คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #253 : ☆ : รวบรวมสัตว์ในเทพนิยายและตำนาน(ต่อ)
มังกร [Draco]
มังกร มาจากภาษาละตินว่า Draco เป็น!วิเศษที่รู้จักกันในวรรณคดี มังกรเป็นสัตว์อันตราย
และน่าสพรึงกลัวสำหรับมนุษย์ จึงมักเป็นศัตรูตัวฉกาจ ของเหล่าวีรบุรุษ ทั้งหลาย การฆ่ามังกร
และขึ้นเถลิงราชย์เป็นกษัตริย์ มังกรจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ ขององค์กษัตริย์ทั้งที่มีตัวตนจริงๆ
และกษัตริย์ในตำนานต่างๆ เช่นกษัตริย์อาเธอร์ ซึ่งมีนามสกุลว่า'Pendragon'
อันมี ความหมายว่า 'ศีรษะของมังกร' หรือ 'หัวหน้ามังกร' มงกุฎ ของกษัตริย์อาเธอร์
ถูกออกแบบเป็นรูปมังกร กล่าวกันว่า หินวิเศษ หรือ draconite
คือสิ่งที่อยู่ภายในศีรษะของมังกรสิ่งที่อยู่ใน หัวมังกร คือหินวิเศษ
แต่มันจะไม่เป็นหิน ถ้าไม่ผ่าเอาออกมาขณะ ที่มังกรยังมีชีวิตอยู่ เมื่อใดที่มังกรเสียชีวิต
ความแข็งของหินนั้น ก็จะหมดไปพร้อมกับชีวิตของมังกรด้วย
ผู้ที่มีความกล้าหาญมากๆ จะออกสืบเสาะหาถ้ำมังกร และจะเฝ้าคอยจนกระทั่ง มังกรออกจากถ้ำ
ไปหาอาหาร ขณะที่มังกรเดินผ่านมา พวกเขาก็จะขว้าง สมุนไพร ใส่หน้ามังกรเพื่อให้มันหลับ
เมื่อมังกรหลับแล้ว พวกเขาก็จะผ่าเอาหินวิเศษออกจากหัวมังกร และนำสิ่ง ล้ำค่าที่ขโมยมาได้นี้
ไปขายเพื่อแสวงหาความร่ำรวย กษัตริย์หลายพระองค์ ในเอเชียจะประดับหินวิเศษของมังกร
แม้ว่ามันจะมีความแข็งมาก จนไม่มีใครหรือสิ่งใดสามารถ ประทับตราจารึก หรือทำเครื่องหมายใดๆ
ได้เลยก็ตาม หินนี้มีสีขาวบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ
มังกร อาจพบได้ง่ายและบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นทางของยุโรป หรือเอเชียก็ตาม
เรียกว่าที่ใดมีอารยธรรมและตำนานที่นั่นก็ต้องมีมังกรอยู่เป็นของคู่กันอยู่เสมอๆ
มังกรนั้น มีหลายอย่างแตกต่างไปตามความเชื่อของคนในแต่ละท้องถิ่น
แต่โดยทั่วๆไปแล้วจะเห็น จุดเด่นได้อย่างหนึ่งคือ ต้องเป็น! ขนาดใหญ่ ที่มีร่างกายใหญ่โต
มีพละกำลังและ บางครั้งมีอำนาจ เวทย์มหาศาล และจุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างคือ มีปีกแล้วก็บินได้
ซึ่งขนาดรูปร่างสีนั้นก็แตกต่างกันไป เช่น
Gold Dragon ตัวนี้ก็จะมีสีทอง เป็นมังกรที่จะเรียกได้ว่าอยู่ฝ่าย เทพก็ไม่ผิด
Black Dragon มังกรดำตัวนี้ก็จะมีอำนาจร้อยกาจมาก เป็นของพวกมาร ส่วนใหญ่ อาศัยอยู่ในถ้ำ
Tiamat เป็นราชาของพวกปีศาจ เป็นเจ้าแห่งขุมนรกทั้งเก้า(ของยุโรป) มีห้าหัว
Mist Dragon ก็อยู่แถบน้ำตกใหญ่ๆ หรือหน้าผา หรือบริเวณที่มีหมอกลงจัด สีออกโทนขาว ฟ้า เทา
มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเจ้า!ประหลาดมีปีกพ่นไฟได้ตั วนี้อยู่ 2 แนวคิดด้วยกันคือ
1. มันเป็น!ในเทพนิยายโดยแท้ ไม่มีอยู่จริง ซึ่งก็คือเหลวไหลทั้งเพนั่นเอง เรื่องราว ส่วนใหญ่เกี่ยวกับมังกรเป็นเรื่องของจินตนาการ ซึ่งคนโบราณได้รับแรงบันดาลใจมาจาก !บางชนิด เช่นงู หรือ!อื่นๆ ความเป็นไปได้มันมีอยู่แบบนี้ คนส่วนใหญ่เชื่อกัน ในแนวคิดที่หนึ่ง
2. เชื่อว่ามันเคยมีอยู่จริงๆบนโลกนี้ ว่ากันในเชิงชีววิทยาก่อน มันเป็นเรื่องยากลำบากที่จะหาทฤษฎีที่เป็นไปได้ที่จะอธิบายว่า อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้มังกรบินได้ พ่นไฟได้หรือแม้แต่คุณสมบัติ พิเศษ ของเลือดมังกรที่ใคร ได้อาบได้กินแล้วจะส่งผลพิเศษ ตามมาอีกร้อยแปดเนื่องจากตอนนี้เรามีหลักฐาน เกี่ยวกับมังกร อยู่น้อยมากนอกจาก เรื่องเล่าต่างๆแล้ว ซากกระดูกฟอสซิล หรือหลักฐานอื่นๆเกี่ยวกับมังกรนั้นเราแทบ จะไม่เคยพบกันเลย มันเป็นเพียงแนวคิดที่นำมาเล่าให้ฟังกันเล่นๆ เพราะท่าทางมันเป็นไปได้ และน่าเชื่อถืออยู่มาก
โครงสร้างส่วนใหญ่ของร่างกายมันจะต้องมีห้องมากมายสำหรับเก็บก๊าซไฮโดรเยน นั่นล่ะคือจุดอ่อนตามธรรมชาติ ของ!ยักษ์เหล่านี้ลองคิดกันง่ายๆหากมันโดนดาบ หรือไม้จิ้มฉึกทะลุเข้าช่องท้อง สู่ห้องเหล่านี้ สิ่งที่ตามมาก็คือกรด ไฮโดรคลอริก จะทะลักออกมาทำปฏิกิริยากับทุกสิ่งที่สัมผัสกับมัน ไม่ว่าจะเป็นดาบ มือที่จับดาบ หรือแม้แต่ผิวหนังของมังกรเองก็ตาม โดนเข้าอย่างนี้ต่อให้เป็นโคตรมังกรก็สิ้นฤทธิ์ มันจะบินไม่ได้พ่นไฟ ก็ไม่ได้ มีอากาศเหมือนลูกโป่งหรือบอลลูนที่ถูกเจาะทะลุ โครงสร้าง ที่เบาบางของมันจะยุบสลายโดยสิ้นเชิง คงนึกภาพออก ว่าเมื่อมังกร ตาย (ไม่ว่าจะแก่ตายหรือโดนดาบเอ็กซ์คาร์ลิเบอร์ จิ้มตายก็ตาม) มันจะสลายตัวไปในเวลาไม่นานนักซึ่งค้านกันเอามากๆกับ รูปร่าง ของมัน นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงไม่พบกระดูก เศษซาก หรือว่าฟอสซิลของ มังกรเลย
เชื่อได้เลยว่ามังกรต้องวิวัฒนาการมาจากประเภทไดโนเสาร์ เพราะรูปร่างหน้าตามันก็บอกอยู่แล้ว เชื่อว่าในตัวมังกรจะ ต้องมี เยื่อเมือกตามธรรมชาติไว้คอย ป้องกันกรดไฮโดรคลอริก เพื่อไม่ให้กัดกร่อนเนื้อเยื่ออื่นๆ และกรดจะถูกหลั่งออกมา จากต่อมในตัวมัน เพื่อใช้ในกระบวนการชีวเคมีของมังกรช่องว่างต่างๆในตัวมังกร จะถูกกั้นด้วยเยื่อและอวัยวะที่มีหน้าที่เหมือนลิ้นเ ปิดปิด โดยอาศัยแรงดึง ของเนื้อเยื่อ และจะทำให้การส่งผ่านก๊าซเป็นไปอย่างสมดุลย์ตลอดทั้งร่า งของมังกร เนื้อเยื่อเหล่านี้ จะมีหน้าที่สำคัญอื่นๆอีก
ในสภาวะปกติความดันต่างๆ จะอยู่ในภาวะที่ปกติ พอควรที่จะ ทำให้มังกรเดินต้วมเตี้ยม ไปมาบนพื้นดินได้ ไม่ลอยไปมาเหมือนลูกโป่ง เมื่อมังกรต้องการจะบิน เนื้อเยื่อของมันจะขยายตัวทำให้ปริมาตรของตัวช่อง เก็บก๊าซ เพิ่มขึ้นใน ขณะที่มวลของก๊าซคงเดิม สิ่งที่ตามมาก็คือความดันลดลง (ลืมกันไปหมดหรือยังนะ PV = nRT , เมื่อ V เพิ่ม P ก็ย่อมลดลงเป็นธรรมดา) พูดถึงการเพิ่มปริมาตรในช่องอากาศของมังกร ขอร้องอย่า ให้ทุกคนนึกถึงมังกรพองลมในลักษณะ ของปลาปักเป้า แบบนั้นมันดูน่าเกลียดมากสำหรับ!ที่สง่างามอย่างมังก ร (ถึงแม้ว่าตำราโบราณของจีนจะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลง ขนาดของมังกร ในลักษณะนี้ก็เหอะ) เพราะการหดตัว ของ เนื้อเยื่อโดยการควบคุมกล้ามเนื้อ ก็ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวเข้าสู่บริเวณครีบของมัน
จากภาพทั่วๆ ไปไหม ไม่ว่าจะมังกรหรืออะไรก็ตามพอมันบินแล้วครีบหลังมัน จะตั้งต่างกันกับตอนอยู่บนดิน แถมครีบนี้ยังสามารถป้องกันตัวได้อีก นับว่าสารพัด ประโยชน์ดีเหมือนกันตอนนี้เราก็สามารถแก้ปัญหา เรื่องการบินของมังกรได้อย่าง สมบูรณ์แบบ เพราะถ้ามังกรต้องใช้ปีกในการพยุงตัวเพื่อบินจริงๆ มันก็ต้องมีกล้ามเนื้อ ที่มีพลังมหาศาลเกินกว่าธรรมชาติจะประทานให้ได้ แต่ด้วยวิธีการลอยตัวนี้มังกร
จะ สามารถบิน ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ปัญหาเรื่องการบินที่จะตามมาอีกร้อยแปดพันเก้า ก็เป็นอันพับทิ้งไปได้เลย ทีนี้กลับมาว่าเรื่องของซากมังกรที่เราไม่เคยค้นพบกันใหม่ดีกว่า
แม้ว่าจะด้วยกลไกทางชีววิทยาของมังกรจะทำให้เราไม่มีวันพบฟอสซิล ของมันได้เลย ในทำนองเดียวกับที่นักชีววิทยาไม่เคยพบซากบรรพบุรุษข องนก ว่าลักษณะที่พวกมัน เริ่มหัดบินนั้นมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่และ เป็นลักษณะอย่างไร แต่ด้วยขั้นตอนเดียวกัน เราสามารถอนุมานถึงการวิวัฒนาการทางการบินของมังกรได้ตามลำดับขั้นตอนที่ชั ด เจน ตามสมควร
ดัง นี้... เริ่มจากขนาดของมันก่อน เราทราบกันดีว่าพวกไดโนเสาร์ส่วนใหญ่ จะมีขนาดที่ใหญ่โตมาก แต่!ในตระกูลนี้กลับวิวัฒนาการ จนมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เพื่อความอยู่รอด เพราะ!ตัวเล็กย่อมคล่องแคล่ว และต้องการปริมาณอาหารน้อย กว่าตัวใหญ่ ไดโนเสาร์รุ่นหลังๆ จึงมีขนาดเล็กลง ในขณะที่พวกตัวใหญ่ๆเริ่มพากัน ล้มหายตายจากไป
ตามกฏของ ธรรมชาติ สำหรับตระกูลตัวใหญ่ที่จะดันทุรังมีชีวิต อยู่บนโลกใบนี้โดยไม่ลดขนาด ก็มีอยู่วิธีเดียวคือลดน้ำหนักตัวลง เพื่อเพิ่มความ คล่องแคล่วและ สงวนพลังงานใน การเคลื่อนไหว เอาล่ะ เจ้ามังกรก็คงวิวัฒน์ตัวเองออกมา
ในทางเลือกที่สองนี้ แถมยัง มีโรงงานผลิตก๊าซ ไฮโดรเยนในตัวเองอีก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์และกินเวลานานเอามากๆ ถึงแม้จะพิลึกและยาก นักวิทยาศาสตร์ก็ยังบอกว่า มันง่ายกว่าที่มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์จะวิวัฒน์มาเป็น โฮโมเซเปียนส์อย่างรวดเร็ว ในแบบที่เกิดขึ้นบนโลกของเรานี้ เป็นไหนๆ ในช่วง วิวัฒนาการนี้บรรพบุรุษของมังกรก็ลดลงและสูญพันธุ์ไปในที่สุด เหลือเพียงผลพวง ของความ เปลี่ยนแปลงเพื่อการอยู่ รอดนั่นก็คือ
...มังกร มันได้ละทิ้งเครื่องประดับอัน ฟุ่มเฟือย เช่น หนอก เขา ต่างๆไปหมด แม้แต่กระดูกก็ยังวิวัฒน์ให้เป็นลักษณะกลวง พวกเกร็ดหนังหนาๆตามตัวที่เคยเป็นเหมือนเกราะบัดนี้ก ็ได้หนักอึ้งเกินความจำ เป็น พวกมันคงทิ้งส่วนนั้นไปอย่างไม่เสียดายเหลือไว้เฉพาะ เขาที่เอาไว้ป้องกันส่วนหัวเท่านั้น เราสามารถทึกทักเอาได้อย่าสบายมากว่ามังกรใช้วิธีการเคลื่อนที่ด้วยการ กระโดด เหมือนจิงโจ้แทนที่จะเดิน (ไม่แปลกเลย เมื่อเทียบกับการ เคลื่อนที่ ของพวกไดโนเสาร์ กินเนื้ออย่างเวโลซี แรพเตอร์) ด้วยการทำรูปร่างให้เบาและการ กระโดดก็ทำให้มังกรรุ่นหลัง สามารถกระโดดได้สูงขึ้น - น้ำหนักเบาลง จนกลายเป็นแทบ จะบินได้ในลูกหลานของมังกรช่วงหลัง มังกรไม่มีปีกในหลายๆชาติเช่นจีนหรือนอร์สนั้นบินได้ แท้ที่จริงมันอาจไม่ได้บิน แต่กำลังกระโดดอยู่ เพียงแต่กระโดดสูงเสีย จนคนเราคิดว่ามันกำลังบินอยู่ และเราก็ได้ ข้อสรุปว่าพวกมันเป็นบรรพบุรุษของมังกรรุ่นที่มีปีก
เอ๊ะ... แล้วทีนี้ปีกของมังกรจะมาจาก ไหนล่ะ? ง่ายๆ พอกระโดดได้สูงขึ้นไกลขึ้นก็ต้องเริ่มหาอะไร มาช่วยบังคับทิศทาง ในการเคลื่อนไหว ธรรมชาติจึงสร้างปีกมังกร ขึ้นมาช่วยในการควบคุมทิศทาง เรื่องของ เรื่องก็เลยกลายเป็นแรกๆมังกรเคลื่อนที่ด้วยการกระโดดพอกระโดดเก่ง เข้าก็เลยมีปีก เพื่อช่วยร่อนไปมาในอากาศเหมือนเทอร์ราโนดอนหรือบรรพ บุรุษของนก และพอร่อนเก็บ Level เข้ามากๆก็เลยกลายเป็นบินได้ด้วยเองซะเลย สบายเขาล่ะ ด้วยข้อจำกัดทั้งหลาย ทั้งปวง มังกรจึงไม่น่าเป็น!ที่แข็งแกร่งโดดเด่นอะไรขึ้นมาได้(ยกเว้นรูปร่า ง ซึ่งคงจะ น่าเกรงขามอยู่เอาการ)
แต่ก็น่ายกย่องพวกมังกรอยู่ที่มันสามารถวิวัฒนาการผ่านวิกฤต มาได้เหมือนกับ บรรพบุรุษของพวกนก ด้วยขนาดที่ใหญ่โตเกินไป มังกรจึงจำเป็นต้อง อยู่ในถ้ำแทนที่จะอยู่ในป่าหรือที่ราบซึ่งเหยื่อและศ ัตรูสามารถมองเห็น ได้ง่าย มังกรคงซุ่ม อยู่ในถ้ำหรือรอยแยกของหินผา คอยเวลาออกมาร่อนมากระโดดจับเหยื่อกิน ที่น่าสงสาร ก็คือ แม้พวกมันจะวิวัฒน์ผ่านวิกฤตเอาตัวรอดมาได้ แต่ด้วยข้อจำกัดที่พวกมันมีพวกมัน ก็คงดำรงเผ่าพันธุ์กันอยู่ได้ไม่นานหรอก ไดโนเสาร์แห่งยุคกลางที่เอาตัวรอด และสืบเชื้อ สายมา หลายล้านปีเหล่านี้ ท้ายที่สุดก็พากันลดจำนวนลงไปตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจจะเหลืออยู่ไม่กี่ตัวที่ยังรอดรอเวลามาให้วีรบุรุษเอาด าบมาเสียบพุงเล่น จนกลายเป็น ตำนานเล่าขานกันมาถึงปัจจุบัน
และนี่คือความเป็นมาของมังกรภายใต้สมมติฐาน ที่เป็นไปได้ อ้างอิงข้อมูลจากทั้งเทพนิยายและตำราวิทยาศาสตร์ปัจจุบันคงไม่มีมังกรเหลืออยู่บนโลกนี้อีกแล้วนอกจาก ในภาพยนตร์หรือวิดีโอ เกมส์ ซึ่งอย่างหลังนี่ดูจะมีออกมาท้าทายวีรบุรุษเกมเมอร์ เป็นพิเศษ ...(ขอบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นข้อสันนิษฐาน อยู่ที่วิจารณญานส่วนบุคคลน่ะจะบอกให้ )
.....................................................
