ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Encyclopedia Earth

    ลำดับตอนที่ #144 : สงครามเย็นคืออะไร ? (4- การปะทะกันระหว่างสหรัฐ ฯ และสหภาพโซเวียต)

    • อัปเดตล่าสุด 17 ต.ค. 52


    สงครามเย็นคืออะไร ? (4- การปะทะกันระหว่างสหรัฐ ฯ และสหภาพโซเวียตกับการสูญพันธุ์ของมนุษยชาติ)

    คุณจะไม่มีทางเชื่อได้เลยว่าเราเข้าใกล้ (ความหายนะ) แค่ไหน ?
    Tagline จากหนังเรื่อง 13 days


    ปฏิบัติ Bay of Pigs และ Cuban project ย่อมสร้างความวิตกให้กับแก่ Fidel Castro และ Nikita Khrushchev ลูกพี่ใหญ่อย่างมาก เพราะไม่รู้ว่า John F.Kennedy จะงัดเอา ปฏิบัติการไหนมาอีก สาเหตุที่ครุซชอฟถึงวิตกไปด้วย เพราะเขามีความต้องการอย่างยิ่งยวดในการทำให้ คิวบาเป็นพื้นที่ทางจุดยุทธศาสตร์ทหาร ตอบโต้กับสหรัฐ ฯ เพราะในปี 1961 สหรัฐ ฯ นำหัวรบนิวเคลียร์ระยะยิงพิสัยกลาง (Jupiter IRBM) มาประจำในตรุกี เพื่อเป็นการข่มขวัญโซเวียตเพราะ มันสามารถทำลายพื้นที่ด้านตะวัน ตกของโซเวียตได้อย่างง่ายดาย หากวัดความสามารถกันแล้วขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ของสหรัฐ ฯมีประสิทธิ ภาพเหนือกว่าโซเวียตหลายเท่าตัว แต่ถ้าโซเวียตเอาหัวรบนิวเคลียร์ไปติดตั้งที่คิวบาซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งของสหรัฐแค่ 90 ไมล์ สมดุลทางการเมืองและการทหารระหว่างสองประเทศก็จะเกิดขึ้น

    ปลายเดือนสิงหาคมปี 1962เครื่องบิน u-2 ซึ่งเป็นเครื่องบินลาดตะเวนของกองทัพอากาศสหรัฐ ฯ ได้ถ่ายรูปการก่อสร้างฐานยิงจรวจ SAM ซึ่งเป็นจรวดต่อต้านเครื่องบินในเกาะคิวบา แต่ประธานาธิบดีเคนนาดี้แถลงต่อรัฐสภาว่าไม่มีการสร้างฐานทัพในคิวบา เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น ? อาจเพราะปลายเดือนกรกฎาคม John McCone ผู้อำนวยการCIA ได้เตือนเคนนาดี้ว่ามีเรือขนาดใหญ่ของโซเวียตจำนวนกว่าหกสิบลำมุ่งหน้ามายังเกาะคิวบาและอาจจะมีการขนย้ายหัวรบนิวเคลียร์มาด้วย แต่เมื่อบรรดาหัวกระทิเช่น Robert Kennedy (น้องชายของเคนนาดี้ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมและเป็นที่ปรึกษาที่เคนนาดี้ไว้ใจที่สุด ) Robert MacNamara (รัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม)และ Dean Rusk (รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ คนนี้ ท่านถนัด คอมันต์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของไทย รู้จักดี) ได้มาประชุมพร้อมกับประธานาธิบดีแล้วก็ได้ข้อสรุปว่าโซเวียตคงไม่บ้าที่จะทำเช่นนั้น แถมทูตของโซเวียตก็ย้ำอยู่บ่อยครั้งว่า โซเวียตไม่สนใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว

    (ภาพประกอบ)



    แต่แล้วเครื่องบินลำเดิมก็ได้แสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นของพื้นที่แถวเกาะคิวบาว่าฐานทัพกำลังถูกสร้างเพิ่มขึ้นแถมอาวุธก็ยังร้ายแรงกว่าเดิมหลังขึ้น แสดงว่าโซเวียตกำลัง double standard (หน้าไหว้ หลังหลอก) ในวันที่ 22 ตุลาคม ประธานาธิบดีเคนนาดี้ออกรายการโทรทัศน์ ต่อหน้าคนอเมริกันทั่วประเทศถึงความเป็นจริงหลังจากเก็บงำเป็นความลับอยู่หลายวันและแถลงเจตนารมณ์ว่า การโจมตีจากหัวรบนิวเคลียร์ของคิวบาก็เท่ากับการโจมตีจากโซเวียต และสหรัฐ ฯ พร้อมจะตอบโต้ในทุกวิถีทาง

