ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] The Witchcraft Alphabet

    ลำดับตอนที่ #11 : { SS • I } บั น ทึ ก ห น้ า ที่ ๑๑ : เดอะไวเปอร์ และ ของฝากจากเจอร์ซี่

    • อัปเดตล่าสุด 18 ม.ค. 66


    บั น ทึ ก ห น้ า ที่ ๑๑

    เดอะไวเปอร์ และ ของฝากจากเจอร์ซี่
     



     

     

    " ฌอง ! "
     

    " แฮร่... " ฉันได้ยินเสียงเล็กๆดังมาจากฌอง ดังนั้นฉันจึงเงียบและฟัง

    ทันใดนั้นเองฌองก็ลุกขึ้นนั่งนิ่งๆ --- ฉันละมือออกจากไหล่ของเขา และยังคงเป็นกังวลถึงแม้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาแล้วก็ตามแต่ใบหน้าของเขายังผิดรูปร่างจนดูหน้ากลัว

    " ฌอง... นายได้ยินฉันไหม ... " ฉันถาม

    เขาไม่ตอบ และนั่นยิ่งทำให้ฉันเป็นกังวลมากขึ้น บางทีเขาอาจจะยังพูดไม่ได้ ฉันโน้มตัวลงไปหาเขาก่อนจะดึงแขนของเขาเข้ามากอดที่ไหล่ของฉันเพื่อที่ฉันจะได้พยุงเขาให้ลุกขึ้น แต่ดูเหมือนว่าฌองจะไม่ยอมขยับตัว เขาดึงมือออกจากไหล่ของฉันและคลำที่กระเป๋าเสื้อคลุ่มก่อนจะหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา --- เขาชี้ปลายไม่ที่ใต้คางของตัวเอง และแสงสีขาวก็พุ่งวาบที่ใบหน้าของเขา

    ฉันได้แต่เพียงจ้องมอง และนึกไม่ออกเลยว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น

    เพียงครู่เดียวใบหน้าของฌองค่อยๆคืนสู่สภาพเดิม และฉันยังคงจ้องมอง

    " แฮร่ ! ..... "

    ......

    " ไม่ตกใจเลยเหรอ " ฌองพูด ....

    ....

    ฉันดันตัวลุกขึ้น และก้มลงหยิบหนังสือเรียนของเขาที่ทำตกเอาไว้ขึ้นมาก่อนจะเขวี้ยงมันใส่เขาเต็มแรง ฌองยกมือขึ้นกันมันเอาไว้ และฉันพุ่งตัวเข้าไปทุบเขาอีกหลายที
     

    " ไอ้บ้า ! "

    " โอ๊ย! ๆ --- ใจเย็นๆ ก่อนสิ่ ! " เขาตะโกน และพยายามจะหลบจากการทุบตีของฉัน

    ฉันจำไม่ได้ว่าทุบเขาไปกี่ที และจำไม่ได้ว่าด่าเขาไปกี่ครั้ง แต่ --- จะอย่างไรก็ตาม

    เขาสมควรโดน


     

     


     

     



     

    " ให้ตายสิ่ --- เธอใจเย็นเป็นไหมเนี่ย " เสียงฌองบ่นอุบอิบ
     

    พวกเรานั่งอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่งแถวฮ็อกส์มี้ด หลังจากที่ใบหน้าของฌองกลับเป็นปกติ เขาก็เดินตามฉันแจ และลงเอยด้วยการมาร่วมฉลองตำแหน่งซีคเกอร์ให้กับรอยส์

    " นายสมควรโดน " ฉันบอก

    " ฉันแค่จะไล่เอ็มม่าไปเท่านั้นเอง " เขาตอบพลางลูบท้ายทอยตัวเองไปด้วย

    " ยังไงก็สมควรโดนอยู่ดี " ฉันยืนยันคำเดิม

    ในขณะที่ฌองส่งเสียงบ่นอุบอิบตลอดเวลาเรื่องที่ฉันฟาดเขาไปหลายผั่วะ อาหารและเครื่องดื่มก็มาเสริฟจนเต็มโต๊ะ พวกเราจึงเริ่มกินและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ บางครั้งเราก็หัวเราะกับมุกตลกของรอยส์ เขามักจะทำตัวเป็นเสียงหัวเราะเสมอ และนัตตี้ เธอจะเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเพื่อนๆชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไรบ้าง ดังนั้นถ้าหากว่าอาหารอะไรขาดไปเธอจะรู้ได้ทันที เพราะเธอจำทุกเมนูโปรดของทุกคนได้ --- ไม่มีใครเพอร์เฟกเท่าเธออีกแล้ว

