองคนนั่น สุดท้ายเลยได้แต่วิ่งคนเดียวอยู่ท่ามกลางความมืด...

    สึโยชิวิ่งไปเรื่อยๆจนสะดุดอยู่ที่ป้ายห้อง 1-A ห้องเรียนประจำที่คุ้นเคยเรียกรอยยิ้มจากเด็กหนุ่มก่อนที่เขาจะเปิดเข้าไปภายในหวังจะให้เป็นที่พักในคืนนี้...

    แต่แล้วฝีเท้าของเด็กหนุ่มก็สะดุดลง...

    ภายในห้องที่ควรจะว่างเปล่ากลับมีอาคันตุกะมาก่อนหน้าเขา... ร่างๆนั้นยืนอยู่ริมหน้าต่าง...แสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาส่องกระทบใบหน้าหล่อเหลาอันแสนจะคุ้นตา... อีกฝ่ายกระตุกยิ้มบางๆให้เขาที่ยังคงตะลึงค้างจ้องมองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา


    นารุมิ !
















    “ทำไมหอบขนาดนั้น? วิ่งหนีอะไรมารึไง?”น้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่นารุมิจะเดินตรงเข้ามาใกล้... สึโยชิถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทรุดลงบนพื้นด้วยความโล่งใจ

    “ก็...นิดหน่อย”เด็กหนุ่มตอบเลี่ยงๆเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะแซว ถ้าเกิดรู้ว่าเขาเพิ่งจะวิ่งหนีผีมา
    สึโยชิยันกายลุกขึ้นยืนอีกครั้งเมื่อนารุมิเดินเข้ามาประชิด ร่างโปร่งสบตากับอีกฝ่ายแว่บหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

    “แล้วนายมาที่โรงเรียนตอนค่ำมืดดึกดื่นขนาดนี้ทำไมเนี่ย?”

    “มาหานาย...”

    “หา?”สึโยชิเลิ่กคิ้วสูงเหมือนไม่ค่อยจะเชื่อหู เขาใช้นิ้วแยงหูแล้วเอ่ยถามซ้ำ “มาทำไมนะ?”

    “มาหานาย...”

    เพียงสิ้นคำ ใบหน้าขาวซีดก็พลันสุกก่ำขึ้นมาทันตา เด็กหน้าอ้าปากค้าง มองนารุมิเพียงแว่บ ก่อนจะรีบหลบตาด้วยความเขิน

    เล่นบ้าอะไรของมันวะ!

    สึโยชิเผลอก้าวถอยหลังเมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้... แต่แทนที่นารุมิจะหยุดเมื่อเห็นปฏิกิริยานั้นเด็กหนุ่มกลับยิ่งรุกไล่ จนสุดท้าย... หลังของสึโยชิก็ชนกำแพง...ไม่สามารถหนีได้อีกต่อไป...

    “ถ...ถอยไปหน่อยดิ่วะ เข้ามาใกล้ๆทำหอก...”แม้ใจจะสั่นแต่ก็ยังไม่วายปากเก่ง ร่างที่ห่างเพียงแค่คืบทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เรื่องผีที่เพิ่งเจอกระเด็นไปจากสมอง

    ดวงหน้าหล่อเหลาค่อยๆโน้มลงมาใกล้... ปลายนิ้วเรียวเชยคางของสึโยชิให้หันมาสบตา รอยยิ้มนุ่มนวลประดับบนริมฝีปากขณะขยับถ้อยคำที่คนฟังแทบไม่เชื่อหู...

    “รังเกียจฉันเหรอ สึโยชิ...”

    คำตอบของสึโยชิมีเพียงนัยน์ตาไหวระริกและเรือนแก้มร้อนผ่าว... ไอ้อาการอวดดีปลิวไปกับอากาศแล้วฟอร์มที่เพียรสะสมมาก็พังทลายลงอย่างน่าสมเพช...

    ...มันต้องกินยาผิดแหงๆ...

    ระหว่างที่สมองของสึโยชิยังตื้อตันจนคิดอะไรไม่ออกนารุมิก็ยิ่งขยับเข้ามาใกล้... นิ้วเรียวเลื่อนไปยังแก้มขาว... ดวงตาคมสวยแฝงความหมายลึกล้ำจนคนมองเกือบจะเป็นลม

    สึโยชิปรือปิดเปลือกตาเหมือนถูกสะกดเมื่อริมฝีปากบางสวยเคลื่อนเข้ามาใกล้... แม้จะรู้สึกว่ามันแปลกๆแต่หัวใจเจ้ากรรมมันดันไม่ฟังเสียง... เขาเพียงยืนนิ่งรอรับสัมผัสแผ่วๆที่ริมฝีปาก...

    แต่จู่ๆก็มีลมเย็นๆพัดวูบเข้าปะทะใบหน้า...

    ลมแปลกๆที่สึโยชิลองหรี่ตาขึ้นมองนิดหนึ่งก่อนจะแทบช็อคค้าง!

    เมื่อใบหน้าหล่อเหลาของนารุมิดันเกิดการเปลี่ยนแปลงกระทันหันแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า ปากที่ปกติควรอ้าได้ไม่กว้างมากแต่บัดนี้มันกินเนื้อที่ไปเกือบครึ่งหน้า ฟันซี่คมเรียงรายเต็มปากเหมือนปากฉลาม แล้วก่อนที่ร่างนั้นจะงับหัวเขา เด็กหนุ่มก็รีบเบี่ยงตัวไปทางซ้ายทันควัน!

    ฟันของไอ้ปิศาจฝังทะลุกำแพงเมื่อพลาดจากใบหน้าของสึโยชิ ร่างโปร่งอ้าปากค้าง ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้วนอกจากยันอีกฝ่ายให้พ้นตัวแล้วใช้ยอดวิชาที่ตนเองถนัดที่สุดคือ โกยหน้าตั้ง!
















    สึโยชิวิ่งสุดฝีเท้า เขาได้ยินเสียงแท่กๆๆ เร็วจี๋จากด้านหลังก็รู้แน่ว่าปิศาจตัวนั้นต้องตามมา สปีดเท้าที่เร็วอยู่แล้วจึงยิ่งติดสปีดเร็วขึ้นแบบที่ถ้าเป็นเวลาปกติก็สามารถบันทึกสถิติโลกได้สบายๆ

    เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวว่าวิ่งมาได้ไกลเท่าไหร่แล้ว... เขารู้แต่ว่า วิ่งๆๆ เพราะขืนโดนจับได้ก็ต้องจบชีวิตแหงๆ ร่างกายที่ฝืนมายาวนานจึงเริ่มเหนื่อยล้า เมื่อใกล้ถึงขีดสุด... สึโยชิจึงกลั้นใจลองเหลียวไปด้านหลัง...

    ไม่มี!

    โครม!!!

    เด็กหนุ่มล้มกลิ้งลงไปกับพื้นโดยไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่หันไปด้านหลังเลยไม่ทันเห็นว่าทางด้านหน้านั้นมี ‘ใครบางคน’ ยืนอยู่

    “ซุ่มซ่าม ไม่ดูตาม้าตาเรือ”

    คำด่าที่ฟังแล้วสะดุ้งวาบ...

    ไม่ใช่เพราะคำพูดมันเจ็บแสบอะไรหรอก...แต่เพราะน้ำเสียงนี่สิ...มันเหมือน...

    “อ๊ากกกกกกกกกก”สึโยชิตะโกนลั่นทันทีที่เหลียวไปเจอว่าคนที่เขาชนน่ะมันใคร ร่างโปร่งกระเด้งตัวขึ้นจากพื้น ตั้งหลักเตรียมวิ่งต่อแต่แขนแข็งแรงก็คว้าเขาไว้ได้เสียก่อน

    “เป็นบ้าอะไร? จะวิ่งไปไหนเนี่ย”

    “ปล่อย ปล่อยนะเว้ย ปล่อยยยยยย”สึโยชิตะโกนราวสิ้นสติ เขาพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนที่กระชับราวเอว ทั้งรัวกำปั้น ทั้งศอก จนท่าทางอีกฝ่ายชักจะทนไม่ไหวถึงได้ทิ้งเขาลงบนพื้นดัง โครม!

    “พี่! ใจเย็น”อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆรีบเข้ามาประคองเขาไว้ด้วยความตกใจ สึโยชิลองเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็แทบชะงัก

    อากิระ?

    “มาที่นี่ได้ไง?”

    ดูเหมือนหน่วยประมวลผลของเขาจะเริ่มเสื่อม อะไรๆมันถึงได้เบลอไปหมด เขามองเด็กหนุ่มที่ส่งยิ้มอยู่ตรงหน้าแล้วไล่ไปที่อีกคนซึ่งยืนหน้าบึ้งอยู่ไกลออกไป

    นี่อากิระ...งั้นโน้นก็...ตัวจริง?

    “นายนารุมิตัวจริงรึเปล่า?”แม้จะดูเป็นคำถามที่โง่สุดๆแต่สึโยชิก็หาคำพูดที่ดีกว่านี้ไม่ได้ เขาเห็นว่าอีกฝ่ายตีหน้าเคร่ง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเจือกระแสหงุดหงิด

    “ต้องมีตัวจริงตัวปลอมด้วยรึไง? ฉันก็มีของฉันอยู่คนเดียว นายน่าจะลองไปเช็คประสาทสักหน่อยนะ”

    ปากเสียอย่างนี้ตัวจริงชัวร์!

    แม้จะไม่ค่อยพอใจแต่สึโยชิก็โล่งอก ...เขาค่อยๆยันกายลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลพลางจ้องมองนารุมิที่บัดนี้กลับไปมีสีหน้าสงบราบเรียบ

    ...สงสัยหมอนี่จะเพิ่งกลับจากงานปาร์ตี้...เพราะดูจากเสื้อผ้าของทั้งนารุมิและอากิระแล้ว...ไม่เหมือนกับไอ้ตัวเมื่อกี้ที่เขา เจอเพราะหมอนั่นใส่ชุดนักเรียน...

    “ว่าแต่นายมาที่โรงเรียนทำไมป่านนี้?”สึโยชิถามด้วยความสงสัยพลางจัดชุดตนเองให้เข้าที่เข้าทาง

    “กลับมาเอาการบ้านให้ยูยะ ฉันลืมไว้ที่ห้องเรียน...”

    ห้องเรียน...

    ฟังคำนี้แล้วสึโยชิก็ได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เผลอชำเลืองไปทางด้านหลังอย่างไม่ได้ตั้งใจ...