    ที่ปรึกษาความมั่นคงของประธานาธิบดีได้ประชุมกันอย่างเคร่งเครียดพร้อมกับยกทางเลือกขึ้นมามากมายไม่ว่าจะเป็นการเจรจาทางการทูต ,การร้องเรียนสหประชาชาติหรือการโจมตีทางอากาศแต่ที่ประชุมได้ทิ้งแนวคิดเหล่านี้ทั้งหมด พวกเหยี่ยว (พวกบู๊) เช่นนายพล Curtis LeMay ผู้บังคับบัญชากองทัพอากาศเสนอให้มีการใช้กำลังทางทหารอย่างเต็มพิกัดโจมตีเกาะคิวบา ชะรอยพวกนกเขา (พวกบุ๋น) คงจะโหวตชนะเลยไม่ทำเช่นนั้น ในภายหลังมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าหน่วยข่าวกรอง ของสหรัฐ ฯประเมินกำลังทหารในคิวบาต่ำกว่าความเป็นจริง ดังนั้นหากสหรัฐ ฯโจมตีคิวบา คงต้องแหลกกันไปข้างและทั้งสองฝ่ายคงใช้นิวเคลียร์ยิงเข้าหากัน สุดท้าย เคนนาดี้ใช้กลยุทธการปิดกั้นไม่ให้ เรือของโซเวียตขนอาวุธเข้าไปในคิวบาได้อีก ภาษาอังกฤษของการปิดกั้นในครั้งนี้ก็คือ Quarantine (กักกันโรค) ไม่ใช่ Blockade เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาจากกฏหมายนานาชาติ เพราะคำว่า blockade เป็นศัพท์ที่ใช้สำหรับสงคราม แต่สหรัฐ ฯยังไม่ได้ประกาศสงครามกับคิวบาเลย

    (ภาพประกอบทางอากาศที่เครื่องบินสหรัฐ ฯ ถ่ายมาได้)





    วันที่ 23 ตุลาคม คนก่อเรื่องคือ ครุซชอฟได้ส่งจดหมายไปหาเคนนาดี้ว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจจะก่อสงคราม แต่แล้วก็มีจดหมายถึงเคนนาดี้อีก ฉบับแรกบอกว่าหากสหรัฐ ฯสัญญาว่าจะไม่บุกคิวบา โซเวียตก็จะถอนอาวุธออกไป และอีกสองวันทางการโซเวียตก็ออกอากาศทางวิทยุเพิ่มเงื่อนไขให้สหรัฐ ฯถอนอาวุธ ออกจากตุรกีอีกด้วย แต่แล้วเหตุการณ์ก็ถึงขั้นทำลายเส้นประสาทของชาวโลกเมื่อวันที่ 27 ตุลาคมเครื่องบินU-2 ของสหรัฐ ฯ แถมเรือของโซเวียตยังแล่นไปใกล้แถวแนวปิดกั้นบ่อยมากราวกับจะยั่วยุ ในที่สุดเคนนาดี้ได้ออกโทรทัศน์ประกาศยอมรับเงื่อนไขของโซเวียตในข้อแรก และให้โรเบิร์ตน้องชายไปเจรจากับทูตของโซเวียตเพื่อยอมรับเงื่อนไขข้อที่สอง วันที่ 28 ตุลาคม ครุซชอฟสั่งให้เรือโซเวียตหันหลังกลับประเทศและประกาศเคลื่อนย้าย อาวุธทั้งหมดออกจากคิวบา และวันที่ 20 พฤศจิกายน เคนนาดี้ก็สั่งยุติการปิดกั้น รวมวันแห่งความน่าสยดสยองสำหรับชาวโลกได้ 13 วัน (นับตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม ที่เครื่องบินสหรัฐ ฯได้ภาพเด็ดจากเกาะคิวบามา)