แฟรี่ [Faeries]
แฟรี่ มีรูปร่างคล้ายคนตัวเล็กๆ หูแหลม และมีปีกเหมือนผีเสื้อ คำว่า Faery(หรอบางทีเค้าก็ใช้ Fairy)มาจาก Fer-Sidhe(อ่านว่า ฟาร์ ชีห์) อันแปลว่า ชายแห่งเนินเขา หรือเป็นคำเรียกที่หมายถึง เทพ ของชาวเคลติค ซึ่งเทพเจ้าของชาวเคลติคเรียกว่า Aes Sidhe หมายถึง คนแห่งเนินเขา(ส่วนเทพีเรียกว่า Bean Sidhe หมายถึง หญิงแห่งเนินเขา เพราะเทพของเคลติคนั้น เป็นผู้ปกครองเนินเขาต่างๆ ที่เรียกว่า Sidhe) ซึ่งหลังจากศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาท เหล่าเทพเจ้าก็ถูกลืม และคำว่า ฟาร์ ชีห์ นี้ก็ได้กลายมาเป็นคำว่า Fairy
แต่ ความเชื่อเกี่ยวกับภูตน้อยแฟรี่นั้นมีมานานแล้ว ก่อนคริสตศาสนาจะเข้ามา นั่นคือ พิกซี่(Pixie) แต่เท่าที่รู้มา แฟรี่กับพิกซี่รูปร่างเหมือนกัน แต่พิกซี่จะป่าเถื่อนกว่าหรือไม่นั้น มิอาจบอกได้ ในเมื่อคำว่าแฟรี่นี้มีหลังจากคริสตศาสนา แต่ตัวแฟรี่เองกับมีมาก่อน ก็เข้าใจว่าทั้งสองอาจจะเป็นพวกเดียวกัน(แต่แฟรี่ไม่ใช่นางฟ้า ก็เพราะการเห็นแฟรี่เป็นเป็นนางฟ้านี่แหละ ทำให้ยศของพิกซี่ต้องต้อยต่ำลง) แฟรี่เป็นดวงวิญญาณที่กำเนิดแต่ธรรมชาติครับพวกเค้ามีอยู่ทั่วโลก(จริงๆนะ) และอยู่มาก่อนเรานานแล้ว
บางครั้ง แฟรี่ก็มาอาศัยอยู่ในบ้านคนในชนบทของยุโรป แฟรี่ มักมีนิสัยที่ออกจะซุกซน แต่บางตำนานกับดูโหด*ม โดยเฉพาะตำนานบางเรื่องที่ถ่ายทอดจากความเชื่อแบบคริสต์(ไม่ได้จะอะไรนะครับ พูดตามความเป็นจริง) เพราะแฟรี่มักเกี่ยวข้องกับเรื่องของมายิก หรือเวทมนตร์อยู่เอามากๆ และยังมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของแม่มด(อันนี้โดนประจำว่าชั่วร้ายทั้งที่ ไม่ค่อยจริง เอ๋ เข้าข้างใครหรือเปล่า?) โดยภูตพวกนี้เป็นตัวแทนของธรรมชาติ และไม่เคยที่จะเกี่ยวข้องศาสนาใดๆ จึงถูกตราหน้าว่าเป็นความป่าเถื่อนในธรรมชาติและนอกรีต(น่าสงสารจริง แฟรี่ แม่มด แมว).....
เวทมนตร์ของแฟรี่นั้น ได้แก่ มายิกด้านธรรมชาติ(มายิกเป็นพลังทางธรรมชาติ) และสามารถสาปหรืออวยพรได้ผลดีอีกด้วย แฟรี่มักจะอวยพรให้กับเด็กเกิดใหม่ หรือผู้ที่ให้เกียรติแฟรี่ก็จะได้รับพรเช่นเดียวกัน แต่ถ้าดูถูกล่ะก็โดนสาปให้ได้โชคร้ายเหมือนกัน หัวหน้าของพวกแฟรี่คือ ราชาหรือราชินีแฟรี่ ซึ่งมีรูปร่างงดงาม และมีอำนาจมาก ราชินีของพวกแฟรี่จะสวมใส่ชุดสีขาว พวกเขาจะรักในความสนุกสนานรื่นเริง และดูเป็นมิตรอย่างมาก(ถึงแม้จะไม่ค่อยยุ่งกับพวกมนุษย์) แฟรี่มีแพร่หลายในหลายๆตำนาน เช่นเคลติค(ตัวเริ่ม) กรีกก็มีบ้าง แต่ไม่ได้เป็นแบบดั่งเดิม กล่าวคือ มักนำไปเกี่ยวกับภูตอื่นๆเช่น ฟอน หรือเทพแพน ครึ่งคน ครึ่งแพะ ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นเกี่ยวข้องกับปีศาจ และกลายเป็นสัญลักษณ์ของซาตานด้วย(แพะกับหัว โดยจริงๆคือ มังกร) และที่ควรรู้คือ แฟรี่มีเวทมนตร์กำบังตนจากสายตาของมนุษย์ แต่ไม่ได้เป็นการล่องหนด้วยการเบียงเบนแสงนะครับ(พรีเดเตอร์ไง) ที่จริงเป็นเพราะมนุษย์ส่วนมากไม่มีความเชื่อในเรื่องแฟร์รี่ ก็จะไม่ได้เห็นกัน แม้ะเชื่อก็ใช่ว่าจะได้เห็นกันง่ายๆนะ
วิธีการ มองเห็นแฟรี่ก็คือ นำหินที่มีทะลุเป็นรูตรงกลางสามารถมองรอดผ่านได้ จากกลางลำธาร(ต้องเป็นหินที่เป็นโดนน้ำกัดเซาะเป็นรูโดยธรรมชาติเท่านั้นนะ ครับ จึงสามารถใช้ได้ ไม่ใช่ว่าเอาสว่านเจาะแล้วเอาไปโยนกลางน้ำ)*-^O^-*
พวก เขาอาศัยอยู่ในป่า หรือสร้างพื้นที่และอาณาจักรขึ้นเอง เป็นมิติย่อยที่แทรกอยู่ในบนมิติของเรา แต่มีพื้นที่จำกัด ระยะเวลาบนโลกเรากับที่ของแฟรี่ จะไม่เท่ากัน(นึกถึงเรื่องคอนสแตนตินสิ มิติโลก กับนรก สองนาทีเหมือนทั้นชีวิต ส่วนใครไม่ได้ดูนึกถึงอวกาศ โดยเวลานอกโลกเพียงแป้บเดียว กับกินเวลาบนโลกยาวนาน) และบางที แฟรี่อาจมีมิติที่อยู่แยกเป็นเอกเทศจากโลกของเรา ที่เรียกว่า Other World ในความเชื่อของชาวเคลต์นั้นแหละ เวลาบนโลกของเราแค่ไม่กี่นาที แต่ในโลกของแฟรี่อาจเป็นปีๆเลยก็ได้
ภูตน้อยเหล่านี้ปรากฏกายโดยมีแสงเรืองเป็นประกายออกมาจากตัว แฟรี่นั้นไม่มีวัยชรา
โดยแท้จริงแล้ว แฟรี่มีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า หรือแฟรี่จะเป็นเทพเผ่าพันธ์หนึ่ง ที่กำเนิดแต่ธรรมชาติ
ความ จริงพวกแฟรี่ไม่น่าจะถูกเรียกว่าภูตน้อยสักเท่าไหร่ เพราะแฟรี่นั้นเป็นทั้งพรายและภูตในตัวเดียวกัน สามารถที่จะขยายร่างกายให้มีขนาดเท่าๆกับมนุษย์ และย่อตัวเล็กจิ๋วได้ เวลาแฟรี่อยู่ในร่างของภูต จะมีปีก และมีแสงสว่าง แต่พอขยายตัวใหญ่ จะมีลักษณะของพราย(หรือเทพ) และดูจะไม่ต่างจากเอลฟ์หรือมนุษย์เลย อีกทั้งยังมีแสงสว่างแห่งเทพซึ่งสว่างประดุจแสงจันทร์อยู่ในตัว*****
43.พิกซี่ (pixie หรือ pisky)
หนึ่งในเชื้อสายเผ่าพันธุ์แฟรี่ มีลักษณะเป็นภูตตัวเล็กๆ มีปีกแบบแมลง สูงไม่เกิน1ฟุต(ตามปกติ) และสามารถขยายหรือลดขนาดของตัวเองได้
150-35.jpg [ 97.64 KiB | เปิดดู 1656 ครั้ง ] |
ยูนิคอร์น เป็นสัตว์ในตำนาน เชื่อว่าพบได้ตามป่าทางตอนเหนือของยุโรป ตัวโตเต็มที่มีลักษณะเป็นม้าสีขาวบริสุทธิ์ สง่างาม มีเขาหนึ่งเขาที่กลางหน้าผาก (โดยมากเขาจะเป็นเกลียวด้วย) ลูกยูนิคอร์นเเรกเกิดมีขนสีทอง เเละจะเปลี่ยนเป็นสีเงินก่อนที่จะโตเต็มวัย. เขา เลือด เเละขนของยูนิคอร์นมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์สูง. โดยทั่วไปยูนิคอร์นจะหลีกเลี่ยงการข้องเเวะกับมนุษย์ เเละจะยอมให้เเม่มดเข้าใกล้มากกว่าพ่อมด นอกจากนั้นยูนิคอร์นยังวิ่งได้เร็วมาก จึงยากที่จะจับตัวได้. ในโลกตะวันตก ยูนิคอร์นถือเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายไม่สามารถทำให้เชื่องได้ รักความสันโดษ แต่ในประเทศจีนยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่มีความสุภาพ อ่อนโยน รักสงบ
การกล่าวถึงยูนิคอร์นในโลกตะวันตก มีขึ้นครั้งแรกในหนังสือของอินเดีย ซึ่งเขียนโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก เมื่อประมาณ พ.ศ. 14 บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า "ในประเทศอินเดีย มีลาป่าชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่เท่า ๆ กับม้า ลำตัวของพวกมันมีสีขาว ศรีษะมีสีแดงเข้ม และมีดวงตาสีน้ำเงิน พวกมันมีเขาอยู่บนหน้าผากเขาหนึ่ง ซึ่งมีความยาวประมาณครึ่งเมตร" กล่าวกันว่ายูนิคอร์นเป็นสัตว์ผสมระหว่างแรด ละมั่งหิมาลัย และลาป่า เขาของมันมีความแหลมคมมาก โดยมีพื้นสีขาวตรงกลางสีดำ และตรงยอดเป็นสีแดงเลือดหมู
ยูนิคอร์นได้รับการแปลความหมายแทนสิ่งต่าง ๆ มากมาย เขาที่อยู่บนหัวถือเป็นสัญลักษณ์ของ พลัง อำนาจ ความเข้มแข็ง และความเป็นลูกผู้ชาย ในบางตำนานยูนิคอร์นเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ สะอาด บางตำนานเชื่อว่ายูนิคอร์นมีสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยง ระหว่างเพศหญิงและเพศชาย นั่นคือ เขาของมันแทนเพศชาย และลำตัวแทนเพศหญิง ชื่อภาษาจีนของยูนิคอร์นคือ ki-lin ซึ่งแปลว่า ผู้ชาย-ผู้หญิง หลายคนเชื่อว่ายูนิคอร์นไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ ในโลก หรือไม่ก็สูญพันธุ์ไปนานแล้ว
จนกระทั้ง....
