คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : Nor like 28 Heart revelation[B]
28 Heart revelation[B]
ปัง!
นารุมิยืนตะลึงค้างอยู่กับที่ ...ภาพที่เห็นตรงหน้าเล่นเอาเขาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เด็กหนุ่มเหลียวไปมองยังร่างที่ยังสั่นพั่บหลับตาแน่นพลางขยับยิ้มกว้าง
“นายมาดูประตูสู่โลกวิญญาณสิ”นารุมิเดินเข้าไปกระซิบข้างหูคนที่นั่งหลับตาปี๊พลางเอามือปิดหูแน่น สึโยชิส่ายหัวแทนคำตอบเรียกให้คนที่เห็นหลุดขำออกมาพรืดใหญ่
“มานี่ สึโยชิ”ว่าแล้วก็ดึงแขนของคนที่ยังฝืนดื้อดึงออกไป
สึโยชิรู้สึกว่าตัวเองโดนลากผ่านประตูบานเลื่อนออกไปยังอีกฝั่ง ลมเย็นๆพัดโดนผิวจนหนาวเยือก กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างโชยมาแตะจมูก แต่เขายังไม่กล้าลืมตา...
“ลืมตาได้แล้ว ไม่มีอะไรน่ากลัวสักหน่อย”
“ไม่!”สึโยชิยืนยันเสียงแข็ง เขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ
“ตามใจนาย...”
แล้วนารุมิก็ไม่พูดอะไรอีก...
สึโยชิขยับตัวขยุกขยิก ใจหนึ่งก็อยากลืมตา แต่อีกใจก็ไม่กล้า... เด็กหนุ่มลองเอื้อมๆมือไปข้างหน้า เขาก็พบแต่เพียงความว่างเปล่า
“ฉันล่ะเชื่อนายจริงๆ”นารุมิหลุดขำ
แล้วก่อนที่สึโยชิจะทันได้ตั้งตัว... นารุมิก็เอื้อมโอบร่างของเขาไว้แน่นก่อนที่จะพยายามถ่างตาของเขาให้เปิดออก
เด็กหนุ่มดิ้นขลุกขลัก ก้มหลบมือที่พยายามดึงหนังตาของเขา แต่จะหนีก็หนีไม่ได้เพราะแขนของนารุมิกันไว้สองด้าน สุดท้าย หลังจากที่สู้กันพักใหญ่ สึโยชิก็จำใจลืมตาขึ้น
นี่เป็นสิ่งที่สึโยชิไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบเห็น...
ทุ่งดอกอะไรบางอย่างบานสะพรั่งชูช่อกินเนื้อที่เกือบสิบเมตร... กลีบดอกบอบบางสีขาวสะอาดแข่งกันชูช่อต้านลมหนาว กลิ่นหอมอ่อนๆโชยมาแตะจมูก ปลอบประโลมความหวาดกลัวในหัวใจให้คลายลง...
“นี่มัน...”
“ทุ่งดอกป๊อปปี้”นารุมิกระซิบตอบ ดูเหมือนมันจะแตะเศษเสี้ยวความทรงจำอันเลือนรางของสึโยชิ...
“ดอกป๊อปปี้...สีขาว”เขาเอ่ยทวนกับตนเอง ภาพความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมาในมโนภาพเรียกให้หัวใจของเขากระตุกวูบ
“มันเป็นดอกไม้ที่แม่ของมิสึกิชอบ...”น้ำเสียงแผ่วหวิวคล้ายจะกล่าวกับตนเองมากกว่าใครอื่น
และห้องนี้ก็เป็นห้องเก่าของแม่มิสึกิ...เขาลืมไปได้ไงนะ
ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะกระจ่างชัดขึ้นมาทันตา... สึโยชิเหม่อมองออกไปยังทุ่งดอกไม้ ....รอยยิ้มอ่อนโยนค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าแบบที่ไม่มีใครเคยเห็น...
และเรียกให้หัวใจของนารุมิเต้นรัว...
แม้จะเป็นหน้าร้อนแต่อากาศบนเขาก็ยังหนาวเย็น... สึโยชิห่อตัวเมื่อลมเย็นๆพัดปะทะผิวกาย เขาสูดกลิ่นหอมๆของดอกไม้และตกอยู่ในความทรงจำเก่าครั้งจนไม่รู้สึกว่าอ้อมกอดด้านหลังเริ่มกระชับแน่นขึ้น...
นารุมิรู้สึกเหมือนตนเองกำลังโดนมนต์สะกดจากร่างเบื้องหน้า กลิ่นแชมพูจางๆให้ความรู้สึกสดชื่นและหอมกว่าทุ่งดอกไม้เบื้องหน้าเสียอีก... ความอบอุ่นจากแผ่นหลังของคนในอ้อมกอดทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหว แม้แต่ครั้งที่มีอะไรกัน...หัวใจเขาก็ไม่เคยหวั่นไหวขนาดนี้... ทั้งๆที่หมอนี่ก็ไม่ได้ทำอะไรสักนิด เพียงแค่นั่งเฉยๆ ...และยิ้มเท่านั้น...
การควบคุมตัวของเขาก็แหลกสลายลงไม่มีชิ้นดี...
“นายรู้ความหมายของดอกป๊อปปี้สีขาวรึเปล่า”น้ำเสียงกระซิบข้างๆใบหูเรียกให้สึโยชิหน้าขึ้นสี เขาสะดุ้งเฮือกรีบขยับจะผละออกแต่แรงมือกลับกระชับรอบกายมากยิ่งขึ้น เด็กหนุ่มไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าอ้อมกอดนั้นกระชับแน่นขนาดนี้ ...แถมนัยน์ตานั่น...
“ปล่อยสิวะนารุมิ”เขาก้มหน้าก้มตาพูด รอยแดงพาดผ่านไปจนถึงใบหูเมื่อปลายจมูกโด่งฝังลงกับกลุ่มผมพลางสูดกลิ่นหอมจางๆ
“ฉันถามว่า นายรู้รึเปล่า?”ริมฝีปากเลื่อนไปที่เรือนแก้มจนคนดิ้นเริ่มมือไม้สั่น สีแดงจางๆลามไปถึงลำคอ
“จะไปรู้ได้ไงล่ะ!”
“ฉันหลงรักคุณเข้าแล้ว...”
คำพูดที่เรียกให้สึโยชิเงยหน้าขึ้นมอง เขาสบตากับนารุมิที่กำลังจ้องมองนิ่งๆ เพียงแค่นั้นเด็กหนุ่มก็ต้องรีบก้มหลบอย่างรวดเร็ว
“ความหมายของดอกป๊อปปี้สีขาวคือ...ฉันหลงรักคุณเข้าแล้ว ”นารุมิกระซิบซ้ำข้างๆใบหูจนสึโยชิมือสั่นเหมือนจับไข้ เขาฝืนหัวเราะเสียงแห้ง
“อ่า....เหรอ...ความหมายดีนะ”สึโยชิพูดติดตลกทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ขำ อ้อมแขนนั้นยิ่งโอบกระชับและสึโยชิก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นลม หัวใจนั้นเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมานอกอก ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นจุดหลากสีพร่าเลือน...ที่แจ่มชัดนั้นมีเพียงใบหน้าได้รูปของใครคนนั้นซึ่งโน้มลงมาใกล้...
โอย! ตูเป็นบ้าอะไรวะเนี่ย!
แล้วจุมพิตเบาก็เรียกสติของสึโยชิให้กระเจิดกระเจิง... เหมือนทั้งร่างของเขาโดนไฟช็อต ไม่รับรู้อะไรอีกนอกจากริมฝีปากที่โน้มลงมาสัมผัสซ้ำ
ทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวาน...
สึโยชิเอื้อมโอบรอบคอของนารุมิ เหตุผลและทิฐิถูกกระชากออกจากร่างเหลือไว้เพียงความรู้สึกจากส่วนลึกของจิตใจ...ทันทีที่ถอนริมฝีปาก ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกัน และไม่มีใครพูดอะไรอีก...
นารุมิช้อนร่างของสึโยชิเข้าไปในห้องและวางลงบนฟูก ...ฟูกเพียงที่เดียวถูกปูเตรียมไว้เหมือนรู้งานแต่ทั้งคู่ไม่ได้สนใจในข้อนี้อีก เมื่อริมฝีปากร้อนๆเริ่มไล่ไปตามลำคอ ความรู้สึกเหมือนถูกหยุดไว้ที่ทุกๆที่หมอนั่นสัมผัส และความรู้สึกนั่นเป็นเพียงอย่างเดียวที่สึโยชิเพิ่งแน่ใจ
เขาหลงรักคาวามูระ นารุมิ...
สึโยชิพยายามเพ่งความสนใจไปยังประตูสุดความสามารถ และพยายามคิดว่าเจ้าของดวงตาร้อนแรงบนร่างเขาเนี่ย...เป็นแค่ภาพลวงตา...ใช่...
เป็นภาพลวงตาที่หล่อเอาซะมากๆด้วย...
“อ...อือ...”
เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงเมื่อได้สติว่าตัวเองส่งเสียงร้องประหลาดๆออกไป เขาเม้มริมฝีปาก เพิ่มดีกรีจากการเตือนตัวเองกลายเป็นสะกดจิตอย่างรวดเร็ว
อย่าเคลิ้ม...ใจเย็นๆ
ใบหน้าของสึโยชิร้อนผ่าวและแดงก่ำ มือไม้สั่นไม่หยุดจนเขาคิดว่าถ้ามันยังไม่จบเร็วๆ เขาอาจจะเป็นลมไปก่อนก็ได้...
ปลายนิ้วร้อนไล้สัมผัสไปทั่วร่าง... เมื่อลากผ่านบริเวณใด อุณหภูมิก็พลันร้อนขึ้นโดยไม่อาจควบคุม ริมฝีปากบางเม้มแน่นสะกดกลั้นเสียงร้องในลำคอ มือสองข้างกำหมอนไว้เป็นหลักยึดไม่ให้ตัวเองหลุดร่วงลงไปในหลุมที่อีกฝ่ายบรรจงขุดขึ้น...
