1. เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า
1.1 เครื่องเป่าประเภทขลุ่ย
ขลุ่ยผิว เป็นขลุ่ยที่เป่าตามแนวนอน เกาหลีมีขลุ่ยชนิดนี้อยู่ 3 ขนาดด้วยกัน คือ ขลุ่ยเทคึม (Taegum) ขลุ่ยชุงคึม (Chunggum) และขลุ่ยโซคึม (Sogum) โดยขลุ่ยทั้งสามชนิดนี้มีขนาดใหญ่ ปานกลาง และเล็ก ลดหลั่นกันตามลำดับ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ระบุว่าเกาหลีเริ่มใช้ขลุ่ยผิวอย่างเป็นทางการตั้งแต่สมัยสหราชอาณาจักรสิลลาหรือรัฐรวมสิลลา เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 7
ขลุ่ยเทคึม เป็นขลุ่ยที่มีขนาดความยาวประมาณ 2 ฟุต 5 นิ้ว เมื่อเปรียบเทียบกับขลุ่ยชากุฮาชิ (Shakuhachi) ของญี่ปุ่นแล้ว ขลุ่ยเทคึมของเกาหลีจะมีขนาดที่ยาวกว่า ขลุ่ยชนิดนี้ประกอบไปด้วยรูต่าง ๆ จำนวนทั้งสิ้น 8 รู ในจำนวนนี้เป็นรูที่ใช้ปิด เปิดเพื่อให้เกิดระดับเสียงต่าง ๆ จำนวน 6 รูเป็นรูปที่ใช้สำหรับเป่า 1 รู ส่วนที่เหลืออีก 1 รู เป็นรูเยื้อ รูเยื้อนี้จะใช้แผ่นหนังบาง ๆ หุ้มปิดไว้ ดังนั้นเวลาที่บรรเลง น้ำเสียงของขลุ่ยชนิดชนิดนี้จะมีความสั่นพลิ้ว นุ่มนวล เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว กรณีนี้เป็นเหตุผลที่สำคัญที่ก่อให้เกิดความแตกต่างในด้านสีสันของเสียง ระหว่างขลุ่ยผิวของเกาหลี จีน และญี่ปุ่น
ขลุ่ยเทคึมมีช่วงพิสัยของเสียงอยู่ 2 ช่วงทบเสียงระหว่าง Bb ถึง Eb บทบาทในการบรรเลง มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับปี่โอโบในวงดุริยางค์ตะวันตก ในการบรรเลงร่วมวง เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายจะต้องตั้งระดับเสียงให้ตรงกับเสียงของขลุ่ยเทคึม ขลุ่ยชนิดนี้นิยมใช้บรรเลงร่วมอยู่ในวงดนตรีราชสำนัก
ขลุ่ยชุงคึม เป็นขลุ่ยที่มีลักษณะและองค์ประกอบเช่นเดียวกับขลุ่ยเทคึมทุกประการ เพียงแต่มีขนาดที่ย่อมกว่าเท่านั้น
ขลุ่ยโซคึม ขลุ่ยชนิดนี้มีบทบาท ขนาด และน้ำเสียงใกล้เคียงกับขลุ่ยปิคโคโล (Piccolo) ในวงดุริยางค์ตะวันตก และขลุ่ยเรียวเตกิ (Ryuteki) ในวงกางากุของญี่ปุ่น
ลักษณะโดยทั่วไปของขลุ่ยโซคึม คล้ายคลึงกับขลุ่ยเทคึม แตกต่างเฉพาะขลุ่ยโซคึมไม่มีรูเยื้อ และมีขนาดที่เล็กกว่า มีระดับเสียงสูงกว่าขลุ่ยเทคึมประมาณ 1 ช่วงทบเสียง ขลุ่ยชนิดนี้ใช้บรรเลงร่วมอยู่ในวงดนตรีราชสำนัก
ทันโชะ (Tanso) ทันโซะเป็นขลุ่ยที่เป่าตามแนวตั้ง ในลักษณะเช่นเดียวกับขลุ่ยเพียงออของไทยขลุ่ยชนิดนี้มีรูสำหรับปิด เปิดเสียงอยู่ 6 รู อยู่ด้านหน้าจำนวน 5 รู และมีรูค้ำอยู่ด้านหลังอีก 1 รู
ขลุ่ยทันโซะ จัดได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าที่มีพัฒนาการร่วมกันกับขลุ่ยชากุฮาชิ (Shakuhachi) ของญี่ปุ่น และตุงเชียว (Tung hsiao) ของจีน นักดนตรีวิทยาของเกาหลีชื่อว่า ขลุ่ยชนิดนี้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศเกาหลีหลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 17 ขลุ่ยชนิดนี้มีศักยภาพในการผลิตเสียงได้ 2 ช่วงทบเสียงระหว่าง Gb - Gb
1.2 เครื่องเป่าประเภทปี่
