คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : >>> 16
*~Timeless Love~*
...Foolery ...
ภายในห้องสตูดิโอ A ทุ่งดอกไม้ที่ถูกจำลองขึ้นมาจนคล้ายของจริง ไม่ว่าจะเป็นดอกเดซี่ที่พริ้มตามสายลมอ่อนๆ กุหลาบที่งดงามและเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ลาเวนเดอร์ที่ส่งความหอมหวานไปให้หลายคนหลงใหล ลิลลี่สีขาวแสนบริสุทธิ์กลิ่นหอมหวานของหมู่มวลพฤกษาอบอวลไปทั่วห้อง
ภูตดอกไม้ทั้งสี่ต่างอยู่ในจุดของตนเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินเข้ามาด้วยใบหน้าคมที่นิ่งขรึม แต่ละก้าวของชายหนุ่มทำให้หัวใจดวงน้อยกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ ใช่...เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังสั่น
ยุนโฮเดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าหญิงชราคนหนึ่งผู้ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน มือที่เหี่ยวย่นผายไปทางภูตดอกไม้ทั้งสี่ หญิงชราเรียกถามเจ้าชายหนุ่มต่อจากคราวที่แล้ว...
"เจ้าชายได้เวลาที่จะต้องเลือกใครคนใดคนหนึ่งแล้วนะ? เลือกได้รึยังล่ะ ราชินีของอาณาจักรท่านน่ะ..." เสียงแหบพร่าของหญิงชราเรียกให้ชายหนุ่มตอบ
"ข้า...คิดว่า...ข้ารู้แล้วว่า ข้าจะเลือกใคร ขอบคุณท่านมากที่ให้ความกรุณานี้แด่ข้า..." ชายหนุ่มโค้งเป็นการขอบคุณหญิงชราภูตดอกไม้ซึ่งเป็นเจ้าของสวนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้... ในขณะที่หญิงชรายิ้มตอบแล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบแบบเดิมของตนอีกครั้ง
"งั้นเชิญท่านเดินเข้าไปหานาง... คนที่ท่านเลือกแล้วแจ้งความประสงค์ของท่านแด่นางเถิด..." หญิงชราว่าก่อนจะหายตัวไปตามบท
เจ้าชายหนุ่มก้าวเข้าไปหาเหล่าภูตดอกไม้โดยผ่านซองมินที่นั่งอยู่ท่ามกลางดอกเดซี่ด้วยรอยยิ้มสดใสเป็นคนแรก ตามด้วยดงแฮที่ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วง จนในที่สุดเขาก็หยุดยืนตรงหน้าแจจุงและจุนซูท่ามกลางความขาวบริสุทธิ์ของลิลลี่และกุหลาบ
ชายหนุ่มบอกกับตัวเองตามตรงว่าความลังเลได้เข้ามาเยือนจิตใจอีกครั้ง... ทั้งที่ได้ตัดสินใจไว้ก่อนหน้าจะเดินเข้ามาถึงตัวแล้ว แต่พอได้มาหยุดยืนตรงหน้าแจจุงอีกครั้งความรู้สึกบางอย่างมันทำให้เขาต้องนิ่งคิด... แต่ทว่า... สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเปลี่ยนใจไปจากตอนแรกเลย..
มือหนายื่นไปด้านหน้าของตนเองส่งให้ร่างเล็กในชุดขาวบริสุทธิ์ โดยผ่านนัยน์ตาสีนิลของเด็กหนุ่มไปอย่างช้าๆ พร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าจุนซูซึ่งยืนตะลึงด้วยความตื้นตันใจ ร่างเล็กจับมือของชายหนุ่มที่ส่งให้ตนไว้ พลางฉุดให้ชายหนุ่มยืนขึ้น...
"เจ้าจะกรุณาเป็นราชินีของข้าได้หรือไม่...?" เสียงทุ้มอ่อนโยนแต่คำพูดทิ่มแทงใจ ใครคนหนึ่งผู้ที่ไม่รู้เลยว่าตนเองควรจะทำสีหน้าอย่างไรดี...
"ด้วยความยินดี เพค่ะเจ้าชาย..." เสียงหวานใสตอบรับพร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า...รอยยิ้มของผู้ชนะที่ถูกส่งไปให้แจจุง
ในขณะที่ดวงหน้าสวยกลับไม่ได้แสดงซึ่งอาการของความผิดหวังหรือความรู้สึกใดๆ นัยน์ตาสีรัตติกาลคู่สวยมีเพียงความว่างเปล่าที่เพื่อนสนิทและบอดี้การ์ดหนุ่มสัมผัสได้... ริมฝีปากสีแดงสดแบบเดียวกับกลีบกุหลายแย้มยิ้มบาง...บางเสียจนไม่คิดว่ายิ้มอยู่ด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังงดงามหาใดเปรียบได้...
เสียงผู้กำกับสั่งคัทเมื่อได้ภาพโฆษณาที่ออกมาสวยสมใจ ทุกคนต่างพากันเดินออกมาจากฉาก พร้อมกับเสียงขอบคุณสต๊าฟ แม้จะมีเสียงถอนหายใจของเหล่าทีมงานบางคนที่ออกจะเสียดายกับการเลือกของยุนโฮครั้งนี้อยู่เหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่นั้นอยากจะให้ชายหนุ่มเลือกลูเซียอยู่มากทีเดียว แต่เมื่อผลที่ออกมาเป็นจุนซูก็ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้กับทีมงานมากนัก...ในเมื่อเป็นคนรักกัน ถ้าไม่เลือกจุนซูแล้วยุนโฮจะเลือกใครล่ะ?
เพราะความอลหม่านหลังจากการถ่ายทำเสร็จสิ้นลง จึงไม่มีใครสังเกตเลยว่าร่างบางของใครคนหนึ่งหายตัวไปจากห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้... โดยมีฮันกยองกับยูชอนตามไปด้วยในขณะที่ชางมินยืนอยู่กับที่พลางมองจุนซูด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ คำพูดที่ร่างเพรียวเปล่งออกมาเรียกความสนใจของใครหลายๆคนให้หันมาสนใจ
"ฮึ
ปีศาจที่ติดปีกนางฟ้าอันบริสุทธิ์งดงาม แต่จิตใจข้างในกลับสกปรกโสมมทำร้ายคนอื่นได้อย่างเลือดเย็น ระวังเถอะสักวันสีของปีกนั้นมันก็จะหลุดออก ความจริงก็คือความจริง ปีศาจก็ยังคงเป็นปีศาจอยู่วันยังค่ำ ไม่มีทางเป็นนางฟ้าได้หรอก..." คำพูดถากถางสุดเจ็บแสบที่เอ่ยมาจากชางมินด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
"คุณชางมินพูดถึงใครเหรอครับ?" ทีมงานคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆถามขึ้นด้วยความสงสัย...
"อ๋อเปล่า...ไม่ได้หมายถึงใครเป็นพิเศษหรอก" ถึงปากจะพูดไปแบบนั้น แต่สายตาของชางมินนั้นจ้องอยู่ที่จุนซูตลอดเวลา และดูเหมือนว่าร่างเล็กก็รู้ตัวดี ถึงได้มีท่าทีลุกลี้ลุกลนจนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆรู้สึกได้
"จุนซูเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่าครับ?" ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง พลางก้มลงใช้หน้าผากตัวเองแตะกับหน้าผากของจุนซู แก้มเนียนใสแดงเรื่อด้วยความอายเพราะอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย...
"อุ่นๆนี่นา...รีบกลับไปพักกันดีกว่านะครับ งั้นพวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับ..." ยุนโฮกับจุนซูก้มตัวลงขอบคุณทีมงานอีกครั้งแล้วออกจากห้องไปด้วยกัน ชางมินมองตามหลังสองคนนั้นไปจนลับสายตา...
ปลายฤดูหนาวอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มผลิยอดจากที่เคยแห้งด้วยอุณหภูมิติดลบของอากาศ ใบไม้สีเขียวเล็กที่โผล่ออกมาเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ ถึงจะใกล้เข้าฤดูใบไม้ผลิมากเพียงให้ แต่อากาศก็ยังคงไม่อบอุ่นพอที่จะให้ผู้คนออกมาตากลมเย็นๆโดยไม่ใส่เสื้อกันหนาวแบบนี้...
เหนือขึ้นไปจากพื้นดินบนตึกสูงชั้นดาดฟ้า เด็กหนุ่มในชุดสีขาวบริสุทธิ์ยืนอยู่เพียงลำพังสายลมอ่อนๆที่พกพาความเย็นมาด้วยพัดอยู่เรื่อยๆจนปอยผมสีดำพลิ้วตามแรงลม ริมฝีปากสีสดซีดลงเพราะความเย็นของอากาศ ใบหน้าสวยหวายยามนี้ดูหม่นหมองยิ่งนัก แก้มขาวเนียนเต็มไปด้วยรอยน้ำตาที่ไหลเป็นทาง...
คำพูดที่เคยพูดเอาไว้ เขาทำไม่ได้สักอย่าง... ที่บอกจุนซูไว้ว่าจะแย่งยุนโฮคืนมา... ในความเป็นจริงนั้น เขาทำไม่ได้หรอก ในเมื่อถ้าเขาทำอย่างนั้นยุนโฮก็อาจจะต้องเสียใจ... คิมแจจุงทำอย่างนั้นไม่ได้... เด็กหนุ่มทำได้ทุกอย่างยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือการทำร้ายความรู้สึกของคนรัก...
เขาก็เป็นแค่คนอ่อนแอคนหนึ่ง ยังเป็นแจจุงคนเดิมเหมือนเมื่อห้าปีก่อนอย่างที่ยูชอนบอก... เวลาไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนไป ความเข้มแข็งที่แสดงอออกไปเป็นเพียงเกราะกำบังความเจ็บปวดเท่านั้น... สิ่งที่เปลี่ยนไปคงมีแค่ร่างกายที่สกปรกโสโครกเสียจนแม้แต่ตัวเองยังรังเกียจ...
...ถ้ายุนโฮรักจุนซูจริงมันก็ดี...
...ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...
...เขาก็พร้อมจะหลีกทางให้เหมือนที่เคยบอกกับยูชอนไว้...
...ยุนโฮจะได้มีความสุข กับคนที่เขา ' รัก '
เด็กหนุ่มบอกกับตัวเอง และคอยตอกย้ำด้วยภาพเหตุการณ์เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ชายหนุ่มที่เป็นดังชีวิต...เป็นยิ่งกว่าลมหายใจ...คุกเข่าลงต่อหน้าจุนซู... รอยยิ้มของผู้ชนะมันทำให้เขาเจ็บจนบรรยายออกมาเป็นความรู้สึกไม่ได้... พยายามบอกตัวเองว่าต้องทำให้ได้ต้องลืมให้ได้..แต่ทำได้เหรอ?...
ถ้าอย่างนั้นห้าปีที่ผ่านมา...เขาจะอดทนไปเพื่ออะไร? เพื่อจะได้กลับมาหายุนโฮ... กลับมาหาทุกคนอีกครั้งไม่ใช่เหรอ? แต่ในเมื่อยุนโฮเปลี่ยนไปอย่างนี้มันยังจะมีค่าอะไรอีกล่ะที่เขาจะมีชีวิตอยู่บนโลกที่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างขนาดนี้... ความอัดอั้นในจิตใจถูกถ่ายทอดผ่านหยาดน้ำตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล ดวงตาคู่สวยแดงช้ำ....
"ฮึๆ...ฮึ...ฮึก...สุดท้าย...ฉันก็เป็นได้แค่นางฟ้าที่ถูกลืม..." เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะกับตัวเอง ก่อนทรุดตัวลงไปนั่งอย่างอ่อนแรงเอนแผ่นหลังบางพิงระเบียงเหล็กที่กั้นไว้ นัยน์ตาสีนิลพยายามกระพริบตาไล่น้ำใสที่บดบังแสงสว่าง แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้ดวงตาพร่ามัวมากกว่าเดิม สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ทำได้แค่ซุกดวงหน้าสวยลงกับชุดกระโปรงสีขาว
ฮาๆๆๆ แย่จังเลย
ทำไมฉันถึงได้เข้าใจอะไรยากอย่างนี้นะ
ทั้งที่มันก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆ
ก็แค่นายกับเขารักกันมันก็แค่นั้น
แต่ที่ฉันไม่เข้าใจคงเป็นเพราะว่า...ฉันเป็นคนโง่...
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้แจจุงเงยหน้าขึ้นมองลอดผ่านหยาดน้ำ ชายหนุ่มสองคนใกล้เข้ามา คนหนึ่งคือเพื่อนสนิทของเขาเอง ส่วนอีกคนคือคนที่รักแจจุงยิ่งกว่าใคร... หยดเหงื่อเล็กๆพราวเต็มหน้าสองหนุ่มและเสียงหอบเบาๆ ที่บ่งบอกได้ถึงอาการเหนื่อยจากการวิ่งตามหาเขา...