“สึโยชิ...”น้ำเสียงเบาๆข้างใบหูเรียกให้ความร้อนลามไปทั่วใบหน้า เด็กหนุ่มหลับตาแน่น มือไม้สั่นพั่บยิ่งกว่าเก่า
ความอบอุ่นประทับที่ริมฝีปากอย่างนุ่มนวล... ความร้อนลากไล่ไปที่แก้ม ก่อนจะวนกลับมาที่ริมฝีปาก วนเวียนหยอกล้อแต่ไม่รุกราน เป็นสัมผัสแผ่วจางหากแต่ว่าทุกครั้งกลับประทับลึกลงกลางใจ...
“ลืมตาสิ สึโยชิ...”
น้ำเสียงนั้นเหมือนสะกดจิต...
เด็กหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นเชื่องช้า... เขาสบตากับอีกคนแว่บเดียวก่อนจะเบือนไปมองทางอื่นทันควัน และเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากนารุมิ
แก้มของสึโยชิที่ตอนแรกร้อนจนเกือบจะไหม้บัดนี้อุณหภูมิเริ่มทะลุไปจนถึงจุดเดือด... เมื่อมือร้อนของนารุมิบรรจงแตะแผ่วเบา ก่อนจะจับใบหน้าที่เสไปทางอื่น ให้หันมาจ้องมองทางเขา...
แต่อีกฝ่ายยังคงดื้อดึง... แม้จะโดนจับหันหน้ามาแต่ดวงตากลับเหลือบมองไปทางอื่น ความพยายามจนหยดสุดท้ายนั้น ในสายตาของนารุมิมันทั้งน่าเอ็นดูและน่าขำ
“สึโยชิ ”เสียงเรียกอีกครั้งของนารุมิเรียกให้เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก
มันใช้เสียงสะกดจิตอีกแล้ว...
ไม่หัน...ไม่หัน...
ในเมื่ออีกคนใช้เสียงสะกดจิตเขาเริ่มพยายามสะกดจิตตัวเองบ้าง แม้จะรู้ว่าไม่ค่อยเข้าท่า แต่สติที่เหลืออันน้อยนิดของเขามันคิดได้แค่นี้
“สึโยชิ”น้ำเสียงนุ่มละมุนอ่อนโยนกระซิบที่ใบหูเรียกให้ลมหายใจติดขัด
ไม่หัน...ไม่หัน...
“สึโยชิ”คราวนี้น้ำเสียงเริ่มเข้มกว่าเดิม แต่ดูเหมือนสติสตังของเด็กหนุ่มใกล้จะไม่เหลืออยู่
ไม่หัน...ไม่หัน...
“สึโยชิ”น้ำเสียงคราวนี้กลับมาเยียบเย็นเหมือนนารุมิคนเก่า จนทำให้สึโยชิลืมว่าอยู่ในสถานการณ์ไหน หันกลับไปตอบตามสัญชาตญาณเก่าของร่างกาย
“เรียกทำไมบ่อยๆวะ ไอ้...”
ไอ้อะไรนั้นไม่มีใครรู้เพราะเมื่อริมฝีปากร้อนๆของร่างเบื้องบนประกบปิด คำพูดที่เหลือจึงกลืนหายไปกับลำคอ...
จุมพิตที่ดูเหมือนจะดูดสติทั้งมวลให้ระเหยหายไปกับอากาศ ลมหายใจหอบระรัว คิดอะไรไม่ออกอีกแล้วทั้งเรื่องสะกดจิตหรือเรื่องอะไรอื่นๆ เพราะทั้งร่างกายและจิตใจ
เขารู้สึกถึงแค่คาวามูระ นารุมิเท่านั้น...
สึโยชิรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะดอกป๊อปปี้หรือเพราะบรรยากาศอะไรทั้งนั้น... ร่างกายนี้เหมือนไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป เด็กหนุ่มขยับตามการชักนำของอีกคนเหมือนโดนสะกดจิต ภาพทุกอย่างดูพร่ามัว... ทั้งความน่ากลัวของห้องหรือทุ่งดอกไม้ที่ยังเห็นได้ยามที่เปิดประตูไว้เช่นนี้... ภาพเดียวที่เขาเห็นมีเพียงใบหน้าได้รูปตรงหน้า...ทั้งปาก...จมูก...ดวงตา และทุกๆอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็น คาวามูระ นารุมิ... คนที่ทำให้เขายอมศิโรราบทั้งกายและใจ
ใช่...คนอย่างเขาไม่เคยยอมใคร... และนั่นถึงทำให้เขารู้ตัว...
ว่าเขาหลงรักคุณชายน้ำแข็งคนนี้เข้าเสียแล้ว...
“อย่า นารุมิ”น้ำเสียงของสึโยชิหวานหูกว่าเคยเมื่ออารมณ์พุ่งขึ้นสูง มือสั่นๆเกาะไหล่เปลือยเปล่าของอีกคนเป็นหลักยึด ใบหน้าแดงก่ำฝังลงกับซอกคอ ลมหายใจร้อนๆนั้นแทบทำให้อีกคนระงับอารมณ์ไม่อยู่
นารุมิโน้มกายลงจุมพิตคนที่ว่าง่ายกว่าทุกครั้ง เรือนแก้มสีแดงปลั่งทั้งดูน่ารักและเย้ายวนกว่าปกติไม่รู้กี่เท่า เขาก้มลงประทับรอยบริเวณลาดไหล่ ก่อนจะวกกลับไปที่ริมฝีปาก จุมพิตซ้ำอีกครั้งและร้อนแรงกว่าเคย
“เจ็บไหม...”นารุมิเอ่ยถาม พยายามระงับความต้องการของตนเอง
ทุกครั้งที่ผ่านมาเขามีแต่ทำให้หมอนี่เจ็บ แล้วก็ลงเอยด้วยการทะเลาะกันทุกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาอยากทะนุถนอมร่างตรงหน้า ...ทะนุถนอมแบบที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน...
“ฉัน...จะ...อึก อือ...”
เสียงหวานเอ่ยตะกุกตะกักทำให้นารุมิรู้ได้ทันที เขาก้มลงประทับริมฝีปากบริเวณเรือนแก้ม ก่อนจะเร่งจังหวะของร่างกายจนอีกคคนต้องโอบรอบกายของเขาแน่นขึ้นและพยายามกลั้นเสียงหวานครางเครือจนคนกอดแทบคลั่งตาม
หยาดหยดร่างกายถูกรีดออกจนหมด...
สึโยชินอนหอบหายใจรวยริน ใบหน้านั้นแดงก่ำ ทั่วทั้งร่างหนักอึ้งแทบขยับไม่ได้ เขาจำใจนอนนิ่งๆและเสหลบสายตาของร่างเบื้องบน...เพราะความร้อนในร่างกายนั้นยังคงอยู่แม้จะปลดปล่อยไปแล้วหนึ่งครั้ง...
เขาไม่อยากให้หมอนั่นรู้
“อ๊ะ!”สึโยชิสะดุ้งเฮือก รู้สึกเหมือนตัวเองโดนอ่านใจออก เมื่อหมอนั่นเริ่มขยับกายอีกครั้ง และความต้องการของเขาก็เริ่มตั้งเค้าใหม่อย่างน่าอาย
“อีกครั้งนะ...”เสียงทุ้มต่ำกระซิบอ้อนเรียกให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำยิ่งกว่าเก่า สึโยชิเลือกที่จะไม่ตอบ เขาเพียงนอนนิ่งๆและปล่อยให้อีกฝ่ายทำไปตามใจ...
เพราะเด็กหนุ่มรู้ตัวดี ว่าเขาคงไม่มีทางชนะนารุมิได้อีกแล้ว...
*************
“ยังไม่นอนอีกเหรอ?”มัตซึริถามพลางทรุดกายลงนั่งข้างมิสึรุซึ่งนั่งนิ่งอยู่ตรงชานระเบียง
ร่างเล็กทอดสายตามองฝ่าความมืดออกไปยังราวป่า ลมเย็นยามค่ำพัดบาดผิว ทำให้มัตซึริต้องห่อตัวนิดหนึ่งก่อนจะเหลียวกลับไปยังฟูกด้านหลังด้วยท่าทางโหยหา
“รุ่นพี่นอนก่อนเถอะครับ ผมยังไม่ง่วง”มิสึรุยิ้มบางๆให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับทิวทัศน์เบื้องหน้า
ร่างสูงเงียบไปชั่วอึดใจ เขามองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ ซึ่งใบหน้าได้รูปประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ หากแต่ว่าดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม....กลับหม่นแสงลงกว่าทุกคราว
“นาย...คิดมากเรื่องวาคาบายาชิใช่ไหม”คำพูดนั้นเรียกสายตากลมโตให้หันมามอง แต่เพียงครู่เดียวเจ้าของดวงตาจึงค่อยๆส่ายหน้า
“ไม่หรอกครับ...ผมจะคิดมากทำไมในเมื่อผมเป็นคนวางแผนเองทั้งหมด”
“มันใช่หรอก...ฉันถามความรู้สึกจริงๆของนายต่างหาก...นายดีใจแน่เหรอทาคาฮาระ...”
คำพูดแผ่วเบาพลิ้วผ่านราวสายลมแต่กลับบาดลึกลงกลางใจของคู่สนทนา... เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ ริมฝีปากเม้มบางพลางก้มลงมองปลายเท้าของตนเองขณะตอบ
“ต้องดีใจสิครับ การที่เห็นคนที่ผมรักมีความสุข...ผมก็ย่อมมีความสุข ”
“มันไม่จำเป็นเสมอไปหรอกนะ”มัตซึริขัดขึ้น สายตาเอาจริงเอาจัง “บางครั้งคนเรา...ไม่สิ...ทุกคนก็ย่อมมีความรู้สึกที่ไม่อยากเสียของรักไปทั้งนั้นล่ะ...”
