ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] ซวยฉิบหาย! ผมกลายเป็นเมียเขา [จบจ้า]

    ลำดับตอนที่ #58 : Rule 43 : รักพี่ต้องอยู่ด้วยกัน 100%

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.62K
      84
      9 พ.ค. 56

    04/05/13
    Rule 43 : รักพี่ต้องอยู่ด้วยกัน





                    “อ๊ากกกกก! หนอน...หนอน!! อ๊ากกกกกก!!” ขณะที่กำลังเริ่มเกี่ยวข้าวหลังจากที่ได้รับการฝึกสอนจากคนงานมาแล้วไอ้พี่เสือก็แหกปากร้องไห้พลางดิ้นไปมาเหมือนคนกลัวอะไรบางอย่างจนก้าวไม่ออก  เมื่อได้ยินพี่เสือกรีดร้องว่ามีหนอนคนข้างๆ ผมก็ขยับเข้ามาใกล้พลางเกาะไหล่ผมแน่น

                    “ไอ้เสือดำ  กลัวอะไรกะอีแค่หนอนวะ?” ไอ้คิมทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะจับหนอนนาข้าวขึ้นมาเล่นเอาไอ้พี่เสือช็อคจนอ้าปากค้างไปเลยครับ  และเมื่อมันเห็นว่าพี่เสือกลัวมากมันจึงรีบโยนหนอนทิ้งไปไกลๆ

                    “พี่ลัน...กลัวเหมือนกันเหรอ?” ผมแอบชำเลืองมองพี่ลันที่เกาะไหล่ผมอยู่ก่อนจะพบว่าพี่ลันหน้าซีดเผือดไปเลยล่ะครับ

                    “มัน...น่าขยะแขยง” พี่ลันเริ่มระแวงว่าจะมีหนอนอยู่ใกล้ๆ ตัวเองหรือเปล่าจึงหันซ้ายหันขวา

                    “งั้นขึ้นไปนั่งก่อนดีกว่าครับเพราะมันไม่ได้มีตัวเดียวแน่ๆ” ผมจับมือพี่ลันที่เกาะไหล่ของตัวเองเอาไว้ก่อนจะพาพี่มันขึ้นไปนั่งใต้ร่มไม้รวมกับพวกยายที่กำลังจัดแจงหาอาหารเอาไว้เพราะวันนี้เราจะทานข้าวเย็นกันที่นี่

                    “อ้าว...ทำไมสองคนนี้รีบขึ้นมาจังล่ะ? เป็นอะไรหรือเปล่า?” ยายผมถามขึ้นเมื่อเห็นผมพาพี่ลันกับพี่เสือขึ้นจากนา

                    “คิก พี่เขากลัวหนอนน่ะครับ” ผมบอกพลางหัวเราะเบาๆ ทำให้พี่ลันกับพี่เสือหันมาจ้องเขม็งผมจึงรีบวิ่งกลับลงทุ่งนาเพราะกลัวทั้งสองคนจะถีบซะก่อน

                    “พี่ไอ...หมอนั่นเป็นไงบ้างครับ?” เมื่อผมกลับลงมาเกี่ยวข้าวไอ้คิมก็เดินเข้ามาถาม  สีหน้ามันดูเป็นห่วงพี่เสือสุดๆ เลยล่ะครับ

                    “ก็...ยังดูกลัวๆ อยู่นะ  ท่าทางจะกลัวมากเลยล่ะ” ผมบอกพลางแอบยิ้ม  เห็นท่าทางกวนๆ เกรียนๆ แต่ดูเหมือนไอ้คิมจะแคร์พี่เสือมากทีเดียว  มัวแต่ปากแข็งเดี๋ยวเขาก็หนีไปมีเมียใหม่หรอก ฮึๆ

                    “...” ไอ้คิมขมวดคิ้วพลางชะเง้อคอมองพี่เสือ

                    “นี่...ไปดูแลสิ  ไปแกล้งเขาไว้ท่าทางจะโกรธมากเลยนะ” ผมบอก  ก็พี่เสือดูท่าทางจะโกรธที่ไอ้คิมจับหนอนขึ้นมาให้ดูน่ะสิ

