คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : { SS • I } บั น ทึ ก ห น้ า ที่ ๑๐ : ความบังเอิญ และ ความบังเอิญที่น่าเศร้า
บั น ทึ ก ห น้ า ที่ ๑๐
ความบังเอิญ และ ความบังเอิญที่น่าเศร้า
หลังจบคาบเรียนอักษรรูญ เราก็ตรงไปที่สนามฝึกบินเพื่อเรียนวิชาบัญญัติใหม่กฎหมายการบิน --- และอีกหนึ่งข่าวใหม่ที่ใหญ่ไม่แพ้เรื่องข่าวลือของฉันก็คือ รอยส์ได้รับคัดเลือกให้เป็นซีกเกอร์คนใหม่ของบ้านสลิธิริน
เมื่อวิชาการบินจบลง พวกเราตัดสินใจว่าจะไปฉลองตำแหน่งใหม่ให้กับรอยส์ เราจึงนัดกันว่าจะไปหาร้านดีๆนั่งดื่มกันที่ฮ็อกส์มี้ดหลังจากโรงเรียนเลิกแล้ว
“พวกนายมีปัญหาอะไร” ซีนพูดออกมาอย่างเสียมิได้
พวกเรากำลังนั่งอยู่ที่บ่อน้ำพุตรงโถงทางเดิน และกลุ่มนักเรียนหลายคนกำลังมองมาทางฉัน พวกนั้นพูดคุยซุบซิบบางอย่าง หัวเราะ และมองมา จากนั้นก็หัวเราอีก และฉันรู้ว่าซีนคงจะรำคาญกับพฤติกรรมเหล่านั้นเธอจึงโพร่งออกมา ฉันแตะที่ไหล่ของเธอเบาๆ ก่อนจะกระซิบบอกเธอว่าฉันโอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ให้ตายสิอัลลี่ --- ฉันรำคาญแทนเธอจริงๆ” ซีนบอก
“เอาน่า ฉันชินแล้ว” ฉันตอบและซีนถอนหายใจเฮือกใหญ่ รอยส์ทิ้งตัวลงนอนบนขอบของบ่อน้ำพุ ทิ้งหัวลงบนตักของซีน และเธอเบ้หน้าใส่รอยส์ก่อนจะยกมือที่ถือตำราวิชาอักษรรูญขึ้นและปล่อยมันให้ตกใส่หัวของรอยส์อย่างเจตนา
“อุ้ย หลุดมือ” เธอว่า รอยส์ร้องโอดโอยและลูบหัวปอยๆ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมลุกขึ้นแต่อย่างใด เขาเอี้ยวตัวเก็บหนังสือที่ตกลงบนพื้นขึ้นมากอดเอาไว้และยังคงซุกหัวนอนที่ตักของเธออยู่อย่างนั้น และฉันคิดว่า --- มันเป็นภาพที่น่ารักดีจนกระทั่งฉันและนัตตี้หลุดขำออกมา
“ให้ตายสิ --- ฉันเป็นซีกเกอร์คนใหม่เลยนะ” รอยส์บ่นอุบอิบและหลับตาลง
รอยส์และซีน ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน และใช่ พวกเราเป็นเพื่อนกัน แต่ฉันคิดว่าพวกเราต่างก็รู้กันดี รอยส์ดูจะมีความผูกพันเล็กๆ ที่มากกว่าเพื่อนให้กับซีน และฉันคิดว่าบางที ซีนก็อาจจะ --- มีความผูกพันที่มากกว่าเพื่อนให้กับรอยส์แบบเล็กๆ น้อยๆ ด้วยเช่นกัน
“ไอ้หมอนั่นมันไม่วุ่นวายกับเธอไปหน่อยเหรอ” อัลเลย์พูดแทรกขึ้นและฉันหันไปมองที่เขา ครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้าไปยังโถงทางเดิน --- ฉันมองตาม --- ไกลออกไปตรงที่นั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ ฌองกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างเอาจริงเอาจัง และในขณะที่ฉันจ้องมองอยู่นั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองมายังฉันจากนั้นรีบก้มหน้าลง --- นั่นทำให้ฉันเข้าใจว่าฌองคงมองมาที่ฉันสักพักแล้ว และอัลเลย์ก็คงจะรู้สึกได้
“ไม่รู้สิ” ฉันตอบส่งๆ ความจริงแล้วฉันเองก็รู้สึกว่า ฌองมักจะโผล่มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆเสมอ มันไม่แน่ว่าจะเป็นความบังเอิญหรือเจตนา แต่มันก็เป็นอย่างนี้มาสักพักแล้ว จะว่าไปแล้วฉันคิดว่าเรื่องมันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อตอนนั้น ....