    " ให้ตายสิ นายเนี่ยน้อยๆ หน่อยเถอะ " ซีนพูดอย่างอดไม่ได้เมื่อรอยส์พยายามบอกเธอว่าเขาเก่งแค่ไหนที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นซีคเกอร์คนใหม่ของบ้านสริธิลีน

    " เธอไม่เข้าใจเหรอ ออกเดทกับซีคเกอร์มันดีออกจะตายไปนะ " รอยส์พูดอย่างติดตลก

    " เหรอ --- ถ้างั้นย้อนกลับไปตอนปีหนึ่งแล้วเป็นซีคเกอร์เสียสิ่ เหมือนศาสตราจารย์พ็อตเตอร์ไง " ซีนบอก

    รอยส์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะทิ้งหัวลงนอนฟุบบนโต๊ะจนจานไก่อบสะเทือน หลังจากนั้นเสียงหัวเราะของกลุ่มเพื่อนก็ดังขึ้น สองคนนี้มักจะเป็นอย่างนี้ และฉันชอบให้มันเป็นอย่างนี้ ทั้งที่มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน น่าแปลกที่เรื่องราวเหล่านี้กลับทำให้ฉันมีความสุขได้

    " ให้ตายสิ --- ฉันต้องชนะลอร์ดมืดแบบ แฮรี่ พ็อตเตอร์ ก่อนรึไงถึงจะชนะเธอได้ " เสียงรอยส์บ่นอุบอิบ

    " อย่างนายน่ะ --- ชนะวิชาอักษรรูญให้ได้ก่อน " ซีนบอก

    และอีกครั้ง ทุกคนหัวเราะออกมา เพราะใครๆต่างก็รู้ว่ารอยส์ต้องซ่อมวิชานี้ทุกครั้งไป และเขาเป็นคนที่เกลียดอักษรรูญเสียยิ่งกว่าหูดมหึมาบนใบหน้าของมิสฟรานซิส หรือโบสีชมพูของโดโลเรส อัมบริดจ์

    " ให้เอาชนะอักษรรูญ ให้ฉันไปไล่จับเดอะไวเปอร์ยังง่ายกว่าเลย " รอยส์บ่น

    เสียงหัวเราะยังคงดัง ฉันยังคงยิ้ม ทว่าในใจรู้สึกเหมือนตกสู่ห้วงเหวดำมืด

    " ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็จับได้ไปนานแล้ว " ฌองพูดแทรกหลังจากที่เขาเอาแต่หัวเราะอยู่นาน เขาวางแก้วเบียร์ลงบนโต๊ะพร้อมใบหน้าเหยเก เดาว่าเขาคงไม่ชอบดื่มเบียร์เท่าไร

    " นายเนี่ยสู่รู้ไปซะทุกเรื่องเลยรึไง " รอยส์ว่า

    " ก็นะ คนดังขนาดนั้นจะไม่รู้จักได้ไง " ฌองตอบก่อนจะก้มลงและมุดหัวไปที่ใต้โต๊ะ ครู่หนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะ --- ทุกๆคนชะเง้อคอมมองรวมไปถึงฉัน และสิ่งนั้นคือประกาษจับจากทางการ ฉันคุ้นชินกับมันเป็นอย่างดี แน่นอน --- ฉันคุ้นชินกับมัน เป็น อย่าง ดี

    " มันติดรองเท้าฉันมา ตอนที่เข้ามาในร้าน --- ให้ตายสิ --- ไอ้ประกาศนี่มันปลิวว่อนไปทุกที่เลยรึไง "
     