                    “ไม่เอาหรอกครับ  อยากโกรธก็โกรธไป” ไอ้คิมทำเป็นไม่สนใจทั้งๆ ที่สายตาก็ยังแอบเหลือบไปมองพี่เสือเป็นระยะๆ

                    “รู้รึเปล่าว่าพี่เสือขี้เบื่อ  ถ้ามัวแต่ทำตัวไม่รักพี่มันแบบนี้เดี๋ยวก็ไปหาคนใหม่หรอก” ผมแกล้งพูดโกหก

                    “จริงเหรอ?” ไอ้คิมหน้าตื่นทันที “งะ...งั้นผมขอขึ้นไปก่อนนะครับ” ไอ้คิมพูดก่อนจะรีบขึ้นจากนาไปหาไอ้พี่เสือที่ฝั่ง  ผมมองก่อนจะเผยยิ้มบางๆ ไอ้คิมนี่ก็น่ารักดีนะครับ  ทำเป็นไม่สนใจทั้งๆ ที่ใจอยากจะสนเขาเหลือเกิน  ไอ้พี่เสือก็ขี้แกล้ง  เข้ากันได้ดีแบบแปลกๆ จริงๆ คู่นี้




     

                    หลังจากที่ช่วยกันเกี่ยวข้าวจนเหนื่อยพวกเราก็ขึ้นมาพักทานข้าวเย็นกันครับ  ไม่รู้พวกเด็กเมืองกรุงจะหลงเสน่ห์ทุ่งนาอะไรขนาดนั้น  บอกว่าถ้ากินข้าวเสร็จจะลงไปเกี่ยวต่อ  นี่พวกเอ็งคิดว่าเรากำลังเล่นกันหรือเปล่าเนี่ย  แหม สนุกกันใหญ่เชียวนะ

                    “เหนื่อยไหม?” พี่ลันเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้ผม  ผมอมยิ้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา

                    “ไม่เหนื่อยครับ” ผมบอก

                    “ดี คืนนี้จะได้ไม่เกรงใจ” พี่ลันกระซิบบอก

                    “จะบ้าเหรอ!? ทะลึ่ง!” ผมตีแขนพี่ลันแรงๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมากับความหื่นไม่เลือกที่ของพี่มัน  ก็คืนนี้เราจะค้างกันที่บ้านตากับยายนี่ครับ ผมละอายใจ

                    พี่ลันมองหน้าผมพลางยิ้มนิดๆ ก่อนจะแอบกอดเอวเอาใจโดยไม่ให้ใครทันสังเกตเห็น  ตอนแรกผมก็ขัดอยู่หรอกแต่พอมองไปรอบๆ ไม่มีใครสนใจก็เลยปล่อยเลยตามเลย  ไอ้พี่ลันนี่ก็เหลือเกิน  หาเรื่องให้ผมเขินได้ตลอดเวลา

     



     

                    หลังจากเที่ยวเล่นกันที่บ้านตายายพวกเราก็เคลื่อนทัพกลับไปที่บ้านของผมเพื่อนอนพักผ่อนจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับโดยที่ผมกับพวกเด็กเมืองกรุงกลับไปด้วยกันส่วนไอ้เมฆกับไอ้วิทก็กลับบ้านของตัวเอง  ตอนแรกพี่ขลุ่ยตื๊อจะไปกับไอ้เมฆให้ได้แต่ไอ้เมฆมันไม่ยอมพี่ขลุ่ยก็เลยต้องนั่งรถหน้าหงอยกลับไปกับพวกผมส่วนไอ้วิทนั้นได้ลากพี่พัดไปด้วยครับ  เห็นพี่เปอร์บอกว่าจะไปกับพี่พัดด้วยแต่ไม่รู้ทำไมถึงได้กลับพร้อมพวกผม  สงสัยเปลี่ยนใจล่ะมั้ง