เมื่อตอนปีสาม ฉันเพิ่งเข้ามาเรียนที่ฮอกวอตส์ใหม่ๆ --- ความจริงแล้วฉันเป็นนักเรียนประเภทพิเศษ เพราะไม่ได้เรียนตั้งแต่ปี 1 แต่เป็นเด็กที่ใช้การสอบเทียบเข้ามาเรียนในชั้นปีที่ 3 --- มันอาจฟังดูแปลก แต่เพราะฉันมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถมาเข้าเรียนตั้งแต่ปี 1 ได้
และในตอนนั้น เมื่อฉันโผล่เข้ามาเรียนกลางคันในชั้นปีที่ 3 ฉันแทบไม่มีเพื่อนเลย ทั้งสังคม และเรื่องความคุมเคลือในตัวฉัน แน่นอนว่าฉันถูกตั้งคำถามสารพัดว่า เพราะเหตุใด ฉันเป็นใคร และมีความสามารถมากเท่าไรจึงสอบเทียบเข้าชั้นปีที่ 3 ได้ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้รับการศึกษามาก่อน
และในตอนนั้น นัตตี้เป็นคนแรกที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ เธอคอยแนะนำฉันในเรื่องต่าง ๆ และนั่นทำให้ฉันได้รู้จักกับซีน รูมเมทของนัตตี้ และได้รู้จักกับ รอยส์ และ อัลเลย์ เพื่อนสนิทของซีนและนัตตี้ --- พวกเขาล้วนเป็นเพื่อนที่ดี และฉันก็ไม่มีเพื่อนคนใดเพิ่มเติมอีกเลย เพราะฉันพูดคุยกับคนน้อยมาก และมักจะหายตัวไปเงียบๆ เสมอ
กระทั่งวันหนึ่ง ในช่วงบ่ายคล้อย ฉันนั่งอยู่ในห้องสมุดตามลำพัง อัลเลย์และรอยส์ไปที่สนามควิดดิช และซีนอยู่ที่ชมรมประสานเสียงกับนัตตี้ --- ในบ่ายวันนั้นฉันกำลังนั่งอ่านหนังสือนักเล่นแร่แปรธาตุ และได้ยินเสียงหัวเราะยกใหญ่ดังอยู่ไม่ไกล คนในห้องสุมดต่างเงยหน้ามองไปยังต้นเสียง และเพียงไม่นาน ชายคนหนึ่งก็ถูกเหวี่ยงเข้ามาที่กลางห้องสมุด เขาล้มคะมำอยู่บนพื้นครู่หนึ่งก็รีบดันตัวลุกขึ้น
“ส่งมันคืนมานะ !” เขาตะโกน
“ทำไมล่ะฌอง --- ฉันนึกว่ามันเป็นไม้จิ่มฟันเสียอีกนะ” ชายคนหนึ่งกล่าวพร้อมกับควงไม้กายสิทธิอันหนึ่งในมือ และเขายังมีพวกพ้องยืนรวมกันอีกหลายคน ฉันมองแค่ครู่เดียวก็เข้าใจสถานการณ์ได้ว่า ฌอง คงกำลังถูกกลั่นแกล้งจากคนพวกนั้น และไม้กายสิทธ์ในมือของเจ้าเด็กเกเรนั่นก็คงเป็นของฌอง
ฉันมองเห็น --- ฌองพุ่งตัวเข้าไปเพื่อแย่งชิงไม้กายสิทธิ์ของเขาคืนมา และเขาถูกเหวี่ยงจนกระเด็นลงไปกองที่พื้นอีกครั้ง --- มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาตัวคนเดียว ไม้ก็ถูกยึด จะไปสู้กับคนจำนวนมากขนาดนั้น --- เป็นไปไม้ได้
ฉันก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อ
“ขอร้องล่ะ หยุดเถอะ” เสียงฌองกล่าว