นายโรเบิร์ต วาฟรา (Robert Vavra)ช่างภาพฝีมือฉกาจวัย 48 ปี มีนิวาสสถานอยู่ในประเทศสเปน ผู้ถ่ายภาพปริศนาชุดนี้ สาบานว่า ยูนิคอร์น ยังมีอยู่จริงในโลกนี้ และเขาก็ได้รับแรงบันดาลใจบางอย่าง จาก การที่เขามีความเชื่ออย่างแรงกล้านี้เอง ให้สามารถสืบเสาะจนไปเห็นและสามารถถ่าย รูปยูนิคอร์นมาให้ได้ ชมกัน วาฟราไม่ใช่ช่างภาพมือสมัครเล่นแต่เป็นมืออาชีพที่เคยถ่ายภาพและจัดพิมพ์ หนังสือภาพเกี่ยวกับม้า และกีฬาสู้วัวในสเปนมาหลายชุดแล้ว เขาใช้เวลาเสาะหายูนิคอร์นนานถึง 8 ปี แล้ววันที่เขารอคอยก็มาถึง วันซึ่งเขาไม่เคยลืมเลยในหุบเขาเร้นลับแห่งหนึ่ง วาฟราเห็นแสงแวววาวของดวงตาสีฟ้าประหลาด แล้วเขา ก็พบว่า เขากำลังถูกเฝ้ามองโดยยูนิคอร์นตัวหนึ่ง
ภาพ ถ่ายยูนิคอร์นของวาฟราไม่ได้มีแค่ความคมชัดอย่างเดียว แต่มีความสวยงามวิจิตรอย่างน่ามหัศจรรย์ วาฟราจัดพิมพ์ภาพถ่ายยูนิคอร์นของเขาทั้งหมดในหนังสือภาพชื่อ "Unicorns I Have Known" ภาพชุด ปริศนา ภาพถ่ายยูนิคอร์น พิมพ์ปีพ.ศ. 1983 ที่ คุณเห็นอยู่นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งจากหนังสือเล่มนี้ ส่วนภาพถ่ายที่เห็นจะ เป็นยูนิคอร์นจริงหรือ ปลอมนั้น ก็ต้องให้คุณๆช่วนกันสอดส่องสังเกตสังกากันเอาเองว่าควรเชื่อหรือไม่ ตัวนายวาฟราเองนั้นลงทุน สบถสาบานทีเดียวว่า ไม่ได้แต่งเติมเสริมหลอก แต่ถึงนายวาฟราจะจับม้ามาแต่ตัวถ่ายรูปหลอกคน ก็ต้องขอ ยอมรับในฝีมือพี่แกล่ะว่าทำได้เนี้ยบจริงๆ จนหาที่จับผิดไม่พบ ขนาดนิตยสาร LIFE ของสหรัฐที่มีชื่อเสียงมานาน หลายสิบปี และออกวางจำหน่ายทั่วโลก ยังทึ่งในฝีมือ เอาภาพชุดนี้มาตีพิมพ์เผยแพร่
ยูนิคอร์นขณะกำลังลุยทรายใกล้ๆ ฟาราฟีราห์ ประเทศอียิปต์ วาฟราบรรยาไว้ว่า ฝูงนกนำดอกไม้นานาพันธุ์ประดับยูนิคอร์นตัวนี้เพื่อแสดงความกตัญญูที่ยูนิคอร์นปกป้องรังเอาไว้
ยูนิคอร์นในดงหมอก ณ ป่าแห่งหนึ่งในเยอรมณี ที่เดียวกัยที่จูเลียส ซีซาร์บันทึกไว้ว่าเจอยูนิคอร์น
ถ่ายที่โขดหินผาแดง ณ ภูผาสุริยันในรัฐอริโซนา อเมริกา ยูนิคอร์นกำลังวิ่ง และต่อสู้ของยูนิคอร์น เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่บริเวณชายฝั่งเป็นรักของมัน ยูนิคอร์นในทุ่งดอกป๊อป*ในประเทศกรีก
งามหยดย้อย
เอลฟ์
เอลฟ์ (อังกฤษ: elf) คือสิ่งมีชีวิตอมนุษย์ในตำนานนอร์สและตำนานปรัมปราใน กลุ่มประเทศเจอร์เมนิก (สแกนดิเนเวียและเยอรมัน) เมื่อแรกเริ่ม แนวคิดเกี่ยวกับพวกเอลฟ์คือ ชนเผ่าที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและเทพแห่งความอุดมสม บูรณ์ ภาพวาดของชนเหล่านี้มักเป็นมนุษย์ทั้งชายและหญิงที่แ ลดูอ่อนเยาว์และงดงาม อาศัยอยู่ในป่า ในถ้ำ ใต้พื้นดิน หรือตามบ่อน้ำและตาน้ำพุ มักเชื่อกันว่าพวกเขามีชีวิตยืนยาวมากหรืออาจเป็นอมต ะ รวมทั้งมีพลังเวทมนตร์วิเศษ แต่หลังจาก ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ผลงานอันโด่งดังของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏออกมา ภาพของเอลฟ์ก็กลายเป็นผองชนผู้เป็นอมตะและเฉลียวฉลาด ทั้งที่คำว่า เอลฟ์ ในวรรณกรรมของโทลคีนมีความหมายแตกต่างไปคนละทางกับตำ นานโบราณโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ เอลฟ์ยังมีบทบาทสำคัญอยู่ในวรรณกรรมแฟนตาซีชื่อดังสม ััยใหม่อย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ด้วย ซึ่งเอลฟ์ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์จะแตกต่างออกไปจากเอลฟ์ในลอร์ดออฟเดอะริงส์ และเป็นตัวละครพื้นฐานในเกมแฟนตาซียุคใหม่ด้วย
ใน ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ฉบับแปลภาษาไทย ใช้คำว่า "พราย" สำหรับความหมายของ เอลฟ์ ซึ่งทำให้เกิดนิยามใหม่สำหรับความหมายของ "พราย" นอกเหนือจากความหมายแต่เดิมที่หมายถึง ผีจำพวกหนึ่ง
ที่มาของชื่อ
คำว่า "เอลฟ์" ในภาษาอังกฤษ มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า ælf (บ้างเรียกว่า ylf) ซึ่งมาจากคำในตระกูลโปรโต-เยอรมันว่า *albo-z, *albi-z ภาษานอร์สโบราณว่า álfr เยอรมันยุคกลางชั้นสูงว่า elbe ในตำนานอังกฤษยุคกลางนับถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถือว่า เอลฟ์ (elf) เป็นเพศชาย ส่วนเพศหญิงจะเรียกว่า elven (ภาษาอังกฤษโบราณว่า ælfen ซึ่งมาจาก *albinnja)
คำเรียกเอลฟ์แบบต่างๆ ในภาษากลุ่มเจอร์เมนิก นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ มีดังนี้
* เจอร์เมนิกเหนือ
o นอร์สโบราณ : álfr พหูพจน์ álfar
o ไอซ์แลนด์ : álfar, álfafólk และ huldufólk (ชนผู้ซ่อนตัว)
o เดนมาร์ก : Elver, elverfolk หรือ alfer (คำว่า alfer ในปัจจุบันแปลว่า ภูต (fairies))
o นอร์เวย์ : alv, alven, alver, alvene / alvefolket
o สวีเดน : alfer, alver หรือ älvor (สำหรับคำเพศหญิง)
* เจอร์เมนิกตะวันตก
o ดัตช์ : elf, elfen, elven, alven
o เยอรมัน : Elf (ชาย) , Elfe (หญิง) , Elfen "fairies", Elb (ชาย, พหูพจน์ Elbe หรือ Elben) [2] เป็นคำสร้างขึ้นใหม่ ส่วน Elbe (หญิง) เป็นคำในภาษาเยอรมันยุคกลางชั้นสูง Alb Alp (ชาย) พหูพจน์ Alpe มีความหมายเหมือนกับ "incubus" (ภาษาเยอรมันโบราณชั้นสูงเรียก alp พหูพจน์ *alpî หรือ *elpî
* โกธิค : *albs, พหูพจน์ *albeis (โปรคอพิอุส นักปราชญ์ชาวโรมัน มีชื่อเดิมว่า Albila)
เอลฟ์ในตำนานนอร์ส
เรื่องของเอลฟ์ที่เก่าแก่ที่สุดปรากฏอยู่ในตำนานปรัม ปราของพวกนอร์ส ในปกรณัมนอร์สโบราณเรียกพวกเอลฟ์ว่า อัลฟาร์ (álfar) อย่างไรก็ดี แม้จะไม่มีหลักฐานที่เก่าแก่กว่าหรือหลักฐานในยุคเดี ยวกันกับพวกนอร์ส แต่ชื่อ อัลฟาร์ ก็มีความเกี่ยวพันอยู่อย่างมากในนิทานพื้นบ้านหลาย แห่งจนอาจเชื่อได้ว่า เอลฟ์ เป็นที่รู้จักอยู่ทั่วไปนานแล้วในหมู่ชนเผ่าเยอรมัน ไม่ได้เป็นที่รู้จักแต่เพียงในหมู่สแกนดิเนเวียนโบรา ณเท่านั้น
ไม่มีแหล่งข้อมูลใดอธิบายได้ชัดเจนว่าเอลฟ์ คืออะไร แต่พวกเอลฟ์ดูจะเป็นที่รู้จักในฐานะสิ่งมีชีวิตขนาดเ ดียวกันกับมนุษย์ มีพลังอำนาจมากและสวยงามมาก มีมนุษย์ที่มีชื่อเสียงหลายคนได้รับยกย่องให้เป็นเอล ฟ์หลังจากเสียชีวิตไป แล้ว เช่น กษัตริย์ โอลาฟ เกย์สตัด-เอลฟ์ (Olaf Geirstad-Elf) หรือ วีรบุรุษนาม โวลุนด์ (Völundr) ก็ถูกกล่าวขานว่าเป็น "ผู้เป็นใหญ่แห่งเอลฟ์" (vísi álfa) หรือว่าเป็น "หนึ่งในหมู่เอลฟ์" (álfa ljóði) ดังปรากฏในบทกวี Völundarkviða ซึ่งในวรรณกรรมร้อยแก้วยุคหลังระบุว่าเขาเป็นโอรสของ กษัตริย์แห่ง "ฟินนาร์" (Finnar) อันเป็นพลเมืองแถบขั้วโลกกลุ่มหนึ่งที่เชื่อกันว่ามี เวทมนตร์ (หมายถึงพวก ซามี (Sami)) ในมหากาพย์ไทเดรค ราชินีชาวมนุษย์ผู้หนึ่งต้องประหลาดใจเป็นล้นพ้นเมื่ อพบว่าคนรักของนางเป็น เอลฟ์ ไม่ใช่มนุษย์ นอกจากนี้ในมหากาพย์ Hrolf Kraki กษัตริย์องค์หนึ่งชื่อ เฮลกิ (Helgi) ขืนใจนางเอลฟ์ตนหนึ่งจนตั้งครรภ์ นางเอลฟ์ผู้นี้กล่าวกันว่าคลุมร่างด้วยผ้าไหมและเป็น สตรีที่สวยงามที่สุด เท่าที่คนเคยพบ
สายเลือดผสมระหว่างเอลฟ์กับมนุษย์น่าจะเริ่มต้นมาจาก ความเชื่อเก่าแก่ในตำนานนอร์สโบราณนี้ เอง ราชินีชาวมนุษย์ผู้มีคนรักเป็นเอลฟ์ให้กำเนิดวีรบุรุ ษคนหนึ่งชื่อ Högni ส่วนนางเอลฟ์ซึ่งถูกกษัตริย์เฮลกิขืนใจให้กำเนิดธิดา นามว่า สกุลด์ (Skuld) ภายหลังได้วิวาห์กับ Hjörvard ซึ่งเป็นผู้สังหาร Hrólfr Kraki ในมหากาพย์ Hrolf Kraki เล่าว่า สกุลด์ผู้เป็นลูกครึ่งเอลฟ์มีอำนาจวิเศษทางเวทมนตร์ และไม่มีใครสามารถเอาชนะในการศึกกับนางได้เลย เมื่อนักรบคนใดของนางถูกสังหาร นางจะเสกให้เขาลุกขึ้นมาต่อสู้ต่อไป หนทางเดียวที่จะเอาชนะนางได้คือต้องจับตัวนางเสียก่อ นที่นางจะเรียกรวมกอง ทัพของนางได้ ซึ่งรวมถึงกองทัพเอลฟ์ด้วย
ในมหากาพย์ Heimskringla และมหากาพย์ธอร์สไตน์ (Thorstein)
มีการบันทึกลำดับสันตติวงศ์ของกษัตริย์ผู้ครอง อัล์ฟเฮม ดินแดนซึ่งสอดคล้องกับแคว้น Bohuslän ในสวีเดนกับแคว้น Østfold ในนอร์เวย์ กษัตริย์เหล่านี้สืบทอดเชื้อสายมาจากเอลฟ์ จึงกล่าวกันว่าเป็นผู้ที่งดงามยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดาท ั่วไป
แผ่นดินซึ่งปกครองโดยพระราชาอัลฟ์มีชื่อเรียกว่า อัล์ฟเฮม ทายาทของพระองค์ล้วนเป็นผองญาติของเอลฟ์ พวกเขางดงามยิ่งกว่าชนทั้งหลายกษัตริย์องค์สุดท้ายขอ งราชวงศ์นี้มีชื่อว่า แกนดัล์ฟ (Gandalf)
นักประวัติศาสตร์และนักเทววิทยาชาวไอซ์แลนด์
ชื่อ Snorri Sturluson เรียกพวกคนแคระ (dvergar) ว่า "เอลฟ์มืด" (dark-elves: dökkálfar) หรือ "เอลฟ์ดำ" (black-elves: svartálfar) สิ่งนี้สะท้อนถึงความเชื่อในยุคกลางของสแกนดิเนเวียน หรือไม่ยังไม่แน่ชัด[1] แต่เขาเรียกพวกเอลฟ์อื่นๆ ว่า เอลฟ์สว่าง (light-elves: ljósálfar) ซึ่งแสดงถึงความเกี่ยวข้องระหว่างพวกเอลฟ์กับเทพเฟรย ์ (Freyr) ผู้เป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ Snorri บรรยายความแตกต่างของพวกเอลฟ์ไว้ว่า
"มีที่แห่งหนึ่งบนนั้น [ในห้วงเวหา] เรียกชื่อว่า นิวาสเอลฟ์ (Elf Home หรือ Álfheimr อัล์ฟเฮม) ผองชนผู้อาศัยอยู่ที่นั่นเรียกว่า เอลฟ์สว่าง (light elves: Ljósálfar) ส่วนพวกเอลฟ์มืด (dark elves: Dökkálfar) อาศัยอยู่ใต้พื้นโลก พวกเขามีร่างปรากฏไม่เหมือนกัน ทั้งมีความจริงแท้แตกต่างกันยิ่งกว่า เอลฟ์สว่างมีร่างปรากฏสว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ แต่พวกเอลฟ์มืดนั้นดำสนิทยิ่งกว่าห้วงเหว"
ในนิทานพื้นบ้านของชาวสแกนดิเนเวีย
ซึ่งได้ผสมผสานกลืนไปกับตำนานปรัมปราของนอร์สกับตำนา นของชาวคริสเตียน เรียกชื่อ "เอลฟ์" ออกไปต่างๆ กัน กล่าวคือ elver ในภาษาเดนมาร์ก alv ในภาษานอร์เวย์ alv หรือ alva ในภาษาสวีเดน (คำแรกใช้เรียกเอลฟ์ชาย คำหลังใช้เรียกเอลฟ์หญิง) แต่คำเรียกของชาวนอร์เวย์มักไม่ใคร่พบเห็นในตำนานพื้ นบ้านเท่าใดนัก หากพวกเขาต้องการเอ่ยถึงก็มักใช้คำอื่นคือ huldrefolk หรือ vetter ซึ่งหมายถึงสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ขุดรูอาศัยอยู่ใต ้พิภพ คล้ายคลึงกับพวกคนแคระในตำนานนอร์สมากกว่าพวกเอลฟ์ หากเทียบกับตำนานไอซ์แลนด์จะเปรียบได้กับชาว huldufólk (ชนผู้ซ่อนตัว)