"ขอ...ฮึก...โทษนะ พวกนาย...ฮึก...หาฉัน....ฮึก...อยู่เหรอ? " ไม่มีคำต่อว่าหรือคำพูดใดๆหลุดออกมาจากสองหนุ่ม ยูชอนประคองใบหน้าเพื่อนรักและใช้นิ้วเกลี่ยที่คราบน้ำตาบนแก้มขาว แต่ดวงตาที่เปี่ยมน้ำนั้นคล้ายไม่มีวันแห้งเหือด วงแขนแกร่งโอบแจจุงซุกลงกับไหล่กว้างอย่างอ่อนโยนการที่ทั้งสองคนไม่พูดอะไรมันยิ่งทำให้ร่างบางรู้สึกอ่อนแอ ไหล่ขาวเริ่มสั่นไหวมากขึ้นเรื่อยๆ
บนดาดฟ้ายามนี้มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นของร่างและเสียงสายลมที่พัดผ่านใบหูไปเท่านั้น ฮันกยองมองยูชอนที่โอบกอดเจ้านายของตัวเองอย่างนั้นด้วยความเจ็บปวด... ความจริงเขาอยากให้คนที่อยู่ตรงนั้นเป็นเขา... อยากให้แจจุงเลิกรักยุนโฮ... อยากให้เด็กหนุ่มหันมาสนใจเขาบ้าง...
แต่ที่ฮันกยองไม่ทำ ไม่ใช่เพราะทำไม่ได้ แต่ไม่อยากทำเสียมากกว่า เขาอยู่คอยดูแลแจจุงมาตลอดเกือบสองเดือน ชายหนุ่มย่อมรู้ดีว่าแจจุงเป็นอย่างไร หัวใจดวงน้อยที่บาดเจ็บนั้น... ต้องเก็บอะไรไว้มากมายแค่ไหน... ชายหนุ่มก็รู้ จนเขาอดรู้สึกอิจฉายุนโฮไม่ได้... คนที่มีทุกอย่างที่เขาอยากได้ แต่ไม่เห็นค่าของมัน... กลับเหยียบย่ำจิตใจของร่างบางที่อ่อนแอให้บอบช้ำยิ่งขึ้นไปอีก... ถ้าเป็นเขาจะไม่ทำให้แจจุงต้องเจ็บปวดแบบนี้...
แต่ชายหนุ่มก็รู้ตัวดีว่าตนนั้นอยู่ในฐานะอะไร...?
เขาเป็นใคร...?
แจจุงเป็นใคร...?
สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงคอยเฝ้ามองร่างบาง... ขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆ ได้มองเห็นแจจุงในสายตาตลอดเวลาเท่านั้นก็พอแล้ว... เสียงสะอื้นค่อยๆแผ่วเบาลง ยูชอนเห็นว่าบนดาดฟ้าที่อยู่ตอนนี้ลมแรงและเย็น กลัวว่าแจจุงนั้นจะไม่สบายไปเสียก่อน จึงขอให้แจจุงกลับเข้าไปในตัวตึกที่อบอุ่นมากกว่าด้านนอกนี้หลายเท่านัก...
"แจจุงเข้าข้างในเถอะนะ..." ชายหนุ่มว่าพลางประคองร่างบางให้ลุกขึ้นตาม แต่พอกำลังเริ่มจะก้าวเดินไป ร่างทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงเหมือนลอยคว้างในอากาศก่อนจะตกลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ยังดีที่วงแขนแกร่งทั้งยื่นมารับได้ทัน
"แจจุง!!!!" เสียงเรียกอย่างตื่นตกใจของชายหนุ่มเรียกสติร่างบางขึ้นมา แต่หัวใจที่เจ็บจิ๊ดขึ้นมาเรียกให้ร่างบางนิ่วหน้าลง ยูชอนเห็นอย่างนั้นก็ไม่รอช้า...
"ไปโรงพยาบาลเถอะแจจุง!~" ร่างบางพยายามส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ยูชอนไม่ยอมทำตามคำขอของร่างบาง เขายอมทำตามใจแจจุงนานพอแล้ว ยูชอนช้อนตัวเด็กหนุ่มขึ้นมาไว้ก่อนจะอุ้มตามฮันกยองที่ล่วงหน้าไปเอารถมารอรับอย่างรู้หน้าที่...