หลังจากนั้นฉันก็ได้ยินอีกหลายอย่าง ฉันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง และพยายามที่จะไม่ฟังเสียงเหล่านั้น เพราะการเงยหน้าขึ้นมองจะทำให้ความสามารถในการควบคุมความรู้สึกของฉันลดลง ดังนั้นการเพิกเฉยจึงเป็นการดี --- ฉันได้ยินเสียงหัวเราะ ในขณะที่รับรู้ได้ว่าอีกคนหนึ่งกำลังถูกผลักให้อยู่ในจุดที่กดดัน เสียงของเขาสั่นจากความโกรธและสิ่งที่ทิ่มแทงกว่านั้น คือน้ำเสียงของคนที่อยากจะสู้แต่กลับทำได้เพียงแค่ ถูกลังแก
ฉันจ้องมองตัวหนังสือบนกระดาษสีน้ำตาล จดจ่อสมาธิของตัวเองกับเนื้อความเหล่านั้น จนกระทั่ง ---
ฌองถูกเหวี่ยงเข้ามาบนโต๊ะของฉันพอดิบพอดี เขากลิ้งไถลขึ้นมาบนโต๊ะ และชนหนังสือในมือของฉันจนกระเด็นไปไกล ฉันเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเขากำลังมองไปยังกลุ่มคนพวกนั้น สายตาของเขาโกรธแค้นชิงชังและริมฝีปากปิดแน่นคล้ายกัดกลั้นความโกรธเอาไว้ มือของเขากำแน่นจนสั่น ---
ฉันมอง
“ส่งไม้ของฉันคืนมา !” เขาตะโกน
และเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น ---
ฉันยังคงจ้องมอง และฉันรู้ว่าเขาพยายามอย่างมากที่จะไม่ร้องไห้ออกมา --- มือข้างนั้นยังคงกำแน่น
ฉันลุกขึ้นจากโต๊ะ หยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา --- ชี้ปลายไม้ไปที่ฌองก่อนจะสะบัดปลายไม้ผลักเขากระเด็นออกไปจากโต๊ะ ไกลมากทีเดียว ฉันมองตามไปก็เห็นเขานอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นที่สุดกำแพงของห้อง และเขามองมาที่ฉันด้วยสีหน้ามึนงง และฉันรู้ว่าเขาไม่เข้าใจว่าทำไมฉันจึงทำแบบนั้น
ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ---
ฉันสะบัดปลายไม้กายสิทธิ์อีกครั้งไปที่กลุ่มเด็กหัวโจกที่อยู่อีกฝั่งและปลดเอาไม้กายสิทธิ์ของฌองออกจากมือพวกนั้น มันลอยละลิ่วมาสู่มือของฉันอย่างง่ายดาย --- มีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ในยามที่จิตใจของฉันอยู่ในภาวะกดดัน หรือในยามที่ฉันกำลังโกรธ ฉันพบว่าไม้ของฉันจะใช้งานได้ดีกว่าปกติ คล้ายกับว่ามันกำลังโกรธแทนฉัน
พวกเด็กเกเร --- เหมือนฝูงหมาจรที่เที่ยวแย่งชิงพื้นที่ๆไม่ใช่ของตัวเอง --- คนหนึ่งส่งเสียงผิวปาก และอีกคนเริ่มหยิบไม้ของเขาออกมา --- ฉันไม่แน่ใจว่าพวกนั้นมีกันกี่คนก่อนที่ฉันจะตัดสินใจปลดไม้จากมือของพวกมัน แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าการกระทำของฉันนั้นโง่เง่าสิ้นดี ชายคนหนึ่งขยับตัวเดินเข้ามาใกล้ฉัน และฉันใช้ไม้กายสิทธิ์ของฉันร่ายคาถาดันตัวเขาออกไป เสียงหัวเราะดังขึ้นราวกับว่ามันเป็นเรื่องสนุก ---
