คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เป็นพระโพธิสัตว์ที่ชาวพุทธมหายานนับถือกันมากพระองค์หนึ่งด้วยมีพระมหาปณิธานอันยิ่งใหญ่ในการโปรดสรรพสัตว์ พระองค์ทรงมีพระนามจีนว่า "ตี้จั๊งหวังผู่ซ่า" ตามประวัติของพระองค์กล่าวไว้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสครั้งที่ 7 ของกษัตริย์แห่งแคว้นชิลลา (ปัจจุบันคือเกาหลีใต้) โดยพระนามเดิมคือ เจ้าชายจินเฉียวเจว๋ ทรงเบื่อหน่ายทางโลกและสละออกผนวชเมื่อ 24 พรรษา พระองค์ทรงเดินทางมายังประเทศจีนพร้อมด้วยสุนัขสีขาวตัวหนึ่ง พระองค์ทรงเดินทางมาถึงยังภูเขาจิ่วหวาซาน ณ เมืองชิงหยาง มณฑลอายฮุย ซึ่งภูเขาแห่งนี้มีสัณฐานต่อภูมิประเทศคล้ายดอกบัว และมีบรรยายกาศที่เหมาะแก่การปฏิบัติทางธรรม พระองค์ทรงเสาะหาถ้ำอันเหาะสมแก่การปฏิบัติธรรม
พระองค์ทรงเลือกภูเขาจิ่วหวาซานเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม
ต่อมาชาวบ้านทราบถึงการมาปฏิบัติธรรมของพระองค์จึงอุปถัมภ์สร้างวัดอารามถวาย แต่ด้วยภูเขาจิ่วหวาซานนี้มีเจ้าของคือ หมิ่นกง ซึ่งหมิ่นกงต้องถวายที่แก่พระองค์เท่านั้นชาวบ้านจึงสร้างวัดถวายได้ ด้วยว่าหมิ่นกงเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงกล่าวว่า หากพระคุณเจ้าต้องการที่เท่าใดก็ตามแต่พระคุณเจ้าปรารถนาเถิด
พระองค์จึงตอบว่า เราต้องการพื้นที่เพียงเท่าผืนจีวรของเราคลุมเท่านั้น หมิ่นกงตกใจต่อคำตอบเพราะที่เท่าผืนจีวรคลุมนั้นมันช่างเป็นพื้นที่น้อยนิดจะเอาไปทำการอันใดได้ แต่แล้วเมื่อพระองค์ทรงถอดจีวรและโยนขึ้นกลางอากาศปรากฏว่าผืนจีวรขยายใหญ่ออกไปเรื่อยๆจนสามารถคลุมภูเขาได้ทั้งภูเขา หมิ่นกงเกิดความเลื่อมใสจึงยินดีถวายภูเขาจิ่วหวาซานทั้งภูเขาเป็นพุทธสถาน ทั้งยกยอมให้บุตรชาย นามว่า "เต้าหมิง" ออกบวชเป็นศิษย์ของพระองค์อีกด้วย ต่อมาหมิ่นกงจึงกราบพระภิกษุผู้เป็นบุตรนั้นเป็นอาจารย์ ภายหลังหมิ่นกง และ เต้าหมิงจึงกลายมาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาแห่งพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เราจะพบกับรูปเคารพที่มี ชายชราที่แต่งกายอย่างคหบดี และภิกษุยืนอยู่ข้างซึ่งชายชรานั้นคือ หมิ่นกง ส่วนพระภิกษุนั้นคือ เต้าหมิง นั้นเอง
พระองค์ทรงเป็นเคารพศรัทธาแก่ฝูงชนทั้งหลาย ทรงเป็นเนื้อหาบุญแห่งเมืองชิงหยาง
พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรบนเขาเป็นเวลาถึง 75 ปี และทรงมรณภาพลงเมื่ออายุได้ 99 พรรษา หลังจากการมรณภาพของพระองค์เป็นเวลา 3 ปี บรรดาสานุศิษย์ที่เลื่อมใสในพระองค์ได้ทำการเปิดโลงพระศพเพื่อเตรียมการฝัง แต่กลับพบว่าร่างของพระองค์นิ่มและมีสีสันเหมือนอย่างกับเมื่อตอนที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพ เมื่อเคาะกระดูกกลับมีเสียงกังวาลเหมือนทองคำ จึงได้นำทองคำเปลวมาปิดทั่วกาย และสร้างวิหารสักการะผู้คนจากที่หลากหลายจึงเดินทางมายังภูเขาจิ่วหวาซานต่อมาภูเขานั้นถูกจัดเป็น1ใน4ของ สี่เมี่ยไต้ซัว คือ สี่ภูเขาที่บำเพ็ญแห่งพระโพธิสัตว์ ซึ่งประกอบด้วย
ภูเขาจิ่วหวาซานเป็นหนึ่งในจตุรบรรพตอันศักดิ์สิทธิ์
ภูเขาอูไถซานเชื่อกันว่าเป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์
ภูเขาง้อไบ้เชื่อกันว่าเป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระสมันตรโพธิสัตว์
ภูเขาผู่ถัวซานเชื่อกันว่าเป็นที่บำเพ็ญของพระโพธิสัตว์กวนอิม
ภูเขาจิ่วหวาซานเชื่อกันว่าเป็นที่บำเพ็ญของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์
พระพุทธองค์ทรงแต่งตั้งให้พระองค์เป็นพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์
เมื่อพระองค์ทรงละสังขารจึงได้รับการแต่งตั้งจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าเป็นพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ พร้อมหน้าที่โปรดวิญญาณในนรกภูมิทั้ง 6 นับแต่นั้นเป็นต้นมาพระองค์จึงทรงโปรดเหล่าคนตายให้หลุดพ้นจากความทุกข์พันธนาการของเหล่าวิญญาณบาปในนรกภูมิ พระองค์ทรงกล่าวว่า หากนรกภูมิไม่ว่างลงตราบใด ท่านจะไม่ยอมตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าตราบนั้น แต่ด้วยนับวันวิญญาณในนรกยิ่งมีมากขึ้นเป็นทวีคูณเช่นนั้นปณิธานของพระองค์จึงไม่มีที่สิ้นสุด ดั่งกับพระโพธิสัตว์กวนอิม
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ทรงถูกยกย่องว่าเป็นกษัตรืย์แห่งยมโลก พระองค์เป็นที่ยำเกรงแก่
พญายมราชแลบริวาร รวมถึงเป็นที่พึ่งพิงของเหล่าดวงวิญญาณบาปในนรกภูมิ
พระองค์ทรงเป็นที่ยำเกรงต่อพญายมราช พระองค์ถูกยกย่องเป็น กษัตริย์แห่งยมโลกอีกด้วย แสดงได้ถึงความยิ่งใหญ่แห่งพระองค์ ซึ่งหากวิญญาณบาปดวงใดหลบหนีจากการจับกุมของยมบาลได้เข้าพุทธเขตแห่งพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์แล้วยอมมิได้รับการถูกจับกลับเพราะพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ทรงขอเป็นเขตอภัยทาน พระองค์จะรับดวงวิญญาณบาปเหล่านั้นไว้เพื่อเทศนาขัดเกลาให้โอกาสกลับไปยังโลกมนุษย์เพื่อสร้างผลบุญบำเพ็ญเพื่อให้หลุดพ้นไปยังแดนสุขาวดี ดังเคยมีตำนานเรื่องเล่าในแนวนี้ว่า