ณ โรงพยาบาลกลาง กรุงโซล
ร่างสูงเพรียวก้าวเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยความร้อนรน แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังคงรักษาความมีมารยาทโดยการไม่วิ่งเพราะความร้อนใจ ชางมินพยายามทำใจเย็นก่อนจะมายืนอยู่หน้าห้องผู้ป่วยห้องหนึ่งที่ป้ายสีขาวๆถูกเขียดด้วยลายมือเรียบร้อยว่า...
= = = = = = = = = = = = = = =
ห้อง 261 คิมแจจุง
แพทย์เจ้าของไข้ คิมจองฮุน
= = = = = = = = = = = = = = =
ชางมินผลักประตูเปิดเบาเพราะกลัวคนข้างในจะตื่น... แสงแดดอ่อนๆผ่านกระจกริมระเบียงเข้ามาฉายให้เห็นใบหน้าสวยของเพื่อนรักที่หลับสนิท... ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะถึงแม้ใบหน้านั้นออกจะซีดไปเสียหน่อยก็ตาม... ชางมินหันมาหาชายหนุ่มสองคนที่ทำตัวเงียบราวกับไม่มีพวกเขาอยู่ในห้อง...
ตอนแรกชางมินนั้นคิดว่าแจจุงคงไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่สีหน้าของฮันกยองและยูชอนที่แปลกไปมันทำให้ร่างเพรียวรู้ว่ามันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด เด็กหนุ่มไม่รอช้าลากยูชอนออกมาที่นอกห้องปล่อยให้ฮันกยองนั่งเฝ้าเจ้านายของตนอยู่อย่างนั้น ก่อนจะบังคับให้ยูชอนที่เด็กหนุ่มพึ่งสังเกตว่าตาของร่างสูงนั้นเหมือนบวมแดงจากการร้องไห้เล่าเรื่องทั้งหมด...
เวลาที่ดำเนินไปไม่ถึง 10 นาที แต่กลับทำให้ชางมินมีสภาพไม่ต่างกับยูชอนนัก ร่างเพรียวทรุดตัวลงกับม้านั่งหน้าห้องพักคนไข้... หยดน้ำกลิ้งออกมาจากนัยน์ตาของชางมิน... เด็กหนุ่มยกเอามือปิดปากตนเองเพื่อไม่ให้มีเสียงร้องไห้ลอดออกมา... ความเป็นจริงบีบบังคับความรู้สึกจนแทบทนไม่ได้ สงสารเหลือเกิน แจจุงเมื่อไหร่... เมื่อไหร่ที่ท้องฟ้าจะสดใสไปตลอด
ไม่มีเงามืดมาค่อยไล่ให้ท้องฟ้าต้องเจ็บปวดอีก...
ร่างเพรียวปาดน้ำตาออกเพราะได้ยินเสียงในห้องของแจจุงดังขึ้นมา พลางชวนร่างสูงให้เข้าไปด้วยกัน ยูชอนขอร้องให้ชางมินไม่บอกเรื่องนี้กับแจจุง ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ว่าควรจะบอกดีหรือไม่... เพราะความจริงมันทำให้เขาทนไม่ได้ และตัวชางมินก็ยังไม่อยากบอกแจจุงเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอก แต่พูดไม่ได้ แค่เริ่มจะพูดน้ำตาก็จะพาลไหลอยู่แล้ว...
ยูชอนเปิดประตูเบาๆ พร้อมกับชางมินที่ตามเข้ามา พอเห็นคนบนเตียงฟื้นขึ้นมาเท่านั้นแหละ ร่างเพรียวก้พุ่งเข้าไปข้างเตียงทันที พร้อมกับยิงคำถามใส่ไม่รอให้ร่างบางนั้นได้พูดอะไรเลย
“แจจุง!!~ ฉันบอกนายแล้วใช่มั้ยว่าถ้าไม่สบายก็ไม่ต้องทำก็ได้งานอย่างนี้น่ะ... ดูแลตัวเองบ้างสิ
ฉันเป็นห่วงนายนะ... ” เสียงหวานสั่นเครือต่อว่า
“ขอโทษ...” แล้วเสียงประตูที่เปิดออกมาก็ทำให้แจจุงต้องหยุดไว้แค่นั้น...