    ง่ะ...แจ็คพอตแตก...













    สายตาของสึโยชิปะทะกับร่างๆหนึ่งซึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้... ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มบางๆชวนให้หนาวสันหลังวาบ สึโยชิรีบวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังนารุมิพลางดันเบาๆให้เด็กหนุ่มไปเผชิญหน้ากับคนหน้าคล้ายกันแทน
    คิ้วของนารุมิขมวดเป็นปมเมื่อเห็นร่างที่เข้ามาใกล้เต็มๆตา...ทั้งปาก...ตา...จมูก...มันเหมือนกับ...นารุมิ?

    อากิระมองพี่ชายสลับกับอีกร่างไปมา ปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างอย่างตะลึงพรึงเพริด พูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขาลองหันกลับไปทางสึโยชิที่เกาะหลังพี่ชายแน่น แล้วเห็นว่าฝ่ายนั้นรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน

    “ง่ะ...พี่นารุมิ”คำพูดที่เรียกสายตาของร่างนั้นและนารุมิที่อยู่ตรงหน้าให้หันกลับมาทางเขาพร้อมกัน เล่นเอาอากิระยิ่งมึนหนัก มองสลับไปสลับมาจนเวียนหัว

    “บอกให้ตัวจริงปล่อยออร่าน้ำแข็งเลยดิ่”แม้จะซุกอยู่ด้านหลังชาวบ้านแต่ปากของสึโยชิก็ไม่เคยอยู่สุข แต่เมื่อสบกับนัยน์ตาวาวๆของนารุมิ เขาเลยจำต้องหุบปากแบบไม่ค่อยเต็มใจ

    “แกเป็นใคร?”นารุมิที่ดูจะตั้งสติได้ดีกว่าเพื่อนเอ่ยถามร่างที่หน้าเหมือนตัวเองเด๊ะ!

    สึโยชิรู้สึกนับถือนารุมิเหลือเกิน ถ้าเป็นเขาเจอแบบนี้เข้า ไม่เสียเวลาพูดหรอก โกยไปได้ไกลแล้ว...
    คำถามของนารุมิที่ไม่ได้รับคำตอบ... เพราะอีกฝ่ายเพียงหยุดยืนนิ่ง ก่อนจะส่งยิ้ม... อวดเขี้ยวเต็มปากที่กินเนื้อที่ไปค่อนหน้า!

    แล้วก่อนที่ใครจะทันได้พูดอะไรคุณชายคาวามูระก็คว้ามือสึโยชิแล้วออกวิ่งไม่คิดชีวิต! และทิ้งให้น้องชายคนเดียวที่รู้สึกตัวช้าตามมาเพียงลำพัง…










    เสียงฝีเท้าย่ำหนักๆเป็นเพียงเสียงเดียวที่สะท้อนในระเบียงทางเดิน...

    สึโยชิโดนลากถูลู่ถูกังจนสะดุดขาตัวเองหลายครั้ง นารุมิวิ่งเร็วเหลือเชื่อ... ทั้งๆที่เขาว่าเขาไวแล้วแต่ก็เทียบไม่ได้กับหมอนี่ ฝีเท้าแสนรวดเร็วที่ตอนแรกเขาคิดว่าใช้ความหวาดกลัวเป็นพลังขับเคลื่อนถ้าไม่ติดที่ว่าใบหน้านารุมิยังคงสงบราบเรียบเหมือนเคย. ..

    “พี่... ผมจะไม่ไหวแล้ว”อากิระที่เร่งฝีเท้าตามมาข้างๆร้องอุทธรณ์ นารุมิเพียงเหลือบไปนิดเดียว...แค่นิดเดียวเท่านั้น...

    โครม!!!

    ร่างของเขาชนกับอะไรบางอย่าง แม้จะรู้สึกเจ็บก็ยังไม่ถึงกับล้ม แต่กลับมีเสียงดัง พลั่ก! เหมือนของหนักๆหล่นลงพื้นอยู่ทางด้านหน้า...

    “ว้ากกกกกกกกกกก”สึโยชิตะโกนลั่นเมื่อเห็นเงาคนตะคุ่มๆอยู่ด้านหน้า เด็กหนุ่มถอยหลังเตรียมวิ่งแต่ข้อมือแข็งแรงกลับยึดไว้เสียก่อน

    “นายดูซะก่อน...ว่าใคร?”นารุมิพูดเรียบๆพลางพยักเพยิดไปยังร่างสองร่าง ...ร่างหนึ่งตั้งท่าเตรียมวิ่ง ส่วนอีกร่างหนึ่งล้มอยู่บนพื้น... สึโยชิลองมองอย่างกล้าๆกลัว...

    “มิสึรุ!”เมื่อเห็นชัดถนัดตาเขาก็ตะโกนเสียงใส พยายามจะโผเข้าหาแต่กลับติดที่ข้อมือของตนเองที่ใครบางคนจับเอาไว้แน่น สึโยชิสลัดมันทิ้งอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะดึงมิสึรุที่กองอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นยืน

    “สึโยะจัง!”มิสึรุโผเข้ากอดสึโยชิแบบไม่มีพูดพร่ำทำเพลง จนอีกฝ่ายได้แต่หัวเราะขื่นๆแล้วลูบหัวตอบเบาๆ
    ...แม้นัยน์ตาของเขาจะเหลือบไปยังคุณชายคาวามูระซึ่งประกายตาฉายชัดถึงความหงุดหงิด...