                    น้าชัยขับรถไปส่งคนอื่นๆ ตามบ้านของพวกเขาก่อนจะมาแวะส่งผมกับพี่ลันที่คอนโดของพี่ลัน  โถ่  แทนที่จะไปส่งผมที่หอทำไมถึงมาส่งถึงถิ่นพี่ลันแบบนี้เนี่ย  สองสามวันที่ผ่านมาพี่มันจ้องจะงาบผมอยู่ตลอดพอกลับเข้าถ้ำผมโดนขย้ำแน่งานนี้

                    “พี่เตี้ย  บอกไว้ก่อนเลยนะว่านั่งรถมาเหนื่อยๆ จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น” เมื่อหิ้วกระเป๋าเข้ามาในห้องผมก็รีบชี้หน้าพี่ลันเพื่อบอกก่อนที่พี่มันจะทำอะไรผม  ถ้าไม่รีบเตือนเดี๋ยวจะไม่ทัน

                    “จุ๊บทีหนึ่ง” พี่ลันบอกพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้  ผมถอยห่างนิดหน่อยก่อนจะยื่นหน้าไปจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากสีส้มอมชมพูของพี่ลัน  ที่จริงก็อยากจะจุ๊บอีกอยู่หรอกนะแต่กลัวเกินเลย  พี่ลันยิ่งควบคุมตัวเองไม่ค่อยจะได้อยู่ด้วย

                    “เฮ้อ ปิดเทอมแล้วก็ไม่รู้จะไปไหนเนอะ” ผมเดินไปนั่งลงบนโซฟาก่อนจะบ่นอย่างเบื่อๆ

                    “แล้วจะรีบกลับมาทำไม?  น่าจะอยู่ดูร้านช่วยแม่ไปก่อน” พี่ลันบอก

                    “ไม่ใช่ว่าสาวๆ ที่นั่นสวยหรอกนะ?” ผมเขม่นตามองพี่ลันอย่างจิกๆ  ผมกลัวนิสัยเดิมของพี่มันที่เที่ยวแจกเบอร์แจกเมล์ไปทั่วน่ะสิครับ  ยิ่งมีผู้หญิงเข้ามาเหล่แล้วยิ่งน่าห่วง  ตอนอยู่ที่บาร์ใช่ว่าจะมียัยหมิวคนเดียวนะครับที่คิดจะหลีพี่ลัน  มีอีกเยอะเลยล่ะ  ถ้าไม่ติดว่าพี่มันนั่งหลบมุมทำหน้าเหมือนคนปวดอึล่ะก็พวกผู้หญิงคงเข้าไปขายขนมจีบให้เยอะแน่ๆ

                    “กังวลด้วย?” พี่ลันเลิกคิ้วพลางเดินมานั่งข้างๆ ก่อนจะกดเปิดทีวี

                    “เปล๊า” ผมตอบเสียงสูง

                    “ฮึๆ” พี่ลันหัวเราะในลำคอก่อนจะกดรีโมตเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ

                    “พี่เตี้ยหยุด! กดกลับไปช่องเมื่อกี้หน่อย” ผมบอกเมื่อเจอช่องที่สนใจเข้า  มันเป็นช่องหนังครับและตอนนี้หนังที่กำลังฉายอยู่คาดว่าจะเป็นหนังที่พี่ลันชอบที่สุดซะด้วย

                    “อย่าคิดจะดูมันเด็ดขาด” พี่ลันหันมามองหน้าผมดุๆ ก่อนจะกดเปลี่ยนช่อง  ผมหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานที่เห็นพี่มันหน้าซีดเผือด  หนังที่ว่าก็หนังผีนั่นแหละครับ  แต่น่าแปลกนะครับที่พี่ลันกลัวผีแต่หนังซาดิสม์ เลือดสาด ฆ่าตัดตอนซับซ้อนซ่อนเงื่อนนี่ชอบเหลือเกิน  ผมว่าหนังพวกนั้นน่ากลัวกว่าหนังผีเยอะเลยเพราะมันสื่อถึงความเจ็บปวดที่มีอยู่จริง  และยิ่งเป็นหนังสืบสวนอย่างโฮล์มสพี่ลันยิ่งชอบ

                    “คิกๆ กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ฮ่าๆ” ผมหัวเราะขำพี่ลันก่อนจะถูกตบหัวเบาๆ แต่กระนั้นผมก็ยังขำต่อ