“ผมมีความรู้สึกแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ...”
มิสึรุตวาดลั่นจนแทบเป็นตะโกน นัยน์ตาคู่สวยตวัดกลับไปมองยังที่แสนไกล พยายามอย่างยิ่งที่จะซ่อนความรู้สึกไว้ลึกๆ
แต่ดูเหมือนมัตซึริจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นเท่าใดนัก เขาหันไปมองใบหน้าซึ่งให้ความสนใจกับราวป่าด้านนอก ไม่รู้ว่าเพราะว่าความมืดที่เพิ่มมากขึ้นหรืออะไรกันแน่...ดวงหน้านั้นถึงได้ดูหม่นแสงลงยิ่งกว่าเคย...
“รุ่นพี่รู้มั้ยครับ...แม่ผมกับสึโยะจัง เสียชีวิตตอนที่พวกผม 8 ขวบ ”
มิสึรุเล่าโดยไม่มองหน้าคู่สนทนา...แต่อีกฝ่ายก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี...
มัตซิเอนกายลงนอนบนระเบียงไม้ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มขณะนอนมองดวงดาวซึ่งกระจายพร่าพร่างอยู่บนท้องฟ้า เขาจิ๊ปากอย่างเสียดายที่หลังคาของบนปิดไว้ค่อนหนึ่งเลยต้องเอี้ยวคอเล็กน้อยเพื่อให้มองท้องฟ้าได้เต็มๆตา
“อืม...เล่าต่อไปสิ”น้ำเสียงเหมือนเด็กรอฟังนิทานของมัตซึริเรียกรอยยิ้มบางๆจับพรายบนเรียวปากของอีกฝ่าย มิสึรุเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า แต่ไม่ได้เพื่อมองดวงดาวเหมือนกับใครอีกคน...
“พ่อของผมเสียชีวิตไปตั้งแต่พวกผมยังจำความไม่ได้ พวกผมจึงเติบโตมาโดยมีคุณแม่เป็นคนเลี้ยงดู ...เป็นทุกอย่างมาตลอด แต่พวกผมไม่เคยรู้สึกขาดเลย”
“คุณแม่ของผมท่านเป็นคนเข้มแข็งมาก ท่านมักจะสอนเสมอว่า...ให้พึ่งตัวเองก่อนที่จะพึ่งคนอื่น แต่หากคนอื่นต้องการความช่วยเหลือ ให้ช่วยเหลือที่สุดเท่าที่จะทำได้... ท่านเป็นคนแปลกครับ... แม่ของผมน่ะท่านชอบเรื่องลึกลับ ชอบการต่อสู้ แต่กลับชอบดอกป๊อปปี้สีขาว...แบบที่ปลูกไว้ในสวนหลังห้องของท่านมากเหลือเกิน...”
“ห้องนั้น?”มัตซึริหมายถึงห้องที่พวกสึโยชิพัก และเป็นห้องที่มิสึรุเคยพาเขามาสำรวจตอนก่อนมาค่ายหนึ่งวัน อีกฝ่ายพยักหน้า
“คุณตาเคยเล่าให้ฟังว่า...พ่อของผมเคยใช้ตอนบอกรักแม่น่ะครับ ท่านจึงชอบมาตลอด”
“พ่อนายนี่โรแมนติกดีนะ”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจ... มัตซึริยังคงนิ่งเงียบ เขาทำเป็นไม่เห็นดวงตาซึ่งหันมามองเขาอยู่แว่บหนึ่งก่อนจะตวัดกลับไปที่เดิม...
ประกายตานั่นแทบไม่ได้ต่างจากแสงของดาวบนฟ้าเลยสักนิด...
“ตอนที่พวกผมเสียแม่ไป...สำหรับผมกับพี่มิสึกิ เหมือนเสียทุกอย่างในชีวิต...”
พี่มิสึกิเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องแม่ ไม่ยอมกินข้าว เอาแต่ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ส่วนผม... ผมหนีออกจากบ้าน...
ผมหนีไปซ่อนที่บ้านต้นไม้ที่เป็นฐานลับของพวกผมสี่คน แน่นอน...ไม่มีใครหาเจอเลยครับ ผมซ่อนอยู่ที่นั่นจนมืด สักหัวค่ำสึโบมิน้องของสึโยะจังก็หาผมจนเจอ เธอพยายามพาผมกลับบ้านครับ แต่ไม่สำเร็จ หลังจากเราทะเลาะกันพักใหญ่ เธอเลยตัดสินใจจะไปบอกให้คนมาลากผมกลับแทน แต่ตอนที่เธอกำลังจะกลับนั้น ฝนก็ตกพอดี...
คืนนั้นฝนตกหนักมาก... ฟ้าผ่าที่ต้นไม้ต้นถัดไปตลอดเวลา พวกเราทั้งกลัว ทั้งหิว ตอนนั้นล่ะครับที่สึโยะจังตามหาพวกเราจนเจอ...”
มิสึรุค่อยๆแย้มรอยยิ้มกว้าง นัยน์ตากลมโตเป็นประกายวับขณะหวนนึกถึงภาพความทรงจำในอดีต...
“กลับบ้านได้แล้ว ตากำลังตามหาพวกนายอยู่นะ”ร่างเล็กๆของเด็กชายวัยแปดขวบเปียกซ่กตั้งแต่หัวจรดเท้า ผิวซีดเซียวของเด็กชายซีดขึ้นกว่าเดิมจนเหมือนผีดูดเลือด แม้ใบหน้านั้นจะยังคงฉายแววหงุดหงิด และท่าทางจะยังอวดดี แต่ริมฝีปากกลับซีดจนเขียว
“ฉันไม่กลับ”มิสึรุตะโกนลั่น ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาขณะถอยไปให้ไกลจากสึโยชิมากที่สุด
“มิสึรุ คุณน้าน่ะไม่กลับมาอีกแล้วนะ นายต้องยอมรับให้ได้”น้ำเสียงนั้นเหมือมพยายามปลอบประโลม แต่อีกฝ่ายไม่อยากจะรับฟัง เพราะเด็กหนุ่มรีบเอามือปิดหู พลางส่ายศีรษะเหมือนคนบ้า
“นายจะไปเข้าใจอะไร!”
“ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ!”สึโยชิตะโกนตอบกลับ พลางขยับเข้ามาใกล้ “ขืนนายยังเป็นแบบนี้คุณน้าที่อยู่บนสวรรค์คงจะไม่สงบหรอกนะ”
“แต่ฉันไม่เอา! ฉันอยากให้แม่อยู่นี่ ไม่อยากให้ไปไหน ไม่เอา!”
รู้สึกตัวอีกทีร่างของเขาก็อยู่ในอ้อมกอดของสึโยชิ มิสึรุตะลึงงันเมื่อมือเล็กๆนั่นค่อยๆลูบหัว ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไม่แพ้กัน
“นายหยุดร้องไห้ได้แล้ว เพราะต่อไปนี้ฉันจะไม่ยอมร้องไห้อีก...ฉันจะปกป้องพวกนายแทนคุณน้า เพราะฉะนั้นอย่าร้องไห้นะ...”
“หลังจากนั้น...สึโยะจังก็ไม่ได้ร้องไห้อีกเลย”มิสึรุพูดด้วยเสียงเบาๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า แต่ดวงตากลับพร่ามัวจนมองไม่เห็นแม้สีของของดวงดาว...
“หลังจากที่ผมร้องไห้ทั้งคืน พวกเราก็กลับมาตอนเช้า แปลกนะครับ ที่ฟ้าไม่ได้ผ่าลงต้นที่พวกเราอยู่ในคืนนั้น คุณตาบอกว่า เพราะคุณแม่ปกป้องพวกเราไว้...”
เขาทิ้งประโยคด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ...
“แต่หลังจากนั้นผมก็ดีขึ้น... แต่พี่มิสึกิยังไม่ยอมออกจากห้อง...”
“สึโยะจังห่วงพี่มิสึกิมาก แล้วรู้มั้ยครับรุ่นพี่... คนที่ปลูกสวนไว้หลังห้องของแม่ ...คือสึโยะจัง...”
มัตซึริหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนพูด ท่าทางประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
“แต่ทำไม หมอนั่นถึง ”
“สึโยะจังน่ะโดนพี่มิสึกิแกล้งน่ะครับ โดนแกล้งหนักเข้าคงจะลืมไปว่าไอ้หลังประตูบานนั้นน่ะ มันไม่ได้มีประตูเชื่อมกับโลกวิญญาณ แต่เป็นสวนที่ตัวเองเคยปลูกไว้กับมือ...”
“พี่มิสึกิน่ะ ชอบสึโยะจังเหมือนกันนะครับ...”
“หา!?”มัตซึริตาเหลือก ตะโกนลั่นอย่างแทบไม่เชื่อหู
“ไม่ได้ชอบในความหมายนั้นครับ...แต่หมายถึง ชอบแบบน้องชายคนหนึ่ง แต่พี่มิสึกิเขาแสดงออกไม่เก่ง เวลาเขาชอบหรือถูกใจใคร เขาก็มักจะแกล้งคนนั้นล่ะครับ ตอนที่ปลูกสวนน่ะ...พวกเรามี ผม สึโยะจัง สึโบมิ ช่วยกันปลูกกันข้ามวันข้ามคืน สึโยะจังน่ะ พูดกับพี่มิสึกิแบบที่พูดกับพวกผม แถมยังบอกว่า ถ้าเกิดคิดถึงคุณน้า ก็ให้มองของสะสมคุณน้าแล้วก็ทุ่งนี้แทน ไปๆมาๆ พี่มิสึกิก็เลยกลายเป็นแบบนี้ไป...”มิสึรุหัวเราะเสียงใส
“ทุกคนน่ะ...รักสึโยะจังทั้งนั้นล่ะครับ สึโยะจังคอยปกป้องพวกเรามาตลอด ดังนั้น...ผมเลยอยากทำอะไรให้สึโยะจังบ้าง อยากให้เขา...สมหวัง...”