ตอนนี้ตัวของฉันกลายเป็นเป้าหมาย หรือจะพูดให้ถูกคือ เหยื่อ รายใหม่ของฝูงหมาจร
“เธอคนที่มาใหม่ใช่ไหม” คนหนึ่งถามพร้อมรอยยิ้มที่น่ารังเกียจ
ฉันยังคงกำไม้เอาไว้แน่น และไม่รู้ว่าควรจะหันปลายไม้ไปทางไหนดี ในเมื่อมันมีคนที่เป็นศัตรูอยู่เต็มไปหมด ในมืออีกข้างยังคงกำไม้กายสิทธิ์ของฌองเอาไว้ --- และฉันคิดโทษเขาในใจที่เป็นต้นเหตุให้ฉันต้องตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ แต่กระนั้นแล้วคนที่ถีบตัวเองลงเหวไม่ใช่ฌอง แต่เป็นตัวฉันเอง
โง่เง่าสิ้นดี
“ส่งไม้มาให้ฉัน !” เสียงฌองตะโกนบอก
ฉันหันหลังไปมอง ฌองผายมือออกรอให้ฉันโยนมันไปให้เขา และยังไม่ทันที่ฉันจะได้ขยับตัว เสียงห้ามปรามก็ดังขึ้นมา พวกนั้นบอกให้ฉันส่งไม้ของฌองคืนให้พวกมัน เพราะไม่อย่างนั้นฉันจะต้องเจอกับเรื่องเลวร้าย ชนิดที่จะลืมไม่ได้ไปตลอดชีวิตของฉัน ---
ในมือของฉัน คล้ายถือสิ่งของที่หนักอึ้ง --- หนักจนไม่อยากจะถือมันเอาไว้อีกต่อไปแล้ว
ฉันตัดสินใจส่งไม้ให้กับพวกมัน ฉันตัดสินใจแล้ว แต่ --- มือของฉันมันไม่ยอมส่งออกไป ฉันตัดสินใจแล้ว ! แต่มีบางอย่างบอกฉันว่าอย่าทำอย่างนั้น อาจเป็นความโง่เง่าก็ได้ ที่บอกฉันอย่างนั้น
ในช่วงเวลาหนึ่งคนเราจะสามารถทำเรื่องโง่เง่าได้มากเท่าไร ฉันถูกชายคนหนึ่งสาปคาถาดึงผมใส่ มันเจ็บมาก และทำให้ฉันโกรธมาก แต่ฉันไม่สามรถทำอะไรได้นอกเสียจากกัดฟันทน เพราะไม่มีทางที่ฉันจะสู้พวกนั้นทั้งหมดได้ และช่างหน้าแปลกเหลือเกินที่คนอื่นๆ กลับเพียงแค่มองสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ไม่มีใครสักคนที่จะให้ความช่วยเหลือฉันเลย เหมือนกับที่ ไม่มีใครสักคนให้ความช่วยเหลือฌอง
ฉันสะบัดปลายไม้สวนกลับไป ลำแสงสีแดงพุ่งตรงไปยังคนที่ร่ายคาถาดึงผมใส่ฉัน เขาปัดมันออกไปได้ทัน และเสียงหัวเราะเยาะหยุดลงไป กลายเป็นความไม่พอใจเสียแทน
--- และฉันคิดว่า --- ฉันจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว
ฉันขยับปลายไม้กายสิทธิ์ชี้ตรงไปด้านหน้า
‘ถ้าปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอ ก็จะอ่อนแอไปตลอดชีวิต ถ้าหากไม่ลุกขึ้นสู้ ก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากความอ่อนแอได้ --- จะเจ็บตอนนี้ หรือเจ็บไปทั้งชีวิต ก็แล้วแต่ว่าเราจะเลือกอะไร’
พี่ชายของฉันเคยสอนฉันอย่างนี้....