    “ละ...แล้วเป็นไงมาไงอ่ะ”ร่างโปร่งดันร่างเล็กออกเบาๆ แล้วมองไปมัตซึริที่ยืนอยู่เบื้องหลัง

    เขาเพิ่งสังเกตว่าทั้งสองคนเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ...เหมือนกับ....

    แล้วเพียงสบตากันไปมาก็สามารถรู้กันได้โดยไม่มีคำพูด...มิสึรุเพียงพยักหน้าแล้วยิ้มแหยๆเหมือนจะยืนยันความคิดของสึโยชิที่ว่า

    พวกเขาก็ไปเจออะไรๆมาเหมือนกัน...

    “ฉ...ฉันว่าเราหาที่พักกันก่อนเถอะ”มัตซึริเอ่ยทำลายความเงียบ ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่มีการโต้แย้ง













    อากิระและนารุมิเลือกที่นั่งที่ติดกับตู้ใส่อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ พวกเขาใช้ห้องวิทยาศาสตร์เป็นที่ซ่อนชั่วคราวเพราะมันอยู่ใกล้ที่สุด และอีกเหตุผลหนึ่งคือ สึโยชิยืนกรานหนักแน่นว่าจะไม่ย่างกรายเข้าใกล้ห้องเรียนอีกเป็นอันขาด!

    อากาศยามค่ำคืนเย็นบาดผิว... สึโยชินั่งขดตัวจนแทบแทบจะเป็นก้อนกลม แม้ยังไม่เข้าฤดูหนาวแต่ตอนกลางคืนอย่างนี้อากาศก็เย็นเอาเรื่อง เขาลองสอดส่ายสายตาไปรอบๆหาที่อุ่นๆซุกตัวแต่สายตาก็พลันสะดุดอยู่ที่เสื้อสูทของใครคนหนึ่งซึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า

    ไม่มีคำพูดใดๆ...

    นารุมิเพียงยื่นเสื้อมาทางเขาโดยไม่แม้แต่จะมองหน้า และเขาเองก็ไม่กล้าเอื้อมรับ จนคนยื่นซึ่งยื่นค้างได้พักใหญ่เริ่มจะหงุดหงิด...

    “จะใส่รึไม่ใส่?”นัยน์ตาเย็นชา และน้ำเสียงก็ยังเย็นชา... สึโยชิสบตาเพียงแว่บเดียวก่อนจะรับเสื้อนั้นมาอย่างเสียไม่ได้

    “ทำเป็นอวดเก่ง เก๊กจริงโว้ย”เขาสบถหงุบหงิบในลำคอแม้จะห่อตัวอยู่ใต้เสื้อตัว

    เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของอากิระที่เฝ้ามองมาโดยตลอด...

    เด็กหนุ่มลอบยิ้มพลางสะกิดแขนพี่ชายตนเอง นารุมิเพียงเหลือบมาเล็กน้อย และขณะที่อากิระกำลังจะเอี้ยวตัวไปกระซิบ เขาก็พบว่าแขนของเขา ...ติด...?

    อากิระเหลือบไปทางแขนซ้ายของตนก่อนจะเลิ่กคิ้วสูง เมื่อพบว่าแขนเสื้อของเขาจู่ๆก็ถูกหนีบด้วยประตูตู้ใส่อุปกรณ์วิทยาศาสตร์? ทั้งๆที่ตอนเขาเข้ามามันก็ปิดสนิทมาตลอด

    เด็กหนุ่มลองพยายามดึงมันออก แต่ดึงเท่าไหร่เหมือนมันจะยิ่งติดแน่นจนผิดสังเกต ร้อนถึงนารุมิต้องขยับเข้ามาช่วยดูให้ ระหว่างที่สองพี่น้องกำลังจะพยายามแซะแขนเสื้อออกจากตู้ เสียงครืด เบาๆก็เรียกความสนใจจากทุกคน...












    สหายผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย...

    มิสึกิยืนนิ่งอยู่หน้าประตู เด็กหนุ่มยังคงอยู่ในชุดคลุมสีดำสนิทที่ปกปิดหน้าตามิดชิด แต่ถึงอย่างนั้น... ทุกคนกลับรู้สึกได้ว่าหน้าตาของมิสึกิตอนนี้จะต้องซีดมากๆ...

    “ทุกคน...อยู่กันครบสินะ”น้ำเสียงของมิสึกิสั่นเทา เรียวแขนขาวที่โผล่พ้นผ้าคลุมยิ่งสั่นหนัก และเพียงเด็กหนุ่มก้าวเข้ามาในห้อง ...แค่ก้าวแรก... ทุกคนก็รู้ทันทีถึงสาเหตุการสั่นของมิสึกิ...

    เพื่อนเก่าตัวเดิมที่ทำให้วงล้อมแตกกระเจิงยังคงไม่ไปไหน... ดูท่าจะรักมิสึกิมากๆเพราะตอนนี้หมอนั่นเกาะหนึบอยู่ที่ไหล่ของมิสึกิ พร้อมด้วยอาการ...ร้องไห้...