ปิริ (Piri) ปิริเป็นเครื่องดนตรีประเภทปี่ลิ้นคู่ มีอยู่ 3 ชนิดด้วยกันได้แก่ หยางปิริ (Hyang piri) เซปิริ (Se piri) และถังปิริ (Tang piri) ปิริทั้ง 3 ชนิดนี้มีรูสำหรับปิด เปิดเพื่อให้เกิดระดับเสียงต่าง ๆ จำนวน 8 รู อยู่ด้านหน้าจำนวน 7 รู และอยู่ด้านหลังอีกจำนวน 1 รู ข้อที่พึงสังเกตในกรณีของลิ้นปี่ปิริที่มีขนาดความยาวแตกต่างไปจากลิ้นปี่ชนิดอื่น ๆ กล่าวคือ มีความยาวประมาณ 1 ใน 5 ของความยาวรวมของทั้งเลาปี่และลิ้นปี่รวมกัน
ปี่หยาง หรือหยางปิริ เป็นเครื่องดนตรีที่มีบทบาทหน้าที่เช่นเดียวกันกับปี่ไฮชิริกิ (Hichiriki) ของญี่ปุ่น ที่ใช้บรรเลงในวงกางากุ นักดนตรีวิทยาของเกาหลีเชื่อว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้เริ่มใช้ในเกาหลีเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 6 โดยสันนิษฐานว่าน่าจะมีถิ่นกำเนิดมาจากดินแดนแถบเอเชียกลาง โดยผ่านเข้ามาทางดินแดนตอนเหนือของจีน ก่อนที่จะเข้ามาสู่ประเทศเกาหลีและพัฒนามาเป็นรูปแบบดังที่ใช้บรรเลงอยู่ปัจจุบัน
ในการบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีชนิดอื่น ปี่หยางนับว่าเป็นเครื่องดนตรีที่มีบทบาทสำคัญ ในฐานะเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงนำ ปี่ชนิดนี้มีเสียงที่ดัง ขณะประสมวงร่วมกับเครื่องดนตรีชนิดอื่น จะดังเด่นชัดทำให้ง่ายต่อการแยกแยะถึงคุณลักษณะเฉพาะของเสียง ปี่หยางมีช่วงพิสัยของเสียงไม่กว้างมากนัก ประมาณ Ab
ปี่เซ ปี่ชนิดนี้เรียกในภาษาเกาหลีว่า เซปิริ ลักษณะโดยทั่วไปเหมือนกับปี่หยางทุกประการ แตกต่างกันเฉพาะขนาดของปี่เซที่มีขนาดเล็ก มีน้ำเสียงที่เบาและนุ่มนวลกว่า ด้วยสาเหตุที่มีเสียงที่เบานี้เอง จึงไม่นิยมใช้ปี่ชนิดนี้บรรเลงร่วมในวงดนตรีขนาดใหญ่
ปี่เทียบยังโซ (Taep' yongso) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าชนิดลิ้นคู่ เครื่องดนตรีชนิดนี้มีลักษณะคล้ายคลึงและสืบสายมาจากเครื่องดนตรีในสกุลเดียวกันกับ ซุรนาของชาวเปอร์เซีย โซนาของชาวจีน เชห์ไนของอินเดีย และปี่ไฉนของไทย บางครั้งเครื่องดนตรีชนิดนี้ เรียกว่า โชะนับ โฮจอก (Soenap Hojok) ซึ่งหมายถึงเครื่องเป่าของพวกอาณารยชนหรือพวกป่าเถื่อน เครื่องดนตรีชนิดนี้ แพร่ขยายเข้ามาในเกาหลีช่วงสมัยราชวงศ์หยวนของจีน ประมาณ คริสต์ศตวรรษที่ 13-14 ในครั้งนั้นเกาหลีได้นำเครื่องดนตรีชนิดนี้มาใช้สำหรับกิจการดนตรีของกองทัพ ต่อมาในสมัยราชวงศ์ยี ได้ถูกนำมาใช้ในการประกอบพิธี ในปัจจุบันนี้เทียบยองโซ ใช้บรรเลงร่วมอยู่ในขบวนกองทัพแบบโบราณ นอกจากนั้นยังใช้ร่วมงานในพระราชพิธี¹ และวงดนตรีชาวนา หรือนองอั๊ก เทียบยังโซมีรูปิด เปิดเสียงจำนวน 8 รู อยู่ด้านหน้าจำนวน 8 รู และอยู่ด้านหลังอีก 1 รู เครื่องดนตรีชนิดนี้ระดับเสียงอยู่ระหว่าง Ab - Eb เนื่องจากเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียงที่ดังมากจึงเหมาะสำหรับการบรรเลงกลางแจ้ง
1.3 เครื่องเป่าประเภทแคน
โซะ ( So ) เป็นเครื่องดนตรีตระกูลแคน มีลักษณะคล้ายคลึงกับ เช็ง (Sheng) ของจีน และโช (Sho) ของญี่ปุ่น เครื่องดนตรีนี้บางครั้งเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปองโซะ (Pong - so)