ครั้งในรัชสมัยราชวงศ์ถัง มีขุนนางท่านหนึ่ง นามว่า "หลีแซหงวน" เกิดเป็นโรคปัจจุบันตายไป แต่ที่อกของเขายังคงอุ่นอยู่ญาติพี่น้องจึงตัดสินใจยังไม่เขาร่างของเขาลงโลงเพราะหวังว่าเขาอาจจะฟื้น จนเวลาล่วงเลยมา 21 วัน ขุนนางท่านนั้นได้ฟื้นขึ้นมาตามที่ญาติพี่น้องคิด ท่านจึงสั่งคนในบ้านให้จัดทำอาหารเลี้ยงพระภิกษุสงฆ์จำนวน 30 รูป แล้วเตรียมกะแปะหมื่นพวง บิดาของขุนนางเป็นคหบดีที่มั่งมีจึงยอมทำตามที่บุตรชายวาน จากนั้นขุนนางได้วางถาดอาหารจำนวน 30 ถาดที่พื้น ซึ่งทุกคนในบ้านล้วนประหลาดเพราะไม่ให้องค์พระเลย ขุนนางกล่าวว่า
" ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งที่ท่านทรงเมตตาช่วยเหลือให้ข้าพเจ้ากลับมายังบ้าน "
จากนั้นก็คาดคะเนว่าพระภิกษุทั้ง 30 ฉันเสร็จแล้วเขาก็ทำการนำอาหารอีกสองสำรับมาวางพร้อมสุราและได้เผากระดาษเงินกระดาษทองจำนวนห้าพันฉบับแล้วบอกกล่าวว่า
"เป็นพระคุณยิ่งที่ท่านช่วยเหลือให้ข้าพเจ้านอกพ้นจากนรกภูมิ "
หลีแซหงวนได้รับการโปรดจากพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ เมื่อเขากลับไปยังแดนมนุษย์
แล้วให้ปฏิบัติธรรมเพื่อที่เขาจะได้หลุดพ้นจากอบายไปสู่แดนสุขาวดี
พอเสร็จพิธีหลีแซหงวนก็เข้านอนตามปกติ วันต่อมาญาติของเขาจึงได้ถามไถ่ถึงเรื่องหลังความตายของเขา เขาก็ได้เล่าว่า ตอนที่วิญญาณเขานั้นไปยังนรกพร้อมกับชายอีก 2 คน จนมาพบเจ้าพนักงานของพญายมสองคนกล่าวว่า หากยอมนำเงินมาให้เป็นสินบนเขาห้าล้านจะยอมปล่อยให้กลับไปยังมนุษยโลก แต่ชายทั้งสองกลับเฉยไม่สนใจ แต่สำหรับเขาเห็นเป็นช่องทางที่จะได้กลับบ้านจึงยอมรับคำว่า หากกลับไปบ้านที่เมืองมนุษย์แล้วจะสั่งเงินจำนวนห้าล้านมาให้ เจ้าพนักงานทั้งสองพอใจ (เรื่องใต้โต๊ะระบาดไปยังเมืองนรกกันเลยทีเดียว ความโลภช่างไม่เข้าใครออกใครเสียจริง) ไม่ช้าเจ้าพนักงานจำนวนหนึ่งก็ออกมารับเขาและชายอีกสองคนเข้าไปในตำหนักพญายมราช พญายมราชทรงประทับบนบัลลังก์ว่าความท่ามกลางม่านลูกปัดกั้น ผู้คุมบัญชีผลกรรมอ่านประวัติของหลีแซหงวนกับชายอีกสองคนถึงบาปและบุญ ซึ่งดูอาการว่าบาปจะมากกว่าบุญเสียอีก
พญายมราชจึงตัดสินมิได้จึงให้ทั้งสามลองจับฉลากซึ่งผลปรากฏว่า เจ้าพนักงานทั้งสองที่ให้หลีแซหงวนติดสินบนนั้นให้เขาได้ฉลากที่ไม่มีตัวอักษรเท่ากับว่าเขารอดได้กลับไปเมืองมนุษย์ แต่ชายอีกสองได้ฉลากที่มีตัวอักษรแสดงว่าต้องรับโทษทัณฑ์ในนรกภูมิต่อไป หลีแซหงวนได้ถูกปล่อยตัวไปจากประตูผีด้านทิศตะวันออก กลับพบกับขบวนของภิกษุถือทิวธงอย่างงดงาม และพาเขาไปยังที่ๆหนึ่งที่แสนจะงดงาม เขาได้เข้าเฝ้าพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ซึ่งประทับบนบัลลังก์ดอกบัวอย่างรัศมีทองอันแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ พระองค์ทรงให้เขานั่งพักบนอาสนะที่เตรียมมา อยู่ๆก็เกิดมีเสียงสวดพระสูตรออกมาเรื่อยๆ เขาเองแต่ก่อนไม่เคยสนใจในพระธรรมแต่บัดนี้กลับฟังแล้วซึมเข้าไปถึงใจเขากลับน้ำตาไหลเพราะรู้ซึ้งได้อย่างง่ายดาย