เอลฟ์ในตำนานของเดนมาร์กและสวีเดนจะแตกต่างไปจากพวก vetter ทั้ง ๆ ที่ดินแดนของพวกเขาประชิดแทบเป็นหนึ่งเดียวกัน ส่วนภูตตัวเล็กมีปีกเหมือนแมลงในตำนานของชาวบริเตนจะ เรียกว่า "älvor" ในคำสวีเดนยุคใหม่ หรือ "alfer" ในภาษาเดนมาร์ก ชาว "alf" ปรากฏในเทพนิยายเรื่องหนึ่งของ เอช. ซี. แอนเดอร์เซน นักเขียนชาวเดนมาร์ก เรื่อง เอลฟ์แห่งกุหลาบ (The Elf of the Rose) โดยที่เขามีตัวเล็กมากจนสามารถใช้ดอกกุหลาบเป็นบ้านไ ด้ อีกทั้งยังมีปีกซึ่ง "ยาวจากไหล่จดปลายเท้า" ทว่าแอนเดอร์เซนยังได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับเอลฟ์อีกเ รื่องหนึ่งคือ The Elfin Hill เอลฟ์ในเรื่องนี้กลับไปคล้ายคลึงกับเอลฟ์ในนิทานพื้น บ้านเก่าแก่ของเดนมาร์ก คือเป็นสตรีผู้สวยงาม อาศัยอยู่ตามเนินเขาและภูผา สามารถเต้นรำกับชายหนุ่มจนกระทั่งเขาสิ้นชีวิต หากมองพวกนางจากด้านหลังจะเห็นเพียงความว่างเปล่า เช่นเดียวกับ ฮุลดรา (huldra) ในตำนานของนอร์เวย์และสวีเดน
เงือก หรือ นางเงือก (Mermaid) เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งตามความเชื่อนิยายปรัมปราเกี่ยวกับน้ำ โดยเป็นจินตนาการเกี่ยวกับสัตว์น้ำ โดยมากจะเล่ากันว่าเงือกนั้นเป็นสัตว์ครึ่งมนุษย์ มีส่วนครึ่งท่อนบนเป็นคน ส่วนครึ่งท่อนล่างเป็นปลา
นางเงือก (mermaid) เป็นสัตว์โลกอยู่ในทะเลในจินตนาการ มีศรีษะและลำตัวท่อนบนเป็นผู้หญิงสวย ท่อนล่างเป็นปลา ภาษาเยอรมันเรียกนางเงือกว่า meerfrau และเดนมาร์กคือ maremind
โจนส์ ระบุว่านางเงือกคือเทพธิดาแห่งทะเล มักปรากฏตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ มือหนึ่งถือหวีสางผม มือหนึ่งถือกระจก มีลักษณะคล้ายไซเรน (siren - ปีศาจทะเล ครึ่งมนุษย์ผู้หญิง ครึ่งนก มีเสียงไพเราะมาก ล่อลวงคนไปสู่ความตาย ในนิทานปรัมปราของกรีก)ในหลายประเทศทั่วโลก มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานเงือกมากมาย
ความเชื่อในเรื่องดังกล่าว บางคนเสนอว่า บางทีอาจเป็นเพราะผู้คนในสมัยโบราณเข้าใจผิด คิดว่า พะยูน คือเงือกก็เป็นได้
โจนส์ระบุว่านางเงือกคือเทพธิดาแห่งทะเล มักปรากฏตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ มือหนึ่งถือหวีสางผม มือหนึ่งถือกระจก มีลักษณะคล้ายไซเรน (siren - ปีศาจทะเล ครึ่งมนุษย์ผู้หญิง ครึ่งนก มีเสียงไพเราะมาก ล่อลวงคนไปสู่ความตาย ในนิทานปรัมปราของกรีก)
แต่เดิมนางเงือกอาจจะเป็นธิดาของพวกเคลต์ (ชาวไอริชโบราณ) นอกจากนี้ตำนานเกี่ยวกับนางเงือกมาจากเรื่องเล่าของพวกกะลาสีด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับความหายนะของมนุษย์ (Jobes 1961: 1093) แต่โรสกล่าวว่า บางครั้งนางเงือกก็ให้คุณต่อมนุษย์ มนุษย์ที่ช่วยเหลือนางเงือกมักได้รับความรู้เรื่องสมุนไพรรักษาโรคซึ่งเยียว ยาไม่ได้แล้ว ได้ของกำนัล หรือนางเงือกช่วยเตือนให้ระวังพายุ (Rose 1998: 218)
บางครั้งนางเงือกก็ได้รับสมญานามว่าพรหมจารีแห่งทะเล มีลักษณะสวยงาม กระจกของนางเงือกคือสิ่งที่แทนวงพระจันทร์ และผมที่สยายยาวคือสาหร่ายทะเล หรือรังสีบนผิวน้ำ (Jobes 1961: 1093) แต่บางครั้งก็กล่าวว่ากะลาสีเรือเดินทางไปในเรือนานๆเข้า ไม่ได้เห็นผู้หญิงเลยก็เกิดภาพหลอนขึ้นมา นั่นคือนางเงือกไร้ตัวตนอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเดินทางทางเรือเกิดจินตนาการเพราะว้าเหว่คิดถึงครอบครัว
ในอดีตการเล่าขานตำนานของเงือกส่วนมากจะคล้ายๆกันคือสาวน้อยที่โผล่พ้นน้ำ ด้วยท่อนบนเปลือยเปล่าแต่ท่อนล่างที่อยู่ใต้น้ำนั้นเป็นปลาในวรรณคดีไทยก็ กล่าวถึงเงือกไว้ว่าเป็นสาวงามที่สวยสะอาด ท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนร่างเป็นปลามีประทุมถันอวบและที่สำคัญเป็นเอกของเรื่อง พระอภัยมณีเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดและกำเนิดสุดสาครตัวเอกของเรื่อง (ตกลงจะเล่าเรื่องอะไรกันแน่ )
หลักฐานที่พบจากหนังสือพิมพ์เซ้าแอฟริกัน ฟรีเทอร์เรียนิวส์ ฉบับวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1977 รายงานว่ามีคนพบเงือกตนหนึ่งขึ้นมาเหนือน้ำขณะที่ทะเลคลั่งและท้องฟ้ามีแต่ ดาวมีร่างท่อนบนเป็นหญิงสาวแสนสวยลอยเหนือผิวน้ำสักพักก็จมหายไปแต่เห็นมี ส่วนที่คล้ายหางของปลาชูขึ้นแล้วจมหายลงไปในทะเล
ตามตำนานเกี่ยวกับเงือกนั้นกล่าวไว้ว่าเทพโอนเน่ส์เทพเจ้าแห่งท้องน้ำ เทพเจ้าแห่งแสงสว่างและสติปัญญามีบุตรสาว และบุตรชาย ที่มีรูปร่างคล้ายปลา ให้ดูแลท้องน้ำในมหาสมุทรและปกครองทะเลทั้งหมด เรื่องนึงที่น่าประหลาดเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1608 มีคนพบคนครึ่งปลากลุ่มใหญ่ออกมาปิดปากถ้ำที่เซ็นไอเว่ส์แถบชายฝั่ง เบ็นโอเวอร์เนื่องจากเรือหลายลำได้รับคำสั่งให้ไปจับคนนอกศาสนาหรือเหล่าเพ แกนมาทำโทษและจัดการฆ่าทิ้งศพลงทะเล เหตุการณ์นี้ยังเป็นที่งุนงงมาถึงปัจจุบันว่าจริงหรือไม่
เงือกเป็นเผ่าพันธุ์ของอมนุษย์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกอีกชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าเงือกพวกนี้อาจมีถิ่นกำเนิดบนฝั่ง บริตานี และว่ายข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังคอร์วอลล์ จึงทำให้ผู้คนที่นั่นขนานนามว่า เมอร์เมด-เมอร์แมน(เงือกตัวเมีย-ตัวผู้) อันเป็นคำผสมของแองโกล-ฝรั่งเศส และจากคอร์นวอลล์นี่เอง เงือกก็แพร่พันธุ์ไปจนถึงฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไปถึงรอบๆสกอตแลนด์ตอนเหนือสู่สแกนดิเนเวีย มีบางครั้งที่เราอาจเห็นเงือกในจุดต่างๆตลอดแนวฝั่งยุโรปด้วย อาจเป็นเพราะเงือกชอบอากาศเย็นและแนวฝั่งแอตแลนติกของอังกฤษกับไอร์แลนด์ (อันหลังนี่เรียกเงือกว่าเมอร์โรว์และเมอรูชา)
ในต่างถิ่นมีตำนานเล่าถึงกำเนิดของเงือกต่างๆกัน นิทานพื้นบ้านของโรมันบอกว่า ในสงครามกรุงทรอย เศษไม้จากซากเรือรบที่ถูกเผาวอดกลายสภาพเป็นเลือดเนื้อและเกิดเป็นสิ่งมี ชีวิตคือ เงือก ชาวไอริชเล่าว่านางเงือกคือผู้หญิงนอกศาสนาที่ถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน บางท้องถิ่นมีเรื่องเล่าว่า ชาวเงือกคือ ลูกๆของฟาโรห์ที่จมน้ำในทะเลแดง
เงือก อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น แม่น้ำ หนองน้ำ หรือบึงนั้น บางแห่งมีบริเวณนิ่งสงบและเย็นผิดปกติเรียกว่า วัง ที่เป็นเช่นอาจเป็นเพราะน้ำบริเวณนั้นลึกกว่าบริเวณอื่นจนแสงแดดส่องลงไปไม่ ถึงพื้น ซึ่งชาวบ้านมักเชื่อกันว่ามีสัตว์ร้าย หรือพวกเงือกอาศัยอยู่
เล่ากันว่าเงือกนั้นมีหน้าเล็กกลมเท่างบน้ำอ้อย(ประมาณหน้าชะนี)ผมยาว วันดีคืนดีกลางคืนเดือนหงายจะขึ้นบกมาหวีผมด้วยหวีทอง บางทีก็ใช้กระจกทองส่องหน้าด้วย ถ้ารู้สึกว่ามีใครเข้ามาใกล้ตัว จะโจนลงน้ำดำหนีไป ทิ้งหวีและกระจกทองไว้ ถ้ามีผู้พบเห็นกระจกทองแต่เก็บไว้ไม่ทิ้งลงน้ำคืนเงือก เงือกจะมาเข้าฝันทวงของคืน ถ้าไม่ให้ก็จะถูกปลิดดวงวิญญาณไปหรืออาจถูกฉุดตัวจมน้ำไปขณะที่ลงไปอาบน้ำใน ที่แห่งนั้น ความเชื่อเรื่องเงือกนี้มิได้มีแต่เฉพาะไทย แต่ยังมีกล่าวถึงในนิทานท้องถิ่นหลายประเทศ เช่น เขมร ลาว ญี่ปุ่น และทางยุโรป
เงือกเขมร
ในนิทานเขมรเล่าถึงเงือกไว้ว่า ตากับยายให้หลานสาวแต่งงานกับงูโดยเชื่อตามที่ฝันว่าถ้าหลานสาวมีสามีเป็นงู จะร่ำรวยเป็นเศรษฐี เมื่อส่งตัวหลานสาวเข้าห้องหอให้งูแล้วได้ยินหลานสาวร้องให้ช่วยว่าถูกงูรัด ก็ตะโกนตอบไปว่า ผัวเขากอดรัดนิดหน่อยก็ต้องร้องด้วย หลานสาวก็ร้องอีกว่างูกินเข้ามาครึ่งตัวแล้ว แต่ตากับบายก็เฉยเสียเพราะคิดว่าหลานสาวร้องไปตามมารยาหญิง รุ่งเช้าตายายไม่เห็นหลานสาวออกมาจากห้องนานผิดสังเกตจึงเข้าไปดู พบแต่งูชดตัวพองอยู่ จึงรู้ว่างูกินหลานเสียแล้ว จึงช่วยกันฆ่างูผ่าเอาตัวหลานสาวออกมา หลานยังไม่ตายแต่มีกลิ่นงูติดกายอยู่ ชำระล้างอย่างไรก็ไม่หมดกลิ่น จึงไปล้างด้วยน้ำทะเละ แต่ปรากฏว่าหลานสาวกระโจนลงน้ำกลายเป็นร่างนางเงือกดำหายไป
เงือกญี่ปุ่น
นิทาน ญี่ปุ่นมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับนางเงือกหลายเรื่อง มีเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งได้ช่วยนางเงือกไว้ที่ชายหาดนางเงือกซาบซึ้งในบุญคุณจึงมอบ เนื้อเงือกให้หญิงสาวและบอกว่าเป็นของวิเศษใครได้กินจะไม่แก่เฒ่า เมื่อหญิงสาวกินเข้าไปก็เป็นไปตามที่นางเงือกบอกคือมีชีวิตอยู่อย่างไม่มี วันแก่แต่คนรอบข้างนางทุกคนต่างตายไปตามอายุขัย เหลือแต่นางเพียงคนเดียวจนทนไม่ได้จึงไปบวชเป็นชีมีชื่อว่า เบคุนิ
เงือกไทย
ในวรรณคดีไทยมีกล่าวถึงเงือกไว้หลายเรื่อง แต่เรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายคือเงือกในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ได้ กล่าวถึงลักษณะของเงือกว่ามีท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นปลา เป็นผู้พาพระอภัยมณีหนีจากนางผีเสื้อสมุทรมาที่เกาะแก้วพิสดาร เรื่องอุณรุท พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็กล่างถึงเงือกไว้ตอนหนึ่งว่า
"เสด็จนั่งยังท้ายเภตรา
ชมหมู่มัจฉาน้อยใหญ่
ว่ายคล่ำดำดั้นอยู่ไวไว
ที่ในมหาชลธาร
เงือกงามหน้ากายคล้ายมนุษย์
เคล้าคู่พู่ผุดในชลฉาน"
ในเรื่องรามเกียรติ์ก็มีนางสุพรรณมัจฉาธิดาของทศกัณฐ์กับนางปลา มีรูปร่างท่อนบนเป็นหญิง แต่มีท่อนล่างเป็นปลา นางได้นำสัตว์น้ำบริวารไปขนย้ายหินที่กองทัพพระรามถมลงทะเลเพื่อทำถนนไปทิ้ง ตามคำสั่งของทศกัณฐ์ แต่ถูกหนุมานจับได้และตกเป็นภริยาของหนุมาน มีบุตรด้วยกันคือ มัจฉานุเป็นลิงเผือกแบบหนุมานแต่มีหางเป็นปลาแบบมารดา
เงือกฝรั่ง
ความคิดเรื่องเงือกหรือสัตว์ครึ่งคนครึ่งปลานี้ ฝรั่งก็มีเหมือนกัน แลมีทั้งเพศหญิงและชาย ที่เป็นเพศหญิงเรียกว่า “Mermaid” เพศชายเรียก “Mermen” เป็นพวกเงือกน้ำเค็มอาศัยอยู่ในทะเลหรือตามเกาะแก่งต่างๆ “Mer”หมายถึงทะเลส่วน “Maid”หมายถึงหญิงสาวทางฝั่งทะเลตะวันตกของอังกฤษเรียกว่า” Merry maid”หมายถึงสาวรื่นเริงที่จินตนาการกันว่าชอบว่ายน้ำเล่นคลื่น ยามเดือนหงาย ก็จะขึ้นมานั่งบนก้อนหินตามเกาะแก่งต่างๆหวีผมและร้องเพลงด้วยเสียงอัน ไพเราะ
พะยูน ที่มาของนางเงือก
นอกจากจินตนาการแล้วมีผู้กล่าวว่าเงือกจริงในธรรมชาติก็มี เป็นสัตว์น้ำประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ชื่อภาษาอังกฤษว่า”Sea Cow” ในภาษาไทยมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น พะยูน วัวทะเละ หมูน้ำหรือหมูทะเล ส่วนภาษามลายูเรียกว่า “Duyong” และภาษาชวา “Duyung”
กล่าวกันว่าเดิมพะยูนนี้เป็นสัตว์บกมาก่อนชอบหากินในน้ำ ขาและหางจึงกลายภาพเป็นครีบเพื่อให้ว่ายน้ำสะดวก แต่ต้องขึ้นมาหายใจบนน้ำทุกๆ5-8นาที รูปร่างคล้ายโลมาแต่หัวและคอใหญ่แบบหมู มีหนวดสั้นและมีชนตามตัว เมื่อจะให้นมลูกต้องยกตัวขึ้นให้ พ้นน้ำ ดูไกลๆคล้ายกับผู้หญิงอุ้มลูก ลักษณะเช่นนี้เองอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเงือก ซึ่งเป็นสัตว์ครึ่งคนครี่งปลาตามที่ได้เล่ามาแต่ต้น
เนื้อ เงือกเค้าว่ากันว่าบางคนกินไปก็จะเป็นพิษทำให้ร่างกายพิการ อาจกลายเป็นปีศาจหรือบางรายก็ตายไปเลย ส่วนบางคนกินไปก็เป็นอมตะ อยู่ยงคงกระพันหรือมีฤทธิ์มาก และหวีของเงือกถ้าเก็บไปก็จะเจอกับโชคร้ายที่อาจถึงชีวิต
เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาลี้ลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ ความลึกลับนี้สืบทอดต่อเนื่องกันมาโดยผ่านทางเรื่องเล่าเกี่ยวกับเงือก กระจกที่นางเงือกใช้ส่องนั้นเป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ซึ่งการโคจรของดวงจันทร์นั้นมีอิทธิพลต่อการเกิดน้ำขึ้นน้ำลง และความเชื่อมโยงกันระหว่างดวงจันทร์และนางเงือกนี้ได้ช่วยให้ตำนานของนาง เงือกมีความแปลกประหลาดพิศดารมากยิ่งขึ้น
เมื่อศาสนาคริสต์เริ่มก่อตั้งขึ้น ตำนานนางเงือกได้เปลี่ยนแง่มุมไปจากเดิม ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นั้น นางเงือกสามารถที่จะมีชีวิตจิตใจ และวิญญาณได้ แต่จะต้องสัญญาว่าจะอาศัยอยู่บนบกตลอดไป ไม่คิดจะกลับคืนสู่ท้องทะเลอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงถือเป็นการสร้างความทุกข์ทรมานใจให้แก่ตัวเธอเป็นอย่างยิ่ง
มีเรื่องราวอันน่าเศร้าใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับนางเงือก ซึ่งไปเยี่ยมเยียนนักบวชรูปหนึ่งอยู่เป็นประจำ ณ สถานที่อันเป็นที่เคารพสักการะในเกาะไอโอนา (Iona) เกาะเล็กๆแห่งหนึ่งห่างออกไปจากประเทศสกอตแลนด์ เธอได้ขอชีวิต จิตใจ และวิญญาณจากนักบวชรูปนั้น และนักบวชก็สวดมนต์ขอพรให้แก่เธอ แต่เธอจะต้องละทิ้งท้องทะเลของเธอตลอดไป แม้ว่าเธอจะปรารถนาชีวิตและจิตใจมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถละทิ้งทะเลไปได้ ตอนจบค่อนข้างเศร้าเล็กน้อย เธอได้ไปจากเกาะนั้น และน้ำตาของเธอได้กลายมาเป็นก้อนกรวดสีเขียวเทา หากมีใครพบก้อนกรวดดังกล่าวบนเกาะไอโอนา ก็จะเป็นที่ทราบกันดีว่า คือน้ำตาของนางเงือก
หลัก ฐานอีกอย่างที่สนับสนุนเรื่องเงือกมีจริงเมื่อปี1685ได้มีชาวประมงพบซาก สัตว์ที่ดูคล้ายคนครึ่งปลานอนตายเกยชายฝั่งของฟิลิปปินไปทางตะวันตก และ ปี 1741ได้มีคนพบซากของปลามีหัวเป็นคนที่ฝั่งทางตอนใต้ของออสเตเรีย แต่ที่สำคัญเมื่อ ปี 1985 ได้มีคนค้นพบปลาชนิดหนึ่งมีหัวคล้ายๆหน้าของมนุษย์ตัวเป็นปลาต่อมาได้ให้ ชื่อปลาชนิดนี้ว่า HUMANFISH
คุณสมบัติของนางเงือก
-->บางตำนานกล่าวถึงนางเงือกว่าเสียงของนางเงือกจะใสกังวาลและชักนำพากลาสีเรือแตกลงสู่ห่วงน้ำวงใต้ทะเล
-->บางตำนานกว่าวว่า เสียงของนางเงือกไพเราะและขับร้องพาเรือลงสู่วังน้ำวน
-->บางตำนานกล่าวว่า นางเงือกเป็นแค่ปล่าพยูน
-->บางตำนานกล่าวว่า น้ำตาของนางเงือกจะเป็นไข่มุกแห่งพลังในการคุ้มครองจากปีศาจร้าย
-->บางตำนานกล่าวว่า มงกุฏของนางเงือกทำมาจากใบไม้ใต้ท้องทะเลมีพลังในการฟื้นนพลังและรักษา
-->นางเงือกสามารถว่ายรวมกันเพื่อสร้างน้ำวนได้ และยังสามารถทำให้เรือจมลงได้
-->บางตำนานยังกล่าวว่านางเงือกเป็นธิดาของโพเซดอนอีกด้วย
เงือกกรีก
ในตำนานเทพของกรีก ต้นตระกูลเงือกคือ ไตรตอน ซึ่งเป็นลูกของ โพเซดอน เทพเจ้าแห่งท้องทะเล กับพรายน้ำสาวตนหนึ่ง ผู้คนมักจินตนาการว่าไตรตอนมีหางเป็นปลา ไว้หนวดเครายาว ทรงอำนาจในท้องทะเลเหมือนพ่อ ไตรตอนอาศัยอยู่ในปราสาททองคำที่ซ่อนตัวอยู่ก้นทะเล มีตรีศูล(ฉมวกสามง่าม)เป็นอาวุธ คอยเป่าแตรหอยสังข์เพื่อควบคุมทะเลให้สงบหรือบ้าคลั่ง ไตรตอนจึงมีสมญาว่า นักเป่าแตรแห่งท้องทะเล
แต่ตำนานที่เก่าแก่กว่าเล่าว่า ชาวเงือกยุคบุกเบิกคือ โอนเนส (Oannes) เทพแห่งทะเลของชาวบาบิโลน (อาณาจักรโบราณในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้) ซึ่งมีพลังอำนาจต่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โอนเนสเป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ มีร่างกายเป็นมนุษย์และมีศีรษะเป็นปลา (บ้างก็ว่าสวมเสื้อคลุมปลา) โอนเนสจะปรากฏกายขึ้นมาจากทะเลในยามเช้าและกลับลงไปในทะเลตอนพลบค่ำทุกวัน ต่อมา เทพอียา(Ea) ซึ่งมีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นกันก็ได้ค่อยๆเข้ามามีบทบาทแทนที่โอนเนส ซึ่งถือกันว่า เทพเจ้าอียา เป็นบรรพบุรุษของเงือก ส่วนเทพเจ้า อาทาร์การ์ติส (Atargartis) เป็นตัวแทนของดวงจันทร์ มีลักษณะครึ่งคนครึ่งปลาเช่นเดียวกัน สาเหตุที่เทพเจ้าต่างๆของชาวบาบิโลนมีลักษณะดังกล่าวนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่า เมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็จะจมหายลงไปในทะเล ดังนั้นเทพเจ้าของเขาจึงควรมีรูปร่างลักษณะที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งใน น้ำและบนบก
ตำนานเงือกทางอัสซีเรีย
ตำนานเงือกทางอัสซีเรียก็มี เล่าว่าเทพธิดาเซมิรามิสรักกับหนุ่มเลี้ยงแกะ และได้ทำให้เขาตาย ด้วยความละอายเธอได้กระโดดลงทะเลสาบไป แต่เพราะเทวภาพทำให้ไม่จมน้ำ เธอจึงแปลงร่างให้ครึ่งล่างเป็นปลาจนเป็นเงือก สำหรับเงือกที่เป็นนิทาน เล่าเรื่องอย่างเป็นระบบในหนังสือ เงือกน้อย และเรื่องอื่นๆ ของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เสน เป็นที่ชื่นชอบทั่วโลกถึงวันนี้กว่า 200 ปีแล้ว
.....................................................
28.เซนทอร์ (Centaur)
เซนทอร์มีร่างส่วนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย แต่ส่วนลำตัวลงไปเป็นม้าหนุ่มที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ สง่างาม อาศัยอยู่แถบภูเขาของอาคาเดีย และเทสสาลีในประเทศกรีซ
เซนทอร์มีสองตระกูล โดยตระกูลหนึ่งเกิดจาก อิคซอน อันธพาลแห่งสวรรค์ที่ขึ้นชื่อ กับอีกตระกูลที่เกิดจากโครนัส ฝ่ายหลังมีอุปนิสัยดีแตกต่างจากฝ่ายแรกมาก
เซนทอร์ตระกูลอิคซอน เกิดจากอิคซอนกับเนฟีลี มีพละกำลังมาก ชอบดื่มไวน์กับชอบไล่คว้าผู้หญิง ซ้ำชอบทะเลาะเวลาเมา เซนทอร์จึงถูกมองว่าเป็นพวกขี้เมาไม่กลัวใครทั้งสิ้น
เซนทอร์ตระกูลโครนัสต่างกับตระกูลอิคซอน เป็นเซนทอร์แสนดี โครนัสแต่งงานกับฟีลีร่า นางอัปสรน้ำผู้เลอโฉม มีลูกชื่อไครอน ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียน มีความสุขุมรอบคอบจนได้รับเลือกให้เป็นอาจารย์ของเหล่าวีรบุรุษหลายคนในตำนานกรีก เช่น อคิลีส, เฮอร์คิวลีส, เจสัน, พีลูส, อีเนียส และบรรดาลูกศิษย์ของเขาก็ประพฤติตัวตามแบบครูบาอาจารย์ได้เป็นอย่างดี
29.ทรอลล์ หรือ โทรลล์ (Troll)
เป็นยักษ์อาศัยอยู่ทางแถบยุโรปเหนือในถ้ำลึกในป่าและภูเขา มันเป็นสัตว์ใหญ่มากแต่รูปร่าง แขนขา หรือหัว บรรดาสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านดูจะเกรงกลัวทรอลล์มาก แต่มันไม่ชอบโดนแดดแสงอาทิตย์ ถ้าโดนแดดเข้าทำให้มันกลายเป็นหินได้ มันชอบแอบขโมยเด็กลูกมนุษย์ไป ไม่รู้เอาไปทำไมเหมือนกัน
30.บาร์เบกาซี่ (Barbegasy)
มีลักษณะคล้ายมนุษย์ตัวจิ๋ยวที่เรียกกันว่า โนม และมันเป็นมนุษย์เคราที่เป็นน้ำแข็งในฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศา (หนาวมากเลย) และ มันอยู่ตามภูเขาสูงช่วงเขตต่อกันระหว่างสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส
คำว่า "บาร์เบกาซี่"มีความหมายว่า เคราที่เป็นน้ำแข็ง มันมีทั้งสองเพศจะไม่อาจแยกแยะออกได้ว่าตัวไหนหญิงชาย ชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของพวกบาร์เบกาซี่ยังเป็นความลึกลับอยู่ในภูเขาสูง
31.สไลม์ (Slime)
เป็น Monster ระดับล่าง พบได้ทั่วไป ลักษณะเป็นวุ้นใสๆ มีหลายสี อาศัยในถ้ำที่เปียกชื้น มักอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม สามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นของเหลว หรือรวมกับน้ำได้
ว่ากันว่าเกิดจากการรวมตัวของวิญญาณชั้นต่ำ
32.ยูนิคอร์น (Unicorn)
เป็นสัตว์ในตำนาน เชื่อว่าพบได้ตามป่าทางตอนเหนือของยุโรป ตัวโตเต็มที่มีลักษณะเป็นม้าสีขาวบริสุทธิ์ สง่างาม มีเขาหนึ่งเขาที่กลางหน้าผาก (โดยมากเขาจะเป็นเกลียวด้วย) ลูกยูนิคอร์นเเรกเกิดมีขนสีทอง เเละจะเปลี่ยนเป็นสีเงินก่อนที่จะโตเต็มวัย เขา เลือด เเละขนของยูนิคอร์นมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์สูง
โดยทั่วไปยูนิคอร์นจะหลีกเลี่ยงการข้องเเวะกับมนุษย์ เเละจะยอมให้เเม่มดเข้าใกล้มากกว่าพ่อมด นอกจากนั้น ยูนิคอร์นยังวิ่งได้เร็วมาก จึงยากที่จะจับตัวได้ ในโลกตะวันตก ยูนิคอร์นถือเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายไม่สามารถทำให้เชื่องได้ รักความสันโดษ แต่ในประเทศจีนยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่มีความสุภาพ อ่อนโยน รักสงบ
การกล่าวถึงยูนิคอร์นในโลกตะวันตก มีขึ้นครั้งแรกในหนังสือของอินเดีย ซึ่งเขียนโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก เมื่อประมาณ พ.ศ. 14 บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า "ในประเทศอินเดีย มีลาป่าชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่เท่า ๆ กับม้า ลำตัวของพวกมันมีสีขาว ศรีษะมีสีแดงเข้ม และมีดวงตาสีน้ำเงิน พวกมันมีเขาอยู่บนหน้าผากเขาหนึ่ง ซึ่งมีความยาวประมาณครึ่งเมตร" กล่าวกันว่า ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ผสมระหว่างแรด ละมั่งหิมาลัย และลาป่า เขาของมันมีความแหลมคมมาก โดยมีพื้นสีขาวตรงกลางสีดำ และตรงยอดเป็นสีแดงเลือดหมู
33.เพกาซัส (Pegasus)
เพกาซัสเกิดมาจากนางกอร์กอน เมดูซ่า ถูกวีรบุรุษเพอร์ซีอุสฟันคอขาดตาย ในขณะที่นางสิ้นใจตายนั้น เพกาซัสก็กระโจนออกมาจากลำคอของนาง ไม่มีใครสามารถปราบเพกาซัสได้เลยซักคน ตอนที่มันเกิดมาใหม่ ๆ และออกวิ่งอย่างคึกคะนองนั้น น้ำที่กระเซ็นจากรอยเท้าที่มันวิ่งก่อให้เกิดน้ำพุสวยงามที่กวีและศิลปินชื่นชมกันนั
กหนา คือน้ำพุฮิปโปครีนี (Hippocrene) ที่เป็นที่รู้จักกันในวรรณคดกรีกโบราณ ว่ากันว่าใครได้ดื่มน้ำพุนี้แล้ว โอกาสที่จะเป็นกวีเอกอยู่แค่เอื้อมทีเดียว
เพกาซัสโดนปราบโดยเด็กหนุ่มรูปงามชาวเมืองโครินทร์มีนามว่า "เบลเลอโรฟอน" (Bellerophon) เบลเลอโรฟอนเป็นโอรสของเจ้าเมืองโครินทร์ที่มีนามว่า พระเจ้ากลอคุส (Glaucus)
35.ลิเวียธาน (Livyatan)
เป็นสัตว์ร้ายในทะเล ตามความในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในศาสนาคริสต์ อ้างไว้ในพระพันธสัญญาเดิม (เพลงสดุดี 74:13-14; โยบ 41; และ อิสยาห์ 27:1)
จอมปีศาจแห่งริษยาตกเป็นตำแหน่งของงูยักษ์ลิเวียธาน ลิเวียธานถูกกล่าวถึงทั้งในคัมภีร์ยิวและไบเบิ้ล ว่าเป็นสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ มีหลายหัว มีฟันแหลมคมเหมือนจระเข้ มีดวงตาดั่งขนตาของตะวัน (หมายถึงมันโผล่ตาขึ้นมาเหนือน้ำเหมือนที่จระเข้ทำเวลาล่าเหยื่อ ตามันจะโผล่พ้นน้ำมาเล็กน้อย เหมือนพระอาทิตย์โผล่พ้นเหลี่ยมเขาในตอนเช้า) บางครั้งมันก็ถูกกล่าวว่าเป็นพลังแห่งความสับสนวุ่นวายเมื่อครั้งสร้างโลก คัมภีร์ปฐมกาลกล่าวว่า "ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินแผ่นดินก็ว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือน้ำนั้น" ผืนน้ำนั่นแหละครับคือความสับสนวุ่นวาย และก็คือลีเวียธาน
