Chronicle of Zafena: พันธสัญญาแห่งวิญญาณ
พันธสัญญาแห่งวิญญาณ คือ พันธนาการที่ผูกมัดไว้ซึ่งดวงวิญญาณ และตราบใดที่วิญญาณยังคงจดจำได้ซึ่งสัญญา ตราบนั้นคำอธิษฐานจะเป็นนิรันดร์ไม่เสื่อมคลาย (Fantasy based on reality เคยตีพิมพ์แล้ว รีไรท์ใหม่)
ผู้เข้าชมรวม
1,382
ผู้เข้าชมเดือนนี้
20
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เรื่องราว
โลกยุคอนาคต ค.ศ. 2495 มนุษย์ได้ค้นพบอำนาจใหม่ในการควบคุมโลกที่กำลังเสื่อมทราม โดยอำนาจนั้นอยู่ภายในตัวของเราเองและเราเรียกสิ่งนั้นว่า "นิวม่า" (Pneuma) หรือ "อนุภาคแห่งชีวิต" แต่แล้ววันหนึ่ง ศาสตราจารย์อัจฉริยะ "มอร์ริเอล คาร์มินอต" ผู้ค้นพบอนุภาคนี้กลับหายสาบสูญไปท่ามกลางความสงสัยของคนรอบข้างและทิ้งลูกชายวัย 9 ปี นาม "ซิลเวีย คาร์มินอต" ไว้เพียงลำพังกับมรดกและชื่อเสียงที่มีแต่คนคอยจ้องมองอย่างหิวกระหายเหมือนจิ้งจอกผู้มากเล่ห์
เวลาผ่านไปนาน 9 ปี (ค.ศ.2525) ซิลเวียได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มผู้เพียบพร้อม ทว่าหมดสิ้นทุกความปรารถนาในชีวิต จุดมุ่งหมายเดียวของเขาคือการตามหาพ่อที่หายตัวไป ซึ่งนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่จะนำไปสู่ปัจฉิมบทแห่งตำนานซึ่งจะต้องใช้ตัวตนและวิญญาณเป็นเดิมพัน
นิยายเรื่องนี้มีทั้งหมด 6 ภาค วางเนื้อหาจนจบหมดแล้ว ภาคละ 30 ตอน
1. ปฐมบทการเริ่มต้นแห่งสัญญา
2. ความปรารถนาสีดำ
3. ผู้แทนแห่งพันธสัญญาโซเฟีย
4. ความทรงจำที่สาบสูญ
5. แด่หัวใจที่บริสุทธิ์
6. พันธสัญญาแห่งวิญญาณ
ภาพประกอบทั้งหมดวาดโดย Whitememo เพื่อประกอบนิยายเรื่อง Chronicle of Zafena: พันธสัญญาแห่งวิญญาณ เท่านั้นค่ะ
ผู้เขียนพร้อมรับคำติชมเพื่อการพัฒนาเสมอ
E-mail : whitememoryz@gmail.com
Facebook : facebook.com/whitememo
ผลงานอื่นๆ ของ Whitememo ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Whitememo
"เป็นเรื่องที่บรรยายความรู้สึกดีมาก"
(แจ้งลบ)เวลาที่ตัวละครต้องทำอะไรหรือตัดสินใจอะไรนั้น สำหรับบางเรื่องอาจแค่บอกความรู้สึกโดยรวมแล้วก็ให้ตัวละครตัดสินใจไปตามพล็อตเรื่อง แต่สำหรับเรื่องนี้ รู้สึกราวกับว่าเราได้ไปนั่งอยู่ในจิตใจของตัวละคร ตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร สับสนยังไงบ้าง จนทำให้เราเข้าใจถึงจิตใจของตัวละครได้อย่างดี จากบางทีถ้าเป็นเรื่องอื่นเราอาจมองว่าคนๆนี้ทำไมเห็นแก่ตัวจัง แต่พอมา ... อ่านเพิ่มเติม
เวลาที่ตัวละครต้องทำอะไรหรือตัดสินใจอะไรนั้น สำหรับบางเรื่องอาจแค่บอกความรู้สึกโดยรวมแล้วก็ให้ตัวละครตัดสินใจไปตามพล็อตเรื่อง แต่สำหรับเรื่องนี้ รู้สึกราวกับว่าเราได้ไปนั่งอยู่ในจิตใจของตัวละคร ตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร สับสนยังไงบ้าง จนทำให้เราเข้าใจถึงจิตใจของตัวละครได้อย่างดี จากบางทีถ้าเป็นเรื่องอื่นเราอาจมองว่าคนๆนี้ทำไมเห็นแก่ตัวจัง แต่พอมาอ่านซาฟีน่านี้ แม้จะเป็นการตัดสินใจทำนองเดียวกันแต่เราก็ว่าเขาไม่ลง เพราะรู้ได้ว่าคนๆนั้นหนักใจขนาดไหน จิตใจบอบช้ำมามากเพียงใด ต้องเจอกับความกดดันต่างๆนานาที่ถ้าเราไปอ่านที่อื่นจะแทบไม่มีใครบอก นี่ถือเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของพี่ออย(Whitememo)เลยทีเดียว อ่านน้อยลง
Snowvia[^ice^] | 20 ก.พ. 52
74
3
"วิจารณ์จาก MrPoseidonSon"
(แจ้งลบ)นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ผมกล้ารับประกันว่าผู้เขียนมีความตั้งใจดีสำหรับผลงานคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นการลำดับขั้นของเรื่อง ความประณีตของลายละเอียดในแต่ละส่วน ปมปริศนาและการคลี่คลาย ทุกสิ่งมีช่องของความพอดีอย่างดีเยี่ยม อ่านแล้ว แสดงความคิดเห็น กล่าวชม ติเตียน แม้แค่คำว่า ’สนุกดี’ หรือแค่ ’ติดตามต่อตอนไป’ มันก็เป็นกำ ... อ่านเพิ่มเติม
นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ผมกล้ารับประกันว่าผู้เขียนมีความตั้งใจดีสำหรับผลงานคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นการลำดับขั้นของเรื่อง ความประณีตของลายละเอียดในแต่ละส่วน ปมปริศนาและการคลี่คลาย ทุกสิ่งมีช่องของความพอดีอย่างดีเยี่ยม อ่านแล้ว แสดงความคิดเห็น กล่าวชม ติเตียน แม้แค่คำว่า ’สนุกดี’ หรือแค่ ’ติดตามต่อตอนไป’ มันก็เป็นกำลังใจที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้เขียน ที่จะทำให้นิยายดีๆ หนึ่งเรื่องเดินทางไปจนจบครับ วิจารณ์ Zafena พันธสัญญาแห่งวิญญาณ 22 Sep 2013 อันดับแรก ผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมไม่มีเจตนาที่จะทำให้นิยายของคุณเสื่อมเสีย คำวิจารณ์ทั้งหมด มาจากความคิดของผู้วิจารณ์ นั่นก็คือ MrPoseidonSon แต่เพียงผู้เดียว ถ้าคำวิจารณ์นี้ ทำให้ผู้เขียนนิยายรู้สึกแย่ ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ เรื่องย่อ ศาสตราจารย์เมอร์ริเอล เจ้าของทฤษฎีแนฟม่าและสร้างสถาบันเมอร์ริเซนต์ หายตัวไปอย่างลึกลับนาน 9 ปี ทำให้ซิลเวีย ลูกชายของศาสตราจารย์คนนี้จนปัญญาตามหา แต่ถ้าจะมีหลักฐานสักชิ้นที่สามารถตามรอยการหายตัวของพ่อเขาได้นั้นก็คงเป็น เคอร์เซอร์ บุคคลที่ทำงานในสถาบัน เวลาผ่านไป ปมปริศนาเกี่ยวกับเคอร์เซอร์ก็เพิ่มขึ้นเมื่อ คอซ นักเรียนสาขาต่อสู้ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นผู้ที่มีฝีมือเฉียบคนหนึ่งในสถาบันหายตัวไป อาจารย์จึงเรียกประชุมนักเรียนสาขาการต่อสู้เพื่อหาวิธีป้องกัน หนึ่งในนั้นก็คือ เอมิเธียร์ ภายหลัง ซิลเวียได้รู้ว่าเธอคือลูกสาวเคอร์เซอร์ เอมิเธียร์นับว่าเป็นบุคคลแปลกคนหนึ่งในสถาบันเพราะนอกจากฝีมือการต่อสู้ที่เด็ดขาดแล้ว อารมณ์ของเธอยังน่ากลัวอีกด้วย หลังจากที่ตามคดีคอซได้สักระยะ ร่องรอยการหายของพ่อซิลเวียก็ชัดขึ้น เริ่มจากบทสนทนาทางโทรศัพท์ของสองสาวในโรงแรมแห่งหนึ่ง แม้นั่นจะเป็นการเปิดปมปริศนาเล็กๆ แต่ซิลเวียก็ไม่สามารถตามหาเจ้าของเสียงได้ ต่อมา เพื่อนสนิทของซิลเวีย มิเรียและเซนเทียร์ถูกรุมทำร้าย เซนเทียร์เจ็บหนักและได้รับการช่วยเหลือจากหญิงสาวคนหนึ่ง เช่นเดียวกับซิลเวียที่ก่อนหน้านี้มีหญิงสาวนิรนามมาเกี่ยวข้องบ่อยๆ ทำให้เขายิ่งเชื่อไปว่า คนที่ช่วยเซนเทียร์กับหญิงที่อยู่ในโรงแรมน่าจะเป็นคนเดียวกัน และความลับที่ปกปิดมานาน 9 ปีก็ถูกเปิดเผยโดยหญิงสาวที่ว่านั่น เธอคือ เพเนเซีย ฟาร์เวอเรล จากซาฟีน่า โลกคู่ขนานเรียลเวิร์ด ศาสตราจารย์เมอร์ริเอลได้เดินทางไปซาฟีน่าตั้งแต่ซิลเวียยังเป็นเด็กด้วยเหตุผลบางประการ และเคอร์เซอร์ก็รู้เช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตลอดหลายปี เคอร์เซอร์พยายามหลบหน้าซิลเวียเ แต่พอซิลเวียรู้ว่าพ่อตนเองอยู่ไหน ความปรารถนาก็มิอาจหยุดยั้งเขาได้ เขาเดินทางไปยังซาฟีน่าโดยการนำทางของ เพเนเซีย และมี มิเรีย เซนเทียร์ ฟอร์ซ (พ่อบ้านของซิลเวีย) และเอมิเธียร์ตามไปด้วย เมื่อไปถึงซาฟีน่า ซิลเวียได้รู้เรื่องที่เขาไม่เคยรู้ที่เรียลเวิร์ดมาก่อนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้ของแนฟม่าที่คนในซาฟีน่าคิด ความเชื่อหรือความศรัทธาที่เรียลเวิร์ดไม่มี อีกทั้งภูติประจำตัว แต่มันก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันก็คือ สถาบันสอนการใช้แนฟม่า