    ฉันฟังสิ่งที่ฌองพูด และจากนั้นคนอื่นๆก็เริ่มพูด แต่คราวนี้ฉันไม่ได้ยิน ฉันรู้ว่าพวเขาพูดเพียงแต่ว่า ฉันคงไม่ได้ฟัง --- คล้ายว่าหูของฉันกำลังอื้อ เหมือนฉันจมอยู่ใต้น้ำ ลึกลงไปเรื่อยๆ รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก เหมือนกำลังจะตาย ในก้นบึ้งของหัวใจหนาวเหน็บ แต่ร่างกายกลับรู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนถูกเผา

    " เป็นอะไรไปอัลลี่ " นัตตี้เอ่ยถาม

    " เปล่า " ฉันตอบ

    " นายรู้อะไรบ้างล่ะ " ฉันได้ยินเสียงอัลเลย์ถาม ในขณะที่นัตตี้ส่งยิ้มให้กับฉัน

    มันยากมาก --- ในเวลาที่ฉันต้องเผชิญหน้ากับความกดดัน นั่นเป็นสิ่งที่ยากเย็น หากแต่ว่าการไม่แสดงออกถึงสิ่งที่กำลังนึกคิดอยู่นั้นยากยิ่งกว่า ฉันส่งยิ้มให้กับนัตตี้ก่อนจะหันไปมองที่ฌองเพื่อรอฟังคำบอกเล่า --- เหมือนกับคนอื่นๆ เหมือนฉันเป็นแค่เพียง --- คนอื่นๆ

    " ก็ไม่มากหรอก --- เดอะไวเปอร์น่ะมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ก่อนฉันจะเกิดอีก พ่อของฉันทำงานที่กระทรวง ฉันก็เลยพอรู้มาว่า ที่จริงแล้วก็มีผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นเดอะไวเปอร์ตัวจริงอยู่เหมือนกัน --- แต่ว่า อยู่ๆเธอก็หายตัวไปเสียก่อนที่จะถูกจับกุมมาสอบสวน " ฌองเล่า

    " แล้ว คนที่ว่าต้องสงสัยนั่นเป็นใครกันล่ะ " อัลเลย์ถาม

    ฌอง หยุดพักยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ --- เขามองที่ใบประกาศจับครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มเล่าต่อ

    " เป็นแม่มดนักปรุงยาคนหนึ่งนั่นแหละ แล้วเธอก็เคยเรียนที่ฮ็อกวอตส์ด้วย --- คุณพ็อตเตอร์ถึงบอกไง ที่ว่าการดูถูกสติปัญญาของฮ็อกวอตส์นั้นงี่เง่า --- ฉันก็เห็นด้วยนะ เพราะเธอก็น่าสงสัยจริงๆ แถมยังมีข่าวว่าเธอเกี่ยวข้องกับพวกผู้เสพความตายในอดีตด้วย แล้วหลังจากที่ลอร์ดมืดถูกโค่นลง เดอะไวเปอร์ก็เริ่มเคลื่อนไหว มันก็มีข่าวลือออกมาว่า บางทีเดอะไวเปอร์อาจจะกำลังหาทางนำเขากลับมา "

    ฉังยังคงฟัง ฉันมองเห็นใบหน้าของฌอง มองเห็นริมฝีปากของเขากำลังขยับ นัยน์ตาสีน้ำตาลของเขาสงบนิ่ง และร่างกายของฉันชาไร้ความรู้สึก

    " เขาเหรอ --- เขาที่ว่านั่นน่ะ ใครกัน " ซีนกระซิบถามอย่างออกรส

    " ทอม ริดเดิ้ล " ฌองตอบสั้นๆ

    ฉันยังคงได้ยิน --- แต่นัยน์ตาของฉันสะท้อนภาพชายคนหนึ่ง ชายผู้เป็นตำนาน --- ทอม ริดเดิ้ล ผู้สร้างหายนะและนำพาความหวาดกลัวปกคลุมทุกหย่อมหญ้า ดวงตาคู่นั้นสะท้อความเยือกเย็นและลึกสุดหยั่งราวกับมหาสมุทร ฉัน จดจำภาพของ ทอม ริดเดิ้ล ในฐานะของ ทอม ริดเดิ้ล --- แต่ในทุกครั้งที่นึกถึงแววตานั้น ไม่ว่าอย่างไรมันก็ถูกลบเลือนไปด้วยภาพของลอร์ดมืด --- โวลร์เดอร์มอร์