จู่ๆเสียงของเขาก็เกิดติดขัด ก้อนอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาจุกที่คอแต่กลับทำให้ดวงตาของเขาพร่าเลือน
“พอเถอะทาคาฮาระ ”มัตซึริถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยันกายลุกขึ้น
มิสึรุเบิกตาโพลงเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเบาๆจากฝ่ามือที่เอื้อมมาลูบศีรษะ... เด็กหนุ่มตัวแข็ง พยายามเงยหน้าขึ้นสูงแม้จะรู้สึกอึดอัดแทบขาดใจ
“อยากร้องไห้ก็ร้องเถอะ ร้องให้พอ”น้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นที่ศีรษะแทบทำให้มิสึรุขาดใจ แต่เขาก็ยังพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติ
“ไม่หรอกครับ...เพื่อสึโยะจังผมจะ...”
“บางครั้งนะ...นายก็ควรจะทำเพื่อตัวเองบ้าง คนเราก็ต้องมีความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหรอก...”
น้ำเสียงนั้นว่าอ่อนโยนแล้ว...แต่รอยยิ้มของมัตซึริ...อ่อนโยนยิ่งกว่า...
เพียงแค่หันมาสบตา...ความรู้สึกที่อัดอั้นเจียนจะขาดใจของเขาก็ไม่อาจจะกลั้นได้อีกต่อไป
ความรู้สึกที่ทะลักทลายค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นหยาดน้ำตาหลั่งรินอาบใบหน้า หัวใจที่เคยถูกปกคลุมด้วยหมอกฝนที่ชื่อว่า ‘ความรัก’ กำลังต้อนรับเค้าฝนระลอกสุดท้าย ที่กำลังชะล้างหัวใจซึ่งถูกบดบังมาเนิ่นนาน...
มิสึรุไม่หวังว่าฟ้าหลังฝนจะสดใส... เขาหวังเพียงว่าหมอกฝนอันทรมานนั้น จะไม่ปกคลุมหัวใจคนที่เขารักให้เจ็บเจียนตายเหมือนที่เขาเคยเป็น...
กว่ามิสึรุจะหยุดร้องไห้ก็เกือบชั่วโมง... ตลอดเวลานั้นมือของรุ่นพี่มัตซึริก็ยังคงลูบศีรษะให้อย่างเบามือ เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความห่วงใยที่ถ่ายทอดมาจากฝ่ามือนั้น มันอบอุ่น...
มิสึรุหลับตาลงเพื่อให้รู้สึกถึงสัมผัสมากขึ้น....
เขารู้สึกถึงขนาดของมือซึ่งลูบผ่านกลางศีรษะไล่ไปถึงท้ายทอย... สัมผัสของปลายนิ้วที่สัมผัสหลังใบหู... สัมผัสที่ลูบเบาๆแต่เว้นจังหวะเป็นระยะเพื่อปลอบประโลม...
อะไรบางอย่างค่อยๆวูบหล่นราวกับดำดิ่งลงหุบเหวที่มองไม่เห็น...
“รุ่นพี่ครับ...”มิสึรุตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบ อีกฝ่ายเพียงส่งเสียง อืม เบาๆบอกให้รู้ว่าตั้งใจฟังอยู่
“ถ้าเกิดผม...หยุดช่วยสึโยะจัง มันจะผิดรึเปล่าครับ...”
“ไม่หรอกน่ะ”มัตซึริหัวเราะเบาๆพลางเลื่อนมือที่ลูบศีรษะลงมาตบไหล่ “คนเรามันก็ต้องมีลิมิตของตัวเองกันทั้งนั้น... นายก็เป็นมนุษย์คนนึงไม่ใช่เทวดามาจากไหน ทำได้แค่นี้ฉันก็นับถือนายจะแย่”
“รุ่นพี่นี่...เป็นคนดีจังนะครับ”
“เพิ่งรู้เหรอ”มัตซึริหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม เขายิ้มกว้างให้มิสึรุที่ส่งยิ้มตอบกลับ นัยน์ตากลมโตนั้นบวมช้ำ แต่ดูเหมือนแผลใจจะดีขึ้นมาก...
ทั้งคู่เงียบกันไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มิสึรุจะเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“รุ่นพี่นาคาซาวะนี่โชคดีนะครับ...”
คำถามที่สร้างความแปลกใจให้มัตซึริจนเด็กหนุ่มเผลอเลิ่กคิ้ว
“หืม...ริทสึโกะน่ะเหรอ เขาโชคดีจริงนั่นล่ะ เกิดมาบ้านรวย สวย เรียนดี...”
“ไม่ใช่ครับ ที่โชคดีน่ะ ผมหมายถึง...เพราะเป็นแฟนรุ่นพี่ต่างหาก ”
น้ำเสียงจริงจังเรียกให้คนโดนชมถึงกับเก้อ เด็กหนุ่มหัวเราะแหะๆพลางเกาแก้มแก้เขิน
“พูดอย่างนี้ฉันเขินแย่ เป็นแฟนฉันน่ะ มันไม่ได้โชคดีขนาดนั้นสักหน่อย”
“ไม่หรอกครับ รุ่นพี่น่ะ...”
มิสึรุทิ้งช่วงเรียกให้อีกคนนิ่งฟังอย่างตั้งใจ ร่างเล็กหลุดขำเล็กน้อย ก่อนจะทำเป็นเพิกเฉยพลางลุกขึ้นยืน
“ไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้มีฝึกต่อ”
“เอ๋?”
“ขืนรุ่นพี่ไม่รีบนอน ระวังพรุ่งนี้ร่วงไปกลางคันอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ”
“อ้าว ทาคาฮาระ ฉันอุตส่าห์ช่วยนายหลอกผีวาคาบายาชินะ อย่าโหดกันนักเลย”
“ไม่มีข้อยกเว้นครับ ผมบอกรุ่นพี่แล้วตั้งแต่ตอนจะรับผมเข้ามาเป็นผู้จัดการชมรมแล้วว่าเรื่องคาราเต้น่ะ ผมไม่อ่อนให้หรอกนะ”มิสึรุแย้มรอยยิ้มจนเห็นลักยิ้มสองข้าง...ซึ่งอาการนั้นมัตซึริก็มั่นใจได้เลยว่าหมอนั่นไม่ได้ล้อเล่น
“โธ่เอ้ย”แม้จะบ่นแต่มัตซึริกลับยิ้มกว้าง เขายืนมองร่างเล็กหายไปใต้ผ้าห่มก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ทำเป็นพูดดีนะเรา...”ร่างสูงเกาหัวแกรกก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมรอบๆตัวถึงมีแต่ปัญหา ‘ผู้ชายรักกัน’ อยู่เรื่อย
“นี่มันโรงเรียนสหฯหรือชายล้วนกันแน่วะ”เด็กหนุ่มบ่นอุบ จำใจเดินไปนอนอย่างปลงอนิจจัง...
แพขนตาหนากระพริบถี่ๆเมื่อแสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาภายในห้อง... นัยน์ตาเล็กยิบหยีปรือเปิดขึ้นเชื่องช้า แต่ความง่วงงุนกลับถาโถมจนต้องหลับตาลงอีกครั้ง เปลือกตาหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วง...
สึโยชิรู้สึกขัดยอกไปทั้งตัว เขาทั้งเหนื่อยทั้งง่วงไม่อยากจะขยับตัวด้วยซ้ำ ...ระหว่างที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะตื่นหรือไม่ตื่นดี เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างขยับอยู่ที่เอว
“อืม...”
หลังจากคลำๆไปที่เอวแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น เขาก็คว้าอะไรบางอย่างได้... เมื่อสมองประมวลผลอยู่ครู่สึโยชิจึงครางรับในลำคอ “มือนี่เอง...”
“หืม...มือ?”
สึโยชิลองใช้มือขวาแตะๆมือปริศนา ส่วนมือซ้ายของเขาก็ขยับไปมาอยู่ตรงหัว โน่นมือขวา นี่มือซ้าย...แล้วที่เอวนี่มือใครวะ?
แล้วภาพความทรงจำเมื่อคืนก็วูบเข้ามาในสมอง... ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำฉับพลัน ริมฝีปากเม้มแน่น มือไม้ถึงกับสั่นพั่บแบบควบคุมไม่อยู่
อย่าบอกนะ ว่า...
สึโยชิรวบรวมความกล้าหันไปทางด้านหลัง อ้อมกอดที่โอบกระชับแน่นทำให้ขลุกขลักอยู่เล็กน้อยแต่เด็กหนุ่มก็ฝืนดึงดันเอี้ยวตัวไปช้าๆเพราะกลัวว่าจะปลุกอีกคนหนึ่งขึ้นมา เสียก่อน หัวใจของเขาเต้นโครมครามแบบที่ไม่เคยเป็น...
แล้วเพียงสบตากับอีกคนที่ดูเหมือนจะยังครึ่งหลับครึ่งตื่น ร่างทั้งร่างของเด็กหนุ่มก็สะดุ้งพรวด!
เท้าขวาตอบสนองตามปฏิกิริยาของร่างกาย สึโยชิยันอีกคนสุดแรงจนกลิ้งตกฟูก เล่นเอาคุณชายที่ตอนแรกยังสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเต็มตา
“ทำบ้าอะไรของน...”
ยังพูดไม่ทันจบเจ้าคนถีบก็โกยอ้าวสุดฝีเท้าออกไปจากห้อง เด็กหนุ่มมองตามคนที่วิ่งไปใส่เสื้อผ้าไปด้วยอาการตะลึงงัน พูดไม่ออกไปชั่วขณะ...
สึโยชิยืนหอบหายใจอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ เรือนแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดลามไปจนถึงลำคอ ขาของเขาแทบทรงกายไม่อยู่หลังจากออกแรงวิ่งสุดฝีเท้าออกจากห้องนั้นมาได้ ...แล้วมันก็ไม่ได้สั่นเพราะวิ่งเสียด้วยสิ
“โอย ร้อนหน้าโว้ย”เขาสบถเบาๆอย่างหงุดหงิด รู้สึกเหมือนสติสตังของตัวเองไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ทั้งๆที่เมื่อคืนก็อยากให้รุ่งเช้ามาถึงไวๆ แต่พอมันมาถึงจริงๆแล้ว...เขากลับทำตัวไม่ถูก...
เพราะหลังจากสึโยชิสลัดปัญหาแรกที่ว่า ‘เขาหลงรักนารุมิรึเปล่า?’ ไปได้แล้ว ปัญหาใหม่ก็ดันเกิดแถมยังหนักกว่าเดิมเพราะไอ้คำตอบที่ว่า ‘เขาหลงรักนารุมิ’ นั้น...
มันแย่กว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า...
เป็นความคิดสุดท้ายในชีวิตจริงๆที่ผู้ชายร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์พร้อมอย่างเขาจะมาหลงรักผู้ชาย... แถมยังเป็นศัตรูตัวฉกาจที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ขึ้น ม. ปลาย หน้าตาหมอนั่นก็งั้นๆ(ถึงสาวๆจะชอบเยอะก็เถอะ) นิสัยก็แย่(อันนี้เข้าขั้นแย่มากๆ) ตาก็ขวาง(แถมยังชอบทำตาดุน่าเบื่อ) ปากก็เสีย(ด่าทีนี่บางคนอาจกลับบ้านไปร้องไห้ได้เลย) ไม่เห็นมีดีอะไรสักอย่าง... ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น...
ทำไมเขาต้องยอมเป็นฝ่ายเสียหายด้วยยยยยยยยย!!!!!!
สึโยชิอยากจะกรีดร้องให้ลั่นบ้าน แต่เมื่อคิดได้ว่าคงไม่มีอะไรดีขึ้นแถมจะเป็นการป่าวประกาศให้ชาวบ้านชาวช่องรู้เด็กหนุ่มจึงเลือกที่จะเงียบ เขาถอดเสื้อผ้าของตนเองใส่ลงในตะกร้าในห้องแต่งตัวก่อนจะเดินคอตกเข้าไปภายในห้องน้ำโดยที่แบกความว้าวุ่นใจไว้เต็มอก
ครืด....
“อ้าว อรุณสวัสดิ์ วาคาบา.....”เสียงทักทายชะงักลงเพียงแค่นั้นและแทนที่ด้วยความเงียบ...
สึโยชิที่ใจลอยไปไกลแสนไกลไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นรอบตัวเลยสักนิด เด็กหนุ่มหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเองขณะเดินไปหาที่นั่งอาบน้ำในมุมที่ปลอดคนที่สุด และนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ไม่ยอมลงไปแช่น้ำเสียที...
ไม่มีใครในห้องน้ำกล้าพูดอะไรอีกทั้งสิ้น... ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างขาวซีดที่ดูเหมือนจะหลุดไปในโลกส่วนตัวเสียแล้ว แต่ละคนลอบกลืนน้ำลายเมื่อไล่สายตาไปยังเรือนร่างเปลือยเปล่าที่มีร่องรอยสีแดงคล้ำเปรอะไปทั่วแผ่นอกและลำคอ มันลามไปจนถึงหลังและเรียกให้หลายคนหายใจติดขัด
แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวเอาเสียเลย...
แถมนอกจากรอยจูบที่กระจายทั่วตัวก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ไม่มีคนกล้าเข้าใกล้... สิ่งนั้นก็คือ “ฟีโรโมน” ที่ฟุ้งกระจายเต็มห้องอาบน้ำ...
ทุกคนนิ่งแข็งแทบจะเป็นหิน จะถอนสายตาออกมาก็ทำยากเหลือเกินเพราะมีแรงดึงดูดมหาศาล... แต่พอเผลอจ้องนอนๆไอ้จะเก็บอาการก็แทบจะทำไม่อยู่ ยามเมื่อร่างขาวสว่างยกขาซ้าย หรือ ยกแขนขวา ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวเรียกอาการสะดุ้งเฮือกและเลือดฝาดให้สูบฉีดเต็มใบหน้าของผู้จ้องมอง จนแทบไม่แน่ใจกันแล้วว่าตกลงว่ามันเป็นสวรรค์หรือนรกกันแน่?
ครืด...
เสียงเปิดประตูเรียกให้ทุกคนสะดุ้งโหยง !
มิสึรุเดินเข้ามากับมัตซึริ กัปตันชมรมคาราเต้ยังหาวหวอด ขยี้ตาอย่างงัวเงียขณะเดินตรงไปยังมุมว่างๆของห้องอาบน้ำ
“หืม? เป็นอะไรกันน่ะ”มัตซึริเริ่มจับเค้าความผิดปกติได้เมื่อเห็นว่าห้องน้ำเงียบผิดปกติ แถมบางคนถือขันค้าง บ้างก็มือยังชะงักอยู่ที่สบู่ แต่สายตากลับจับจ้องไปทางอื่น...
แล้วก็เป็นทางเดียวกันเสียด้วย...
ด้วยความสงสัย เด็กหนุ่มลองหันตามจุดหยุดสายตาของคนในห้องแล้วก็แทบล้มหัวฟาดพื้น! ใบหน้าของกัปตันเปลี่ยนเป็นสีแดงชาด อ้าปากค้างอย่างตะลึงงัน ภาพของสึโยชิยามนี้ซ้อนทับกับภาพเมื่อครั้งที่เขาไปช่วยหมอนั่นออกจากการโดนมัดที่ห้องล็อคเกอร์ของชมรมเคนโด้... มัตซึริส่งเสียงตะกุกตะกักในลำคอ แต่ไม่อาจพุ่งผ่านออกมาเป็นคำพูด..
อะไรมันจะยั่วขนาดนี้วะ...
ครืด...ปัง!
เสียงกระแทกประตูปิดเรียกให้ทุกคนสะดุ้งอีกรอบ มัตซึริเหลียวขวับ ก่อนจะพบว่าคนที่เดินเข้ามากับเขาดันเดินหนีออกไปจากห้องอาบน้ำเสียอย่างนั้น เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆ มองสึโยชิสลับกับประตูแล้วชักจะเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาเลาๆ
“ทาคาฮาระ”
มัตซึริสะกิดไหล่คนที่ยืนนิ่งอยู่ในห้องแต่งตัว ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้ม...แม้มันจะดูฝืดเฝื่อนเสียเหลือเกิน
“อ่า ขอโทษครับรุ่นพี่ พอดีผม...”
“วาคาบายาชิใช่ไหม”คำถามตรงเป้าราวกับอ่านใจออกเรียกให้ดวงหน้าใสเผือดสี แม้จะไม่มีคำตอบใดๆลอดผ่านริมฝีปาก แต่สีหน้าท่าทางของมิสึรุก็ฟ้องทุกอย่างจนหมด...
มัตซึริถอนหายใจเฮือกพลางเอื้อมมือไปลูบหัวอีกคนเบาๆ
เป็นใครก็ต้องเศร้าทั้งนั้น... ถ้าเห็นสภาพของคนที่ตัวเองหลงรักมีรอยจูบทั่วตัวไปหมด แม้จะรู้ว่าทั้งหมดเป็นแผนของตัวเอง
แต่เรื่องของหัวใจมันห้ามกันได้ที่ไหน...
“ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ...เราเข้าไปอาบน้ำกันเถอะ”มิสึรุฝืนยิ้มกว้าง นัยน์ตากลมโตคู่นั้นฉายประกายระริก “แล้วผมก็กลัวว่าสึโยะจังจะ...”
“จะ?”
“รุ่นพี่ก็รู้สึกไม่ใช่เหรอครับ ฟีโรโมนที่สึโยะจังปล่อยออกมาน่ะ...”
“อ่อ...”มัตซึริรับคำหน้าแดงก่ำ เขากระแอมนิดหนึ่งก่อนจะตบไหล่มิสึรุเบาๆ “ฉันไม่ค่อยรู้สึกอะไรหรอก...ผู้ชายด้วยกัน”
มิสึรุพยักหน้าแม้จะกลั้นหัวเราะจนท้องแข็ง ไอ้ท่าทางรักษามาดกัปตันของพี่มัตซึริทั้งๆที่มองสึโยะจังตาค้างนี่ทำให้เขาหายเศร้าได้ชงัดกว่าคำปลอบเสียอีก... นอกจากมิสึกิที่ไม่สนใจโลกรอบตัวแล้ว...เขาก็ยังไม่เคยเห็นใครจะไม่รู้สึกอะไรกับฟีโรโมนที่สึโยะจังปล่อยออกมาเลย ส่วนตัวเขาน่ะชินเสียแล้ว... เพราะทุกครั้งหลังแข่งเสร็จหรือตอนที่สึโยะจังเหงื่อออกเต็มที่ก็เป็นแบบนี้ทุกที ไม่สิ... คราวนี้น่ะปล่อยออมามากกว่าปกติเป็นเท่าตัวต่างหาก
มิสึรุเดินไปนั่งอาบน้ำเงียบๆที่มุมหนึ่ง เขาทอดสายตามองอาการคนอื่นๆในห้องแล้วก็อมยิ้ม โดยเฉพาะอาการพี่มัตซึริที่มือซึ่งถือสบู่นั้นสั่นพั่บจนลื่นหลุดไม่รู้กี่ครั้ง...แต่ก็ยังตีท่าไม่สนใจ...