โดยพ่อเขาเป็นผู้ก่อตั้ง เมื่อเขามาที่นี่ ซิลเวียได้รู้ว่าธาตุของตนเองจริงๆ คืออะไรแต่เขาก็ไม่สามาถใช้พลังของเขาได้เหมือนกับที่เรียลเวิร์ด ต่างจากเซนเทียร์และมิเรียที่มีภูติของตัวแล้ว เมื่อซิลเวียได้เข้ามาเรียนที่สถาบันเมอร์ริเซนที่ซาฟีน่า เขาได้รู้จักกับ เฟเนเซียถึงสองคน (ว่าที่ตำแหน่งผู้ปกครอง) นั่นก็คือเลสทิว เฮเอเซีย เฟเนเซียของมหานครเซเฟียส (เซเฟียเฟเนเซีย) และเฟนอส เฟเนเซียของมหานครเอเดียส (เอลเดเฟเนเซีย) โดยความเป็นมาของทั้งสองคนนี้คลุมเครือทั้งคู่ในสายตาเขา เขารู้จัก เลสทิว ได้เพราะเรียนห้องเดียวกัน ส่วนเฟนอส เพราะเขาทั้งคู่ใช้พลังแสงในสาขาการต่อสู้เหมือนกัน ซึ่งน้อยคนที่จะใช้แนฟม่าของตนเองในสาขานี้ ความหงุดหงิดใจของซิลเวียส่วนใหญ่ที่ซาฟีน่าจะเป็นเรื่อง การใช้พลังของตนเอง เพราะถ้าจะว่าไปตอนนี้เขาเปรียบเสมือนคนปกติ ที่ไม่สามารถใช้พลังได้และไม่สามารถเรียกภูติได้เช่นกัน อีกทั้งยังมีเหตุการณ์หลายๆ ครั้งที่ทำให้เขาอยู่ในสภาวะน่าอาย เช่น การเป็นลมในพิธีการเรียกภูติ จากฝีมือที่ฉกาจในเรียลเวิร์ดกลับมาเท่ากับศูนย์ที่ซาฟีน่าทำให้เขาพยายามหาคำตอบของความไร้สามารถ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ เลสทิว ได้มีโอกาสเหมาะที่จะตีสนิทโดยแสดงความตั้งใจที่จะช่วยเหลือในปัญหาของเขา เมื่อซิลเวียยอมรับในการช่วยเหลือ ทั้งหมดจึงไปบ้านพักของเลสทิว แต่ไม่ทันที่การแก้ปัญหาจะเริ่มต้นขึ้น เลขาไคล์ทมาพร้อมกับข่าวลับว่ากลุ่มรีเจนท์เริ่มเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นผลต่อตำแหน่งของเลสทิวในอนาคตและในขณะนั้น ป้อมปราการของเลสทิวก็โดนโจมตี ทั้งหมดจึงต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด เป้าหมายในการต่อสู้ในครั้งนี้คือการชิงตัว เลสทิว แต่เมื่อศัตรูสังเกตสิ่งผิดปกติ เป้าหมายจึงเปลี่ยนไปเป็นเพเนเซียแทน และอย่างที่รู้ๆ กันว่า ความสนิทสนมของเพเนเซียกับซิลเวียมีค่อนข้างมาก เพราะไม่เพียงแต่เธอเป็นคนที่ไขความลับดำมืดตลอด 9 ปีของซิลเวียให้กระจ่างทำให้เขาสบายใจ เธอยังเป็นคนที่อยู่ข้างๆ ซิลเวียและคอยช่วยเหลืออยู่เป็นระยะๆ และด้วยความรู้สึกนี้เอง ทำให้ซิลเวียสามารถใช้พลังของตนเองที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวเพื่อช่วยเหลือพวกพ้องได้สำเร็จ เมื่อการต่อสู้สิ้น ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ซิลเวียได้พบพ่อของเขาในที่สุด แต่มุมใหม่ก็ปรากฏขึ้นเมื่อศัตรูรู้ว่าใครคือ ผู้พิทักษ์พันธสัญญาโซเฟีย โครงเรื่อง ผู้เขียนลำดับของเหตุการณ์ไว้ค่อนข้างดี กล่าวเปิดทฤษฎีแนฟม่า หลักของเรื่อง และอธิบายเรื่องที่ควรรู้ไว้เป็นลำดับ ไม่แน่นจนเกินไป ทำให้ผู้อ่านเรียนรู้ตั้งแต่ 0 9 ได้ง่ายๆ ด้วยที่ผู้เขียนวางปมปริศนา (ผมคิดว่าเป็นหลักของเรื่อง) ไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ทำให้โทนเรื่องออกไปแนวสืบสวนสอบสวนในช่วงแรก อีกทั้งยังใช้หลัก ความคลุมเครือของเหตุการณ์หรือตัวละคร เพื่อเบนจินตนาการของผู้อ่าน ทำให้เรื่องราวในอนาคตที่จะเกิดขึ้นสามารถผลิกผันหรือไม่ผลิกผันได้ตลอด ตรงนี้ต้องยอมรับในฝีมือของผู้เขียนครับ ผู้เขียนผูกปมใหญ่ๆ ไว้ในแต่ละส่วนของเรื่องไม่เยอะมากนัก จึงทำให้บทต่อๆ มาสามารถคลี่คลายปมจนดูไม่รวบรัดผิดสังเกต มีการอิงสิ่งพิรุธของปมปริศนาไว้อย่างแยบยลในบทบรรยาย เมื่อเรากลับมาอ่านอีกรอบ จะรู้ว่าผู้เขียนใส่ใจรายละเอียดดีมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตอนหนึ่งของนิยาย ผมมองการวางพล็อตสำคัญไว้สองที่ นั่นก็คือ “พ่อของฉันหายไปไหน” ตัวแรกเป็นพล็อตใหญ่ที่ดำเนินมาจนค่อนเรื่องแล้วคลายปมออกมาจนหมด เหลือเพียงไม่กี่ความสงสัยที่ยังคงค้างไว้ เช่น ทำไมซิลเวียถึงต้องไปอยู่เรียลเวิร์ด หรือเรื่องของการใช้พลังจากวิญญาณ เมื่อพล็อตแรกจบลง พล็อตที่สองก็เกิดขึ้น นั่นก็คือ “ทำไมซิลเวียใช้พลังไม่ได้” พล็อตนี้มีบทค่อนข้างเยอะที่จะทำให้เรื่องดำเนินต่อไปจนจบแต่ท้ายที่สุดผู้เขียนก็มาเสนอพล็อตใหม่ โดยชื่อทิ้งท้ายว่า ผู้พิทักษ์พันธสัญญาโซเฟีย มันไปละม้ายคล้ายชื่อของนิยาย ทำให้ความสนใจในภาคต่อไปมีทวีคูณครับ แต่กระนั้นนิยายโดยส่วนใหญ่จะวางโครงเรื่องหลักไว้อย่างชัดเจน ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดนะครับ เช่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ หลักของเรื่องก็คือ เด็กชายผู้รอดชีวิตที่สามารถสยบความชั่วร้ายของพ่อมดดำแห่งยุคได้และพ่อมดร้ายต้องหาทางกลับมาแก้แค้น โดยในแต่ละตอนก็จะเป็นเรื่องรอง เมื่อเราทราบว่า พ่อมดชั่วร้ายกำลังจะกลับมา เราต้องมีคำถามว่า วิธีการไหนล่ะที่เขาจะกลับมา ดังนั้นผู้เขียนนิยายเรื่องนี้ เลยร่างวิธีโดยแบ่งออกเป็นตอนๆ ซึ่งบางตอนอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับการกลับมาแต่มันเกี่ยวข้องกับการแก้แค้นของพ่อมดชั่วร้ายหรือเกี่ยวข้องกับตัวละครหลักทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้ายอยู่ดี ทำให้คนอ่านลุ้นไปกับนิยายว่าภาคต่อไปจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร โดยที่เนื้อเรื่องในหนึ่งตอนก็สมบูรณ์แบบ อ่านจบโดยไม่คั่งค้าง ถ้าจะสรุปเรื่องแฮร์รี่ก็จะประมาณว่า ภาคหนึ่ง ลอร์ดโวเดอร์มอร์ตหาทางกลับมา โดยศิลาอาถรรพ์ แฮร์รี่ขัดขวาง ภาคสอง ลอร์ดโวเดอร์มอร์ตกลับมาในรูปแบบหนึ่ง ที่สร้างความปั่นป่วนให้แก่ฮอกวอร์ต แฮร์รี่ขัดขวางและไขปริศนา ภาคสาม สมุนคนสำคัญของโวลเดอร์มอร์ตกลับมา (ปีเตอร์ แพ็ตตริกูลว์ ) แต่มีปมของการเข้าใจผิดทำให้ทุกคนคิดว่า แบล็ก ซีเรียส ตามล่าแฮร์รี่ ภาคสี่ ลอร์ดโวลเดอร์มอร์ตกลับมา โดยความจงรักของ ปีเตอร์ แพ็ตตริกูลว์ ที่สละเนื้อ แฮร์รี่เผผชิญหน้าทำให้โวลเดอร์มอร์ตเริ่มคิดถึง ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ เพราะไม้ของแฮร์รี่และโวลเดอร์มอร์ตทำอะไรกันไม่ได้ ภาคห้า ลอร์ดโวเดอร์มอร์ตมีอำนาจเหนือกระทรวงเวทมนตร์ ทำให้กระทรวงปั่นป่วน เกรงกลัวเมื่อได้เห็น ทำให้แฮร์รี่เป็นเด็กขี้โกหก ภาคหก ลอร์ดโวเดอร์มอร์ตส่งสมุนเข้าแทรกซึมกระทรวง บุคคลสำคัญเสียชีวิตหลายคน สงครามของการล้างแค้นแฮร์รี่ เริ่มขึ้นพร้อมปริศนาของความอมตะของโวลเดอร์มอร์ตกระจ่างขึ้น แฮร์รี่ตามหาฮอร์ครัซ ภาคเจ็ด ปริศนาของอำนาจพ่อมดสามสิ่ง เริ่มขึ้นพร้อมๆ กับการทำลายความเป็นอมตะของโวลเดอร์มอร์ต เห็นไหมครับ ทั้งหมด เกี่ยวกับโวลเดอร์มอร์ต และแฮร์รี่ แม้มันจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เจเคก็ใส่ความน่าสนใจผ่านปมปริศนาแต่ละจุดของแต่ละภาคได้อย่างเชื่อมโยงและน่าอัศจรรย์ ไม่ใช่ว่านิยายเรื่องนี้ไม่มีโครงเรื่องหลัก แต่กว่าเราจะรู้โครงเรื่องหลัก (ซึ่งจะใช่โครงเรื่องหลักหรือเปล่าก็ไม่รู้) ก็เกือบจนจบภาคหนึ่ง เพราะสิ่งที่เราได้รับตั้งแต่ตอนแรกไม่ใช่โครงเรื่องแท้จริง มันเป็นเพียงเส้นทางไปสู่โครงเรื่องซึ่งดำเนินมาหนึ่งเล่มเต็มๆ นิยายเรื่องนี้จึงอยู่ในลักษณะที่เดินหน้าไปเรื่อยๆ โดยเราไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งมันก็เป็นข้อดีอีกแบบหนึ่งของการเขียนนิยาย เพราะทำให้คนอ่านอยากติดตามและไม่สามารถเดาตอนจบได้ แต่ข้อเสียของการเขียนนิยายแบบนี้ก็คือ จะไม่สามารถหาจุคพีคหรือความยิ่งใหญ่ที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึก Wow กับนิยายได้ เพราะมันจะมีปมต่างๆ ที่ต้องแก้จากส่วนที่ยังไม่ได้คลี่คลาย โดยปมต่างๆ นั้นดูเหมือนจะสำคัญเท่ากันทั้งหมด อย่างเช่น พ่อฉันหายไปไหน (จากจุดแรกที่ผมอ่าน ผมคิดว่ามันคือโครงเรื่องหลักและจะนำตัวเอกเข้าสู่เรื่องราวผจญภัยตามหาพ่อ) หรือ พลังซิลเวียใช้ไม่ได้ และอย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า ผู้เขียนเปิดเผยโครงเรื่องต่อไปคือ ผู้พิทักษ์พันธสัญญาโซเฟีย ตัวผมก็ยังลังเลใจว่า เนื้อเรื่องทั้งหมดที่เหลือต่อจากนี้จะเกี่ยวกับ ผู้พิทักษ์พันธสัญญาโซเฟีย ตามชื่อมากน้อยเพียงไหน เพราะตัวเอกที่นำมาทั้งเรื่องคือ ซิลเวีย ตัวละคร ในส่วนนี้ ผมขอเริ่มจากการตั้งชื่อตัวละครเลยนะครับ ชื่อตัวละครยังไม่ทำให้ผมฟินเท่าที่ควร บางชื่ออ่านแล้วสับสน ต้องจดหรือไม่ก็กลับไปอ่านอีกรอบให้รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่ใช่เฉพาะชื่อตัวละครอย่างเดียว มันรวมไปถึงชื่อชื่อเมืองและสถานที่ ชื่อที่ปรากฏ ทำให้ผมนึกถึงหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นแนวตะวันตกแต่ยังใช้ชื่อเฉิ่มๆ ผมว่าสำเนียงภาษาที่ใช้เกือบจะทั้งเรื่องนี้ ออกไปแนวรัสเซีย (นี่เป็นความรู้สึกนะ) อีกทั้งเสียงของคำว่า เฟอะ กลายเป็นชื่อสำคัญเยอะมาก จนงงว่า ใครเป็นใคร (เพเนเซีย เฟเนเซีย ซาฟีน่า เซเฟียส เฟนอส) หรือเสียง เอีย ที่เยอะจนน่าใจหาย ถ้าจะมีสักคนในนิยายที่ทำให้ผมจำได้ทันที ก็คงเป็น เจค ครับ ที่ผมพูดเรื่องนี้มาก็เพราะว่า ผม ในฐานะ คนวิจารณ์ผลงาน ต้องเก็บรายละเอียดในเรื่องให้มากกว่าคนอ่านทั่วไป ซึ่งผมต้องใช้เวลาเยอะพอตัว กว่าจะจำชื่อทั้งหมดได้ มันเป็นเรื่องน่าเบื่อครับ แต่ผมก็ต้องทำเพราะมันเป็นหน้าที่ แต่สำหรับคนอ่าน มันไม่ใช่หน้าที่ของนักอ่านที่จะต้องมานั่งเก็บรายละเอียดมากขนาดนี้ เขามีหน้าที่ซึมซับความสนุกจากนิยาย และถ้าผู้เขียนทำให้ชื่อในนิยายดูง่ายมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะเข้าใจและจำชื่อตัวละครของเราได้ไวเท่านั้น และมันก็เป็นผลดีที่คนจะจำนิยายเรา เพราะผมเห็นว่านิยายดังๆ หลายเรื่อง ชื่อตัวละครเป็นที่จดจำง่ายมาก บุคลิกตัวละคร ทางกายภาพชัดเจนมากครับ นิสัยตัวละครแยกแยะดี ไม่ต้องอธิบายถึงสีผม คนอ่านก็รู้ว่าใครทำอะไร ใครพูดกับใคร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยังไม่เห็นจากตัวละครก็คือ จุดอ่อน ทุกคนดูเก่งและกล้าหาญกันไปหมด บางคนก็ร่าเริงจนไม่รู้เวล่ำเวลา แต่ถ้าจะมีปมของคนสักคนก็คงจะเป็น ซิลเวีย ที่ถูกทอดทิ้งจนทำให้ไว้ใจใครยาก และมันก็คือ จุดอ่อน ของตัวละครที่สามารถทำให้ศัตรูปั่นหัวได้ง่ายๆ แต่สำหรับตัวละครตัวอื่น ยังคงไม่เห็นครับ เมื่อพูดถึงตัวละคร ผมขอชมเชยผู้เขียนที่สร้างนัยยะแฝงผ่านตัวละครได้อย่างดี ทำให้เดาได้ยากว่า ใครดี ใครร้าย อย่างไรก็ตาม เหตุของนัยยะแฝงนี้ก็ผ่านมาจากความคิดของตัวซิลเวียเอง ซึ่งเขาคือตัวละคร แต่ถ้าจะมองในมุมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมยังไม่เห็นใครที่ทำตัวพิรุธนอกจาก เอมิเธียร์ ที่หายไปค่อนเรื่องหลัง ตัวละครในเรื่องนี้มีเยอะพอสมควร ทำให้การส่งบทในแต่ละคนยาก หรือแม้ว่าผู้เขียนพยายามส่งบทให้ครบทุกคนโดยแยกเขาออกจากกัน เหตุผลก็ยังไม่ดีเพียงพอครับ ยกตัวอย่างเลยละกัน บทของเอมิเธียร์ที่หายไปดื้อๆ ผู้เขียนทำให้เอมิเธียร์โดดเด่นในช่วงแรก โดยการต่อสู้และแสดงออกทางความรักแก่ซิลเวีย อาจจะเพราะ รักจริงๆ หรือด้วยเหตุผลอื่นก็ตาม แต่พอพอพ้นประตูเรียลเวิร์ด เอมิเธียร์กลับไม่มีบทบาทใดๆ ในบทหลังเลย (มีนิดๆ ที่เข้ามาเรียน) ทั้งๆ ที่เธอมากับซิลเวียร์ ไม่ว่าภารกิจอะไรก็ตามที่เธอแอบไปทำ ทำไมซิลเวียไม่เอะใจว่าใครอีกคนที่ตามมาหายไป ไม่มีการถาม พูดคุย หรือกล่าวถึงเอมิเธียร์เลย ในความเป็นจริง เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ตัดมิเรียออกจากฉากไปเพราะตามแม่ไปปรับความเข้าใจกับพ่อ ถ้ากลับไปอ่านบทตรงนั้น จะรู้ว่ารายละเอียดมีค่อนข้างเยอะ ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องลดตัวละครลง มันไม่ผิดครับเพราะนักเขียนส่วนใหญ่ก็ทำกัน แต่มันแปลกที่ทุกอย่างมันดูง่ายดายไป พ่อของมิเรียเป็นคนธรรมดา เลิกรักกับแม่มิเรีย แล้วแม่มิเรียก็หอบลูกหนึ่งคนหนีจากเรียลเวิร์ด เหตุผลก็คงมาจาก พ่อของมิเรียแต่งงานใหม่ คือ แม่รู้ได้ไง ว่าพ่อแต่งงานใหม่ เดาเอา หรือว่าอะไร แล้วถ้ากว่าสิบปีที่ไม่เจอกัน ความรู้สึกของความรักอาจไม่มีแล้ว มันง่ายที่จะกลับไปปรับความเข้าใจเพราะความเข้าใจผิดเหรอครับ หรือถ้ายังรักอยู่ ตัวแม่เองต้องกลับไปสอดแนมสิว่าจริงๆ พ่อแต่งงานไหม แล้วที่บอกว่า พยายามกุมความลับของซาฟีน่าไว้ ผมมองว่าคงไม่ใช่อีกต่อไปในเมื่อ เข้าออก กันเป็นว่าเล่นขนาดนี้ แต่ก็มีฉากหนึ่งที่บอกว่า มิเรีย คุ้นๆ กับบ้านที่ซาฟีน่า ดังนั้น คำถามเลยเกิดว่า เอ๊ะ นี่อยู่ที่ซาฟีน่าทั้งคู่แล้วพ่อของมิเรียหนีแม่ หรือทั้งคู่อยู่ที่เรียลเวิร์ดแล้วแม่หนี แต่ถ้าแม่หนีแล้วทิ้งมิเรีย ทำไมมิเรียรู้สึกคุ้นกับบ้าน แล้วถ้าอยู่ที่ซาฟีน่า ทำไมพ่อไม่ตามไปเจอแม่ที่ซาฟีน่าเลยล่ะเพราะมิเรียเป็นคนบอกเองว่ายังรักแม่มาก หรือ การแบ่งบทตัวละครในการต่อสู้ เห็นได้ชัดจากการต่อสู้ที่บ้านเลสทิว ซิลเวีย เป็นเพื่อนรักของมิเรียและเซนเทียร์ แต่เขาทิ้งทั้งคู่ให้ต่อสู้ แล้วคุ้มกัน เลสทิวที่เพิ่งเจอกันไม่นาน การแบ่งฉากตัวละครเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามันมากับความขัดแย้งในลักษณะของความสัมพันธ์ในเรื่อง ผมว่า มันไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีทางเป็นไปไม่ได้ ทำไมไม่ให้ใครหนึ่งคนออกไปสู้ แล้วสถานการณ์ดูเหมือนไม่ไหวแล้วจึงมารายงานให้เลสทิวหนีไปทั้งหมด ที่เหลือจะถ่วงเวลาไว้ อะไรแบบนี้ การใช้ภาษา การบรรยายส่วนใหญ่ในเรื่อง บางช่วงผู้เขียนให้คำพรรณนาถึงสถานที่ได้เฉียบคมรับ ทำให้เห็นภาพและรู้สึกคล้อยตามตัวละครได้เลย แต่บางช่วง ผู้เขียนอธิบายการกระทำของกริยามากกว่า ซึ่งบางจุดมันห้วนไป ถ้าพูดถึงการมองเห็นภาพ นี่ก็ชัดเจนอยู่ แต่ถ้ามองความเป็นอันหนึ่งอันเดียวในตัวภาษาทั้งหมดของเรื่อง ยังสะดุดอยู่เมื่อมุมมองของนิยายยังเป็นบุคคลที่ 3 คำผิด ปกติผมไม่ค่อยเช็คให้นะครับ เพราะผมมองว่าคนเขียนนิยายต้องใส่ใจกับนิยายของตนเองส่วนหนึ่งและว่าด้วยเรื่องการสะกดคำ มันคือความสำคัญอันดับต้นของการเขียนนิยาย เพราะฉะนั้นต้องดูแลนิยายของเราเองครับ แต่ถ้าคำไหนที่ผมคิดว่าผู้เขียนเขียนผิดเพราะความไม่รู้มากกว่าความบังเอิญในการเขียนผิดเอง นั่นผมจะย้ำให้ครับว่าคำที่ถูกคืออะไร แต่กับนิยายเรื่องนี้ ผมอ่านมาแล้วยังไม่เจอคำผิดเลยหรือถ้ามีผมก็คงจะไม่รู้ว่ามันผิด จะเจอก็แต่คำที่เขียนพลาด เช่น บทที่หนึ่ง ธรรมชาติ หรือคำกำกวมในแง่ความหมาย แซนด์วิชไข่คนผสมชีส -- นี่ถึงขนาดกินไข่คนเป็นอาหารเช้าเลยเหรอครับ ส่วนคำผิดก็คือ ผมบลอนด์ เขียนแบบนี้ครับ ฉากที่บรรยายยากที่สุดของนิยายแฟนตาซีก็คือ ฉากต่อสู้ครับ เพราะคนเขียนจะมองภาพออกว่าการต่อสู้ของตัวเองเป็นไปในทิศทางไหน แต่ทว่า ผู้เขียนต้องส่งภาพที่เรามีผ่านตัวอักษรที่มีข้อจำกัดมากมายเพราะถ้าเราจะบรรยายให้เห็นภาพแบบทะลุปรุโปร่งเลย