    " ให้ตายสิ่ --- แล้วทำไมเธอต้องทำอย่างนั้นล่ะ เธอเป็นพวกผู้เสพความตายด้วยเหรอ " เสียงของซีนเบาราวกระซิบ แต่น้ำเสียงของเธอยังคงความเข้มข้นและจริงจัง

    " ไม่มีใครรู้หรอกเซเนียร์ --- พวกเขาเรียนมาด้วยกัน นั่นคือที่ฉันรู้ --- ฉันหมายถึงเดอะไวเปอร์ กับทอม ริดเดิ้ล --- บางทีเขาอาจะเป็นเพื่อนกัน หรืออาจมีความเกี่ยวข้องอย่างอื่น อะไรสักอย่างก็ได้ "

    " ชื่อล่ะ นายรู้มากขนาดนี้ คงรู้ชื่อเธอด้วยใช่ไหม " อัลเลย์พูดแทรก

    หัวใจของฉันเต้นระรัว และครู่หนึ่งฉันหยุดหายใจ ---

    " ขอโทษทีนะ คือว่า --- เรื่องนี้ฉันบอกไม่ได้หรอก มันเป็นความลับของทางกระทรวง " ฌองตอบ

    ฉันหายใจอีกครั้ง

    ฉันรู้ ฌอง --- อัลเลย์ --- ถึงมันจะเป็นความลับของทางกระทรวงแต่ฉันรู้ และมันก็ทิ่มแทงฉันทุกวี่วัน เหมือนกับเหล็กในที่แทงลึกที่ใจของฉัน ลึกจนไม่สามารถเอามันออกมาได้ เล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ แต่เจ็บปวดมากจนไม่อาจอธิบายได้ ---

    และทุกครั้งที่ฉันได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ เหล็กในนั้นก็จะถูกสะกิด ให้ฉันยิ่งเจ็บปวด อักเสบ และเน่าเฟะ

    ฉันรู้ดี --- ฉันรู้จักชื่อนั้น

    คริสต้า ครีดส์

    " เล่ามาขนาดนี้แล้วจะกั๊กไว้ทำไมเนี่ย ให้ตายสิ่ " รอยส์บ่นก่อนจะส่ายหน้า

    " เพราะฉันรู้ว่าอะไรพูดได้อะไรพูดไม่ได้น่ะสิ่ " ฌองตอบก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ

    การสนทนายังคงดำเนินต่อไป ฉันรินเบียร์ใส่แก้วก่อนจะยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ จากนั้นจ้องมองเบียร์ในแก้ว ฉันไม่รู้ว่าจะมองไปทำไม บางทีอาจแค่ต้องการที่พักสายตาเท่านั้น ฉันนั่งฟังและยกแก้วขึ้นดื่ม และฟัง และเติมเบียร์ก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่ม พยายามเลื่อนสายตามองหน้าใครก็ตามที่กำลังพูดให้เหมือนกับว่าฉันกำลังตั้งใจฟังพวกเขา ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ฟังอะไรเลยก็ตาม หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางครั้งฉันหัวเราะเมื่อทุกคนหัวเราะ และยิ้มเมื่อทุกคนยิ้ม --- ฉันทำมันอย่างเป็นธรรมชาติ

    ทำจนมันกลายเป็นตัวฉัน

    " ให้ตายสิ่ ! เจ้านกบ้า ! " เสียงเอะอะดังมาจากหน้าร้าน

    ฉันวางแก้วเบียร์ลงก่อนจะชะโงกหน้าออกไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น ชายแก่ร่างท้วมผู้เปฌนเจ้าของร้านกำลังเดินกระเผกถอยออกจากประตูก่อนที่เขาจะหงายหลังล้มลง และสายตาของฉันก็สบเข้ากับ เจ้าตัวปัญหา ตัวเบอเริ่ม --- เจอร์ซี่กำลังกระพือปีก และดูเหมือนว่ามันพยายามจะใช้เท้าของมันเตะใส่ชายเจ้าของร้านเสียด้วย