โซะ ประกอบด้วยลำหลอดเสียงที่ทำจากไม้ซางจำนวน 16 ลำ ลำหลอดเสียงหรือลูกแคนทั้ง 16 ลูกจะสอดและผนึกอยู่กับกรอบไม้เนื้อแข็ง ซึ่งมีทรวดทรงคล้ายกับปีกของนก การเทียบเสียงของลูกแคนทั้ง 16 นอกจากจะเกิดจากขนาดความยาวของลำลูกแคนที่มีขนาดลดหลั่นกันแล้ว ในการปรับระดับรายละเอียดของเสียง จะอาศัยวิธีการเพิ่มและลดปิริมาณของขี้ผึ้ง เครื่องดนตรีชนิดนี้สามารถลดระดับครึ่งขันเสียง (Semitone) จากระดับ C D# โดยทั่วไปใช้บรรเลงร่วมอยู่ในพิธีบวงสรวงตามประเพณีของราชสำนักเกาหลีที่รับมาจากจีน
1.4 เครื่องเป่าที่ทำจากดิน
ฮุน (Hun) เป็นเครื่องดนตรีที่มีรูปร่างคล้ายลูกตุ้มยกน้ำหนัก ทำจากดินเหนียวที่ผ่านการเผา ด้านบนสุดมีรูสำหรับเป่า 1 รู รอบลำตัวของฮุนมีรูสำหรับปิดเปิดเสียง 5 รูสำหรับมือซ้าย 2 รู โดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยควบคุมการปิดเปิด และอีก 3 รูสำหรับมือขวา โดยมีนิ้วหัวแม่มือ นิ้วกลาง และนิ้วก้อยทำหน้าที่ควบคุมปิดเปิดระดับเสียงต่าง ๆ ตามความต้องการ คุณภาพการของเสียงเครื่องดนตรีชนิดนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดและทรวดทรง ประกอบกับกรรมวิธีในการเผาดินเหนียวก่อนที่จะมาเป็นเครื่องดนตรีเครื่องนี้ว่ามีคุณภาพมากน้อยเพียงใด เครื่องดนตรีชนิดนี้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศเกาหลีในช่วงสมัยโกเรียว ซึ่งตรงกับราชวงศ์ซ้องของจีน ฮุนเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงร่วมในดนตรีประกอบพิธีกรรมในลัทธิขงจื้อ
ปัจจุบันประเทศเกาหลีไม่ได้มีการปกครองในระบอบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่เพื่อเป็นการรักษาวัฒนธรรมอันดีงาม รัฐบาลเกาหลีโดยหน่วยงานรับผิดชอบด้านวัฒนธรรม ดังนั้นในทุกปีได้จัดให้มีพระราชพิธีแบบดั้งเดิม โดยเชื้อพระวงศ์ลำดับต่างๆ จะได้รับเกียรติร่วมในพิธี
1.5 เครื่องเป่าประเภทแตร
นาปาล (Napal) นาปาลเป็นเครื่องเป่าตระกูลแตรเดี่ยวที่ใช้ในกิจการดนตรีกองทัพของเกาหลี เครื่องดนตรีชนิดนี้มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับแตรลาปา (La-Pa) ลำตัวที่เป็นท่อเสียงของนาปาลทำด้วยโลหะ แบ่งเป็น 3 ท่อน สามารถถอดแยกออกจากกันหรือนำมาประกอบติดต่อกันได้ แตรนาปาลไม่มีรูปิดเปิดสำหรับบังคับเสียงเหมือนเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าชนิดอื่น ๆ ปัจจุบันเครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้บรรเลงในขบวนเดินแถวทหารแบบโบราณของเกาหลี เครื่องดนตรีชนิดนี้มีเสียงที่ดังลึก นิยมเป่าเพียงระดับเสียงเดียว ควบคู่ไปกับเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าที่มีลักษณะเช่นเดียวกัน เช่น แตรสังข์ เป็นต้น
2. เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย
2.1 ประเภทเครื่องดีด