คำบรรยายก็จะมีมากกว่าปรกติ ซึ่งทำให้นิยายเฉื่อยได้มันไม่รวบรัด ยิ่งอ่านยิ่งเฉื่อย และมีหลายฉากเลยที่ผมไม่ค่อยได้สนใจอ่านบทบู้สักเท่าไหร่ ผมแค่เก็บรายละเอียดว่าใครต่อสู้กับใครมากกว่า แต่มันก็ทำให้ผมเข้าใจเนื้อเรื่องได้ครบถ้วนดี เพราะอาจจะผู้เขียนสามารถสรุปฉากการต่อสู้ไว้ค่อนข้างดี ไม่ไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ ส่วนมุมขันในบทนิยายถูกปล่อยมาเป็นระลอกๆ ครับแต่ด้วยโทนเรื่องหนักไปทาง dark มากกว่า บางฉากที่มีมุขออกมาเลยทำให้ยังไม่คล้อยตามครับ เหมือนถูกวางไว้ไม่รู้เวลา แต่อาจจะเป็นเพราะนิสัยของตัวละครด้วยก็ได้ ถ้าจะให้ความขำขันในเรื่องนี้ ก็คงประมาณอ่านแล้วยิ้ม สามารถคลายความเครียดได้ ท้ายสุดผมขอแวะเข้ามาถึงวิธีการเขียนของผู้เขียนหน่อยนะครับ เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วง รู้สึกว่าจะผู้เขียนจะเป็นคนกำหนดเองซะส่วนใหญ่ มันไม่ได้มาจากความจงใจของตัวละครที่จะทำให้มันเป็นแบบนี้ (เข้าใจที่ผมเข้าใจไหมหว่า) เช่น ฉากต่อสู้ระหว่างผู้ร้ายกับเซนเทียร์และมิเรีย เท่าที่ผมอ่านแล้วเข้าใจ มันไม่ค่อย make sense สักเท่าไหร่ ในเมื่อทั้งสองคนต่างเก่งทั้งคู่ เพราะเขาก็บอกเองว่าสามารถโค่นนักเรียนสาขาต่อสู้ที่ติดอันดับหนึ่งในสิบได้ เพราะฉะนั้นถ้ารวมแรงกันสองคน น่าจะเอาอยู่ ไม่ง่ายดายขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีมุมให้คิดว่า มิเรียอาจจะยังวุ่นต่อสู้อยู่กับอีกคน แต่ฉากที่บอกว่า มิเรียกรีดร้องออกมาหมายจะเข้าไปช่วย ตรงนี้อธิบายได้ไม่ค่อยชัดเจนครับว่า ก่อนหน้านั้น มิเรียทำอะไรอยู่ แล้วสรุปมีคนร้ายกี่คน คนหนึ่งสู้กับมิเรีย แล้วอีกคนสู้กับเซนเทียร์ หรือเปล่า แล้วอีกคนไปไหนหลังจากโดนแส้ตวัดใส่หน้าไป หรือว่าคนที่ใช้แส้เป็นคนเดียวกับที่จัดการเซนเทียร์ ในขณะที่เซนเทียร์นอนอยู่ มิเรียจึงวิ่งเข้าไปช่วย แต่ทำไม มิเรียไม่ช่วยตั้งแต่ตอนแรก ในขณะที่มิเรียสลบ เซนเทียร์หนีมิเรียเอาตัวรอดแล้วลงไปท่อน้ำเหรอครับ เพื่อให้หญิงนิรนามรักษาและเซนเทียร์ก็จำเสียงเธอได้ในเวลาต่อมา หรืออย่างฉากต่อสู้ที่บ้านเลสทิว แก่นเรื่อง นิยายเรื่องนี้สอดแทรกทัศนคติและความเชื่อไว้เป็นอย่างดี กล่าวถึงสองโลกที่แตกต่างกันสุดขั้ว โลกที่ไร้ความศรัทธากับโลกที่ยังคงมีความเชื่อ เป็นการเสนอแนวคิดที่ดีมาก เพราะทุกวันนี้ มนุษย์เราขาดความศรัทธาในธรรมชาติกันไปหมดแล้ว และเมื่อเรายังเป็นกันอยู่แบบนั้น อนาคตของโลกเราคงไม่ต่างจากเรียลเวิร์ด หวังว่า ไม่มากก็น้อยที่นิยายเรื่องนี้จะปลูกฝังเรื่องดีๆ ให้กับผู้อ่านครับ เพิ่มเติม (ส่วนนี้เป็นข้อสงสัยเล็กๆ น้อยๆ ครับ) นักเรียนในสถาบันมีเยอะจนไม่รู้จักกันเลยเหรอครับเพราะตอนที่เปิดตัวเอมิเธียร์ นักเรียนชั้นปี 13 รู้จักเธอดี แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด นักเรียนชั้นปี 12 กลับไม่รู้จักเธอ (หรือแค่ซิลเวียคนเดียว) เหมือนไม่ได้เรียนโรงเรียนเดียวกัน ทำไมเพเนเซียต้องไปทำงานแจกตั๋วที่กรีนแลนด์อ่ะครับ มันน่าแปลกอยู่ที่ทุกคนอยากปิดเรื่องซาฟีน่าไว้ แต่กลับยังมีคน เดินผ่าน ได้ง่ายๆ เช่น เพเนเซีย (คือเหตุผลจริงๆ ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป ผมยังคลุมเครืออยู่ ละม้ายผมเข้าใจว่า พวกเพเนเซียเข้ามาจับคนจากเรียลเวิร์ดไปทดลองและเพเนเซียก็เป็นหนึ่งในทีมงานนั้น แต่ก็มีอยู่บทหนึ่งที่เพเนเซียบอกว่า ทางเข้าซาฟีน่ามีทางเดียว ต้องเดินผ่านห้องสีขาว แล้วทำไมคนร้ายถึงเดินผ่านออกซาฟีน่าได้อย่างง่ายดาย) เอเมอร์รีน ประธานชมรมหนังสือพิมพ์ถามเพเนเซียว่า