    " เจอร์ซี่ ! หยุดนะ !! " ฉันตะโกนบอก

    เจอร์ซี่เป็นนกอีกเกิ้ลโอล มันตัวใหญ่กว่านกฮูกทั่วๆไปมาก ฉันคิดว่ามันใหญ่พอๆกับหมาลาบาดอร์เลยทีเดียว มันมีกรงเล็บชวนสยอง แถมวิธีที่มันโผหาเจ้าของก็ไม่น่ารักเอาเสียเลย --- และ --- ฉันยอมรับว่ามันเป็นนกที่มีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์หลายอย่าง ว่าง่ายก็คือ มันค่อนข้างจะเกเร

    " เจอร์ซี่ ! " ฉันดีดตัวลุกขึ้นจากโต๊ะ และเจอร์ซี่บินโฉบผ่านหัวของชายเจ้าของร้านพุ่งมาหาฉัน ปีกของมันชนเข้ากับแก้วสารพัด ฉันได้ยินเสียงข้าวของแตกดังลั่นไปทั่ว เพราะขนาดตัวที่ไม่ควรจะเข้ามาในร้านแคบๆนี้ตั้งแต่แรก ให้ตายสิ่ ผู้คนกำลังส่งเสียงตะโกน ในขณะที่ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี เจ้าเจอร์ซี่ก็โผมาใส่ฉันเสียแล้ว

    มันยื่นเท้าออกมาด้านหน้าเพื่อรอให้ฉันยื่นแขนไปให้มัน แต่ฉันเกลียดที่จะต้อทำอย่างนั้น เพราะทุกครั้งที่มันมาเกาะที่แขนของฉัน ฉันจะบาดเจ็บทุกครั้ง จำได้ว่าครั้งสุดท้ายมันทำแขนของฉันหัก และแขนเสื้อคลุมของฉันก็ขาดจากเล็บคมกริบของมัน --- ไม่ว่าฉันจะเกลียดมันอย่างไรสุดท้ายแล้วฉันก็ต้องยื่นแขนออกไป เพราะฉันไม่สามารถปล่อยให้มันตีปีกอยู่ในที่แคบๆเช่นนี้ได้ มันร่อนลงและใช้กรงเล็บสุดสยองของมันคว้าที่แขนของฉัน --- ฉันกัดฟันแน่น เพราะมันเจ็บมาก ฉันรู้สึกถึงเล็กที่แทงจนทะลุเข้าไปในเนื้อหลังของฉัน และน้ำหนักตัวที่ผิดปกติของมันก็ทิ้งลงมาที่แขนของฉัน นั่นยิ่งทำให้ฉันเจ็บจนอยากจะร้องออกมาให้ได้

    " โว่วๆ นกอะไรของเธอเนี่ย ! " เสียงรอยส์ตะโกน เขาใช้ตัวเองบังซีนเอาไว้ ในขณะที่นัตตี้กำลังหลบอยู่หลังอัลเลย์ ฉันใช้มืออีกข้างประคองแขนของตัวเองเพื่อรับน้ำหนักตัวของเจอร์ซี่ และเมื่อมันขยับตัวช้าลงฉันจึงมองเห็นว่ามันคาบบางสิ่งอยู่ในปาก เป็นห่อกระดาษสีน้ำตาลเล็กๆ ฉันจึงใช้มือที่ประคองแขนดึงห่อกระดาษนั้นออกมาจากปากของมัน และทันทีที่ห่อกระดาษอยู่ในมือของฉัน มันก็ส่งเสียงร้องออกมา

    " ไปซะ ไปได้แล้ว ! " ฉันตะโกนไล่มันก่อนจะพยายามสะบัดแขนเพื่อไล่ให้มันบินไป แต่มันก็ใช้เวลาทึ้งแขนของฉันอยู่นานโขกว่ามันจะบินขึ้นไปได้ และไม่วาย มันบินโฉบหัวของฉันและเพื่อนๆไปที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะร่ออนลงโฉบเอาไก่อบน้ำผึ้งในจานติดเท้าของมันไปด้วย