“โย่ว สหาย ทำอะไรกันอยู่เหรอ” เสียงสนุกสนานอันเป็นเอกลักษ์ของรอยส์
ฉันหันไปมองก็เห็นรอยส์กำลังเดินกอดคออัลเลย์เข้ามา และในมือของอัลเลย์ถือไม้กายสิทธิ์เอาไว้ด้วย --- ในตอนนั้นฉันกับอัลเลย์และรอยส์ เราเพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน --- ใบหน้าของอัลเลย์ปราศจากรอยยิ้ม และนิ่งงันกว่าครั้งใดที่ฉันเคยเห็น เหล่าฝูงสุนัขจรมองไปที่เขา และทุกอย่างจมสู่ความเงียบชั่วครู่หนึ่ง และถึงแม้ว่ารอยส์จะยังคงมีรอยยิ้ม ทว่ามือของเขาก็วางอยู่ในจุดที่ใกล้กับไม้เหลือเกิน ฉันพอจะนึกภาพออกว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่ารอยส์จะอยู่ในสถานะพร้อมสู้
“ก็แค่เล่นสนุกกันเท่านั้นน่า” หมาจรตัวหนึ่งตอบ
รอยส์ส่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะตบบ่าของอัลเลย์ทีหนึ่ง และเดินเข้ามาที่โต๊ะของฉัน เขาเริ่มเก็บหนังสือ และผิวปากเป็นเพลงแจ๊สในขณะที่ล้วงมือหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นโบกไล่หนังสือให้ลอยกลับเข้าชั้นวาง --- รอยส์ทำราวกับว่าฝูงหมาจรไม่มีตัวตน และฉันทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งๆ เท่านนั้น
ช่วงเวลาน่าอึดอัดที่ฝูงหมาเงียบใบ้ อัลเลย์ยังคงส่งสายตาไปยังพวกนั้น เป็นสายตาที่ฉันไม่สามารถอธิบายได้ และฉันรู้ดีว่าพวกหมาจรไม่ได้คิดอยากจะมีเรื่องกับเขา มันเป็นธรรมชาติของหมาจร พวกมันไม่กัดกับหมาที่ตัวใหญ่กว่า และมันไม่กัดกับหมาที่ดุกว่า
จนกระทั่งฝูงหมาสลายตัว
ฉันเหลือบสายตาไปหาฌองที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นห้อง และเขามองมาที่ฉัน ไร้ซึ่งคำพูดใด ไม่มีการขอบคุณ ไร้ซึ่งคำขอโทษ --- อัลเลย์เดินเข้าไปช่วยดึงฌองขึ้นมาจากพื้น และฉันวางไม้กายสิทธิ์ของฌองลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดจากับใครแม้แต่คนเดียว
ในวินาทีนั้น ฉันรู้สึกเกลียดฌอง เกลียดเขาพอๆ กับฝูงหมาจรที่ไล่กัดแต่พวกที่อ่อนแอกว่า เพราะสิ่งอ่อนแอช่างน่ารำคาญเหลือเกิน พวกมันเปราะบางและทำให้ฉันรู้สึกแย่ ฉันเกลียดที่จะต้องมองเห็นพวกสิ่งอ่อนแอถูกรังแกอย่างไร้ทางสู้ ฉันเกลียดเหลือเกิน ....
“เฮ้ --- ฟังที่ฉันพูดอยู่รึเปล่า” อัลเลย์เรียกฉันด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าในคราวแรก
ฉันจึงละสายตาจากฌอง
“ว่าอะไรนะ”
อัลเลย์มองที่ฉันและเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าเขาพยายามอ่านใจของฉันอย่างไรอย่างนั้น ฉันหลบสายตาจากอัลเลย์ มองไปยังสุดทางเดิน พวกกลุ่มนักเรียนช่างนินทาก็ยังคงมองฉันด้วยสายตาเหยีดหยาม
“บ้าเอ๊ย --- น่ารำคาญชะมัด” ฉันพูดออกมาจนได้ ฉันลุกขึ้นจากที่นั่งขอบบ่อน้ำพุ
“จะไปไหน” อัลเลย์ถาม
“ไปฉี่” ฉันตอบ หลังจากนั้นฉันเดินออกจากพวกเขา ผ่านกลุ่มคนช่างนินทาโดยไม่แยแสสิ่งเหล่านั้น --- และฉันขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำนานเป็นชั่วโมง เพราะมันเป็นเพียงที่เดียวเท่านั้น ที่ฉันจะได้อยู่อย่างสงบ ไม่ต้องมองเห็นสายตาซอกแซก ริมฝีปากขยับมุบมิบ และเสียงหัวเราะร้ายกาจของใครต่อใคร