ในการแบ่งหมวดหมู่เครื่องดนตรีตามระบบจีน ซึ่งเกาหลีเคยใช้มาในอดีต เครื่องดนตรีประเภทเครื่องดีดถูกจัดอยู่ในประเภทเครื่องดนตรีที่ทำด้วยไหม ปัจจุบันเครื่องดนตรีประเภทนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ตามลักษณะของการวางเครื่องดนตรีขณะบรรเลงได้แก่ เครื่องดนตรีประเภทตั้งพื้นแนวนอนและเครื่องดนตรีประเภทจับในแนวตั้ง
กายาคึม (Kayagum) เป็นเครื่องดนตรีชนิดตั้งราบขนานไปกับพื้นเช่นเดียวกับจะเข้ของไทย ลักษณะโครงสร้างโดยรวมของเครื่องดนตรีชนิดนี้ คล้ายคลึงกับเจง (Cheng) ของจีน และโกโตะ (Koto) ของญี่ปุ่น
เครื่องดนตรีชนิดนี้เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า กายาโกะ (Kayako) เกาหลีได้รับแบบอย่างมาจากเจงของจีน หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกายาโกะปรากฏครั้งแรกในดินแดนเกาหลีช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6 โดยเชื่อกันว่ากษัตริย์กาสิล (Kasil) แห่งเมืองกายา (Kaya) ในแถบภาคใต้ของเกาหลีเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา ภายหลังเครื่องดนตรีชนิดนี้ได้เผนแพร่เข้าสู่ไปสู่ราชสำนักญี่ปุ่นในสมัยนารา (คริสต์วรรษที่ 6 9 ) ซึ่งรู้จักกันในญี่ปุ่นสมัยนั้นว่า ชิระคิโกโตะ (Shiragikoto) ซึ่งหมายถึงโกโตะจากพระราชอาณาจักรสิลลา เครื่องดนตรีที่นักดนตรีชาวเกาหลีได้นำติดตัวไปเผยแพร่ในญี่ปุ่นระยะแรก ๆ ยังคงเก็บรักษาไว้ในพระราชวัง Shosion เมืองนารา กายาคึม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะของการใช้งานคือ 1) ชองอั๊ก กายาคึม (Chongak Kayakum ) และ 2 ) ซันโจะ กายาคึม (Sanjo Kayakum) ชองอั๊ก กายาคึม ใช้บรรเลงร่วมในวงดนตรีราชสำนัก ส่วนซันโจะ กายาคึม ใช้ร่วมบรรเลงทั่วไปในรูปแบบของดนตรีพื้นบ้าน กายาคึมทั้งสองประเภทมีสาย 12 สาย สายแต่ละสายพาดลงบนหย่องที่ทำเป็นรูปทรงตัววีคว่ำ (L) ตั้งอยู่ตามตำแหน่งเสียงต่าง ๆ บนลำตัวของกายาคึม ลักษณะทั่วไปของกายาคึมทั้ง 2 ชนิด มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แตกต่างเฉพาะในส่วนของขนาดและการประดับตกแต่ง ในการบรรเลงผู้บรรเลงจะใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วกลาง ของมือขวาดีดลงไปที่สาย ขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วหัวแม่มือ และนิ้วกลางของมือซ้ายกดลงไปบนตำแหน่งใกล้กับหย่อง คล้ายกับวิธีการกดนิ้วลงบนนมจะเข้ของไทย การเทียบเสียงของกายาคึมทั้ง 2 ประเภท มีลักษณะที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วเครื่องดนตรีชนิดนี้มีศักยภาพในการผลิตเสียงได้ประมาณ 2 ช่วงทบเสียงจาก Eb Bb กายาคึมจัดเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเกาหลี เครื่องดนตรีชนิดนี้ มีภาพลักษณ์ที่โดดเด่น เสมือนกับเป็นตัวแทนของดนตรีเกาหลี ในลักษณะที่เหมือนกับโกโตะที่เป็นเครื่องดนตรีตัวแทนของดนตรีญี่ปุ่น หรือซีตาร์ เป็นเครื่องดนตรีตัวแทนของดนตรีอินเดีย
โกมุมโกะ เป็นเครื่องดนตรีที่ประดิษฐ์ขึ้นในสมัยสามอาณาจักรหรือสามก๊กของเกาหลี โดยการเริ่มของมหาเสนาบดี วังชาน อั๊ก (Wang san ak) แห่งราชวงศ์โกกูเรียว ในสมัยรัฐรวมสิลลา โกมุนโกะเป็นดนตรีที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากร่วมกับกายาคึมและปิปะ