“รุ่นพี่”เขาขยับเข้าไปใกล้จนอีกฝ่ายสะดุ้งเฮือก สบู่กระเด้งหลุดจากมือไปกองอยู่แทบเท้าของสึโยชิที่นั่งเหม่อลอยพอดิบพอดี เล่นเอาเจ้าของสบู่หน้าซีดเหลือสองนิ้ว
“รุ่นพี่...ขืนเป็นแบบนี้อยู่วันนี้ไม่ต้องซ้อมกันพอดี ในฐานะหัวหน้าชมรม...พี่ไปบอกสึโยะจังหน่อยสิ”
“หา!”
“ในฐานะกัปตัน
”
มิสึรุเน้นคำชัดช้าพลางส่งสายตาวาววับ มัตซึริจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ เขานั่งทำใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเดินตรงไปยังสึโยชิอย่างกล้าๆกลัวๆ
“วาคา...บายา..ชิ”มัตซึริเอ่ยตะกุกตะกักพลางทรุดกายลงนั่งข้างคนที่กำลังจะหย่อนกายลงไปในอ่าง ร่างขาวสว่างเรียกให้มัตซึริกลืนน้ำลายเอื้อก พยายามสงบสติอารมณ์อย่างสุดความสามารถ
“มีอะไรเหรอรุ่นพี่?”เด็กหนุ่มถามทั้งๆที่ขาข้างหนึ่งยังพาดอยู่ในอ่างและเรียกให้อีกฝ่ายหน้าแดงจัด ยิ่งอยู่ระยะโคลสอัพขนาดนี้...ไอ้อะไรๆมันก็เห็นชัดถนัดตาจนคนมองมือไม้สั่นพั่บ
“คือ...วาคาบายาชิ....ง่า”คำพูดกลืนหายไปกับลำคอเมื่ออีกคนถอยจากอ่างพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ หัวใจกัปตันเต้นตึกตัก
“คือ...อ่า...ไม่ไหวแล้วโว้ย!”คำพูดสุดท้ายมัตซึริตะโกนลั่นก่อนจะกระโจนออกจากห้องน้ำรวดเร็วจนสึโยชิได้แต่มองตาค้าง เด็กหนุ่มมองตามร่างที่หายวับก่อนจะถอนหายใจเฮือก
หมดอารมณ์แช่น้ำแล้วโว้ย เซ็ง!
สึโยชิใช้น้ำล้างสบู่บนร่างของตนเองลวกๆก่อนจะล่องลอยออกจากห้องน้ำ และยังคงไม่รู้สึกถึงสายตาร้อนแรงที่จ้องมองมาสักนิดเดียว...
สึโยชิยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องของมิสึรุ...
คิ้วเรียวขมวดมุ่น จ้องมองประตูบานเลื่อนอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่เกือบ 10 นาทีจึงกลั้นใจเลื่อนเปิดออก...
“อ้าว...รุ่นพี่”เสียงทักของเขากลับทำให้คนที่นั่งอยู่บนชานพักด้านนอกสะดุ้งเฮือก
สึโยชิปิดประตูก่อนจะเดินไปหากัปตันชมรมคาราเต้ที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่นอกชาน มัตซึริจ้องเขม็งไปยังราวป่าด้านนอกอย่างเอาเป็นเอาตาย เรียกเสียงหัวเราะจากสึโยชิผู้ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ...
“รุ่นพี่เป็นอะไรรึเปล่า...ทำตัวแปลกๆนะวันนี้” ร่างโปร่งทรุดกายลงนั่งข้างๆมัตซึริซึ่งขยับตัวถอยห่างโดยอัตโนมัติ
“เปล่า”เขาตอบโดยไม่ต้องคิด
เด็กหนุ่มลองเหลือบมายังคนข้างกายก่อนจะถอนหายใจเฮือกเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องกลับมาเป็นเวอร์ชั่นปกติ แม้จะยังมีแรงดึงดูดเบาบางแต่อย่างน้อยก็ยังใส่เสื้อผ้า...
“แล้ว...มิสึรุล่ะ?”
“เขายังอยู่ที่ห้องอาบน้ำเลย ไม่ได้เจอกันเหรอ?”
“เอ๋...ผมไม่ทันสังเกต”
ใช่...ฉันก็ว่าอย่างนั้นล่ะ...
มัตซึริรำพึงในใจพลางยิ้มบางๆให้กับสึโยชิที่ใบหน้าขาวซีดนั้นปรากฏริ้วรอยของความกังวล ท่าทีถอนหายใจเฮือกหลายๆครั้งเรียกให้มัตซึริตบไหล่ป้าบด้วยความเคยชิน
“นายมีเรื่องกังวลใจอะไรรึไง?”
คำถามของเขาทำให้สึโยชิสะดุ้ง ใบหน้าขาวซีดนั้นขึ้นสีชมพูจางๆ
“ปรึกษาฉันได้นะ...รับรอง ฉันไม่ปากสว่างหรอกน่ะ”
“ผมรู้ว่ารุ่นพี่ไว้ใจได้...”สึโยชิเหมือนรำพึงกับตนเอง เขาซุกหน้าลงกับเข่า ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดีในเมื่อเรื่องราวมันตีกันจนวุ่นวาย
“รุ่นพี่...ถ้าเกิดว่า มีผู้ชายคนหนึ่ง เขาหลงรักเพื่อนสนิทตัวเอง ทั้งๆที่รู้ว่าเพื่อนเขาคนนั้นมีคนที่ชอบอยู่แล้ว และคนนั้นก็เป็นเพื่อนสนิทของตัวเองด้วย เขาควรจะทำยังไงดี?”
เรื่องเล่าที่มัตซึริไม่ต้องเสียเวลาเดาเลยว่าใครเป็นใคร... เขาพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะตบไหล่สึโยชิอีกป้าบใหญ่
“หมายถึงนายกับคาวามูระ แล้วก็ผู้จัดการชมรมเคนโด้หน้าหวานนั่นใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่! คือ มันเป็นเรื่องสมมุติน่ะ
”
“น่า....ไม่ต้องปิดบังหรอก เขารู้กันทั้งชมรมแล้วล่ะ ว่านายกับคาวามูระน่ะ มีอะไรๆ กัน...น่ะ”
ประโยคท้ายเขาเว้นช่วงตะกุกตะกักเมื่อเห็นว่าดวงตาของสึโยชิลุกโชน
“เฮ้ย! พี่ไปบอกคนอื่นเหรอ”
“เปล่าเฟ้ย!”เขารีบส่ายหัวพลางร่นตัวหนีคนที่ขยับเข้ามาอย่างหาเรื่อง
“แล้วพวกนั้นรู้กันได้ยังไง ถ้าพี่ไม่ได้หลุดน่ะ”นัยน์ตากังวลเมื่อครู่หรี่ลงทันควัน
“ก็ไอ้....”มัตซึริหยุดชะงักพลางทิ้งสายตาลงไปใต้เสื้อยืดสีน้ำตาลของอีกฝ่าย พยายามจะหาคำพูดที่ดูเข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่เขากล้าพูด
“ไอ้รอยเต็มตัวนายน่ะ...เขาเห็นกันหมดตั้งแต่ตอนนายเข้าไปอาบน้ำแล้ว”
“เฮ้ย!”
สึโยชิเบิกตาค้าง ก้มลงส่องลงไปใต้เสื้อของตนเองอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีซีดขาวทันทีที่พบว่ามันเป็นจริงตามที่อีกคนบอก
จบกันชีวิต!
“เฮ้ย!”สึโยชิร้องลั่นเมื่อมิสึรุเดินเข้ามาตบไหล่เขาจากด้านหลัง เด็กหนุ่มหน้าถอดสี ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว
“เป็นไรรึเปล่า สึโยะจัง? หน้าซีดมากเลย”สึโยชิส่ายหน้าพรืดแม้จะยังหายใจไม่ทั่วท้อง เขาฝืนยิ้มแห้งๆให้มิสึรุ
“อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ”
“อือ...”มิสึรุตอบพลางลอบส่งสายตาให้มัตซึริที่พยักหน้ารับเหมือนรับรู้กันโดยพลังจิต เด็กหนุ่มค่อยๆยันกายลุกขึ้น ทำท่าบิดขี้เกียจอย่างขอไปที
“งั้นฉันไปอาบน้ำต่อก่อนละกัน เดี๋ยวอีกสักพักต้องไปซ้อมต่อ”โดยไม่รอคำตอบ กัปตันก็เดินออกไปจากห้องและทิ้งให้เพื่อนทั้งสองอยู่กันตามลำพัง...
“ฉันเห็นนายเหม่อมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ...มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
มิสึรุแย้มรอยยิ้มกว้างให้คนที่เหมือนมีคำว่า เครียด สลักกลางหน้าผาก อีกฝ่ายนั้นได้แต่นิ่งงัน... ใบหน้าที่เคยสดใสอยู่เสมอกลับประดับด้วยริ้วรอยของความกังวล และเรียกให้หัวใจของมิสึรุกระตุกวูบ...
สึโยชิจริงจังจริงๆ...
“เรื่องคาวามูระใช่ไหม?” เขาถามย้ำอีกครั้งและเรียกให้หน้าสึโยชิถอดสี เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ ...เพียงแค่นั้นหัวใจของมิสึรุก็ปวดจี๊ดจนแทบจะกลั้นไม่ไหว...
อดทนไว้ มิสึรุ...
“ฉัน...นายว่า...ฉันควรทำยังไงต่อไปดี...”สึโยชิถามอย่างไม่มั่นใจ ซึ่งอาการอย่างนี้ของสึโยชิเขาไม่เคยเห็นมาก่อน... ทำให้นึกอิจฉาคาวามูระขึ้นมาจับใจ...
“เรื่องที่นายชอบคาวามูระใช่ไหม?”