    ทุกคนเบิ่งตากว้างพลางขยับถอยกรูดออกจากมิสึกิทันควัน นารุมิคว้ามือของสึโยชิโกยออกจากประตูเป็นคนแรกตามไปติดๆด้วยมิสึรุและมัตซึริ และแน่นอน... อากิระก็อยากจะวิ่งเหลือใจแต่ดันติดที่ว่าเขาวิ่งไม่ได้...

    ในเมื่อเหลือเป้าหมายเพียงคนเดียวมิสึกิก็รีบตรงปรี่เข้ามาใกล้ อากิระถอยกรูดชิดตู้ พยายามไม่มองไอ้ตัวข้างหลังที่มันยื่นหน้ามาใกล้ๆเขา...

    “นาย...แขนเสื้อติดตู้เหรอ เดี๋ยวช่วยนะ”น้ำเสียงของมิสึกิดูแสนจะหวังดี แต่อากิระอยากจะปัดทิ้งเหลือหลาย เขายิ้มแหยๆให้มิสึกิที่ใจดีผิดไปกว่าทุกครั้งพลางใช้มือขวาดันอีกฝ่ายออก

    “ขอบคุณมาก...แต่ไม่เป็นไร ไปเถอะ”แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ยอมไปง่ายๆ เพราะอากิระเป็นความหวังเดียวที่ยังเหลืออยู่ แม้จะไม่ชอบหน้ากันมากแค่ไหนแต่เขาก็เลือกที่จะอยู่ด้วยมากกว่าไอ้ตัวข้างหลังแน่ๆ

    มิสึกิก้มลงดึงแขนเสื้อที่ติดแน่นอยู่กับประตูตู้ และแน่นอน... ตัวที่เกาะอยู่ข้างหลังก็ก้มตามด้วย ก้มลงมาใกล้... ใกล้จนห่างจากหน้าของอากิระแค่ฝ่ามือเดียว...

    ไม่ไหวแล้ว!

    อากิระกระชากแขนจนผ้าขาดเป็นรอยยาว เด็กหนุ่มรีบผุดลุกขึ้นเตรียมชิ่งด้วยความเร็วสูงแต่มิสึกิกลับรวบขาทั้งสองข้างของเขาไว้จนแทบหน้าทิ่มลงพื้น

    “ไปด้วย!”

    “ปล่อยเว้ยยยยย!”อากิระขยับดิ้นให้หลุดจากการเกาะติดของมิสึกิ ทั้งใช้สองมือผลัก ดันสุดแรงแต่มือปลิงของมิสึกิก็ไม่ยอมหลุด ทั้งสองคนต่อสู้กันอีรุงตุงนังจนไม่สังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น...

    ฮืออออออ

    การต่อสู้หยุดชะงักลงแทบจะทันทีที่เสียงร้องไห้แว่วเข้าสู่โสตประสาท สองคนต่างสบตากัน แล้วโดยไม่ต้องนัดหมาย ทั้งมิสึกิและอากิระก็หันขวับไปทางเพื่อนเก่าตัวเดียวในห้อง...

    บัดนี้ร่างนั้นไม่ได้เกาะอยู่ที่ไหล่มิสึกิอีกต่อไป...

    ฟังแล้วเหมือนจะดี...แต่ทว่า...มันแย่ยิ่งกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...

    เมื่อบัดนี้ร่างนั้นไม่ใช่ตัวเดียวอีกต่อไป เพราะด้านหลังมีชุมนุมผีอีกสี่ตัวยืนเรียงกันอยู่ และต่างส่งยิ้มให้ทั้งสอง ที่บัดนี้หน้าซีดจนไร้สีเลือด!

    “ชุนเมียว ไดเกียว ชินเปียว โยเกียว เนมู ฮินเมียว ....”มิสึกิพึมพำงึมงำพลางถอยกรูดไปอีกฝากห้อง เรียกสายตาของอากิระให้หันมามองด้วยความงุนงง

    “สวดอะไร...นายสวดเป็นใช่ไหม”

    “ไม่เป็น มั่วโว้ยยย! โอมมมม ชินเมียว โซเกียว ไดเมียว เพี้ยงๆๆๆๆๆๆ”

    ท่าทางบทสวดของมิสึกินอกจากจะไม่ได้ผลแล้วยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปกว่าเดิม เพราะยิ่งสวดอีกฝ่ายยิ่งขยับเข้ามาใกล้...เข้ามา...แล้วก่อนที่ฟันเขี้ยวของไอ้ตัวที่หน้าเหมือนพี่ชายเขาจะก้มลงเฉาะหัวมิสึกิ อากิระก็ใช้เท้ายันร่างของมิสึกิให้พ้นรัศมีแล้วตั้งหลักโกยอ้าวไม่คิดชีวิต!















    “ไอ้ตัวซวย แกถอยออกไปเดี๋ยวนี้!”อากิระใช้ศอกกระทุ้งร่างของมิสึกิให้พ้นทาง แต่อีกฝ่ายกลับหลบทันแถมยังประเคนหลังมือมาให้เป็นการตอบแทน ยิ่งทำให้อากิระหงุดหงิดขึ้นเป็นทวีคูณ

    อากิระที่ปกติสุภาพอยู่เสมอบัดนี้กลับสลัดคราบไม่เหลือเค้า ส่วนหนึ่งมาจากอาการไม่ถูกชะตาของเด็กหนุ่มกับมิสึกิที่มีมาแต่เก่าก่อน แถมเหตุการณ์วันนี้ยิ่งทำให้อากิระรู้สึกอยากฆ่าอีกฝ่ายขึ้นมากะทันหัน

    เจอหมอนี่ทีไรซวยทุกที!