เครื่องดนตรีชนิดนี้นิยมใช้บรรเลงร่วมอยู่ในวงดนตรีราชสำนักและวงดนตรีพื้นบ้านทั่วไป ลักษณะของเครื่องดนตรีชนิดนี้หากมองอย่างผิวเผิน จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับกายาคึม แต่หากพิจารณาในรายละเอียด เครื่องดนตรีทั้งสองชนิดนี้จะมีลักษณะบางประการที่แตกต่างกัน กล่าวคือ โกมุนโกะมีสาย 6 สาย สายทั้งหมด ทำมาจากเชือกไหมที่บิดขวั้นจนเป็นเนื้อเดียวกันและคล้ายกับซอสามสายของไทย ในจำนวนสายทั้ง 6 นั้น สายที่ 2, 3, และ 4 พาดลงบนนมจำนวน 16 อัน โดยนมทั้ง 16 อันจะยึดติดแน่นไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนได้ ในขณะที่สายที่เหลืออีก 3 สายคือสายที่ 1, 5 และ 6 พาดลงบนนมที่มีลักษณะเป็นทรงตัววีคว่ำ (L) เช่นเดียวกันกับนมของกายาคึม (Kayagum) โดยนมทั้งสามจะสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งได้ตามความต้องการ
ในขณะบรรเลง นักดนตรีจะใช้มือด้านขวาถือไม้ดีดที่ทำจากไม้ไผ่ สำหรับใช้ดีดให้เกิดเสียง ขณะที่มือซ้ายกดตามนมตำแหน่งต่างๆเพื่อให้เกิดเสียงตามที่ต้องการ บรรดาเครื่องดนตรีของเกาหลีด้วยกัน โกมุนโกะจัดได้ว่าเป็นเครื่งอดนตรีทีมีช่วงพิสัยของเสียงกว้างที่สุด โดยสามารถผลิตเสียงได้ถึง 3 ช่วงทบเสียงจาก Bb Bb
ปิปะ (Pipa) ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออก ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี เป็นดินแดนที่ปรากฏพบเครื่องดนตรีประเภทดีดรูปทรงลิวท์ (Lute) ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาค โดยแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป กล่าวคือ จีนเรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า ปิปะ (Pipa) ญี่ปุ่นเรียกว่า บิวะ (Biwa) และเกาหลีเรียกว่า หยางปิปะ ซึ่งหมายถึงพิณเกาหลี
ในปัจจุบันประเทศเกาหลีมีพิณทรงลิวท์ที่ใช้บรรเลงในปัจจุบันอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ หยางปิปะ และถังปิปะ โดยเครื่องดนตรีชนิดนี้ได้รับอิทธิพลมาจากจีน ซึ่งเผยแพร่เข้าสู่ประเทศเกาหลีในช่วงสมัยสามก๊กของเกาหลี
หยางปิปะ มีกล่องเสียงเป็นรูปทรงมนรี มีสาย 5 สาย สายทั้ง 5 พาดผ่านบนนมจำนวน 10 อัน ในการบรรเลง ผู้บรรเลงจะใช้ไม้ดีดที่ทำเป็นแท่งคล้ายกับจะเข้ของไทย แต่มีขนาดที่ยาวกล่าวเล็กน้อย
ถังปิปะ เป็นพิณชนิดที่มี 4 สาย พาดผ่านลงบนนม จำนวน 8 อัน ซึ่งติดอยู่บริเวณกล่องเสียง ในขณะที่บริเวณคอพิณจะมีนมอีกจำนวน 4 อัน ที่ทำเป็นรูปทรงโค้งนูน ผู้บรรเลงจะใช้แผ่นไม้บาง ๆ สำหรับเป็นไม้ดีด ในปัจจุบันทั้งหยางปิปะ และถังปิปะ ไม่นิยมนำมาบรรเลงร่วมกัน
วากองฮู (Wa Konghu) เป็นรูปพิณทรงฮาร์ฟที่มีรูปทรงคล้ายกับพิณ ซองกก (Saung Gauk) ของพม่า และพิณกุงหัว (Kung hoa) ของจีน ในอดีตเกาหลีมีรูปทรงพิณฮาร์ฟอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ 1) วากองฮู (Wa-konghu) พิณรูปทรงฮารฟ์ในขณะบรรเลงจะตั้งเครื่องดนตรีขนานไปกับพื้น 2) ซูกองฮู (Su-konghu) พิณที่บรรเลงในแนวตั้ง และ 3) เตกวงฮู (Tae-Konghu) พิณที่มีรูปทรงคล้ายคลึงกับพิณของชาว Assyrian
หลักฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของจีนระบุว่าพิณทั้ง 3 ชนิดนี้ เกาหลีได้ใช้ในการบรรเลงร่วมในวงดนตรีแบบต่าง ๆ อย่างน้อยสุดตั้งแต่สมัยราชวงศ์ปักเซ นอกจากนั้นยังได้ระบุด้วยว่าพิณชนิดนี้ได้เผยแพร่เข้าไปในญี่ปุ่นช่วงสมัยเดียวกัน โดยที่ญี่ปุ่นเรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า กุดาระ-โกโตะ ซึ่งหมายถึงเครื่องดนตรีจากปักเซ
โวลคัม (Wolgum) ความหมายตามอักษรศาสตร์คำว่า "โวลคัม" หมายถึง "จันทรวีณา" หรือ พิณที่มีรูปทรงกลมดุจดวงจันทร์ เหมือนหยู่ฉิน (Yueh chin) ของจีนและพิณเค็กกิน (Gekkin) ของญี่ปุ่น แตกต่างกันเฉพาะพิณโวลคัมของเกาหลีมีคอพิณที่ยาวในขณะที่อยู่ฉินของจีนมีคอที่สั้น
โวลคัม เป็นพิณชนิดมี 4 สาย เครื่องดนตรีชนิดนี้ปรากฎหลักฐานเป็นภาพวาดสมัยโกคูเรียว (37 ปีก่อนคริสต์ศักราชถึง 668 ) ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ยี เครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้บรรเลงร่วมอยู่ในวงดนตรีแบบหยางอั๊ก (HyangAk) ปัจจุบันเครื่องดนตรีชนิดนี้ไม่นิยมนำมาบรรเลงร่วมในการประสมวง
2.2 เครื่องสายดนตรีประเภทสี
อาเจ็ง (Ajaeng) รูปทรงโดยรวมของอาเจ็ง มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับ กายาคึมและโกมุนโกะ กล่าวคือยังคงเป็นเครื่องดนตรีที่ตั้งตามแนวราบขนานไปกับพื้น ลักษณะเช่นเดียวกับจะเข้ของไทย แตกต่างกันเฉพาะอาเจ็งเป็นเครื่องดนตรีที่ผลิตเสียงโดยวิธีสี
เครื่องดนตรีชนิดนี้มีสาย 7 สาย สายทั้ง 7 พาดผ่านลงบนนมที่มีลักษณะเป็นรูปทรงตัววีคว่ำ (L) เช่นเดียวกับนมของกายาคึมและโกมุมโกะ คันชักของอาเจ็งทำจากไม้เนื้อแข็งโดยปราศจากขนหางม้า ก่อนการบรรเลง นักดนตรีจะใช้ยางสนฝนบนคันชักไม้ในตำแหน่งที่จะใช้สีในลักษณะเช่นเดียวกับการที่ถูยางสนที่ขนหางม้าของซอไทย
แฮคึม (Haegum) เป็นซอ 2 สาย ลักษณะเหมือนกันกับซอฮู ฉิน (Hu Chin) ของจีน และคล้ายคลึงกับซอด้วงของไทย นักดนตรีวิทยาเชื่อกันว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้เผยแพร่เข้ามาสู่เกาหลีช่วงสมัยโกเรียวา (คริสต์ศักราช 918 1392) แฮคึมในบรรเลงนำทำนอง ร่วมประสมอยู่ในวงดนตรีเกาหลีแบบดั้งเดิม หรือดนตรีแบบหยางอั๊ก (Huang Ak) นอกจากนั้นยังนิยมใช้บรรเลงประกอบการร่ายรำ
2.3 เครื่องสายประเภทตี
ยังคึม (Yanggum) เป็นเครื่องสายประเภทตี มีลักษณะคล้ายกับขิมจีนหรือยังฉิน (yang chin) ซันตรู (Santoor) ของชาวเปอร์เซียและอินเดีย ตลอดทั้งขิมที่ใช้บรรเลงในวงเครื่องสายผสมของไทย
ยังคึมจัดเป็นเครื่องดนตรีประเภทสายชนิดเดียวของเกาหลีที่สายทำด้วยโลหะ ทั้งนี้เพราะเครื่องสายทุกชนิดทั้งดีดและสี ล้วนมีสายที่ทำมาจากไหมหรือส่วนผสมของไหมทั้งสิ้น