แอ๊ดดดด...
“สวัสดีครับ... คุณคิมแจจุง ผมชื่อคิมจองฮุน.... ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ...” ชายหนุ่มหน้าตาดี เรือนผมสีส้มจางๆไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นหมอนัก ร่างบางยิ้มตอบชายหนุ่มผู้เป็นหมอเจ้าของไข้เขา...
แล้วจองฮุนก็เริ่มตรวจร่างกายแจจุงจนเสร็จเรียบร้อย เขาไม่รู้เลยว่าคนๆนี้ทนได้อย่างไรมาตลอดห้าปี ซึ่งความเป็นจริงไม่มีใครน่าจะทำได้... ในชีวิตหมอตลอดสิบปี เขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้ลยจริงๆ ไม่อยากคิดเลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาไหล่บางนั่นต้องแบกรับความเจ็บปวดไว้มากแค่ไหน ปกติแล้วคนไข้ที่มีอาการหนักอย่างนี้เขาจะต้องบอกให้คนไข้เตรียมตัวทำใจว้บ้าง แต่เพราะฮันกยองขอร้องไว้เขาถึงไม่ยอมเล่าอาการของเด็กหนุ่มให้เจ้าตัวฟัง...
“น้ำตาลในเลือดคุณต่ำมาก... ถ้าให้ผมเดาบางทีตอนกลางคืนคุณคงนอนไม่หลับสินะครับ?” จองฮุนถามในขณะที่เด็กหนุ่มพยักหน้าให้เบาๆ ชายหนุ่มพยักหน้าเชิงเข้าใจ ทั้งที่คนอื่นๆมีสีหน้างงงันกัน
“ ทุกอย่างปกติดีนะครับ หมอจะอนุญาตให้กลับบ้านเลยได้แต่ต้องมาตรวจทุกอาทิตย์นะครับ ต่อไปก็รักษาสุขภาพตัวเองให้ดี ทานอาหารให้ครบหมู่แล้วก็นอนหลับให้เพียงพอด้วยนะครับ... จะได้ไม่เป็นแบบนี้อีก...” เสียงทุ้มเรียบเอ่ยแกมบังคับคนไข้ของตน แต่ร่างบางกลับส่ายหน้า พลางพูดสิ่งที่ทำให้ทุกคนในห้องต้องตกตะลึงไปตามๆกัน
“หมอครับ... ไม่เป็นไรหรอกอย่าโกหกผมเลย... บอกผมเถอะว่าผมจะอยู่ได้นานสักเท่าไหร่...” น้ำเสียงหวานถามอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องปิดบังอีกแล้ว ในเมื่อทุกคนรู้แล้วว่าตัวเขาเป็นอะไร เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะยังหายใจได้อีกนานแค่ไหน...
[เช้าวันต่อมา]
แสงอาทิตย์อ่อนสาดส่องมายังโลก ผ่านกระจกบานใหญ่เข้ามาให้แสงสว่างแก่ห้อง... สัญลักษณ์ของการเริ่มต้นสิ่งใหม่ แต่ไม่รู้ทำไมเด็กหนุ่มถึงได้รู้สึกว่าแสงอาทิตย์วันนี้มันดูหมองเศร้าเสียเหลือเกิน บางทีดวงอาทิตย์อาจจะสมเพชในการกระทำโง่ๆของเขาก็ได้... แจจุงยิ้มหัวเราะเยาะตัวเอง...
เด็กหนุ่มมารอใครบางคนที่บริษัทตั้งแต่เช้า... เวลาเดินผ่านไปอย่างช้าๆจนใครคนนั้นที่แจจุงต้องการพบก็มา แถมมาคนเดียวอย่างที่เขาต้องการพอดี
“จุนซู...” เสียงหวานเอ่ยเรียกร่างเล็กที่หันมามองพลางทำหน้าไม่สบอารมณ์
“แจจุง...”
“ฉันมีเรื่องอยากขอร้องไปด้วยกันหน่อยได้มั้ย?” แล้วแจจุงก็เดินหลบเหล่าพนักงานของบริษัทมาที่มุมบันไดหนีไฟซึ่งไม่มีคนพลุกพล่าน ความจริงแล้วจุนซูไม่อยากจะเดินตามไปสักนิด แต่ความรู้สึกผิดที่ก่อตัวขึ้นมาในใจอย่างเงียบๆทำให้เขาต้องยอมตามไปแต่โดยดี
“นาย...มีอะไร?”