ฉันมองที่บานประตู นั่งอยู่บนฝาชักโครก --- อยู่อย่างนั้นเงียบๆ --- เสียงชักโครกดังครั้งแล้วครั้งเล่าจากห้องข้างๆหรือถัดไป จนกระทั่งใกล้จะถึงเวลานัดที่เราจะไปฮ็อกส์มี้ด ฉันจึงบอกตัวเองให้ลุกขึ้นจากฝาชักโครก
เมื่อผลักบานประตูออกมา ที่ทางเดินห้องน้ำมีกลุ่มนักเรียนหญิง พวกนั้นมองมาที่ฉันเป็นตาเดียว และทันทีที่ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำ เสียงซุบซิบนินทาก็ดังไล่หลัง --- ฉันได้ยินทุกอย่างที่พวกนั้นพูด แต่ฉันก็ทำราวกับว่าฉันไม่ได้ยินอะไรเลย
“เธอคบกับแกรี่จริงๆ เหรอ” เสียงนักเรียนหญิงคนหนึ่งทักทาย
“เปล่า” ฉันตอบโดยไม่มองหน้าเธอและเร่งฝีเท้าเดินให้พ้นๆ ไปเสียที
“แล้วเธอเข้าไปในห้องของเขาจริงรึเปล่า” เธอถาม --- และเธอเดินตามฉันมา
เปล่า --- ฉันไม่ได้เข้าไปในห้องของแกรี่ ฉันเข้าไปในห้องนั่งเล่นบ้านเรเวรคลอ ไม่ใช่ห้องของแกรี่ --- มันต่างกันมาก และฉันไม่รู้ว่าทำไมอะไรๆ มันถึงแย่ลงไปเรื่อยๆ
“อย่ายุ่งกับฉัน” ฉันบอกโดยไม่มองหน้าเธอ ในตอนนั้นเธอคว้าแขนเสื้อผ้าคลุมของฉันเอาไว้ ตัวของฉันเสียหลักและหันไปตามแรงดึงของเธอ --- ฉันจึงเข้าใจ เธอคือ เอ็มม่า คิทเซน นักเรียนหญิงบ้านฮัฟเฟิลพัฟ --- และฉันเคยมีปัญหากับเธอครั้งหนึ่งเมื่อตอนปี 3 เนื่องจากอุบัติเหตุไม้ลั่นในวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด --- ใช่ --- ไอ้ไม้เจ้าปัญหานั่นแหละ --- และเธอไม่เคยฉันเชื่อเลยว่านั่นคืออุบัติเหตุ
“ทำไมล่ะ เธอมีอะไรปิดบังงั้นเหรอ” เอ็มม่ากล่าว จ้องฉันเขม็งและเผยรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้า
“ปล่อย”
“งั้นก็คงจริงสินะ” เสียงของเธอ --- ช่าง --- ยั่วโมโหฉันได้ดีจริงๆ
ฉันกระชากแขนเสื้อออกจากมือของเธอ และเธอมองฉันด้วยใบหน้าถมึงทึง --- เอ็มม่า --- ฉันรู้ว่าฉันเคยทำให้เธออับอายขายหน้าอย่างมาก และเธอคงรอเวลาที่จะย่ำฉันให้จมดิน น่าเสียดายที่ฉันยังไม่พร้อมจะถูกย่ำในตอนนี้ --- ดังนั้นสิ่งที่ฉันจะทำก็คือ --- มองไม่เห็นเธอ เอ็มม่า
ฉันหันหลังให้เธอและเดินออกมาราวกับว่าเธอเป็นเพียงอากาศ และนั่นคงจี้ใจเธอน่าดู
“เด็นเซากีโอ !” เสียงเธอแผดแหลม
“โพรเทโก้ !” คาถาของเธอถูกฉันสะท้อนกลับไป และแสงวาบจากแรงปะทะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เอ็มม่าปลีกตัวหลบออกจากแรกปะทะนั้นและใครบางคน --- ใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอก็โดนคาถานั้นซัดเข้าไปเต็มๆ เขากระเด็นเหมือนถูกถีบลงไปนั่งที่พื้น และเมื่อแรงปะทะจบลงเขาค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นด้วยใบหน้ามึนงง พร้อมกับฟันหน้าที่ค่อยๆ โตขึ้นจนดู --- ตลกพิลึก
“พวกเธอฮำว่ายะไยยัน” พวกเธอทำบ้าอะไรกัน --- ฉันคิดว่าฌองตั้งใจจะพูดอย่างนั้น แต่เป็นเพราะฟันที่แน่นเต็มปากจึงทำให้เขา --- ว่าแต่ ทำไมฌองถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ ?