เครื่องดนตรีชนิดนี้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศจีนครั้งแรกเมื่อประมาณสมัยราชวงศ์หมิงของจีน ภายใต้การนำของบาทหลวงชาวคริสต์ ครั้งถึงสมัยในราชวงศ์จิ๋น ยังคึมได้เผยแพร่เข้าสู่ประเทศเกาหลีอีกทอดหนึ่ง ปัจจุบันเครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้บรรเลงในวงดนตรีเกาหลีทั่วไป
3. เครื่องดนตรีประเภทเคาะ
ปัก (Pak) เครื่องดนตรีชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายคลึงกับกรับพวงของไทย แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าเกาหลีได้รับอิทธิพลเครื่องดนตรีชนิดนี้มาจากจีน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่าเครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้บรรเลงร่วมในดนตรีจีนหรือดนตรีถัง (Tang-Ak) ตั้งแต่รัชสมัยของกษัตริย์มุงจอง (Mongjong) แห่งราชวงค์โกเรียว
ปัก หรือกรับพวงของเกาหลีประกอบด้วยแผ่นไม้จำนวน 6 อัน โดยแผ่นไม้ทั้ง 6 อัน ผูกยึดติดกันด้วยหนังกวาง ในจำนวนแผ่นไม้ทั้ง 6 อัน ไม้ 2 อัน จะใช้เป็นกรอบ ซึ่งมีขนาดที่หนากว่าไม้อีก 4 อัน ซึ่งอยู่ระหว่างกรอบทั้งสอง เครื่องดนตรีชนิดนี้นับได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะในการบรรเลงร่วมในวงดนตรีราชสำนักและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในลัทธิขงจื้อ ปักจะมีหน้าที่เป็นผู้ให้สัญญาณทุกครั้ง ก่อนการบรรเลงและก่อนที่จะจบการบรรเลง ผู้บรรเลงจะตีปัก 3 ครั้งติดต่อกันให้เกิดเสียง "ปัก ปัก ปัก" เพื่อเป็นสัญญาณให้นักดนตรีในวงได้ทราบ เพื่อจะได้ขึ้นเพลงและลงจบเพลงได้อย่างพร้อมเพียงกัน
ชิง (Ching) เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลฆ้องชนิดที่ไม่มีปุ่ม มีลักษณะเหมือนกับโล่ (Lo) หรือ หลัว (Lao) ของจีน เจาะรูด้านบน 2 รู เพื่อร้อยเชือกสำหรับเป็นที่ถือ ไม้ตีทำด้วยไม้หุ้มผ้าที่ส่วนปลาย
ในอดีต ชิงใช้บรรเลงในขบวนทหารศึกควบคู่ไปกับกลอง ปัจจุบันเครื่องดนตรีชนิดนี้บรรเลงร่วมอยู่ในวงดนตรีสำหรับสวนสนามแบบดั้งเดิมของเกาหลี นอกจากนั้นยังนิยมใช้บรรเลงประกอบในดนตรีนองอั๊ก (Nong-Ak) หรือดนตรีชาวนา ในพิธีกรรมของชาวพุทธและประกอบพิธีในรูปแบบของดนตรีราชสำนัก
เกว็งคาริ (Kkwaenggwari) เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลฆ้องเช่นเดียวกับชิง แต่มีขนาดเล็กกว่า เกว็งคาริสามารถเปรียบเทียบกับที่ฆ้องเช็งโล่ (Cheng lo) ของจีน เครื่องดนตรีชนิดนี้มีเสียงที่ดังคมชัด นิยมใช้บรรเลงร่วมกับชิง
ชาบาระ (Chabara) เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเคาะจังหวะ มีลักษณะรูปทรงเหมือนกับฉาบของไทย เครื่องดนตรีชนิดนี้มีอยู่ด้วยกันหลายขนาด ขนาดใหญ่ที่สุดใช้บรรเลงประกอบพิธีกรรมตามวัดพุทธทั่วไป ขนาดเล็กนิยมใช้บรรเลงประกอบการเต้นรำ โดยผู้เต้นรำจะผูกชาบาระที่นิ้วหัวแม่มือ และนิ้วกลาง ในอดีตเครื่องดนตรีชนิดนี้นิยมใช้ในการทำศึกสงคราม
4. เครื่องดนตรีประเภทหุ้มด้วยหนัง
ชางโกะ (Changgo) เป็นกลองที่มีรูปทรงนาฬิกาทราย ในลักษณะเช่นเดียวกันกับบัณเฑาะว์ของไทย ชางกุ (Chang- ku) ของจีน และซานโนะตึสซุมิ (Sannotsuzami) ของญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามขนาดของกลองชางโกะจะใหญ่กว่ากลองชางกุและซานโนะตึสชูมิ