    " เจอร์ซี่ ! เอาคืนมานะ ! " ฉันโผเข้าไปพยายามจะยื้อเอาอาหารเย็นของเราคืนมา แต่เจอร์ซี่ เจ้านกบ้า มันกัดฉัน แถมยังตีเท้าใส่มือของฉันอีก และสุดท้ายมันก็โฉบเอาไก่อบน้ำผึ้งเป็นคาจ้างของมัน และบินออกไปทางหน้าต่างร้านจนได้

    " เจอร์ซี่ นกบ้า ! " ฉันตะโกนไล่

    ที่แขนของฉันเจ็บจนชา และฉันไม่รู้เลยว่าฉันมีแผลกี่ที่ เพราะมันทั้งกัดทั้งจิกฉัน มันมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ ฉันจึงไม่ค่อยใช้งานมันเท่าไหร่ ช่างเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไร้ค่าจริงๆ

    " อัลลี่ เธอเลือดออกนะ " ฌองพูดก่อนจะดึงแขนของฉันไปดู

    และฉันก็เพิ่งได้เห็นสภาพของตัวเอง ที่แขนของฉันมีเลือดออกมาก และมีร่องรอยของเล็บสัตว์ที่แทงทะลุเนื้อเข้าไปลึกจนดูน่ากลัว ฌองพับแขนเสื้อของฉันขึ้นก่อนจะตรวจดูแผลอื่นๆ

    " ให้ตายสิอัลลี่ " เสียงของนัตตี้สั่นเครือ และฉันไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมองที่เธอได้ ฉันไม่อยากเห็นเธอเศร้า หรือเป็นกังวลไม่ว่าจะกับเรื่องอะไรก็ตาม

    " ให้ฉันดูหน่อย " เสียงอัลเลย์ดังแทรก

    " ไม่ต้อง ไม่เป็นไร " ฌองตอบก่อนจะดันตัวอัลเลย์ออกไป ฉันยังคงจ้องมองบาดแผล และภาวนาขออย่าให้มีอะไรหัก เพราะการรักษากระดูกหัดนั้นยากกว่าการรักษาบาดแผล ความเจ็บปวดเริ่มกลายเป็นชา แต่ก็ยังเจ็บปวดที่แผลแบบแปลบๆ

    " แอ็กซิโอดิตทานี " เสียงฌองดังอยู่ใกล้ๆ ฉันละสายตาจากบาดแผลก็เห็นเขาเรียกน้ำยาดิตทานีออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมของฉัน ฉันรู้ว่าตัวเองพกน้ำยาดิตทานีอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันแปลกใจว่า ฌองรู้ได้อย่างไร เขาคว้าขวดน้ำยาทีลอยออกมาจากการถูกเรียกก่อนจะจัดแจงหยดยาลงบนแผลชุ่มเลือดของฉัน

    " แขนเธอหักรึเปล่า " เขาถาม

    " ไม่ --- ฉันไม่รู้ " ตอบ

    แผลค่อยๆ ลดลงและเนื้อหนังใหม่ถูกสร้างขึ้นแทนที่ ความเจ็บปวดค่อยๆ หายไปและกลายเป็นความรู้สึกมึนงงเสียแทน หัวของฉันว่างแปล่าและรู้สึกเหมือนเท้าไม่ค่อยมีแรง ฌองประคองฉันให้นั่งลงที่โต๊ะ หลังจากนั้นทุกอย่างค่อยๆ เลือนลาง และ --- ฉันก็จำอะไรไม่ได้เลย ----

     

     

     

     


     

    " อัลลี่ --- " เสียงคุ้นเคยดังที่ข้างหู

    ฉันลืมตาขึ้นมองเห็นเพดาสีฟ้าอ่อน เมื่อขยับตัวเล็กน้อยบนเตียงอบอุ่น กลิ่นของน้ำยาซักผ้ายี่ห้อโปรดก็โชยเข้าจมูก ฉันพลิกตัวมองไปที่หน้าต่าง อัลเลน พี่ชายของฉันกำลังนั่งอยู่ที่ขอบหน้าต่าง มองมาที่ฉันพร้อมรอยยิ้ม