“ทาลันท !” “หยึด...” ยังไม่ทันที่เอ็มม่าจะร่ายคาถาจบดี มือที่กวัดแก่วงไม้ของเธอก็ถูกฌองจับไว้ และ --- ฌอง --- นายยังพูดให้ชัดไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป ! กล้าดียังไงมาขัดขวางความงี่เง่าของเอ็มม่า !
“มันไม่ใช่ธุระของนาย ฌอง !” เธอตวาดใส่เขาพร้อมกระชากมือเธอออก
“อู้แวว แอ ---- โอ้ะ” คราวนี้ฉันฟังไม่รู้เรื่อง --- ฟันหน้าของฌองทั้งแผงขยายใหญ่ขึ้นจนเหมือนหนูแกสบี้ และฉันเริ่มห่วงว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ฌองยกมือขึ้นกุมที่ใต้คางและหยีตาลง ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังเจ็บอยู่รึเปล่า เพราะเขาหยุดพูดลงไปแล้ว --- เอ็มม่าค่อยๆ ถอยห่างจากฌองทีละนิด --- สีหน้าเธอดูเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
“ฌอง นายควรไปห้องพยาบาลนะ” ฉันบอก เขาส่ายหน้าพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เอ็มม่า ก่อนจะสะบัดมือเป็นเชิงไล่ --- เอ็มม่าไม่โต้ตอบใดๆ และฉันคิดว่าเธอเริ่มกังวลว่าฌองจะได้รับอันตราย เพราะในตอนนี้ใบหน้าของฌองเริ่มผิดรูปร่างจนดูเหมือนว่า มันอาจทำให้เขาตายได้ ฉันจับที่ไหล่ของฌองและเขย่าเบาๆ เพื่อเรียกให้เขาเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไปนาน --- และ ---
ฌอง --- อยู่ๆ เขาก็ล้มลงบนพื้น ก่อนจะแน่นิ่งไป --- ฉันรีบย่อตัวตามลงไปดู พยายามเขย่าตัวเขาหลายครั้ง แต่ไม่มีทีท่าว่าเขาจะตอบเลย --- ฉันมองไปที่เอ็มม่า หน้าของเธอซีดเซียวในทันใด
“ฌอง... ฌอง !” ฉันตะเบงเสียงเรียกชื่อของเขา แต่ไร้การขานรับ
“เอ็มม่า ! รีบมช่วยกันสิ เร็วเข้า !” ฉันตะโกนบอกเธอ และมือยังคงจับที่ไหล่ของฌองเอาไว้แน่น ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคาถานี้จะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ฉันคิดว่ามันเป็นเพียงแค่คาถาที่สร้างความอับอายเท่านั้น และฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าเอ็มม่าจะร่ายคาถาที่ถูกต้อง เพราะการออกเสียงที่ผิดเพียงนิดเดียว คาถาอาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแบบที่เราไม่คาดคิดได้ง่ายๆ
“เอ็มม่า !” ฉันตะโกนอีกครั้งเพื่อเรียกสติของเธอ มือของฉันสั่นไปหมด พยายามคิดว่าควรทำอย่างไรดีเพื่อช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับเขา
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ !” เสียงเอ็มม่าแผดดังและสั่นเครือ และเมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมองอีกที เธอก็วิ่งหนีไป ฉันพยายามตะโกนเรียกให้เธอกลับมาอยู่หลายครั้ง แต่เธอไม่กลับมา ฉันจึงหันกลับมาที่ฌอง และตัดสินใจที่จะพาเขาไปส่งห้องพยาบาลด้วยตัวคนเดียว ฉันโน้มตัวลงไปดึ่งแขนของเขาและออกแรง --- ฌองสูงกว่าฉันมาก และเขาตัวหนักเอาเรื่อง ถ้าหาว่าเอ็มม่าไม่หนีไปล่ะก็ --- บ้าเอ๊ย !
“ฌอง ! --- ใครก็ได้! --- ช่วยที !” ฉันตะโกน สองมือพยายามยื้อร่างกายแน่นิ่งของฌองให้ลุกขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ขยับเลย
ได้โปรด --- ฌอง --- ได้โปรด...
“ใครก็ได้ !”
ความคิดเห็น