ซิลเวียกลับมาจากเรียลเวิร์ด เพราะฉะนั้น ซิลเวียก็ต้องอยู่ที่เซฟีน่ามาก่อน ผมยังไม่ค่อยเข้าใจระบบการปกครองที่ซาฟีน่า ผู้เขียนกล่าวไว้กว่า เลสทิว เป็นเซเฟียเฟเนเซียที่ซึ่งหมายถึง กษัตริย์คนต่อไปที่จะปกครองมหานครใหญ่ในซาฟีน่า นั่นก็คือ เซเฟียส แต่ผมยังมีความขัดข้องในประโยคนี้ครับ ’เพราะตามกฏเลสทิวเองก็ใกล้วัยที่ต้องขึ้นดูแลรัฐเซฟิเลีย ’ ’รัฐเซฟิเลีย เป็นหนึ่งใน 36 รัฐภายใต้การปกครองของมหานครเซเฟียส’ เพราะฉะนั้น เฟเนเซียต้องมี 36 คนเหรอครับในรัฐเซเฟียส แล้วสรุป เลสทิวเป็น เฟเนเซียของเซเฟียสที่ต้องปกครองที่รัฐ เซฟิเลีย แล้วรัฐอื่นๆ คนอื่นปกครองเหรอครับ ส่วนเรื่อง เอลเดเฟเนเซีย กับ เซเฟียเฟเนเซีย คำว่า เอลเด คงจะหมายถึง เอเดียส เช่นเดียวกับ เซเฟียที่เหมือนถึง เซเฟียส ผมสงสัยเรื่องตัวย่อของหน่วยกองกำลังป้องกันและปราบปรามพิเศษแห่งฟาร์เกซโดยถูกใช้ตัวย่อว่า ESFAF ถ้าเรามองในมุมของคำอ่าน ใช้ได้เลยครับ แอสฟาฟ หรือ จะออกเสียงอย่างไรก็ตาม มันให้ความสมจริงเหมือนกันองค์กร NATO หรือ SWAT แต่ผมไปสะดุดตัว A ที่ถอดมาจากคำว่า and เพราะฉะนั้น มันก็ไม่มีความหมายและสื่อถึง Tactics of Fargaze ผมว่าตรงนี้ลองไปแปรความหมายมาใหม่ก็ดีนะครับ อย่างคำว่า Elite ผมมองว่ามันยังไม่ค่อยจำเป็นที่จะเอามาใส่เพราะคนที่จะทำงานในองค์กรนี้ได้ก็ต้องถูกคัดกรองมาจากสถาบันมอร์ริเซน ดังนั้นโดยชื่อน่าจะถูกสงวนกับคนที่ไม่ธรรมดาและต้องเก่งโดยนัยยะอยู่แล้ว และถ้าตัดออกทั้งแบบที่ผมว่า ก็จะได้ SFTF ซึ่งก็จะไปละม้ายคล้ายตัวย่อของ CIA หรือ FBI ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้เขียนครับ ที่กล่าวมาแค่คำแนะนำเท่านั้น ท้ายสุด ขอบคุณที่ให้ผมได้เข้ามาอ่านนิยายดีๆ แบบนี้ เชื่อว่า นิยายเรื่องนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนที่เริ่มต้นสามารถนำความรู้และเทคนิคในนิยายนี้ไปใช้ได้ในอนาคตครับ MrPoseidonSon อ่านน้อยลง
MrPoseidonSon | 22 ก.ย. 56
9
0
"Nattary' CLUB"
(แจ้งลบ)ถือว่าเป็นนิยายที่น่าติดตามมากเรื่องหนึ่งนะครับคุณ ไม่ทราบว่าคุณคิดพล็อตเรื่องนานไหมแต่ดูเหมือนว่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากหลายแห่ง คุณสามารถหลอมรวมสิ่งที่อยู่ในโสตลึกของจินตนาการที่กระจัดกระจายให้เป็นหนึ่งได้อย่างดีเยี่ยม แต่ยังมีบางส่วนขัดๆอยู่บ้าง นั่นอาจจะเป็นเพราะคุณพยายามดำเนินตามเรื่องที่คุณวาดไว้ทั้งหมด คุณลองเขียนเรื่องโดยไม่สนใจแบบร่างดูนะคร ... อ่านเพิ่มเติม
ถือว่าเป็นนิยายที่น่าติดตามมากเรื่องหนึ่งนะครับคุณ ไม่ทราบว่าคุณคิดพล็อตเรื่องนานไหมแต่ดูเหมือนว่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากหลายแห่ง คุณสามารถหลอมรวมสิ่งที่อยู่ในโสตลึกของจินตนาการที่กระจัดกระจายให้เป็นหนึ่งได้อย่างดีเยี่ยม แต่ยังมีบางส่วนขัดๆอยู่บ้าง นั่นอาจจะเป็นเพราะคุณพยายามดำเนินตามเรื่องที่คุณวาดไว้ทั้งหมด คุณลองเขียนเรื่องโดยไม่สนใจแบบร่างดูนะครับ ประมาณว่าเขียนไปเรื่อยๆ คิดอะไรออกก็ลองเขียนลงไป เนื้อเรื่องจะมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ภาษาที่ใช้เหมาะกับนิยายแนวนี้ดีแล้วครับ ส่วนที่ผมชอบที่สุดคือการที่คุณเริ่มทำให้เรื่องมีความน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งอ่านไปยิ่งมีอะไรให้ค้นหา ซึ่งมันจะทำให้นิยายของคุณสามารถตรึงให้คนอ่านได้ไม่รู้จักเบื่อ เริ่มจากตอนแรกๆ ที่มีเงื่อนงำ จนได้เบาะแสและนำไปสู่การผจญภัยในตอนต่อๆไป ตัวผมและทีงานทุกคนในคลับขอเป็นกำลังใจให้นะครับ อ่านน้อยลง
ญาณัท | 14 ต.ค. 55
8
0
ดูทั้งหมด
ความคิดเห็น