    " จะขี้เซาไปถึงไหน ได้เวลาแล้วนะ " อัลเลนบอก

    ฉันบิดตัวไล่ความเมื่อยล้าก่อนจะดันตัวลุกขึ้นจากเตียง อัลเลนสวมเสื้อเชิตสีดำสนิท และเขาดูหล่อเนี้ยบกว่าทุกๆวัน เมื่อลมหนาวพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ฉันได้กลิ่นน้ำหอมของเขาโชยมาด้วย และฉันชอบมันมาก

    " ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะอัลเลน " ฉันบอก

    " งั้นก็ลุกไปอาบเสียสิ่ เดี๋ยวฉันไปรอที่ครัวนะ " อัลเลนตอบและยังคงมอบรอยยิ้มให้แก่ฉัน --- ฉันพยักหน้ารับ หลังจากนั้นเขาเดินออกจากห้องของฉัน ฉันใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็อาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จ --- วันนี้ฉันสวมชุดเดรสสีดำสายลูกไม้ มันสวยมากสำหรับฉัน ฉันเดินลงบันไดไปที่ชั้นล่าง อัลเลนนั่งอยู่ที่โซฟากำลังจิบชา เขาเงยหน้าขึ้นมายังบันได มองฉันและเริ่มยิ้มอีกครั้ง

    " ชุดนี้เป็นไง " ฉันถาม

    " สวยมาก " เขาตอบ

    ฉันเดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง เรานั่งจิบน้ำชาในยามเช้าด้วยกันก่อนที่เราสองคนจะออกจากบ้านพร้อมกัน และเพราะข้างนอกอากาสหนาวเย็น ทั่วพื้นถนนมีหิมะปกคลุม ดังนั้นไม่ว่าเราจะแต่งตัวกันสวยหล่อเท่าไร สุดท้ายเราก็ต้องสวมเสื้อโค้ททับอยู่ดี เวลาราวๆ หนึ่งชั่วโมงที่เราขับรถไปยังสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ง

    สถานที่สำคัญที่เราจะต้องไปในทุกๆ ปี

    เราสองคนย่ำเท้าบนหินมะ เดินผ่านประตูรั้วสุสานที่สงบเงียบ ในมือของอัลเลนมีช่อดอกไม้ และเขาจะโอบไหล่ฉันไว้ตลอดทางที่เราเดินมาด้วยกัน จนกระทั่งเรามาถึงหน้าหลุมฝังศพที่เงียบสงัด อัลเลนย่อตัวลงใช่มือปาดไล่หิมะที่ปกคลุมแผ่นหินป้ายหลุมฝังศพ ตัวหนังสือโผล่พ้นหิมะสีขาวต่อสายตาของพวกเราสองคน

    ' สตีฟ แม็ค เบรเวอร์ '
     

    ฉันย่อตัวลงเก็บเศษใบไม้ที่ปลิวมาปกคลุมบริเวณหน้าหลุมฝังศพออกจนหมด ก่อนที่อัลเลนจะวางช่อดอกไม้ลง ทุกอย่างลงตัว ดอกไม้ช่อนั้นสวยงาม และในยามนี้ป้ายหลุมฝังศพก็ดูสะอาดตา เราสองคนยืนขึ้นพร้อมกันและนิ่งเงียบ เมื่อลมหนาวพัดมาอัลเลนโอบไหล่ของฉัน จากนั้นฉันซบหน้าลงที่ไหล่ของเขา

    และฉันเริ่มร้องไห้ ---

    ฉันไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของอัลเลน ฉันไม่เห็นน้ำตาของเขา แต่ในตอนที่เขากอดฉันเอาไว้ ฉันรู้สึกถึงแรงสะอื้นที่เขามี เราสองคนร้องไห้ด้วยกันเสมอ ---

    และในวันนี้ ของทุกๆ ปีตั้งแต่ที่พ่อของพวกเราจากไป เราจะร้องไห้ด้วยกันอย่างนี้เสมอ ...


     


     


     

    สุ ด ห ล่ อ เ จ อ ร์ ซี่
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×