                    “ไม่หยุดขำจับปล้ำจริงๆ ด้วย” เมื่อเจอคำขู่เมื่อครู่เข้าไปผมจึงรีบหุบปากทันที  ที่จริงก็อยากจะขำต่ออ่ะนะแต่แบบ...เหนื่อยไง คึๆ

                    “ลองดูสิ จะใช้สันมือฟันให้สลบเลยคอยดู” ผมยกมือขึ้นมาแสดงท่าทางแต่แทนที่พี่ลันจะกลัวกลับยิ้มซะงั้น  ผมรีบชักสีหน้าทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าระดับการต่อสู้ของพี่มันสูงกว่าผมแถมตัวยังใหญ่กว่าอีกต่างหาก  มองทางไหนก็เสียเปรียบชัดๆ เลยเรา

                    “เก่งจริง” พี่ลันบีบจมูกผมก่อนจะเอื้อมมือมาโอบไหล่เอาไว้แล้วดึงไปนั่งให้ชิดกัน

                    “นี่พี่เตี้ย  พี่ว่าเราจะทะเลาะกันไหมครับ?  เห็นคนเป็นแฟนกันเขาทะเลาะกันตลอดเลย” ผมเอียงคอซบไหล่พี่ลันก่อนจะถามขึ้น  ตั้งแต่คบกันมาเราก็ทะเลาะกันบ้างแต่ไม่บ่อย  จะทะเลาะทั้งทีทะเลาะกันเรื่องใหญ่มากซะด้วยสิ

                    “ทำไมถามงั้นล่ะ?”

                    “ถามดูเฉยๆ ก็เผื่อว่ามีเรื่องทะเลาะกันไง” ผมยิ้มขำๆ กับความคิดตัวเอง

                    “นี่ไม่มีอะไรทำเลยจะหาเรื่องมาทะเลาะหรือไงฮะสูง” พี่ลันยีหัวผมเบาๆ

                    “ใช่ที่ไหนล่ะ? แค่ถามเฉยๆ  ใครจะอยากทะเลาะกับพี่ล่ะ  โกรธได้น่ากลัวมาก” ผมทำปากยื่น  ไม่น่ากลัวได้ไงครับ  เล่นซะผมเข้าโรงพยาบาล  ถ้าไม่ติดว่าตอนนั้นเฮิร์ตอยู่ผมคงอายหมอจนไม่กล้าให้หมอตรวจแล้วล่ะครับ

                    “แต่ทำให้โกรธบ่อยๆ ก็ดีเหมือนกันนะ ฮึๆ” พี่ลันหัวเราะในลำคอเสียงต่ำ  หน้าผมร้อนฉ่าก่อนจะตีแก้มพี่ลันกลบความเขิน

                    “โรคจิต” ผมว่า  โกรธบ่อยพี่มันก็ได้กดผมแบบโรคจิตบ่อยๆ น่ะสิ  ไม่เอาด้วยหรอก  น่ากลัวจะตาย  ยิ่งตอนพี่ลันทำหน้าโกรธผมยิ่งกลัว  เพราะยิ่งพี่มันโกรธเรื่องผมมากเท่าไหร่ก็เท่ากับว่าพี่มันเสียใจมากเท่านั้นและผมเองก็จะเสียใจที่ทำให้พี่มันเสียใจ

                    “เราไปเที่ยวกันไหม?” จู่ๆ พี่ลันก็ถามขึ้น

                    “เอ๋? ไปเที่ยว? ที่ไหนครับ?” ผมถาม

                    “ทะเลไหม? หรือจะขึ้นเหนือดี?” พี่ลันถามพลางเล่นผมของผมเหมือนหยอกเย้า  จั๊กจี้แฮะ

                    “ทำไมถึงอยากไปล่ะครับ?”