คำว่า "ลิเวียธาน" นั้น ยังหมายถึงสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ หรือสัตว์ขนาดใหญ่ใดๆ ก็ได้ ในภาษาฮิบรูใหม่ คำนี้มีความหมายเพียง ปลาวาฬ เท่านั้น ลิเวียธาน มีลักษณะเหมือน งูมีความยาวมาก ปรากฎบ่อยๆในเกม เช่น final fantasy
36.ไซเรน (Siren)
เป็นสัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งทะเลที่เป็นชายฝั่งแบบฟยอร์ด
ไซเรนมีรูปร่างลักษณะเป็นเงือก บางตำราว่าตัวเป็นนก แต่หัวเป็นคน ไซเรนจะชอบร้องเพลง เสียงของไซเรนไพเราะเพราะพริ้งจนทำให้คนที่เดินเรือผ่านมายังบริเวณใกล้เคียงที่ไซเร
นอาศัยอยู่หลงทางเข้ามาตามเสียงเพลงของไซเรน และเรือที่เข้ามาจะชนโขดหินจนแล้ว แล้วคนบนเรือจะถูกไซเรนจับกินเป็นอาหาร
37.กอร์กอน(Gorgon)
เป็นอสูรกายน่าเกลียดน่ากลัวมีผมเป็นงู มีด้วยกันสามพี่น้องคงกระพันฆ่าไม่ตาย ยกเว้นตัวน้องสุดท้องที่ชื่อเมดูซ่าที่อาจฆ่าให้ตายได้ หากผู้ใดมองตานางเมดูซ่าจะกลายเป็นหิน ตำนานกล่าวว่าเดิมทีกอร์กอนทั้งสามเป็นเทพธิดารูปงามและอ่อนโยน มีความบริสุทธิ์เป็นพรหมจารีย์ แต่ขณะที่เมดูซ่ากำลังบูชาเทวีเอเธน่าในวิหารได้ถูกโพไซดอนหลงรักและพยายามใช้กำลังข
ืนใจ เรื่องรู้ถึงเทวีเอเธน่าทรงได้ฉวยโอกาศใส่ความว่าลบหลู่นางโดยการสมสู่ในวิหารของนาง
เนื่องด้วยความเดิมเอเธน่ากับเมดูซ่ามีแม่คนเดียวกัน และเอเธน่าต้องการทำลายเมดูซ่าให้สิ้นซาก จึง สาปให้เมดูซ่ามีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว และสาปให้ผมที่สวยงามดุจเส้นไหมทองของนางกลายเป็นงูเลื้อยยั้วเยี้ยเต็มหัว จากหญิงพรหมจารีย์ที่งดงาม ก็กลายเป็นปีศาจที่น่าขยะแขยง เมดูซ่าทั้งโศกเศร้า อับอาย และน้อยใจในความอยุติธรรมทั้งที่เธอมิได้ทำผิด ทั้งที่เธอตั้งใจรักษาพรหมจารีย์ แต่นางก็มิเคยได้ผลความดีตรงนั้นเลยจนนางมีแต่ความอับอายและความแค้น จนเมดูซ่าต้องการทำลายทุกชีวิตที่ขวางหน้าจากความเกลียดชังที่ปะทุขึ้น ทุกคนที่มองหน้านางก็จะกลายเป็นหินไปหมด จนได้กล่าวขวัญเป็นอสูรกายที่ร้ายกาจที่สุดในตำนานกรีก
วีรบุรษเพอร์ซีอุสเป็นผู้สังหารเมดูซ่าโดยใช้ดาบที่เทวีเอเธน่าประทานให้ตัดหัวของเม
ดูซ่า จากนั้นเมดูซ่าก็จบชะตากรรมจากชีวิตอันโหดร้ายที่ไร้ซึ่งความยุติธรรมของเธอในที่สุด
นับว่าเป็นอสุรกายที่มีความเป็นมาอันน่าสงสารและน่าเห็นใจมากที่สุด
38.บาซิลิสก์ (Basilisk)
เป็นงูใหญ่ที่น่ากลัวและน่าสยดสยองในตำนานกรีกและยุโรป ซึ่งแค่มองผ่านเหยื่อก็ทำให้เหยื่อตายได้ ในทำนองเดียวกับ เมดูซ่า
ได้มีนักเล่านิทานคนหนึ่งอธิบายว่า บาซิลิสก์เป็น " งูที่มีมงกุฎสีทองเล็กๆ บนหัว ในยุคกลางมีผู้เชื่อว่ามันเป็นเพียงงูที่มีหัวเหมือนไก่ บางครั้งก็มีหัวเป็นคน บาซิลิสก์เกิดจากไข่ที่ออกมาจากพ่อไก่ระหว่างที่ กลุ่มดาวสุนัขใหญ่ ปรากฏบนท้องฟ้า และได้คางคกเป็นผู้กกไข่ การมองเห็นบาซิลิกก์นั้นน่ากลัวสยดสยองมาก ถ้าสัตว์ใดก็ตามได้เพียงเห็นมันมองผ่าน แม้แต่ทางกระจกก็อาจตายได้ทันทีเพราะความกลัว วิธีเดียวที่จะฆ่ามันได้ก็คือต้องถือกระจกไว้ข้างหน้าตัวมันก่อนที่มันจะมองผ่านมา เมื่อมันมองมาในกระจกนั้น มันก็จะเห็นเงาตัวมันเองในกระจกและตายในทันที มีผู้เชื่อว่าบาซิลิสก์มีเขาหรือมีพังผืดด้วย "
ในยุโรปสมัยกลาง บาซิลิสก์ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย โดยคู่กับกริฟฟิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความดี บาซิลิสก์เป็นสัญลักษณ์ของเมือง บาเซิล (Basel) ใน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บาซิลิสก์ถูกนำไปใช้หลายครั้งตามนิยายแฟนตาซีต่างๆ และเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากเรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ
ซึ่งชื่อ บาซิลิสก์ นี้ได้ถูกตั้งเป็นทั้งชื่อเรียกสามัญ และชื่อวิทยาศาสตร์ของกิ้งก่าชนิดหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ มีหงอนบนหัว และสามารถวิ่งได้เร็วมากจนวิ่งบนน้ำได้ โดยกิ้งก่าชนิดนี้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Basiliscus basiliscus
ในยุคแรก กริฟฟินถูกเปรียบเทียบให้เป็นเหมือนกับซาตาน ที่คอยล่อลวงวิญญานของมนุษย์ให้ติดกับ แต่ต่อมากริฟฟินก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของทั้งทวยเทพ และมนุษย์ สำหรับพระเยซู เพราะมันเป็นเจ้าแห่งพิภพและเวหา อีกทั้งมีรังสีแห่งแสง อาทิตย์. ศัตรูของกริฟฟินคือ บาซิลิสก์ ซึ่งเปรียบได้กับรูปจำลองของซาตาน
เราสามารถพบเห็นกริฟฟินได้ทั่วไปจากงานศิลปะในหลาย ๆ วัฒนธรรม และพบได้ในตราประจำตระกูล รูปสัตว์ต่าง ๆ , ประติมากรรมเก่าแก่, โมเสกนูนต่ำ, นิทาน และในตำนานต่าง ๆ ทั่วโลก
39.บาโฟเม็ต
เป็นรูปเคารพที่ถือเป็นเทพของลัทธิที่บูชา satan ลัทธิหนึ่งที่เป็นที่เคารพ
ของ Templar (อัศวินทางศาสนา) โดยที่ Baphomet เป็นเครื่องหมาย
แห่งความชั่วร้าย และ มนต์ดำ เป็นเครื่องหมายที่แทนถึง satan
เรื่องของ Baphomet เป็นส่วนหนึ่งของตำนานทาง Templar
มีหลายตำนานและหลายเรื่องราวที่มี การพูดถึง Baphomet
แม้จะผ่านมากว่า 600 ปีแล้ว แต่เรื่องราวของ Baphomet ยังคงเป็น
สิ่งลึกลับที่น่าสนใจอย่างไม่เสื่อมคลาย เรื่องของ Baphomet อยู่ในช่วง
ศตวรรษที่ 19 เชื่อกันว่ากลุ่มTemplar ที่เป็นอัศวินของทางศาสนา
ได้มีการสร้างลักทธิความเชื่อในการบูชาเทพปีศาจนาม Baphomet
พวกเขามีพิธีกรรมต่างๆที่แสนจะแปลกพิศดาร ที่จะกระทำต่อ Baphomet
เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจและวัตถุประสงค์ต่างๆ พิธีกรรมของ Baphomet
มีหลายรูปแบบ ตั้งแต่ขั้นต้นที่อัญเชิญBaphomet มา การให้ Baphometเข้า
สิงร่างและควบคุมร่างอย่างสมบูรณ์ รวมไปถึงการติดต่อกับ Baphomet
เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจ ตอบสนอง ความปรารถนาต่างๆ รูปแบบ
ของพิธีกรรมมีหลากหลายขั้นตอนแต่สิ่งประกอบสำคัญทั่วไป คือ เลือด
และ การบูชายัญด้วยชีวิต
รูปแบบของBaphomet นั้นมีอยู่มากมาย จากตำนานต่างๆ แต่ที่มี
ความสอดคล้องกันคือ Baphomet จะมีรูปร่างเป็นมนุษย์
เพศชายรูปร่างกำยำ ในขณะที่ศรีษะจะเป็นศรีษะของสัตว์
รูปแบบที่พบกันบ่อยคือ หัวของแพะ และบางตำนานจะมีการเน้นถึงเรื่องความ
สัมพันธ์ทางเพศ พลังงานของ Baphomet จากอวัยวะเพศชายที่ตั้งตรง
และมีงูวนอยู่รอบๆด้วย นอกจากนี้ Baphomet ยังมีสิ่งประกอบอื่นๆอีก
เช่น สัญลักษณ์ ดาว 5 แฉกซึ่งเรามักจะเห็นเจ้าเครื่องหมายนี้อยู่คู่กับ
Baphomet เสมอ Eliphas Levi ผู้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องลัทธิความเชื่อนี้
ในศตวรรษที่ 19 ได้บรรยายถึงลักษณะของ Baphomet รวมไปถึงรูป
แบบดาว 5 แฉก นี้ว่า เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายและปีศาจ
ซึ่งในยุคกลางนี้ ดาว 5 แฉกในส่วนขวาบนจะหมายถึงหน้าร้อน
ในขณะที่ด้านกลับ หรือ ส่วนล่างจะหมายถึงหน้าหนาว ซึ่งเชื่อกันว่า
Levi ได้วาดรูปแบบของดาว 5 แฉก ไว้ 2 ลักษณะด้วยกัน
แบบแรก เป็นการสร้างรูปแบบของมนุษย์จากจุดทั้ง 5 ของดาว
โดยสื่อถึงธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามจุดแขนขาทั้ง 4 ของมนุษย์
โดยที่จุดที่ 5 คือ ศีรษะเป็นส่วนแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งรูปแบบนี้เรียกว่า
Microcosmic Man (จุลภพมนุษย์)
แต่รูปแบบของดาว 5 แฉกแบบที่ 2 นี้เป็นรูปแบบที่เกี่ยวกับBaphomet
อย่างชัดเจน รูปแบบดาว 5 แฉกแบบที่ 2 นี้ เป็นรูปแบบดาว 5 แฉกที่
กลับด้าน ในรูปแบบของศีรษะของแพะซึ่งก็คือสื่อถึง Baphomet นั่นเอง
ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบระหว่างรูปแบบของมนุษย์ และ ปีศาจนั่นเอง
สัญลักษณ์ดาว 5 แฉกของ Baphomet นี้ ถูกใช้อย่างเป็นทางการในแง่
เครื่องหมายของsatan เริ่มโดย Anton Szandor La Vey ในปี 1996
แล้วจึงถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยลัทธิบูชา satan ต่างๆทั่วโลก
รูปที่เกี่ยวกับ Baphomet ส่วนมากจะถูกวาดและบรรยายโดย Levi
ซึ่งผลงานของ Levi เกี่ยวกับเรื่อง Baphomet นี้ ถูกใช้ครั้งแรกกับผลงาน
"A Pictorial History of Magic and the Supernatural"
ของMaurice Bessy ตีพิมพิ์ในฝรั่งเศสในปี 1961
และแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 1964หลายปีหลังการเสียชีวิตของ
Levi ซึ่งทั้งหมดนี้แหละครับ คือ Baphomet 1 ใน เทพแห่งความชั่วร้าย
อีกรูปจำแลงของ satan ที่ลัทธิบูชา satan ต่างๆเคารพบูชากันอย่างแพร่หลาย
ไวเวิร์นเป็นมังกรชนิดหนึ่ง แต่ไม่จัดเป็นพวกเดียวกะพวกดราก้อน เพราะเธอออกแนวโฉดตัวเพรียวๆไปทางกิ่งก่าปกคลุมด้วยเกล็ดมากกว่ามังกรตัวบึ๊กๆ สิ่งที่จะทำให้แยกไวเวริน์ออกจากมังกรนั้นง่ายมากคือ ไวเวริน์จะมี2ปีกและ2ขา เหมือนกับตัวนาซกูลในThe lord และที่ปลายหางของมันจะมีลักษณะมีหนามแหลมคมว่ากันว่าเป็นพิษดุจแมงป่อง หรือมีแฉกอันแหลมคม
ตำนานของเจ้าตัวจิ้งเหลนมีปีกนี้มี2แนวด้วยกันที่เคยพบ
-แบบที่ดูดีหน่อยคือ ว่ากันว่าเป็นสัตว์ที่ดุร้ายแต่เป็นสัญลักษณะของการคุ้มครอง ปกป้อง
ทำให้สมัยโบราณนำไปเป็นตราประจำตระกูล และ มักจะพบเห็นได้
บนโล่ห์ของผู้ถือสาน์ส (คาดว่า คงอยู่ในสมัยยุคกลาง หรือยุคมืดของยุโรป)
41.ชูปาคาบรา (Chupacabra)
เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับในตำนานชนิดหนึ่ง มีผู้ที่อ้างว่าพบเห็นมันครั้งแรกในเปอร์โตริโกในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 และมีหลายคนรายงานว่า มันได้ฆ่าสัตว์ชนิดต่างๆเป็นจำนวนมาก และยังคงมีผู้พบเห็นมันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
จากลักษณะที่ผู้ที่พบเห็นสังเกต ชูปาคาบราที่ลักษณะคล้ายกิ้งก่า มีสีเขียวอมเทา มีความสูงประมาณ 1 เมตร และมีท่ายื่นและกระโดดคล้ายจิงโจ้
42.อิมป์ (Imp)
เป็นตัวละครในเทพนิยาย พบได้เฉพาะในอังกฤษและไอร์แลนด์ บางครั้งอาจจำสับสนกับตัวพิกซี่ได้ ทั้งคู่มีส่วนสูงใกล้เคียงกัน (ประมาณหกถึงแปดนิ้ว) แม้ว่าอิมป์จะบินไม่ ได้อย่างพิกซี่ และสีสันไม่จัดจ้านเท่า(อิมป์มักจะมีสีน้ำตาลเข้มถึงดำ) แต่อิมป์ก็มีอารมณ์ขันแบบทำลายข้าวของคล้ายคลึกกับพิกซี่ อิมป์ชอบอยู่ตามที่ที่ เปียกชื้นหรือเป็นหนองบึง มักจะพบอิมป์กินแมลงตัวเล็กๆ เป็นอาหาร ลักษณะการขยายพันธุ์เหมือนกับแฟรี่ ต่างกันเพียงอิมป์ไม่มีช่วงที่ต้องเป็นดัก แด้ ไข่ของอิมป์จะฟักตัวเป็นตัวอ่อนที่สมบูรณ์เลยและมีส่วนสูงประมาณหนึ่งนิ้ว