พระกษิติครรถ์โพธิสัตว์ทรงกล่าวว่า เขานั้นยังมีใจอันเป็นพุทธะอยู่บ้างเมื่อเขากลับไปยังเมืองมนุษย์ให้ปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะได้ไปบังเกิดยังแดนสุขาวดี ทั้งพระองค์ยังให้เขาเล่าเรื่องราวที่เขาพบเจอในดินแดนปรภพแห่งนี้ให้ผู้คนทั้งหลายเกรงกลัวต่อบาปและให้ทำบุญสร้างกุศลจะได้ไม่ตกลงสู่นรกภูมิ หลังจากที่พระองค์ทรงพาเขามาสั่งยังโลกมนุษย์ เขาฟื้นขึ้นจึงจัดทำการเผาเงินทองไปให้เจ้าพนักงานสองตนนั้นเป็นการตอบแทน
แต่ต่อมาถือศีลปฏิบัติธรรม ทานเจได้เพียง 7 วัน เขาก็ได้ตายไปอีก แต่รุ่งเช้ากลับฟื้น เขากล่าวว่าพระกษิติครรถ์โพธิสัตว์ทรงรับสั่งให้เข้าเฝ้า พร้อมด้วยการตำหนิติเตียนว่าเขาไม่สมควรเล่าถึงการติดสินบนเพราะจะทำให้ระบบของปรภพเสียหาย พระองค์จะเอาไม้พุทธคฑาของพระองค์ตีเขา แต่เขากลับกล่าวขอโทษพระองค์เสียก่อน พระองค์จึงไม่ได้ตีเขาเป็นการลงโทษ จากนั้นเขาก็บำเพ็ญอย่างเคร่งคัด เขาปฏิบัติตามที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์กล่าวไว้เสมอ เวลาที่เขาพบผู้คนจำนวนมากๆเขาก็จะเล่าถึงเหตุการณ์ในเมืองนรกแก่คนทั้งหลายให้เกรงกลัวต่อบาป
หลวงจีนจี้จือได้รับการโปรดจากพระกษิติครรถ์โพธิสัตว์ เมื่อกลับไปยังแดนมนุษ์ให้ปฏิบัติธรรม ปลีกวิเวก และบำเพ็ญศีลภาวนา ละจากการติดต่อคบค้าสมาคมกับคนชนชั้นสูง ซึ่งจะทำให้หลวงจีนยึดติดกับทางโลกจนมิอาจจะสามารถไปบังเกิดยังแดนสุขาวดีได้
อีกตำนานหนึ่งซึ่งมีความคล้ายกันคือ เกี่ยวกับคนตายและฟื้นเพราะได้รับการช่วยเหลือจากพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ คราวนี้เป็นหลวงจีน นามว่า "จี้จือ" จำวัดอยู่ที่วัดเซ่งเงียบจี่ ท่านเป็นที่รู้จักและเคารพของคนชนชั้นสูงเพราะมีความชำนิชำนาญในด้านแพทยศาสตร์ และไสยศาสตร์ คือ ด้านคาถาอาคม ท่านจึงติดกับการคบหากับคนรวยไม่สนใจคนจน ต่อมาท่านได้มรณภาพจนสองวันต่อมาได้ฟื้นขึ้น ก็ได้ออกจากวัดเดิมไปจำวัดอยู่อีกวัดหนึ่งคือ วัดตั้งเซียนเตี้ยจี่ เมื่อท่านไปจำวัดอยู่ที่วัดนั้นแล้วได้สร้างวิหารอันงดงาม แล้วสร้างพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ ขนาดเท่าคนจริง ท่านได้เลิกคบหาสมาคมกับคนชนชั้นสูง