                    “เหมือนไปฮันนีมูนกันไง  กลับมาจะได้มีลูกสักสองสามคน” พี่ลันพูด  หน้าผมร้อนฉ่าเหมือนถูกไฟลน

                    “เพ้อเจ้อ!” ผมตีไหล่พี่ลันแรงๆ ระบายความเขิน  เขินทีไรรุนแรงทุกทีเลยเรา  แอบสงสารพี่ลันเหมือนกันนะครับที่ต้องคอยรับแรงของผม  มือผมก็ไม่ใช่เบาๆ  ตบคนแต่ล่ะครั้งนี่ชาไปทั้งตัวเลยทีเดียว  จำได้ว่าเคยเผลอฟาดคู่ซ้อมจนเขาเกือบร้องไห้

                    “แล้วตกลงจะไปที่ไหนกันดี?” พี่ลันถาม

                    “ผมว่าเอาไว้ให้เราพักอีกสักสองสามวันก่อนค่อยคิดละกันเนอะ  ช่วงนี้ก็เที่ยวที่ห้องพี่ไปก่อนก็ได้” ผมบอก

                    “หืม?” พี่ลันส่งเสียงในลำคออย่างเจ้าเล่ห์

                    “เฮ้ย แต่ผมไม่ได้หมายความถึงเรื่องแบบนั้นนะ  ผมหมายถึงนอนกลิ้งเล่น เช่าหนังมาดู อะไรทำนองนั้นต่างหาก” ผมรีบปฏิเสธความคิดแปลกๆ ของพี่ลันทันที

                    “ไปออกกำลังกายด้วยไหม?” พี่ลันถามเสียงต่ำ

                    “บ้า!” ผมฟาดต้นแขนพี่ลันอีกครั้งทันที

                    “คิดอะไร? หมายถึงไปวิ่ง ไปปั่นจักรยานหรือไม่ก็ไปฝึกที่ยิมต่างหาก  หรือว่านายอยากจะ...”

                    “ไม่ได้อยากซะหน่อย!!” ผมรีบปฏิเสธก่อนที่พี่ลันจะพูดจบ  อายจังเลยครับ  ปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเริ่ม  ใครจะไปคิดว่าพี่มันจะชวนเข้ายิมก็ปกติเห็นชวนขึ้นเตียงตลอด  โถ่! อายจริงอายจัง

                    “เขิน?” พี่ลันกระแซะพลางเอานิ้วมาจิ้มที่แก้มของผม  ผมรีบปัดมือพี่มันออกก่อนจะก้มหน้างุด  เออ เขินโว้ย! รู้แล้วยังจะมาแหย่อีก  นิสัยไม่ดี ไอ้บ้า

                    “ไม่ได้เขิน! ไม่เอาแล้ว  ไม่คุย  ง่วง จะนอน” ผมเบือนหน้าหลบสายตาของพี่ลันก่อนจะดันไหล่พี่มันให้เอนลงไปพิงกับพนักพิงก่อนที่ผมจะพิงไหล่พี่มันอีกที  ผมยกขาขึ้นมานั่งบนโซฟาแล้วยืดตัวเอนซบพี่ลันแล้วหลับตาลง  พี่ลันหัวเราะในลำคอนิดๆ ก่อนจะเลื่อนมือมาวางทาบที่เอวผมแล้วผ่อนลมหายใจเหมือนกำลังจะนอนพักเหมือนกัน  ผมอมยิ้มนิดๆ ก่อนจะค่อยๆ ปลดปล่อยสติสู่ห้วงนิทรา


    45% left




                    หลังจากนอนพักกันจนเต็มอิ่มผมกับพี่ลันก็ไปซื้อของกับที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ ครับ  ก็พี่ลันน่ะสิงอแง(?)อยากจะทำกับข้าวกินเองก็เลยต้องมาช้อป  ซื้อกินง่ายๆ สบายๆ ไม่ชอบชอบความลำบากเนอะไอ้พี่บ้านี่  แถมตอนเดินซื้อของพี่ลันยังจะเดินเกาะเดินแกะผมจนผมต้องเอ็ดเข้าให้ถึงยอมเดินเฉยๆ  พี่มันกินแรงผมมากครับ  ให้ผมเข็นรถเข็นอยู่คนเดียวเลย