44.การ์กอยล์ (Gargoyle)
คือ รูปสลักตามมุมต่าง ๆ ของสถาปัตยกรรมในแบบกอธิคต่าง ๆ ใน ยุโรป โดยมากจะสลักเป็นรูป มังกร หรือ ปีศาจ ในท่วงท่าต่าง ๆ โดยท่าที่รู้จักมากที่สุด คือ นั่งยอง ๆ ตามองไปทางข้างหน้า
การ์กอยล์ เชื่อว่า เดิมเป็นมังกร ชาวยุโรปในยุคกลางเชื่อว่า การ์กายล์เมื่อตอนกลางวันจะเป็นรูปสลัก ตกกลางคืนจะกลายร่างเป็นมังกรบินไปทั่วหมู่บ้านหรือเมืองที่อาศัย เพื่อปกป้องดูแลมิให้มีสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ เข้ามารังควาญ
45.ก็อบลิน (Goblin)
คือเป็นพวกโนมที่มีรูปร่างวิกลวิการ พวกมันชอบเล่นสนุก แต่บางครั้งก็ชั่วร้ายและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมสามารถทำอันตรายแก่ผู้คน รอยยิ้มของก็อบลินทำให้เลือดหยุดไหล เสียงหัวเราะทำให้นมบูดและผลไม้หล่น ก็อบลินมีต้นกำเนิดมาจากฝรั่งเศส
ตัวอย่างก็อบลินในภาพยนตร์ เช่น ตัวก็อบลินในเหมืองมอเรียในเรื่อง The Lord of The Ring หรือ Green Goblin ในเรื่อง Spider Man เป็นต้น
46.แมนเดรก(Mandrake)
ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mandragora อยู่ในตระกูล Solanaceae รากของแมนเดรกมีลักษณะคล้ายมนุษย์ จึงถูกนำมาใช้ในเรื่องพิธีการเวทมนตร์ต่างๆ และปรากฏอยู่ในตำนานและนิยายหลายเรื่อง
แมนเดรกมีเสียงกรีดร้องแหลมสูงเวลามันถูกทำให้ตกใจ ผู้ที่ได้ยินเสียงร้องของแมนเดรกมีโอกาสถึงตายได้ แต่ในขณะที่แมนเดรกยังเป็นต้นอ่อนอยู่ เสียงร้องของมันจะเพียงแค่ทำให้สลบเท่านั้น เชื่อกันว่า น้ำยาที่สกัดได้มาจากต้นแมนเดรกสามารถลบล้างคำสาปได้แทบทุกชนิด
แมนเดรกเป็นที่รู้จักกันดีจากนิยาย โดยเฉพาะเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ
คนแคระ
คนแคระ(อังกฤษ: Dwarf) เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏในตำนานปรัมปราในกลุ่มประเทศ เจอร์เมนิก
(สแกนดิเนเวียและเยอรมัน) ปรากฏในเทพนิยาย นิยายแฟนตาซี และเกมอาร์พีจีจำนวนมาก
มักมีพรสวรรค์อันวิเศษโดยเฉพาะด้านเกี่ยวกับการเหมืองและการโลหะ
แนวคิดเริ่มแรกเกี่ยวกับกำเนิดตำนานของคนแคระไม่สามา รถระบุได้แน่ชัด
แหล่งกำเนิดที่ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่สามารถค้นพบคือ ในตำนานปรัมปราของเจอร์เมนิก
ที่สืบทอดมาจากตำนานนอร์ส แต่กระนั้นก็หาหลักฐานได้ยากและมีรูปแบบหลากหลายมาก
เรื่องราวที่ผิดเพี้ยนไปทำให้คนแคระดูน่าขบขันมากขึ้น และช่างเชื่อถือโชคลาง
คนแคระมีลักษณะคล้ายมนุษย์ แต่เรื่องเล่าระบุถึงความสูงและชีวิตความเป็นอยู่แตก ต่างกันไป
บางเรื่องถึงกับบรรยายพวกเขาไปคล้ายกับพวกเอลฟ์ เมื่อพิจารณาจากแหล่งข้อมูลที่เก่าแก่ที่สุด
และจากลักษณะตามธรรมชาติของคนแคระ เชื่อได้ว่าในยุคแรกๆ คนแคระมีความสูงพอกันกับมนุษย์นี้เอง
บทบาทของพวกเขาในตำนานมักมีความผูกพันใกล้ชิดกับความตาย มีผิวกายซีด ผมสีเข้ม ชอบอยู่กับพื้นโลก มีประเพณีที่นิยมนับถือลัทธิภูตผี ซึ่งสอดคล้องกับความผูกพันกับความตาย
บางครั้งมีลักษณะคล้ายคลึงกับพวก จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ เช่นพวกเอลฟ์
ตำนานปรัมปราเกี่ยวกับคนแคระที่พัฒนาการต่อมา มีข้อเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ
พวกเขาดูน่าขบขันมากขึ้น มีความลึกลับมากขึ้น คนแคระเริ่มมีรูปร่างเตี้ยลงและน่าเกลียดมากขึ้น
ตามภาพลักษณ์ในยุคใหม่รวมถึงภาพการใช้ชีวิตใต้พื้นดินของพวกเขาก็โดดเด่นยิ่งขึ้น
คนแคระเป็นสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ที่มีทักษะด้านการโลหะอย่างวิเศษ มีชื่อเสียงในการสร้างของวิเศษในตำนานมากมาย แนวคิดเกี่ยวกับคนแคระในตำนานนอร์สยุคหลังมีความแตกต่างจากตำนานดั้งเดิมมาก
คนแคระในแนวคิดใหม่นี้ไปปรากฏในเทพนิยายและนิทานพื้น บ้านในยุคหลังมากขึ้น
(ดูเพิ่มเติมใน นิทานพื้นบ้านเยอรมัน และนิทานพื้นบ้านดัตช์)
พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีเวทมนตร์ ไม่สามารถมองเห็นได้ เป็นเจ้าแห่งมนตร์มายา คำสาป และคำล่อลวง แฟนตาซีและวรรณกรรมยุคใหม่ช่วยกันถักทอความเจ้าเล่ห์ แสนกลให้กับเหล่าคน แคระเพิ่มเติมไปยิ่งกว่าคนแคระดั้งเดิม
คนแคระในยุคใหม่จึงมีลักษณะเฉพาะตัวคือ มีร่างกายเตี้ยแคระ ผมและขนดกหนา
มีความสามารถในการทำเหมืองและการช่างโลหะอย่างพิเศษ อย่างไรก็ดีวรรณกรรมยุคใหม่
ยังบรรยายภาพของคนแคระที่แตกต่างกันออกไปอีกตามแต่ตำนานและประวัติศาสตร์ของแต่ละท้องถิ่น
วรรณกรรมแฟนตาซีหลายเรื่องประดิษฐ์คิดค้นอำนาจหรือภา พลักษณ์ของคนแคระขึ้นใหม่
ทำให้ "คนแคระ" ในตำนานยุคใหม่ไม่อาจมีคำจำกัดความที่ชัดเจนได้
เชื่อว่าทุกท่านคงรู้จักแม่มดกันดี ภาพลักษณ์ของแม่มดที่ติดตาเราดี มักเป็นหญิงแก่ แต่งกายด้วยชุดดำ มีความน่ากลัวและลี้ลับอยู่ใน ตัวเอง ชื่อของแม่มดก็บอกอยู่แล้วนะครับว่า ต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน แถมเป็นผู้หญิงชนิดพิเศษ สามารถใช้เวทย์มนตร์คาถา ขี่ไม้กวาดเหาะไปมาได้ แถมยังแบ่งแม่มดออกเป็น แม่มดดำ - แม่มดขาว คำว่าดำ - ขาว เนี่ย ไม่ได้หมายถึงสีผิวหรอกครับ แต่เป็นลักษณะของเวทย์มนตร์ที่แม่มดใช้ และต้นสังกัดที่บรรดาแม่เจ้าประคุณแม่มดทั้งหลายสังกัดอยู่ต่างหาก
แม่มดดำ คือพวกที่เคารพบูชาซาตาน ( Satan ) และใช้เวทย์มนตร์โดยอาศัยความช่วยเหลือ จากบรรดาภูตร้ายวิญญาณชั่ว สตรีชาวฝรั่งทั้งหลายที่ฝึกเวทย์มนตร์คาถาแนวนี้ นับเป็นแม่มดดำหมดเลย
ส่วนแม่มดขาว เป็นพวกที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิเหนือธรรมชาติ (Supreme being)
หรือไม่ก็อาศัยความช่วยเหลือจาก นางฟ้า นักบุญ รวมไปถึงวิญญาณของคนที่มีคุณธรรม
คำจำกัดความของแม่มดแบบตะวันตก หลายท่านอาจจะสงสัยว่า แม่มดมีแต่ผู้หญิงไม่มีผู้ชายหรือ มีเหมือนกันครับ พวกนี้เราจะเรียกว่าพ่อมดหรือ warlock ตัวอย่างของ warlock ที่รู้จักกันดีก็คือเมอร์ลิน พ่อมดเฒ่าที่ปรึกษาของพระเจ้าอาร์เธอนั่นเอง
คำว่า "Witch" หรือแม่มดแผลงมาจากคำว่า "wit" ในภาษาแองโกลแซกซอน
หมายถึง -To know หรือหยั่งรู้ - ต้องการรู้ ดังนั้น แม่มดจึงหมายถึงพวกที่ต้องการศึกษาหา ความรู้ (ในศาสตร์ลึกลับเหนือธรรมชาติ) อาจจะด้วยแนวทางที่มีคุณธรรมหรือชั่วร้ายก็ได้ จะว่าไป แม่มดก็เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่เอาแต่สนใจค้นคว้าทดลองเพื่อหาความรู้โดยไม่ เลือกวิธี และไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความแตกต่างระหว่างแม่มดดำกับขาวคือ แม่มดขาวจะยึดศาสนาเป็นที่ตั้ง บางครั้งแม่มดขาวเองก็อาจก่อตั้งศาสนาสาขาใหม่ เพื่อชี้นำกลุ่มชน ให้ยึดหลักและแนวปฏิบัติที่ดีกว่าสำหรับชีวิต
แม่มดดำจะบูชาซาตาน รวมทั้งคลุกคลีอยู่กับภูตผีตัวร้ายต่างๆ อย่างเช่น แพน หรือ ลิลิธ-ราชินีแห่งรัตติกาล แม่มดดำมักจะแสวงหาความรู้ที่สลับซับซ้อนมากกว่าที่จะ แสวงหาความสงบแห่งจิตใจ ตามปกติแม่มดจะไม่สำแดงมนตราออกมาอวดใครง่ายๆ นอกจากเพื่อลองวิชา บางทีการทำหุ่นขี้ผึ้งจำลองคนบางคน แล้วเอาเข็มจิ้มเล่นเพื่อให้ทรมานนั้น ก็หาได้เกิดจากความแค้นของแม่มดหรอกครับ แต่เพื่อลองวิชาสนุกๆไปซะอย่างนั้นเอง
ถึงเป็นแม่มดก็ยังต้องกินข้าวครับ แม่มดเองต้องทำมาหากินเหมือนกับคนทั่วไป รายได้ของแม่มดส่วนใหญ่มาจากค่าตอบแทนในการทำพิธีไสยศาสตร์ และการขายเครื่องรางของขลัง โดยส่วนใหญ่จะไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อนจากการกระทำนี้บ้าง เข้าข่ายเดียวกับบริษัทผลิตอาวุธสงครามครับ มีหน้าที่ผลิต ส่วนจะเอาไปฆ่าใครบ้าง มันก็เรื่องของคุณ
กว่าจะมาเป็นแม่มด...
แม่มดขาวส่วนใหญ่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง อาจจะมาจากความใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ
หรือ จากคัมภีร์โบราณทางศาสนา แม่มดขาวบางคนอาจรับศิษย์สำหรับถ่ายทอดวิชา
แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงครับกับแม่มดดำ แม่มดดำส่วนมากจะยินดีรับศิษย์ซึ่งส่วนใหญ่ศิษย์ของแม่มด จะได้รับสิ่งตอบแทนคือ ได้รูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์สำหรับเพศตรงข้าม ชนิดที่ว่ากิ๊ก สุวัจนีชิดซ้ายไปเลย ทว่าใช่จะได้รับกันมาฟรีๆนะครับ สิ่งที่ต้องแลกกับรูปร่างอันอวบอึ๋มก็คือ การไม่สามารถมีทายาทได้ รางวัลของการเป็นแม่มดดำอีกอย่างก็คือ การมีอายุที่ยืนยาวเป็นร้อยๆปี ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ มนตร์ดำไม่ใช่ครรลองที่ถูกต้องตามธรรมชาติ แม่มดดำทุกคนมักจะพบกับจุดจบที่และทรมานเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะว่ากันตามหลักของชาวพุทธล่ะก็ คงเรียกได้ว่ากรรมตามทันมั๊ง เพราะทำร้ายชาวบ้านเค้าไว้มาเหลือเกิน
การเรียนวิชาแม่มดจะเริ่มตั้งแต่อายุเท่าใดก็ได้ นับตั้งแต่วัยสาวเป็นต้นไป
ระยะแรกนั้นจะเริ่มจากคาถาง่ายๆ เช่น การใช้เวทย์มนตร์ทำเสน่ห์ การสาปให้พืชผลเ่ยวเฉา
และเป็นโรค รวมถึงการมองเห็นอนาคตที่ร้ายๆ พอวิชาแก่กล้าขึ้นหน่อย
ก็มาถึงการทำให้ลอยตัวในอากาศ หรือ เหาะโดยไม่ต้องอาศัยไม้กวาด
ขั้นต่อไปก็คือการแปลงร่างให้เป็น!ต่างๆ รวมไปถึงการฝึกคาถาขั้นสูง
เพื่อให้มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั่วๆไป ฝึกสำเร็จเมื่อไหร่ก็ออกเปิดสาขารับศิษย์ได้เลย
ว่ากันว่าความยากของการเรียนวิชาแม่มดนั้นมาจากการไม่มีตำรา
ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม สูตรยา หรือ เวทย์มนตร์ ล้วนต้องถ่ายทอดกันแบบปากเปล่า
การจะเป็นแม่มดดำที่เก่งฉกาจได้ จำต้องอุทิศตนให้กับซาตานผู้เป็นนายแห่งความมืดเสียก่อน
อิซโซเบล ดาวดี ( Isobel Dowdie ) แม่มดสาวผู้อื้อฉาวแห่งสก็อต สมัยศตวรรษที่ 17
เปิดเผยถึงพิธีกรรมของแม่มดว่า ผู้ที่สมัครใจจะเป็นแม่มดต้องไปยืนแก้ผ้าต่อหน้าพยานหลายคน
โดยปฏิญาณตนว่าจะยอมเป็นข้าช่วงใช้ และขายวิญญาณให้กับซาตาน หรือมารร้ายจากโลกมืด
แม่มดจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยซึ่งเรียกกันว่าชมรมแม่มด โดยแม่มดสาวที่เข้ามาใหม่ จะได้เป็นแค่สมาชิกสมทบ เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกถาวรตายลงจึงจะได้เป็นสมาชิกถาวร แม่มดแต่ละกลุ่มจะมีกัน 13 คนครับ เพราะถือเป็นเลขสวยงามสำหรับผู้บูชาความมืด กลุ่มแม่มดจะมาชุมนุมกันเดือนละครั้งในคืนวันเพ็ญ และรวมชุมนุมแม่มดกลุ่มต่างๆปีละสี่ครั้ง ล้วนเป็นวันสำคัญทางศาสนาทั้งสิ้น ได้แก่
วัน Candlemas 2 ก.พ.