และใส่ใจกับคนชนชั้นหลังและปลีกวิเวกมากขึ้น ท่านได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ท่านได้พบเจอถึงกับทำให้ชีวิตถึงจุดเปลี่ยนคือหลังจากที่ท่านมรณภาพไปยังนรกถูมิ วิญญาณสาวดวงหนึ่งคือหญิงสาวใช้ในวัดเกิดคับแค้นท่านได้ทูลฟ้องพญายมราชว่า ท่านเป็นผู้ที่ฆ่านาง แต่ที่จริงแล้วท่านมิได้เป็นผู้ฆ่าซึ่งนางกลับถูกสมภารกับหลวงจีนอีกรูปหนึ่งเป็นผู้กระทำ แต่ท่านเข้ามาห้ามปรามแต่มิอาจจะช่วยนางได้ ซึ่งสมภารและหลวงจีนรูปนั้นยังคงมีชีวิตอยู่มิได้หมดอายุขัย พญายมราชจึงปล่อยตัวท่านกลับไป แต่เมื่อดวงวิญญาณท่านออกพ้นจากประตูเมืองผีออกมานั้นกลับพบกับพระภิกษุรูปหนึ่งเดินจูงม้าสีขาวเข้ามาหา และได้บอกแก่ท่านว่า เราคือพระกษิติครรถ์โพธิสัตว์ ที่เจ้ารอดตัวออกมาได้ เมื่อกลับไปยังเมืองมนุษย์แล้วจงอย่าละจากการถือศีล และต้องเลิกคบจากคนชนชั้นสูง ต้องปลีกตนเองเข้าสู้วิเวก จัดสร้างพระพุทธรูปขนาดเท่าคนจริง 7 องค์ หรือถ้าหากไม่มีทุนสร้างจะวาดเป็นภาพแทนก็ได้เช่นกัน เพื่อเป็นการสร้างบุญ ด้วยเหตุนี้เองเป็นการตักเตือนจากพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ทรงชี้แนะให้ท่านสร้างผลบุญนั้นเอง ซึ่งพอท่านกลับมายังโลกมนุษย์ก็ได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ภาพวาดของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์มักจะถูกประดิษฐานในพิธีกงเต็ก
ความเชื่อเกี่ยวกับความตายผ่านตำนานเรื่องเล่าเหล่านี้ส่งผลให้ในพิธีกงเต๊กต้องมีภาพของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ประดิษฐานอยู่ด้วย ซึ่งเพื่อให้ลูกหลานของผู้ที่ล่วงลับได้อธิษฐานถึงพระองค์ทรงเมตตาช่วยเหลือดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ด้วยเชื่อว่าหากดวงวิญญาณได้เข้าเฝ้าพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์แล้วจะไม่ตกนรกภูมิขุมที่ 18 ซึ่งจัดได้ว่าผู้ใดตกนรกขุมนี้จะมิได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีกเลย แถมยังมิได้เกิดในมนุษยภูมิ คือง่ายๆว่าไม่ได้เกิดเป็นคนอีกด้วย แล้วมีคติอีกว่า หากสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระองค์แล้วพระองค์จะทรงช่วยยกโทษบาปกรรมที่ทำไม่ดีมา ถึงกลับมาคำกล่าวว่า
"หลังจากตายไปแล้ว ไม่คาดหวังว่าจะได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่ ขอเพียงแค่ ถ้าหากต้องตกนรก ก็ขอให้ไม่ลำบากก็พอแล้ว" ซึ่งหมายถึงได้รับการช่วยเหลือจากพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์นั้นเอง
ความคิดเห็น