                    “กะหล่ำปลี แครอท มันฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน เอ๊ะ เอาพริกด้วยดีไหมน้า?” ขณะที่กำลังเลือกผักอยู่ผมก็แอบแซวพี่ลันนิดๆ  วันนี้จะทำสเต็กหมู  มันบดและกะหล่ำทอดน้ำปลากินกันครับก็เลยมาหาซื้อผักเคียง  ตอนแรกจะไม่มีกะหล่ำทอดน้ำปลาหรอกเพราะมันไม่เข้ากับเมนูที่จะกินเอาซะเลยแต่พี่ลันอยากจะกินให้ได้ก็เลยจัดให้ครับ

                    “จะเอาพริกไปทำซอสเกรวี่เหรอสูง?” พี่ลันหรี่ตามองผมก่อนจะหยิบพริกจากมือผมไปวางไว้ที่เดิม  ผมหัวเราะคิกคักก่อนจะเดินไปโซนขายเนื้อ

                    “เอาเนื้อหมักสำเร็จไปดีไหมครับ?” ผมหันไปถามพี่ลันที่เดินตามหลังมา  ผมขี้เกียจแล่เนื้อแล้วก็หมักนี่หว่า

                    “ไม่  เอาไปหมักเองดีกว่า” พี่ลันบอก

                    “พี่จะแล่เนื้อเองไหมล่ะ?” ผมถาม  ไอ้ที่จะทำเนี่ยผมต้องเป็นคนทำทุกอย่างนั่นแหละครับเพราะพี่ลันทำกับข้าวไม่เป็น  แค่หุงข้าวยังแฉะจนกินไม่ลงเลยครับ  ดีนะที่ไม่ทอดไข่ไหม้ด้วย

                    “ทำไม่เป็น” พี่ลันพูดหน้าตาย

                    “นั่นไง  แล้วทำมาเป็นพูดดี ชิ” ผมทำปากยื่นก่อนจะหันไปเลือกเนื้อที่หมักแล้ว

                    “ก็อยากกิน...ฝีมือแฟนไง” วลีสุดท้ายพี่ลันโน้มหน้ามากระซิบทำให้ผมชะงัก  มือที่กำลังจะหยิบเนื้อที่ห่อด้วยพลาสติกใสชะงักทันที  ผมเม้มปากก้มหน้าก่อนจะเดินไปเลือกเนื้อสด  พูดแบบนี้ใครเขาจะปฏิเสธลงล่ะครับ  ทำก็ทำวะ

                    “ชะ...ชอบเนื้อส่วนไหนครับ?” ผมถามอย่างอายๆ  คำพูดเมื่อกี้ยังทำให้ผมเขินค้างอยู่เลยครับ

                    “ส่วนไหนก็ได้แต่ไม่เน้นมันนะ  เดี๋ยวอ้วน” พี่ลันพูดพลางตบพุงตัวเองปุๆ  ผมมองก่อนจะขำ  แหม...แอบห่วงหล่อเหมือนกันนะ  แต่เอาเข้าจริงพออาหารมาอยู่ตรงหน้าก็แม่งกระเดือกลงท้องทุกอย่างเลย

                    “ยังจะห่วงอ้วนอีกนะ” ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะตบพุงพี่ลันบ้าง 

                    หลังจากหัวร่อต่อกระซิกกับพี่ลันได้นิดหน่อยผมก็หันมาเลือกเนื้อต่อแต่ก็ต้องพบกับสายตาของพนักงานที่ยืนประจำบูธขายเนื้อ  อื้อหือ สายตาของป้าแกดูไม่ค่อยจะไว้ใจเราสองคนเลยครับ  ตาตีบๆ หน้าอวบอ้วนขาวซีดที่กำลังหันมองพวกเราเขม็งทำให้ผมไม่ต่อไม่เป็นเลยทีเดียว  ผมหน้าซีดก่อนจะรีบเลือกเนื้อให้มันเสร็จๆ ไป  ลืมตัวไปหน่อย  เล่นซะถูกมองแปลกๆ เลยเรา




     

                    ซื้อของเสร็จเราก็กลับไปที่คอนโด...