    เสียงหัวเราะผสมร้องไห้ยังคงไล่หลังมาไม่ห่าง ระเบียงทางเดินของโรงเรียนนี้ก็ยาวเสียเหลือเกิน...ยาวจนผิดปกติ... ผิดปกติมาก... เพราะถ้าจำไม่ผิดเขาวิ่งบนระเบียงนี้มาได้เกือบครึ่งชั่วโมงแต่ยังไม่เห็นปลายทางเลยด้วยซ้ำ!

    ไวเท่าความคิด! อากิระหักเลี้ยวไปยังประตูที่ใกล้ที่สุด เปิดผางออกก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปข้างในแล้วปิดประตูไล่หลัง ร่างสูงหอบฮั่ก มือที่กำบานเลื่อนชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อซ้ำยังสั่นเทา แต่ในอาการนั้นยังแทรกด้วยความยินดีลึกๆที่สามารถหนีฝูงผีภายนอกพ้นจนได้

    “เฮ้ออออ”อากิระถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกแขนขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ใบหน้า ในขณะที่กำลังเอี้ยวตัว...สายตาก็พลันเหลือบไปเห็น...

    “เฮ้ย!!!”เด็กหนุ่มร้องลั่นเมื่อสบสายตาเข้ากับมิสึกิที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ร่างในชุดคลุมสีดำสนิทนั่นใช้มือยันเข่าตนเองพลางหอบหายใจอย่างหนัก ท่าทางจะไม่เหลือแรงมากพอจะพูดตอบเขาด้วยซ้ำ

    แต่ความใจดีของอากิระหมดลงไปนานมากแล้ว เด็กหนุ่มเดินเข้าไปประชิดร่างของมิสึกิก่อนจะใช้มือกระชากผ้าคลุมอย่างหงุดหงิด

    “เข้ามาได้ไงวะ ออกไปเดี๋ยวนี้เลย อยู่กับนายทีไรมีแต่เรื่องซวย!”

    “จะออกไปได้ไงล่ะ บ้าเห.....”แต่คำสุดท้ายของมิสึกิหายไปในลำคอ... เด็กหนุ่มมองไปทางด้านหลังของอากิระ ริมฝีปากอ้าค้างคล้ายตกตะลึง

    อาการที่อากิระเห็นก็รู้ทันทีว่าที่ด้านหลังเขาน่ะ...มีอะไร...

    ไม่มีแม้แต่เสี้ยวความคิดที่จะเหลียวหลัง...อากิระค่อยๆกระเถิบกายไปทางขวา ก่อนจะรีบเลื่อนบานประตูที่เพิ่งเข้ามาเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว!

    ตึง!

    อากิระแทบจะหงายท้อง เมื่อเปิดประตูแล้วพบกับเจ้าเพื่อนเก่ากลุ่มเดิมที่อยู่กันครบครัน แถมยังส่งยิ้มกว้างมาให้จากหน้าประตู ...แต่ละตัวยิ้มสวยซะ...กว้างซะถึงหู... เล่นเอาอากิระต้องรีบปิดประตูด้วยความเร็วเหนือแสงแล้วหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว

    ตึง!

    มันมาไวมาก...

    อากิระแทบจะร้องไห้ซะตรงนั้น เมื่อหันหลังกลับมาแล้วพบเพื่อนเก่าห้าตัวเดิมกำลังส่งยิ้มแฉ่งมาให้เหมือนเมื่อกี้ไม่มีผิดเพี้ยน เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามิสึกิที่ยืนอยู่ข้างๆรีบเขยิบเข้ามาใกล้จนเขาต้องกระซิบด่าลอดไรฟัน

    “เมื่อกี้แกทำตาโตทำหอกไรวะ...”

    “ก็เมื่อกี้เจอ”

    “แล้วทำไมตอนฉันเปิดประตูไปมันเจอเหมือนกันเล่า!”

    “ก็ตอนแรกมันเจอตัวเดียว...แต่พอนายหันมาอีกทีมันเพิ่มมาครบห้าอ่ะดิ่”

    ความผิดของเขาใช่ไหมนี่?!

    อากิระสบถพำก่อนจะค่อยๆคลำหาบานเลื่อนที่อยู่ด้านหลังแต่สายตายังไม่ละไปจากเจ้ากลุ่มขี้ตื๊อเบื้องหน้า เด็กหนุ่มปั้นยิ้มฝืดที่สุดในชีวิต เหงื่อไหลอาบร่างทั้งๆที่อากาศนั้นหนาวเย็นจนรู้สึกยะเยือก

    อากิระเพิ่งสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวที่เคยเกาะมิสึกิไม่ยอมละสายตาไปจากมิสึกิ... ใบหน้าของเจ้าตัวนั้นหม่นเศร้า แถมยังค่อยๆขยับเข้ามาใกล้...เรื่อยๆ...