วัน Walpergist Night 1พ.ค. วันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ
วัน Rammas Day.....วันฉลองการเก็บเกี่ยวประจำปี
และครั้งสุดท้ายยิ่งเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดของปี คือวันที่ 31 ตุลาคม อันเป็นวันฮัลโลววีนค่ะ
ตำนานของชาวบุโรปกล่าวว่า ใครที่เกรงกลัวแม่มดสามารถหลบหลีกได้ ด้วยการอยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงหรือคืนที่พวกแม่มดมีงานชุมนุมประจำปี แม้ว่าแม่มดดำทุกคนจะไม่รังเกียจ หากบุคคลภายนอกจะเข้าร่วมพิธีด้วย แต่มีกฏข้อบังคับอยู่ว่า สมาชิกทุกคนจะต้องเปลือยกายหมด ต้องบูชาซาตาน มีการดื่มกินกันอย่างมูมมาม ตลอดจนเสพสังวาสกับใครๆในกลุ่มอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์
แม้ว่าคนทั่วไปจะมีความเกลียดและกลัวแม่มด แต่ของขลังของแม่มดก็มีอิทธิฤทธิ์ชะงัดนัก
มีเรื่องเล่าว่า เส้นใยจากเชือกที่เพชฌฆาตรใช้แขวนคอนักโทษ สามารถรักษาผิวหนังแตกหน้าท้องลาย
ได้ชะงัดนักครับ สำหรับใครที่เบื่ออาการขี้บ่นของแม่ยายและเมียแก่ๆ สามารถไปขอราที่ขึ้นบนหลุมฝังศพกับแม่มด มาผสมน้ำให้พวกหล่อนดื่ม จากนั้นแม่เจ้าประคุณทั้งหลายจะว่านอนสอนง่ายขึ้นอีกเป็นกอง สำหรับใครที่มีเมียชอบเที่ยว แม่มดก็มียาแก้ครับ ยาที่ว่าคือ!ของมัมมี่ รับรองกลายเป็นคนหงิมๆอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนไปเลย
กล่าวกันไปแล้วในตอนต้นนะครับ ว่าแม่มดมักจะไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆทั้งสิ้น ขอเพียงมีคนว่าจ้าง
แม่มดก็จะจัดการ "เชือด" เหยื่อให้มีอันเป็นไปสมประสงค์ของผู้จ้าง
วิธีการที่นิยมกันคือสร้างหุ่นจำลองขี้ผึ้งขึ้นมา จากนั้นก็เอาเข็มปักตามอวัยวะต่างๆทีละเล่มๆ ครบสิบสามเล่มเมื่อไหร่ก็เป็นอันตายเมื่อนั้น
ไม่ว่าแม่มดจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม ในยุคกลางของยุโรปหรือที่เราเรียกกันว่ายุคมืดนั้น มีการล่าแม่มดขนานใหญ่ สมมุติว่าเกิดเหตุผิดธรรมชาติขึ้นในท้องถิ่น เช่นฝนไม่ตก มีโรคระบาด สิ่งแรกที่คนสมัยนั้นจะนึกถึงก็คือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย และส่วนใหญ่มักหาแพะรับบาปพร้อมหลักซานได้จำนวนหนึ่ง แม้ว่าบางทีหลักฐานนั้นจะดูตลกๆ เช่นแค่เลี้ยงหมากับแมวไว้ในบ้านก็ตาม หญิงแก่ไร้ญาติบางคน ซึ่งมีแค่แมวตัวเดียวเป็น!เลี้ยงคลายเหงา มักถูกหาว่าเป็นแม่มดและถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าเอน็จอนาถ หญิงสาวบางคนที่สวยเกินไปก็โดนข้อหานี้ด้วยครับ เพราะสงสัยว่าจะเอาวิญญาณเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่ามอง แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างว่า
"สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต"
Thou shlt not a suffer a witch to live
ก็เวรน่ะสิครับคราวนี้ มีการเฆี่ยนประจาน การทรมานด้วยวิธีต่างๆนาๆที่จะนึกออกได้
ใครที่ทนการทรมานไม่ไหวก็จำต้องรับสารภาพ เพื่อจะได้ตายด้วยวิธีที่ไม่ทรมานนั่นคือการเผาทั้งเป็น!!
เทศกาลล่าแม่มด
พอเอ่ยถึงแม่มด พ่อมด เราๆท่านๆก็คงนึกถึงภาพอย่างเดียวกัน คนแก่จมูกงองุ้ม คางแหลม ผมกระเซิง ขี่ไม้กวาดบินผ่านฟ้าในยามรัตติกาล หรือไม่ก็ กำลังกวนส่วนผสมอะไรซักอย่างในหม้อยักษ์ ที่ส่งควันสีฟ้าอมม่วงขโมงไปหมด ครับ... นั่นคือภาพจากเทพนิยายหรือนิทานปรัมปรา ที่เอาไว้อ่านให้เด็กๆหรือที่รักฟังก่อนนอน แต่ทว่า เรื่องราวเหล่านี้ กลับเป็นผลให้หญิงสาวธรรมดาๆ ล้มตายราวกับใบไม้ร่วง กลายเป็นแม่มดที่ถูกประหัตประหารอย่างไร้มนุษยธรรม นับศตวรรษต่อศตวรรษเลยทีเดียวเชียวครับ
จดหมายฉบับหนึ่ง ที่นายกเทศมนตรีแห่งแบมเบิร์กเขียนถึงลูกสาว ในเดือนกรกฎดาคม ค.ศ. 1628 แสดงให้เห็นถึงความทุกข์ทรมาน อันเนื่องมาจากกระบวนการไต่สวนและลงโทษแม่มด ซึ่งนับว่ามโหดเกินกว่ามนุษย์จะกระทำต่อกัน มาดูเนื้อหาในจดหมายไหมครับว่า ผู้เคราะห์ร้าย ต้องประสบชะตากรรมใดบ้าง
"ลูกรักของพ่อ ฟังคำสารภาพของพ่อก่อนที่จะตาย มันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงที่กุขึ้นมาทั้งสิ้น
โอ! พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยลูกด้วย ลูกถูกบังคับให้พูดออกมาเพราะหวาดกลัวต่อการทรมาน
ซึ่งลูกทนมานานแล้ว ไม่มีใครจะรอดจากการทรมานนี้ไปได้หากไม่สารภาพ ไม่ว่าจะเป็นคนดีสักเพียงใดก็ต้องสารภาพว่าเป็นแม่มด พ่อมด... เพื่อไม่ให้เลือดต้องหลั่งรินตามเล็บมือ เล็บเท้า และทุกๆส่วนของร่างกาย!!"
นี่คือจดหมายฉบับสุดท้าย เพราะหลังจากที่เชียนจดหมายฉบับนี้อย่างลับๆ นายกเทศมนตรีก็ถูกประหารชีวิตในข้อหาที่ว่าเป็นพ่อมด ในยุคนั้นชาวยุโรปนับไม่ถ้วนถูกสังหาร ตามเหตุการณ์ที่เรียกว่า
"ความหวาดผวาแม่มด" (The Great Witch Panic) ใครหนีได้ก็หนีไป แต่ถูกจับแล้ว ก็อย่าหวังว่าจะรอด แถมถกบีบให้ซัดทอดกันไปอีก เหตุการณ์ทมิฬนี้เริ่มมาตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 15 จนเลย 16 ไป เรียกได้ว่า บูมข้ามศตวรรษ เลยก็แล้วกัน
อันที่จริงไม่มีใครสนใจเรื่องพ่อมดแม่มดมาก่อนสมัยกลางหรอกนะครับ แล้วก็ไม่ใช่ว่า ไม่มีพ่อมดแม่มดมาก่อนหน้านี้เอาเสียเลย เพราะพ่อมดแม่มดนั้น มีมาก่อนที่มนุษย์เราจะรู้จักบันทึกประวัติศาสตร์เลยด้วยซ้ำ จนมาถึงยุคกลางนี่แหละ คนถึงได้ตื่นตัวเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะความเชื่อที่ขัดแย้งกับคริสตศาสนานั่นเอง
เดิมที เมื่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้ามาจัดการ กับพวกแม่มดหมอผี ก็เริ่มจากการกล่าวหาว่า ทำเวทย์มนตร์กับคน หรือ พืชผลเป็นรายๆไป แต่การประหัตประหารเหล่าแม่มดอย่างป่าเถื่อนนั้น เริ่มต้นมาจากการพิพากษาของศาลที่สนับสนุนโดย พระสันตะปาปา ที่จัดตั้งขึ้นในคริสศตวรรษที่ 13 เพื่อกำจัดพวกนอกรีตอัลโบเจนเชียน หรือชาวเมืองอัลบี ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส อย่างที่เราทราบกันดีครับ ว่าสมัยก่อนนั้น พระสันตะปาปาหรือโป๊บ ทรงกุมอำนาจที้งการเมืองและศาสนาไปพร้อมๆกัน เพราะฉะนั้นในคริสตศตวรรษที่ 13 จึงมีบรรดาเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ที่มีโป๊บหนุนหลังเที่ยวไปสอบสวนระรานพวกอัลโบเจนเชียน แล้วก็ทำเลยเถิดไป กลายเป็นการเข่นฆ่าพ่อมดแม่มดเทียมกันอย่างสนุกมือแต่สยองใจไปแทน
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆท่านอาจจะถามขึ้นมาว่า เอ... แม่มดพวกนี้ไปทำอะไรให้ชาวคริสต์เขาหวาดผวานะ ถึงได้จงเกลียดจงชังเฝ้าเผาผลาญทำลายล้างแบบนี้ คำตอบของเรื่องนี้ก็คือ ทางศาสนจักรคิดว่า แม่มดเหล่านี้ คือสมุนผู้สมคบคิดกับซาตาน ร่วมมือกับพวกปีศาจจนกลายเป็นองค์กรมืด ที่ต้องการจะทำลายศาสนจักรและชาวคริสต์ให้สิ้นซาก
ความคิดบ้าๆใช่ไหมครับ บ้าชัดๆ.. แต่ว่า แนวคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1335 โดยมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นที่เมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส บันทึกของคณะลูกขุนอ้างความเชื่อของบรรดาหญิงที่ถูกกล่าวหา ที่ว่าเจ้าแห่งปีซาจที่มีอำนาจเทียบเท่าพระเจ้าและยังเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้ พวกหล่อนบอกว่าได้ทำสัญญากับซาตาน และมีเพศสัมพันธ์กับเหล่าปีศาจที่แปลงร่างมาในร่างแพะตัวผู้
นอกจากนี้ พวกหล่อนยังได้ลบหลู่ดูหมิ่นพิธีรับศีลศักดิ์สิทธิ์ (Holy Communion) ตามคำบัญชาของซาตาน และเคยพบปะสมาคมระหว่างแม่มดในวันแซบบัท (Sabbat) ซึ่งถ้าเป็นแซบบัทของชาวคริสต์ จะสะกดว่า Sabbath แทนครับ และมักจะเป็นวันเสาร์หรืออาทิตย์ มีที่มาตั้งแต่สมัยโมเสสหรือบัญยัติสิบประการ ที่โมเสสรับคำบัญชาจากพระเจ้ามาบอกพวกยิวว่า ให้วันที่เจ็ดของสัปดาห์เป็นวันพักผ่อนซึ่งหมายถึงวันเสาร์ และกลายเป็นวันอาทิตย์ในเวลาต่อมา แต่วัน sabbat ของพวกแม่มดนี้เป็นทุกคืนวันศุกร์ และเป็นวันรื่นเริงตามแบบชาวแบคคานาเลี่ยนที่แสนจะไร้ยางอาย
สงสัยไหมว่า แบคคานาเลียคืออะไร คำๆนี้หมายถึงเทศกาลเฉลิมฉลองของชาวโรมันโบราณ เพื่อบูชาเทพแห่งความมึนเมาแบคคัส หรือชื่อกรีกว่า ไดโอนิซัส พระองค์เป็นเทพแห่งเหล้าและทรงเป็นผู้พบองุ่น จึงไม่น่าแปลกเลยว่าวันแซบบัทของพวกพ่อ,แม่มดนั้น เป็นวันที่ซัดเหล้ากันอย่างเต็มที่ และมั่วเซ็กส์ชนิดไม่ลืมหูลืมตา นับว่าบัดสีและไร้ยางอายอย่างที่สุดเลย
ในวันนี้ แม่มดจะพากันท่องคำสาป หั่นชิ้นส่วนของคนตายและ!ต่างๆ ผสมกับเศษผ้าจากศพที่ถูกแขวนคอต้มเปื่อยกับสมุนไพรมีพิษ นอกจากนี้ยังขโมยทารกแรกเกิดมากินกันเป็นของหวานซะอีก เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขายังทำให้แกะของชาวบ้านป่วย พืชผลเสียหาย และฆ่าคนโดยละลายหุ่นขี้ผึ้งที่มีเศษเสื้อผ้าของเหยื่อเคราะห์ร้ายนั้นด้วย
อะไรคือเทพนิยายและอะไรคือความจริง ?
โลก ที่คู่ขนานของโอฟีเลียคือโลกในเทพนิยายและโลกแห่งชีวิตจริงไม่ได้เป็นโลกที่ แตกต่างกัน
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในโลกของความฝันหรือโลกของความจริง การยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่ดีงามและถูกต้องนั้น
คือความเจ็บปวดและมันหมายถึง การอุทิศตนอย่างไม่มีข้อแม้
ในระบอบการเมืองที่มืดมนของสเปญ นับแต่นายพลฟรังโกขึ้นเป็นใหญ่เมื่อช่วงทศวรรษที่ 50
จนถึงวันตายในปี 1975 ศิลปะไม่เคยมีอิสระอย่างแท้จริง ยกเว้นในมือของ Dali ที่สยบยอมให้นายพลฟรังโก
จึงไม่น่าแปลกใจที่ภาพที่ออกมาในหนังเรื่องนี้ของ เดล โตโร นั้นมืดมิด หดหู่ จนเกือบจะกลายเป็นความสิ้นหวังเสียด้วยซ้ำ
ดนตรีประกอบของ Javier Navarette งดงามไพเราะง่ายๆ ด้วยเพลงกล่อมเด็ก
แต่ถ้าในบางฉากจะลบดนตรีทิ้งไปบ้างก็น่าจะทำให้ภาพบางภาพดูมีความหมายขึ้น อีกเยอะ
หนังตั้งคำถามในท้ายที่สุดว่าคุณเลือกจะอยู่ที่ไหน ในเทพนิยายหรือในชีวิตจริง
(มันทำให้เห็นเลยนะว่าเทพนิยายนั้นจุดจบของมันก็โหดร้ายไม่แพ้ชีวิตจริงหรอก)
และ ตั้งคำถามต่อไปในฉากจบว่าคุณเลือกจะเชื่ออะไร ระหว่างเทพนิยายกับชีวิตจริง
คุณเลือกจะเชื่อว่าโอฟีเลียมีความสุขในโลกของเธอตลอดไป หรือจะเชื่อในศพของเธอที่นอนตาย
อยู่ตำตานั่น
ในเสียงดนตรีเปลี่ยวเหงาและหดหู่ และภาพความสยดสยองที่ยังคงติดตา คุณเชื่อในความงดงามเล็กๆ น้อยๆ ของดอกไม้ดอกหนึ่งไหม ?
เดรดิต http://xchange.teenee.com
ความคิดเห็น