                    “สูง สอนทำอาหารหน่อย” พี่ลันหยิบผ้ากันเปื้อนไปสวมก่อนจะเดินเข้ามาหาผมที่กำลังแร่เนื้อทำสเต็ก

                    “คิดยังไงให้สอนทำครับเนี่ย?” ผมถามอย่างงงๆ  ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นอยากจะเข้าครัว  วันนี้คิดยังไงถึงอยากจะทำอาหารล่ะเนี่ย

                    “ก็ไม่อยากให้นายเหนื่อยคนเดียว  อยากช่วยไง” พี่ลันพูดพลางขยับเข้ามากอดเอวผมเอาไว้  ผมวางมีดที่กำลังแล่เนื้อลงก่อนจะตีมือพี่มันเบาๆ ทำให้พี่มันต้องรีบปล่อยมือออกจากเอวของผม

                    “ใช่ให้เหนื่อยเพิ่มขึ้นหรือเปล่าครับพี่เตี้ย?” ผมถามกวนๆ

                    “ปากดี” พี่ลันพูดลอดไรฟันก่อนจะเอื้อมมือมาดึงแก้มของผมจนปากยืดออก  ผมปัดมือพี่ลันออกก่อนจะหัวเราะ  เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องจริงๆ เลย

                    “อ่ะๆ ก่อนอื่นก็สอนทำสเต็กก่อนก็แล้วกันครับ” ผมบอกก่อนจะหันหน้าไปที่เนื้อที่กำลังแล่ “แร่เนื้อให้มันบางๆ หรือจะหนาก็ได้แต่มันจะสุกช้า  แล้วก็ทุบๆๆ” ผมบอกพลางพยิบที่ทุบเนื้อสเต็กมาทุบอย่างเมามัน “จากนั้นก็เอามาหมักกับเครื่องปรุงต่างๆ  ชอบพริกไทยไหม?” ผมเทซอส ใส่เครื่องปรุงอื่นๆ ตามขนาดที่ชอบก่อนจะหันไปถามพี่ลัน

                    “ถ้าไม่เยอะก็กินได้นะ” พี่ลันบอก  ผมพยักหน้ารับก่อนจะเอาพริกไทยเม็ดมาทุบแล้วนำไปขยำใส่กับเนื้อ

                    “เสร็จแล้วก็เอาไปแช่ตู้เย็นสักชั่วโมงสองชั่วโมงค่อยเอามาทอด  ระหว่างนี้ก็เอาผักไปต้มก่อนละกัน” ผมเดินหมุนตัวเอาเนื้อไปแช่ตู้เย็นก่อนจะดึงพี่ลันมายืนข้างๆ แล้วให้พี่มันช่วยปอกเปลือกผักแต่ดูเหมือนพี่มันจะใช้มีดทำครัวไม่คล่องเอาซะเลยมันจึงต้องสอน  สอนไปก็ดุไปครับเพราะพี่มันเงอะงะสุดๆ ก็เข้าใจหรอกนะว่าไม่เคยทำก็เลยทำไม่เป็นแต่แค่หั่นผักเด็กประถมยังทำได้เลย

                    หลังจากนั้นผมก็ทำอย่างอื่นต่อโดยมีพี่ลันเป็นผู้ช่วยที่คอยเรียนรู้การทำอาหารจากผมไปด้วย  ขณะที่ผมทำมันบดผมก็ให้พี่ลันไปทำกะหล่ำทอดน้ำปลา  และก็ได้เรื่องเพราะพี่มันวิ่งวุ่นหลบน้ำมันที่กระเด็นซะรอบครัวเลยทีเดียว  สุดท้ายผมก็ต้องทำเองทุกอย่าง  แต่ก็สนุกดีครับ  เห็นอีกด้านที่น่ารักของพี่ลันแล้วมีความสุขดีจริงๆ

     



     