    ระหว่างที่อากิระกำลังชั่งใจว่าจะถีบส่งมิสึกิไปก่อนแล้วตนเองค่อยหนีดีรึเปล่า มิสึกิก็ดันไวกว่าเขา... เพราะทันทีที่ไอ้เจ้าเพื่อนเก่ามิสึกิเข้ามาใกล้รัศมี ขาของหมอนั่นก็ยันพรวด ส่งร่างของอากิระที่ไม่ทันตั้งตัวโถมเข้าใส่ร่างที่ตรงเข้ามาทันที!

    “ไอ้ชั่วเอ๊ย!”อากิระสบถลั่น ยังดีที่ตนเองเคยเรียนศิลปะป้องกันตัวมาเยอะสัญชาตญาณเลยไวกว่าอีกคนมาก เด็กหนุ่มทรงตัวได้ทันก่อนจะถลาไปทั้งตัว ในขณะเดียวกันก็ใช้มือเอื้อมไปด้านหลังแล้วจับผ้าคลุมของมิสึกิไว้ ก่อนจะออกแรงกระชากแล้วเหวี่ยงไปทางกลุ่มผีแทนตัวเอง!

    แต่ที่ถูกเหวี่ยงไปทางนั้นกลับมีแต่ผ้าคลุม... มิสึกิสลัดผ้าคลุมทิ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เขารู้แต่ว่าไอ้เจ้าของผ้าคลุมรีบวิ่งออกจากห้องไปด้วยความเร็วสูงและเขาก็รีบวิ่งตามไปติดๆ ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาวิ่งจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าแสงสว่างรำไรเริ่มจับที่ตรงขอบฟ้า...






    @@@@@@@@@@@@@@@







    “พ...พอก่อน...วิ่งไม่ไหวแล้ว”มิสึกิพูดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่วิ่งมาได้พักหนึ่ง เด็กหนุ่มจับชายเสื้อของอากิระไว้แน่นแทนหลักยึด ก่อนจะหอบหายใจเหมือนจะขาดใจเสียให้ได้

    อากิระรีบลากมิสึกิที่เหมือนจะเป็นลมเข้าห้องเรียนที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที เพราะตัวเขาเองก็ใกล้จะไม่ไหวเหมือนกัน...

    อากิระนอนพังพาบลงบนพื้นอย่างสิ้นสภาพ เหงื่อไหลอาบร่างจนเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจหนักๆอัดอากาศเข้าปอดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    “ถ้าพวกมันมา...บอกด้วยนะว่าฉันวิ่งต่อไม่ไหวแล้ว”อากิระเอ่ยบอกกับมิสึกิที่ยังยืนหอบอยู่ตรงปลายเท้าเขา อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร...หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ...ไม่มีแรงพอที่จะพูดอะไรออกมาได้ …

    ในขณะที่มิสึกิพยายามจะเดินไปหาที่ว่างๆนั่งพัก ขาเจ้ากรรมดันเกิดทรยศหมดแรงเอาเสียดื้อๆ ร่างทั้งร่างของเด็กหนุ่มล้มคว่ำ แถมยังซวยซ้ำซวยซ้อน ล้มลงบนร่างของอากิระจนหน้าแทบจะชนกัน ถ้าไม่ติดแขนของเบื้องล่างที่ยันไว้เสียก่อน...

    เรือนผมที่เคยปิดหน้าปิดตาไปเกือบครึ่งบัดนี้ไม่มีผลอะไรเลยเมื่ออีกฝ่ายก้มลงมาใกล้...และห่างกันเพียงปลายจมูก...

    ใบหน้านั้นยังคงชวนมองเหมือนเคย... ไม่ใช่สวย... ไม่ได้น่ารัก... แต่กลับมีเสน่ห์ชวนมองเหมือนเมื่อครั้งแรกที่อากิระเคยเห็น...

    บรรยากาศรอบด้านเหมือนตกอยู่ในห้วงมนต์...

    นัยน์ตาสองคู่ประสานกันคล้ายตกอยู่ในภวังค์ ภาพความทรงจำเมื่อครั้งแรกที่เจอกันวิ่งมาเหมือนภาพทับซ้อน แม้จะไม่ใช่เหตุการณ์ที่สวยงาม และไม่ใช่เหตุการณ์ที่เลวร้าย แต่กลับติดตรึงอยู่ในความทรงจำอย่างน่าประหลาด...

    แกร๊ก...

    เสียงคล้ายๆโลหะกระทบพื้นปลุกอากิระให้ตื่นจากภวังค์ เด็กหนุ่มสอดส่ายสายตาหาต้นเสียง ก่อนจะสะดุดค้างเมื่อพบกับตะปูตัวเล็กอีกตัวที่ร่วงลงมาจากกระเป๋าของมิสึกิ

    แกร๊ก... ครึ่ก... แกร้ง...

    เสียงร่วงลงมาเป็นชุดที่อากิระอ้าปากค้าง และอีกร่างก็สะดุ้งไม่แพ้กัน ต่างฝ่ายต่างรีบผละออกจากกัน ก่อนที่อากิระจะเบิกตาโตเมื่อไล่สายตาสำรวจไอ้ของมากมายมหาศาลที่หล่นลงมาจากซอกมุมต่างๆของร่างกายมิสึกิ

    ตะปู...ตุ๊กตาฟาง...ด้ายเปื้อนเลือด...ยันต์...

    เฮ้ย!