    เหตุการณ์ครั้งนี้อาจถือว่ามนุษยชาติหวุดหวิดจะถึงขั้นสูญพันธ์เพราะถ้าสหรัฐ ฯกับสหภาพโซเวียตยิงนิวเคลียร์ใส่กัน ในชั่วโมงแรกคนอเมริกันคงล้มตายเป็นล้าน ๆ ประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ในค่าย NATO (กลุ่มของประเทศเสรีนิยม) และ Warsaw (กลุ่มของประเทศคอมมิวนิสต์) ก็คงจะโดนด้วย ประเทศทางอเมริกาใต้ เอเชียหรือแอฟริกา (พวกไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด) ก็จะโดนผลกระทบ เช่น ม่านหมอกของนิวเคลียร์ที่ปิดกั้นแสงอาทิตย์ไม่ให้ส่องมาหลายสิบปี หรืออะไรอีกหลายอย่าง ที่ร้ายแรงจนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่ที่แน่ๆ การรอมชอมกันครั้งนี้ได้ส่งผลเสียมาให้ผู้นำของทั้งสองประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับครูซชอฟ นั้น พวก Politburo หรือคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ไม่พอใจเขาอย่างมากเพราะถือว่าสร้างความขายขี้หน้า ส่งผลให้ครูซชอฟต้อง กระเด็นออกจากอำนาจในปี 1964 และ หากทฤษฎี Conspiracy theory ของ Jim Garrison ที่เสนอผ่านหนังเรื่อง JFKเป็นจริง การลอบสังหารเคนนาดี้ในปี 1963 ส่วนหนึ่งเกิดจากกองทัพที่ไม่พอใจสไตล์บุ๋นของเคนนาดี้ (เช่นนายพลเลอเมย์บอกกับเคนนาดี้ว่าการไม่บุกโซเวียตของสหรัฐฯ เป็น การพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ) แต่ ฟีเดล คาสโตรยังคงอยู่ต่อไป จนกลายเป็นผู้เฒ่าที่เหนียว ติดหนึบกับเก้าอี้ เหมือนความปรารถนาของผู้นำบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีชื่อเล่นย่อ ๆ ว่า ม.

    หากท่านคิดว่า วิกฤตการณ์มีแค่นี้ ท่านคิดผิดเสียแล้ว เพราะหลายสิบปีหลังจากนั้นมีการค้นพบว่า แท้ที่จริงชะตากรรม ของมนุษยชาติขึ้นอยู่กับการตัดสินใจหรือลมปากของคน ๆ เดียว ซึ่งไม่ใช่พี่น้องเคนนาดี้หรือครุซชอฟ ลองทายสิว่าใคร

    (รถถังของโซเวียตในคิวบา)




    วีรบุรุษของเราที่แท้เป็นนายทหารเรือนามว่า Vasili Alexandrovich Arkhipov ซึ่งประจำเรือดำน้ำชั้น Foxtrot ของสหภาพโซเวียต ในช่วงวิกฤตการณ์คิวบา เรือดำน้ำลำนี้ต้องไปติดอยู่ใกล้ๆ กับเกาะคิวบาเพราะถูกต้อนโดยเรือของกองทัพสหรัฐฯ และถูกโจมตีโดยระเบิดน้ำลึกอย่างหนักหน่วง จน กัปตันเรือลงความเห็นว่าสงครามได้เกิดขึ้นแล้วจึงตัดสินใจจะยิงตอร์ปีโดติดหัวเรือนิวเคลียร์ไปที่สหรัฐ ฯ แต่มีกฏว่าการจะยิงได้ต้องอาศัยการตัดสินใจจากเจ้าหน้าที่สามคน หนึ่งในนั้นคืออาร์คิปอพซึ่ง เป็นเพียงคนเดียวที่คัดค้านการยิงและเกลี้ยกล่อมให้กัปตันนำเรือดำน้ำขึ้นเหนือผิวน้ำเพื่อรอคำสั่งจากมอสโคว์ได้สำเร็จ ออกจะให้ขนลุกหากจินตนาการว่า ถ้าอาร์คิปอพเพียงแค่พยักหน้าพร้อมกับบอกว่า "เอาโว้ย เล่นงานไอ้กันมัน" เท่านั้น โลกก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าไป อย่างน้อย ๆพ่อแม่ของเราอาจจะไม่ได้เจอกันและเราก็ไม่ได้เกิดมา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×