“ฉันมาขอร้องนาย... ขอให้ยุนโฮไปอยู่กับฉันได้มั้ย? แค่เดือนเดียวเท่านั้น...ฉันขอร้องล่ะจุนซู...”
“นายจะทำอะไรกันแน่แจจุง???” ดูเหมือนร่างเล็กจะไม่เข้าใจสิ่งที่แจจุงต้องการนัก
“ได้โปรดจุนซู แค่เดือนเดียวเท่านั้น แล้วฉันสัญญาว่าฉันจะไม่มาให้พวกนายเห็นหน้าอีก...”
“แล้วบริษัทล่ะ...” ร่างเล็กลองหยั่งเชิงดู แต่เสียงหวานก็รีบตอบในทันที เพราะที่เขายอมรับทำงานนี้ก็เพื่อช่วยซีวอนเท่านั้นเอง...
“ฉันจะลาออก!”
“แจจุง!!?”
“ฉันรับรองว่าจะไม่ผิดสัญญาเด็ดขาด นายก็รู้ว่าฉันไม่เคยโกหก...” นัยน์ตาสีนิลเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่มองไม่เห็น จุนซูพูดอะไรไม่ออกไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ในขณะที่เสียงหวานเร่งเร้าให้จุนซูรีบตอบ
“แล้วก็จะได้เป็นการพิสูจน์ด้วยว่าเขารักนายจริงรึเปล่า...ว่าไงจุนซู...” เหมือนแจจุงจะจับความรู้สึกของจุนซูได้ จนถึงตอนนี้แล้วจุนซูยังไม่เคยมั่นใจได้เต็มร้อยสักครั้งว่ายุนโฮนั้นรักตนเองจริงๆ เมื่อวานตอนที่แจจุงไม่ได้อยู่ในห้อง ร่างเล็กรู้สึกเหมือนชายหนุ่มมองหาอะไรบางอย่าง แต่ก็พยายามคิดว่าคนที่ชายหนุ่มมองหานั้นจะไม่ใช่แจจุง...
“กะ...ก็ได้... แต่ถ้ายุนโฮไม่ไป นั่นก็ไม่เกี่ยวกับฉันนะ
” ร่างเล็กอ้อมแอ้มตอบอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก้อนหินแห่งความรู้สึกผิดกำลังถ่วงให้เขาตอบอย่างเสียไม่ได้...
“ขอบใจนะ...แค่นั้นแหละที่ฉันต้องการ แค่นายยอมก็พอแล้ว...” เสียงหวานว่าก่อนจะเดินไปจากไป... ทิ้งจุนซูไว้กับความไม่เข้าใจอย่างเงียบๆ
และแล้วเย็นวันนั้นเด็กหนุ่มก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าจุนซูและยุนโฮที่กำลังจะกลับไปที่คอนโดอีกครั้ง เสียงหวานรีบเอ่ยเรื่องของตัวเองก่อนที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยปากอะไร...
“ยุนโฮ...ฉันรู้ว่านายไม่อยากเห็นหน้าฉันนักหรอก...แต่ฉันมีเรื่องจะขอร้อง...”
“รู้ตัวก็ดีนี่ มีอะไรก็ว่ามาเร็วๆ ฉันไม่อยากทนมองหน้านายนานนัก...” คำพูดที่ทิ่มแทงใจให้เจ็บแปลบขึ้นมา เด็กหนุ่มพยายามไม่ใส่ใจก่อนจะพูดสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่รีรออะไร...
“นายช่วยอยู่กับฉัน แค่เพียงเดือนเดียวเท่านั้น ทำตัวปกติเหมือนตอนที่เรายังคบกัน... แล้วหลังจากนั้นฉันจะไม่มาให้นายเห็นหน้าอีกเลย...”
“จำเป็นด้วยเหรอ?”
“ถ้างั้น...ฉันจะอยู่ขัดขวางนายแบบนี้ไปตลอดนะ” เพราะความเป็นห่วงร่างเล็กที่อยู่ข้างๆหรืออะไรก็ตาม มันทำให้ชายหนุ่มต้องนิ่งคิดไปเป็นเวลานาน... ในขณะที่จุนซูแอบภาวนาในใจให้ชายหนุ่มปฏิเสธ...