“ไม่ใช่!”สึโยชิตะโกนลั่นแม้ใบหน้าจะมีรอยแดงพาดจางๆ “คือ...ฉันหมายถึง...เรื่องที่หมอนั่นทะเลาะกับยูยะต่างหาก ยังไม่พูดกันเลยนี่”
“นายตกข่าวแล้ว...เขาสวีทกันอยู่ที่ห้องอาหารแหนะ”
“เอ๋”ใบหน้าของสึโยชิเปลี่ยนเป็นสีซีดอย่างรวดเร็ว เรียกรอยยิ้มจากมิสึรุให้กว้างขึ้น
“สึโยะจังน่ะ ไม่ต้องโกหกกับฉันก็ได้นะ ฉันรู้...ว่าสึโยะจังน่ะชอบคาวามูระ นารุมิ”
“ฉันไม่ได้...”
“แค่มองตาก็รู้...”มิสึรุจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเบิกกว้างของสึโยชิ และทำให้เด็กหนุ่มหลบตาอย่างรวดเร็ว
ไม่มีความจำเป็นจริงๆที่สึโยชิจะมานั่งโกหกเขา... เพียงแค่มองดวงตามิสึรุก็รู้ทุกอย่าง สึโยะจังเป็นคนที่โกหกไม่เก่ง ทุกอย่างมันฟ้องออกมาทางดวงตาจนหมด ทั้งเรื่องที่ชอบนารุมิ และเรื่องที่ไม่คิดกับเขาเกินไปกว่าเพื่อน...
“สำหรับทั้งฉัน แล้วก็สึโบมิ...รวมถึงพี่มิสึกิด้วย...ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความสุขของสึโยะจังหรอกนะ”
ใช่...เป็นคำพูดที่เขาต้องย้ำกับตัวเองอยู่เสมอ... ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความสุขของสึโยะจัง...
“หมายความว่ายังไงความสุขของฉัน?” สึโยชิขมวดคิ้วมุ่น
“พวกเราอยากเห็นสึโยะจังสมหวัง...แม้ว่าจะมีใครเจ็บปวดสักเท่าไหร่ก็ตาม...แค่สึโยะจังมีความสุขก็พอ” นัยน์ตากลมโตแฝงประกายสุกใสจนสึโยชิรู้สึกเหมือนตัวเองทำความผิดอะไรสักอย่าง
“แต่...นายก็รู้ว่าฉันเป็นผู้ชาย...แล้วหมอนั่น...”
“แล้วยังไงล่ะ ฉันก็เป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ ฉันยังหลงรักสึโยะจังเลย”
“ฉัน...ขอโทษ”สึโยชิก้มหน้าลงกับเข่า เขาว้าวุ่นใจจนรู้สึกเหมือนสมองตื้อตันไปหมด
“ไม่ต้องขอโทษหรอก...เรื่องของความรักน่ะใช้สมองคิดไม่ได้หรอก ใช้หัวใจของนายก็พอ นายชอบคาวามูระใช่ไหม...” สึโยชินิ่งไปครู่ก่อนพยักหน้ารับ
“งั้นก็ทำไปตามที่ใจคิด ไม่ต้องกังวลอะไรหรอก...”
“แต่...ฉันเคยรับปากกับหมอนั่นว่าจะช่วยเรื่องยูยะ”
“สึโยะจัง...”มิสึรุก้มลงมาบีบจมูกโด่งอย่างรักใคร่ “สึโยะจังจอมแสบหายไปไหนล่ะ สลัดคราบพระเอกซะเถอะ ถ้าทำตัวชั่วร้ายแต่สมหวังมันก็ดีกว่าทำตัวพระเอกแล้วกินแห้วนะ”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ ไปซ้อมได้แล้ว นี่สายมากแล้วด้วย”
“ขอบใจนะมิสึรุ”
คำขอบคุณที่อีกฝ่ายเพียงยิ้มบางๆรับ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวกลับมา...
*************
การเข้าค่ายฝึกโหดวันสุดท้าย...
วันนี้ตารางการฝึกซ้อมเหมือนจะเบาที่สุด ใช่...เหมือนจะเบา...
ฝั่งชมรมเคนโด้นี่ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ดูเหมือนทางชมรมคาราเต้จะอาการหนัก เพราะโปรแกรมวันนี้ทำง่าย เข้าใจง่าย แล้วก็ไม่มีมิสึรุมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชเพราะเด็กหนุ่มต้องไปฝึกเดี่ยวให้มัตซึริ การฝึกวันนี้ก็แค่ให้พุ่งเข้าไปหารองกัปตันตัวแสบและล้มให้ได้ จะเข้าไปกี่คนก็ได้ มันฟังดูง่ายมาก...
ถ้าไม่ติดที่ว่า...แค่เดินเข้าไปใกล้ก็แข้งขาอ่อนแล้วน่ะนะ...
ชุดคาราเต้ที่ปกติก็ดูธรรมดาแต่ว่าวันนี้พออยู่บนตัวของสึโยชิกลับชวนให้เลือดกำเดาไหลกว่าเคยสัก 10 เท่า เหงื่อที่ไหลชุ่มโชกกายกลับปลุกฟีโรโมนที่เคยหลับใหลจนเหล่าสมาชิกชมรมคาราเต้มือไม้สั่น อยากจะกระโจนเข้าไปแต่ในความหมายที่ต่างจากการต่อสู้อยู่เยอะ...
“พวกนายเป็นอะไรเนี่ย...ไม่บุกเข้ามาสักที”สึโยชิกระฟัดกระเหียดพลางเสยผมชุ่มเหงื่อของตนเองให้พ้นจากสายตา เขาเสียแรงวิ่งไล่เตะคนมาชั่วโมงกว่า แต่ดูเหมือนพวกนั้นมันดูสมยอมให้เขากระทืบยังไงชอบกล “ฉันบุกเข้าหาพวกนายจนเซ็งแล้วนะ จะแข่งอยู่แล้วมัวแต่กลัวอะไรอยู่อีก การฝึกเมื่อวานไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือไง”
เด็กหนุ่มด่าเป็นชุดแบบไม่ได้รู้สึกตัวสักนิด สมาชิกชมรมคาราเต้ 8 คนที่เหลือมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนจะพยักหน้ารับเหมือนตัดใจได้แล้วพุ่งเข้าหาคนที่เริ่มยิ้มออก
“ดีมาก แบบนี้สิ”สึโยชิเริ่มสนุกเมื่อคู่ต่อสู้เริ่มฮึด เขาคิดไปว่าคำปลุกใจของเขาคงได้ผม แต่เปล่า... เจตนาแอบแฝงของพวกนี้มันชั่วร้ายกว่านั้นมาก...
แม้ฝั่งชมรมคาราเต้จะสุขแบบทุกข์แต่ฝั่งเคนโด้กลับเกิดนรกของจริง...
นารุมิหอบฮั่ก นัยน์ตาคมเข้มปรายมองไปรอบๆอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก แม้เขาจะรู้ดีว่าปกติชมรมเคนโด้ก็ฮึดกว่าคาราเต้เป็นเท่าตัวอยู่แล้ว...แต่วันนี้มันผิดปกติรึเปล่า...
สายตาแต่ละคนมองเขาเหมือนโกรธแค้นมาแต่ชาติปางก่อน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแถมการลงดาบก็ยังหนักมือซึ่งคุณชายคาวามูระไม่เข้าใจเอาเสียเลย อาจจะเป็นเพราะการฝึกโหดเมื่อวานก็ได้ที่ทำเปลี่ยนให้ทุกคนกลายเป็นแบบนี้ แต่สายตานั่นมัน...ไม่เหมือนฮึดเท่าไหร่เหมือนอยากฆ่าเขามากกว่า...
นารุมิเป็นอีกคนที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่าคนในชมรมเคนโด้หรือแม้แต่คาราเต้นั้นแค้นเขาแทบกระอักเลือด ข้อแรกคือ คนอื่นฝึกกันแทบตาย ถึงค่ายก็สลบเหมือดแต่นารุมิกลับเหลือแรงไป ‘กอด’ ชาวบ้านแล้วยังเหลือรอยทิ้งไว้เหมือนจงใจหยาม...
ข้อสองคือ คนที่นารุมิกอดดันเป็นไอ้คนที่ปล่อยฟีโรโมนฟุ้งทั่วค่ายจนพวกเขาแทบคลั่ง
และข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุด...อิจฉาโว้ยยย!!!
การฝึกซ้อมจบลงราวช่วงเที่ยงๆ...
ทั้งสองชมรมต่างหมดสภาพแต่ด้วยเหตุผลที่ต่างกันนัก... ชมรมเคนโด้ที่ทุ่มทุนลงแรงกายสุดชีวิตบางคนแทบจะยืนไม่อยู่ ส่วนชมรมเคนโด้ที่ยืนไม่อยู่ส่วนใหญ่เพราะอ่อนเปลี้ยจากการเสียเลือด(กำเดา) ซึ่งสึโยชิเข้าใจไปว่าเพราะอากาศมันร้อน และไม่ติดใจสงสัยอะไรเลยสักนิดเดียว
แม้การเข้าค่ายจะสิ้นสุดลงแล้วแต่ดูเหมือนอารมณ์อยากเที่ยวจะเข้ามาแทนที่ รุ่นพี่มัตซึริพ่ายเสียงโหวตไปถึง 2:25 เลยต้องจำใจไปเที่ยวพักผ่อนก่อนแข่งอย่างเสียไม่ได้ สึโยชิซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีเสนอว่าจะไปเที่ยวทะเล และดูเหมือนจะมีเรื่องนี้ล่ะที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน
“ถ้าทะเลก็ต้องอิสุสิ”สึโยชิเสนอ หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย
“ฉันมีบ้านพักตากอากาศที่นั่น...”
“อะ ฉันก็มี...”