กลองชนิดนี้นับว่ามีบทบาทสำคัญในการบรรเลงร่วมกับวงดนตรี ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ตามที่ปรากฏเป็นหลักฐานที่ทำเป็นภาพวาดที่สุสานสมัยโกคุเรียว (Koguryo) และคำบรรยายที่นิยมเขียนไว้บนระฆังขนาดใหญ่ตามวัดพุทธหลายแห่ง ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ยีเป็นต้นมา ได้มีการนำเอากลองชางโกะมาใช้บรรเลงในพระราชพิธีและประกอบการแสดงอย่างจริงจัง
ในการบรรเลงดนตรี นักดนตรีจะใช้ฝ่ามือตีที่หน้ากลองด้ายซ้าย ซึ่งอาจมีเสียงทุ้มต่ำลแะนุ่มนวล มือขวาจะถือไม้ตีที่ทำมาจากไม้ไผ่ โดยจะตีลงบนกลองด้านขวามือ จะมีเสียงดังและระดับเสียงที่สูงกว่าหน้ากลองด้านซ้าย วิธีการปรับระดับเสียงให้มีความสมบูรณ์ ผู้บรรเลงจะอาศัยการเลื่อนหนังรัดอก ที่ห่อหุ้มเชือกเร่งหน้ากลอง ซึ่งขึ้นไว้เป็นรูปทรงตัววี (V) ในลักษณะเช่นเดียวกันกับการเร่งระดับเสียงของกลองที่ใช้บรรเลงในวงโยธวาทิต
ชัวโกะ (Chawgo) กลองที่หุ้มด้วยหนังทั้งสองหน้า มีขนานย่อม รูปทรงโดยทั่วไปมีลักษณะคล้ายคลึงกับกลองตึซาริไดโกะ (Tzaridaiko) กลองชัวโกะจะแขวนอยู่บนกระจังที่ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้บรรเลงในวงดนตรีราชสำนัก
ยองโกะ (Yonggo) ในเชิงภาษาศาสตร์คำว่า "ยองโกะ" หมายถึง "สิงโต" กลองชนิดนี้ขึ้นหนังด้วยหมุดทั้งสองหน้า นิยมใช้บรรเลงในขบวนเดินแถว และการแสดงปันโซริ (Pansori) ซึ่งเป็นการแสดงแบบดั้งเดิมของเกาหลี ผู้บรรเลงจะใช้เชือกผูกร้อยที่ลำตัวกลอง และคล้องพาดเฉียงลงไปบนไหล่เพื่อให้เกิดความสะดวกขณะเดินบรรเลง
เคียวบังโคะ (Kyobanggo) เป็นกลองที่ขึงหนังทั้งสองหน้าด้วยหมุด เช่นเดียวกับกลองชัวโกะ แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก กลองชนิดนี้จะตั้งอยู่บนขาตั้งที่มี 4 ขา เดิมทีเดียวกลองชนิดนี้นิยมใช้บรรเลงเฉพาะในวงดนตรีแบบจีนหรือถังอั๊ก (tang Ak) เท่านั้น แต่ในปัจจุบันนี้นิยมใช้บรรเลงประกอบการแสดงระบำกลอง โดยผู้รำซึ่งเป็นสตรีจะเป็นผู้บรรเลงเอง ลีลาการระบำกลองชุดนี้ มีลักษณะที่น่าจะเปรียบเทียบได้กับการรำกลองสะบัดชัยของชาวล้านนา (ภาพที่ 90)
โซโกะ (Sogo) เป็นกลองที่มีขนาดเล็กและบางขึงหนังทั้งสองหน้า โดยอาศัยเชือกผูกโยงสำหรับเร่งระดับเสียง ส่วนต่อจากลำตัวหรือหุ่นของกลองจะมีไม้ยื่นต่อออกมาสำหรับให้นักดนตรีสามารถถือได้สะดวกในขณะที่ต้องเดินบรรเลง กลองชนิดนี้ทำให้เกิดเสียงโดยอาศัยไม้ตีจำนวน 1 อัน
กลองโซโกะ มีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างมากในการบรรเลงร่วมในดนตรีพื้นบ้าน เช่น ดนตรีชาวนา (น้องอั๊ก) และประกอบการระบำรำฟ้อน
โนะโดะ (Nodo) เป็นกลองชุดที่มีขนาดเล็กจำนวน 2 - 3 ใบ มีรูปทรงป่องตรงกลาง กลองเหล่านี้จะถูกเจาะรูและเสียบไว้กับแกนขาตั้งที่ทำด้วยไม้ ด้านข้างของกลองจะมีเชือกที่ส่วนปลายผูกเป็นปุ่ม เมื่อต้องการบรรเลง ผู้บรรเลงจะหมุนแกนไม้ ซึ่งจะทำให้ปุ่มเชือกทั้งสองข้างตีลงบนหน้ากลอง ลักษณะเช่นเดียวกับบัณเฑาะว์ของไทย |
ความคิดเห็น