    อากิระแทบช็อคค้างเมื่อไล่สายตาไปเห็นตุ๊กตาฟางที่มีชื่อของเขาเขียนไว้ แถมมีตะปูตอกตรงตำแหน่งของหัวใจ ซึ่งมิสึกิรีบคว้ามันกลับคืนไปอย่างรวดเร็ว
    แต่อากิระกลับไม่รั้งแม้แต่นิด...เพราะเขาไปเจอไอ้ที่มันน่าสนใจกว่า...


    ...ยันต์แผ่นสีแดงเลือด...ที่มีข้อความเขียนว่า...

    ‘เรียกวิญญาณ’


    “ที่วิญญาณมันตามมาทั้งคืนเพราะแกจริงๆด้วย!!!”

    “ไม่ใช่!เพราะยันต์ต่างหาก!”มิสึกิยังคงแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆทั้งๆที่หลักฐานมันมัดตัวอยู่ทนโท่

    ทั้งสองทะเลาะกันไปมาจนไม่รู้สึกตัวเลยว่าบัดนี้แสงสีทองเริ่มจับที่เส้นขอบฟ้า... แปรเปลี่ยนค่ำคืนที่มืดสนิทสู่แสงสว่างที่ทาทาบไปทั่วอาณาบริเวณ และแปรเปลี่ยนจากความหนาวเย็น... สู่ความอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิ...




    ...สิ้นสุดคืนฮัลโลวีนเสียที...












    ส่งท้าย...


    มิสึรุ มัตซึริ นารุมิ และสึโยชิ ยืนเรียงแถวหน้ากระดานมองไปยังอาคารเรียนที่ยังคงมืดสนิท ต่างฝ่ายต่างสบตากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไรเลยนอกจากยิ้มแห้งๆ

    “เอาไงดีอ่ะ...พี่มิสึกิกับอากิระคุงยังอยู่ข้างในเลย...”

    มิสึรุพูดพลางมองไปยังอีกสองคนที่ได้แต่ยิ้มฝืดๆ ส่วนนารุมิยังคงนิ่งสนิท แถมดูท่าจะกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

    “ใกล้เช้าแล้ว...”มัตซึริยกนาฬิกาขึ้นมองก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

    พวกเขายืนจดๆจ้องๆอยู่ตรงนี้มาได้พักใหญ่แล้วโดยไม่ได้ทำอะไรเลย ใจจริงก็ห่วงผู้โชคร้ายสองคนที่ยังติดแหง่กอยู่ในอาคาร ส่วนอีกใจก็นึกห่วงความปลอดภัยของตัวเองถ้าจะเข้าไปตามจริงๆ...

    นารุมิยกนาฬิกาขึ้นมองบ้าง คิ้วสวยขมวดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแต่จู่ๆก็กลับชะงัก นัยน์ตาจับจ้องไปยังบานหน้าต่างจนทุกคนต้องรีบมองตาม…


    ร่างห้าร่างยืนเรียงกันอยู่ที่ชั้นห้าของตึก...

    ร่างห้าร่างที่แสนจะคุ้นตายืนมองพวกเขาทั้งสี่คนพลางแสยะยิ้มมาให้...

    สึโยชิขนลุกเกรียวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า รีบขยับกายเข้าหานารุมิที่ยืนอยู่ใกล้สุดโดยอัตโนมัติ

    แสงอาทิตย์เริ่มไล่เข้ามาใกล้ขึ้นทุกที... เวลาเช้าที่ใกล้จะมาเยือนยิ่งเรียกให้ร่างห้าร่างนั้นแสยะยิ้มกว้างกว่าเก่า ...พลางยกมือขึ้นมาโบกลา... แล้วหายไปพร้อมกับแสงสีทองที่ขับไล่ความมืดมิดให้จางลงไป...

    “กลับ”คำพูดง่ายๆสั้นๆของนารุมิเรียกให้ทุกคนหลุดจากภวังค์ เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังรถสีดำคันหรูที่จอดนิ่งอยู่หน้าโรงเรียน ก่อนจะพยักเพยิดเป็นเชิงให้ทุกคนเข้าไป

    “แล้วไม่รออากิระคุงเหรอ?”มิสึรุถามพลางยิ้มแหย แต่คุณชายคาวามูระเพียงยักไหล่

    “มันดูแลตัวเองได้น่ะ ขึ้นรถเถอะ”

    “ฉ...ฉันรอพี่มิสึกิตรงนี้ดีกว่า”

    “ตามใจ...สึโยชิขึ้นรถ”

    “ฉันจะรอเป็นเพื่อน...”

    “ขึ้นรถ!”

    อะไรวะ! สึโยชิสบถในใจเมื่อคุณชายคาวามูระดันเกิดของขึ้นกะทันหัน นัยน์ตาคมวาวจ้องเด็กหนุ่มเหมือนจะแทงไปถึงไขสันหลังยิ่งทำให้สึโยชิไม่กล้าปฏิเสธ

    เอาแต่ใจชิบ!

    ถึงจะบ่นแต่สึโยชิก็ขึ้นรถไปอย่างว่าง่าย แม้จะยังบ่นอะไรงุบงิบแทบจะตลอดทาง...






    ****END***






    เป็นตอนพิเศษที่แต่งไว้สัก 2-3 ปีก่อน-*- เหมือนๆจะเป็นเกริ่นนำคู่อากิระ มิสึกิ ที่บูมเปรี้ยงปร้าง หึหึ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×