หลายเสียงเสนอขึ้น และเป็นครั้งแรกที่สึโยชิรู้สึกดีจริงๆที่มีเพื่อนบ้านรวย เขาแย้มยิ้มกว้าง บวกลบคูณหารค่าใช้จ่ายอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นเขาดันเผลอเหลือบมองนารุมิที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม...เด็กหนุ่มรีบหลบตาอย่างรวดเร็วและพยายามคำนวณเงินใหม่ตั้งแต่ต้น ...ตั้งแต่เช้ามาเขายังไม่ได้คุยกับหมอนั่น และก็ยังไม่อยากคุยด้วย...
“แต่หลายคน...ต้องแยกกันพักหรือเปล่า?”มัตซึริถามขึ้นพลางคะเนจำนวนคน กะคร่าวๆก็ประมาณเกือบ 30 ถ้างั้น...
“ไปพักรีสอร์ทบ้านฉันไหม”
“หา!”หลายคนโพล่งอย่างคาดไม่ถึงเมื่อรุ่นพี่มัตซึริเสนอขึ้น บางคนมองมัตซึริตั้งแต่หัวจรดเท้า ปากอ้าค้างเหมือนเหยียดๆ
“ก็ดีครับรุ่นพี่ ที่พักของมัตซึริกรุ๊ปขึ้นชื่อเรื่องความสะดวกสบายอยู่แล้ว”มิสึรุยิ้มกว้าง พลางลุกขึ้นยืนก่อนจะส่งสายตาเป็นประกายวับไปให้รอบวง “เอาตามนี้ มีใครค้านมั้ย?”
ใครจะกล้าล่ะวะ!
พอเจอลูกตาวาววับของมิสึรุก็ร้อนๆหนาวๆ แต่ที่ตกใจกว่าคือพวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าไอ้คนติดดินสุดๆ อย่าง รุ่นพี่มัตซึริ จะเป็นคนเดียวกับ ลูกชายคนเดียวของ มัตซึริกรุ๊ป บริษัทราชาอสังหาริมทรัพย์ ...ก็เห็นทำตัวกลมกลืนกับวาคาบายาชิเสียเหลือเกิน... หรือคิดอีกที...จริงๆแล้ววาคาบายาชิบ้านมันอาจจะไม่ธรรมดาเหมือนกันก็ได้...
“เก็บกระเป๋ายังไม่เสร็จอีกเหรอ เขาจะไปกันแล้วนะสึโยะจัง”
มิสึรุวางมือลงบนไหล่ของคนที่ทอดสายตามองทุ่งดอกป๊อปปี้สีขาวซึ่งชูช่อต้านแรงลมอยู่ตรงหน้า เขาแย้มรอยยิ้มนิดหนึ่งพลางทรุดกายลงนั่งข้างๆ
“แปลกใจใช่ไหม กับหลังประตูสู่โลกวิญญาณน่ะ”เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอ และเรียกให้อีกคนยิ้มตาม
“ฉันไม่คิดเลยว่าฉันจะเผลอลืมไปได้ว่าหลังประตูบานนี้มันมีอะไร...”
“ไม่ใช่ความผิดของสึโยะจังหรอกน่ะ...พี่มิสึกิน่ะเขาเขินมากกว่าที่จะให้สึโยะจังรู้ว่าเขาน่ะดูแลต้นไม้พวกนี้หยั่งกับไข่ในหิน”
“มิสึกิน่ะนะ”สึโยชิขึ้นเสียงสูง อีกคนยิ้มกว้างรับ
“พี่เขาเป็นคนขี้อายจะตาย... แต่ถ้าคนไหนเขาไม่สนใจน่ะเขาก็ไม่มองด้วยซ้ำ แม้การแสดงความรักของเขาอาจจะแปลกไปสักหน่อย ใช่ไหมล่ะ?”
“อาจจะจริงล่ะมั้ง”สึโยชิหัวเราะพรวด ก่อนจะยันกายลุกขึ้นแล้วแบกเป้ขึ้นพาดไหล่พลางยื่นมือไปให้มิสึรุ “ไปกันเถอะ”
มิสึรุจับมือของสึโยชิก่อนจะยันกายลุกขึ้น ทั้งคู่เดินไปสมทบกับคนอื่นที่ยืนรออยู่หน้าบ้านพลางเดินลงเขาไปด้วยกัน...
การเดินขึ้นเขากับลงเขาความโหดนั้นต่างกันเยอะมาก
ขาขึ้นนั้นโหดร้ายแทบล้มประดาตาย แต่ขาลงนั้นทุกคนกลับดูเดินสบายๆ สบายมากๆโดยเฉพาะ...
นารุมิเดินคุยกับยูยะไปตลอดทาง... ซึ่งสึโยชิก็หมั่นไส้จนพูดไม่ออก ไอ้ท่าทางอี๋อ๋อนั่นก็ช่าง... เขาล่ะอยากจะสวมบทนางร้ายในละครแล้วหันกลับไปเค้นคอยูยะแล้วตะโกนใส่หน้าว่า
ไอ้คนที่เดินหนุงหนิงมากะนายน่ะเมื่อคืนมันปล้ำฉัน!
แต่ถึงพูดก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นเพราะนอกจากตัวเองจะอายเองแล้ว ไอ้คนงี่เง่านั่นคงจะโกรธเขาจนไม่อยากมองหน้า...
แต่โกรธก็ช่างแม่งปะไร! ทำมาเก๊กหน้าหล่อแต่ฉันรู้นะเว้ยว่าแกคิดถึงแต่เรื่องใต้สะดือ ไอ้หื่นกาม จิตวิปริต!
สิ่งที่สึโยชิคิดดูเหมือนจะฟ้องออกมาทางสีหน้าจนหมด...หมดจริงๆเพราะมิสึรุได้แต่หัวเราะคิกคักพลางเดินเข้าไปคุยกับสึโยชิแก้เครียด ...แม้หางตาของเด็กหนุ่มจะลอบมองอีกคนเป็นระยะๆก็ตาม
จนเดินมาถึงตีนเขาสึโยชิก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ใบหน้าของเด็กหนุ่มมึนตึง ท่าทางเหมือนอยากฆ่าคนโดยเฉพาะไอ้คู่รักน่าหมั่นไส้ข้างๆ...
“สึโยะจัง ขึ้นรถเถอะ”มิสึรุเรียกคนที่ยังหน้าบูดให้ขึ้นรถ แต่ขาของเขายังก้าวไม่ถึงครึ่งก้าว มือของใครคนหนึ่งก็คว้าแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน...
“มีอะไร”สึโยชิทำเสียงแข็งเมื่อสบตากับเจ้าของมือ แม้เรือนแก้มจะร้อนผ่าวขึ้นมาแบบควบคุมไม่อยู่
“สึโยชิ...”น้ำเสียงนิ่งเรียบของนารุมิเรียกให้ใจของเขาเต้นตึกตัก
จะใช้เสียงสะกดจิตกูทำหอกอะไรวะ!
“เอ่อ...”
“มีอะไรก็รีบพูดมา คนอื่นเขารออยู่”
เป็นจริงดังว่า เพราะทั้งคันรถนอกจากจะรอแล้วยังเกาะกระจกดูเหตุการณ์ข้างล่างด้วยใจเต้นระทึก พร้อมด้วยเสียงสะท้อนในใจดังลั่นว่า ‘อย่าเอามือสกปรกของแกมาแตะวาคาบายาชิของพวกฉัน!’
นารุมิเงียบไปนิดหนึ่ง เขาหันกลับไปมองยูยะที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังก่อนจะตัดใจพูด
“ขากลับนั่งกับฉัน ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย...”
ตูม!
เสียงระเบิดในหัวของสึโยะดังลั่น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด และชัดเจนจนยูยะก็สังเกตเห็น
“เอ่อ...อ่า....ม...มีเรื่อง อะไร...ก...ก็พูด...ที่นี่เลยดิ่”สึโยชิเอ่ยตะกุกตะกักแม้ยังทำท่าเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว เรียกให้อีกคนแย้มรอยยิ้มกว้าง
“พูดที่นี่...แน่ใจนะ?”นารุมิยิ้มบางๆและเรียกให้อีกคนหน้าขึ้นสีกว่าเก่า
ระหว่างที่สึโยชิอ้าปากจะตอบ เสียงโทรศัพท์มือถือของยูยะก็แผดร้องดังลั่นจนเด็กหนุ่มรีบคว้าขึ้นมาเป็นการด่วน
“ฮัลโหล ค่ายเสร็จแล้วครับแม่แต่ผมกำลัง....”
กึก!
มือถือลื่นหลุดจากมือทันทีที่ยูยะฟังจบ ดวงตากลมโตอ้าค้าง น้ำตาค่อยเอ่อคลอหางตาจนนารุมิใจหายวูบ รีบผละจากสึโยชิไปหาร่างบางอย่างรวดเร็ว...
“เกิดอะไรขึ้นยูยะ”นารุมิถามด้วยความเป็นห่วง เขาเห็นว่าร่างบางสั่นไปทั้งตัว ใบหน้าหวานซีดเผือดเหมือนคนใกล้เป็นลม
“พ่อฉัน...เข้าโรงพยาบาล...อยู่ในห้องICU
”เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงเครือ ริมฝีปากสั่นระริก “ฉัน...ฉันต้องกลับโตเกียว”ยูยะเหมือนคนกำลังเพ้อไม่ได้สติ เด็กหนุ่มพุ่งไปที่ถนน พยายามชะเง้อหาแท๊กซี่อย่างเอาเป็นเอาตายจนนารุมิต้องรวบร่างนั้นเข้ามากอดพลางลูบหลังแผ่วเบา
“ใจเย็นๆ เราติดรถบัสไปลงถนนใหญ่ก็ได้...”นารุมิวรรคไปครู่ นัยน์ตาคมปรายมามองสึโยชิเล็กน้อยก่อนจะตัดใจ “ฉันจะกลับโตเกียวกับนาย...”
เพียงคำพูดคำเดียวทำให้สึโยชิรู้ซึ้งได้ทันที...
เขาแพ้ยูยะอย่างหมดรูป...
TBC
ความคิดเห็น