                    วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ผมนอนค้างที่ห้องของพี่ลันพี่มันก็พาผมไปออกกำลังกายตั้งแต่เช้าที่สวนสาธารณะ  เนื่องจากผมไม่เอาชุดเล่นกีฬามาไว้ที่ห้องพี่ลันก็เลยต้องยืมชุดของพี่มันเหมือนเคย  ตอนแรกว่าจะใส่กางเกงขายาวเพราะอากาศค่อนข้างหนาวแต่กางเกงขายาวของพี่ลันมันก็ยาวเกินไปหน่อยก็เลยต้องใส่ขาสั้น

                    “บรื๋อ! หนาวนะเนี่ย” ผมวิ่งเหยาะๆ ไปพลางเป่าลมใส่มือ  นี่มันก็หน้าหนาวแถมยังออกมาวิ่งตั้งแต่ตีห้ามันก็ต้องหนาวอ่ะดิ

                    “มาวิ่งใกล้ๆ สิ” พี่ลันอ้าแขนออกก่อนจะวิ่งมาประกบท้าย  ผมตีมือพี่ลันก่อนจะวิ่งหลบไปข้างๆ  นี่จะมาออกกำลังกายหรือจะมาทำอะไรกันแน่ฟะเนี่ย?

                    “พี่เตี้ย ทำอะไรอายคนอื่นเขาบ้างสิครับ” ผมเอ็ดเบาๆ

                    “อายทำไม? ใครคนเขารู้ไปเลยดิว่านี่ เมียกู!” พี่ลันพูดพลางหันไปหรี่ตามองผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่มาวิ่งออกกำลังกายเหมือนกัน  ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่าคนที่ผู้หญิงเขาเหล่น่ะไม่ใส่ผมแต่เป็นพี่ลันต่างหาก  หล่อไม่รู้ตัวรึไงวะหมอนี่

                    “บ้า พี่เตี้ย  พูดอะไรก็ไม่รู้” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่พี่ลัน  แกล้งทำท่าโกรธหรอกครับเพราะที่จริงแล้วผมเขินมากกว่า

                    “ฉันว่าไม่ต้องออกกำลังกายที่นี่แล้ว  กลับบ้านไปออกที่ห้องดีกว่าเนอะ” พี่ลันพูดพลางโน้มหน้ามาหอมแก้มผมเบาๆ  ผมหันไปเหลือกตาใส่ก่อนจะตีหน้าที่ลันหนักๆ จนพี่ลันหน้าสะบัด

                    “ทุเรศจริงๆ” ผมว่าแต่สุดท้ายก็กลับบ้านพร้อมพี่ลันอยู่ดี

     



     

                    หลังจากออกกำลังกายรอบเช้าตามที่พี่ลันต้องการผมก็โทรสั่งข้าวเช้ามาขึ้นมากินด้วยกันบนห้อง  ไอ้พี่ลันงี้เปรมสุดๆ ครับ  ไม่รู้ไปหื่นมากจากไหน ฟัดเอาๆ จนจะเดี้ยงคาเตียงอยู่แล้ว

                    ปิ๊ง ป่อง!

                    “อ่ะ! สงสัยข้าวมาส่งแล้ว  ไปเอามาหน่อยสิครับพี่ลัน” ผมชี้มือไปที่ประตูก่อนจะกดเปลียนช่องทีวี 

                    “เดี๋ยวนี้กล้าใช้เหรอ?” พี่ลันถาม

                    “ครับผม” ผมตอบเต็มปากเต็มคำก่อนจะถูกหอมปากเบาๆ พี่ชี้หน้าพี่ลันที่แกล้งทำเป็นลอยหน้าลอยตาไปเปิดประตูอย่างหมั่นไส้

                    “กี้...?” เสียงของพี่ลันดังขึ้นทำให้ผมนิ่งงันก่อนจะรีบหันหน้าไปมองว่าคนที่มาเยือนคือใคร

                    “ลันคะ” ผมเบิกตากว้างมองคนที่กำลังเดินเข้าไปกอดแขนพี่ลัน  พี่ลันเองก็ยืนนิ่งเหมือนกำลังอึ้งเหมือนกัน  ทำไมพี่กี้ถึงมาที่นี่? มาทำไม?!

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ตอนนี้ไม่ได้เช็คเลยอ่า  คำผิดเยอะไม่ว่ากันน้า  เดี๋ยวแก้จ้า
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×