“ฉันต้องถามจุนซูก่อน...” สุดท้ายชายหนุ่มก็ถอนหายใจพร้อมเอ่ยคำพูดที่แจจุงเดาได้อยู่แล้วว่ายุนโฮต้องพูดแบบนี้ ถึงได้ไปขอร้องจุนซูก่อนไงล่ะ... แต่เพราะคำตอบของยุนโฮทำเอาจุนซูหน้าเจื่อนไปในทันทีทันใด
“จุนซูให้นายไปแน่นอน...ไม่เชื่อก็ลองถามเขาดู”
“จุนซู...?” ชายหนุ่มหันไปเรียกชื่อคนข้างๆเป็นเชิงถามอย่างไม่แน่ใจ
“ไปเถอะ... ฉันรู้ว่า...นายจะไม่เปลี่ยนใจแน่นอน เพราะฉะนั้นไปเถอะ แล้วรีบกลับมานะ”
“อ่ะ...อืม...” แม้ชายหนุ่มจะยังไม่เข้าใจแต่ก็ยินดีจะทำตามคำขอของร่างเล็ก ขณะนั้นก็มีเสียงเรียกของทีมงานเรียกให้จุนซูไปหาจนร่างเล็กต้องจำใจทิ้งให้ยุนโฮอยู่กับแจจุงเพียงลำพัง...
“พรุ่งนี้ฮันกยองจะไปรับนายที่คอนโดตอนเช้าอย่าผิดนัดล่ะ...” เสียงหวานเอ่ยสั่งชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะทำตัวเย็นชายิ่งกว่าตอนมีจุนซูอยู่ด้วยซะอีก...
“ไม่จำเป็น ฉันไปเองได้...”
“ก็ดี งั้นพรุ่งนี้เราเจอกัน...” แจจุงทำเป็นไม่สนใจน้ำเสียงเย็นชาของยุนโฮพลางหันหลังให้แล้วเดินจากไป แต่คำถามของชายหนุ่มกลับเรียกให้เขาต้องชะงัก ไม่ใช่เพราะคำถามแต่น้ำเสียงนั่นต่างหากล่ะที่ทำให้แจจุงก้าวขาไม่ออก...
“นายมีแผนอะไรอีกหรือเปล่าเนี่ย?” น้ำเสียงทุ้มฟังดูยังไงก็รู้ว่าไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อใจและดูหมิ่นเขามากเพียงใด แจจุงกัดฟันกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ประคองเสียงของตัวเองถามชายหนุ่มกลับ...
“ไม่รู้สิ~ นี่!ทำไมเดี๋ยวนี้ฉันถึงเป็นคนเลวในสายตานายนักนะ...” เด็กหนุ่มหันกลับมาถามยุนโฮด้วยน้ำเสียงเรียบๆที่แม้จะซ่อนความเจ็บปวดไว้ไม่มิด... ทว่าชายหนุ่มก็หาได้รู้สึกถึงมันไม่ กำแพงที่เจ้าตัวก่อขึ้นมาปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองมันสูงและหนาเกินกว่าความเจ็บปวดของร่างบางจะทำลายมันได้...
นั่นสิ...ในเมื่อเสียงหัวใจตัวเองยังไม่รู้
แล้ว...ความเจ็บปวดจากนัยน์ตาสีนิลที่มองไม่เห็นนั้นจะไปรู้สึกได้อย่างไร...
To Be Con...
ครบ 100 แล้ว
โฮร้องด้วยความเศร้า...
อ่า...ป๊าฉันทำไมโง่อย่างนี้หนอ?
ปล.ชอบชื่อตอนนี้มากๆเลย (Foolery = การกระทำโง่ๆ)
ตอนนี้เป็นตอนที่เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องซึ่งเป็นตอนที่เราชอบที่สุด
เพราะฉะนั้นเราออกจะพิถีพิถันกับตอนนี้มากเป็นพิเศษ
ถึงได้ช้าไง อย่าว่ากันน้า~ ^^
ปล2.ลองเดากันดูนะว่าการกระทำโง่ๆที่ว่านี่คืออะไร
ใครตอบถูกเราก็ไม่มีอะไรให้หรอก 55+
- - + +-b g-น่า รัก
ความคิดเห็น