ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] อลวนรัก หอพักสุดเพี้ยน (Super Junior Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #46 : Chapter 39 : First Date I

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.78K
      5
      1 ม.ค. 55



    Chapter 39 : First Date

     


                ในช่วงเย็นหลังจากจบหนึ่งวันของการเรียนที่แสนเหนื่อยล้า นักศึกษาต่างพากันเก็บข้าวของอุปกรณ์การเรียนลงกระเป๋าเมื่ออาจารย์ประจำวิชาเดินออกจากห้องไป หลายคนเริ่มนัดแนะหากิจกรรมคลายเครียดหรือไปหาที่ผ่อนคลายดีๆสักที เนื่องจากวิชาที่เรียนของบ่ายวันนี้นั้นสูบพลังชีวิตและพลังสมองได้ดีเสียเหลือเกิน

                “เฮ้! ไปเที่ยวด้วยกันมั้ย” เพื่อนสุดซ่าประจำกลุ่มตะโกนถามคยูฮยอนเสียงดัง เมื่อตกลงกับเพื่อนคนอื่นๆได้แล้วว่า วันนี้จะไปปักหลักกันที่ไหน

                “ตามสบายเลยว่ะ วันนี้มีนัด” คยูฮยอนตอบกลับไปแบบไม่ต้องคิด พร้อมกับยกกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า โบกมือลาเพื่อนพอเป็นพิธีแล้วเดินออกจากห้องไป

                “พอมีแฟนแล้วลืมเพื่อนเลยนะ” เสียงแซวไล่หลังตามมา คยูฮยอนยกยิ้มบางๆอย่างไม่ใส่ใจมากนักก่อนจะตรงไปยังจุดนัดหมายที่เขานัดคนสำคัญเอาไว้

     

     

                 ใช้เวลาไม่นานคยูฮยอนก็เดินมาถึงสวนน้ำพุของมหาวิทยาลัย มีนักศึกษาหลายคนที่ใช้เวลาหลังเลิกเรียนมาพูดคุยหรือทบทวนบทเรียนกันที่นี่ เพราะบรรยากาศที่เย็นสบายและมีม้านั่งจัดเรียงไว้อยู่โดยรอบ เหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างยิ่ง

    เมื่อมาถึงคยูฮยอนกวาดสายตามองหาคนที่นัดไว้เพราะไม่อยากให้เวลาที่แสนมีค่าผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ และเมื่อพบคนที่หาคยูฮยอนก็ยกยิ้มขึ้น ยืนลอบมองคนที่คงยังไม่รู้ตัวว่าเขามาถึงแล้ว ซึ่งขณะนี้ดวงตากลมโตคู่นั้นกำลังจดจ้องอยู่ที่หนังสือเรียนเล่มหนา ใบหน้าหวานตีสีหน้าเรียบเฉยหากแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง

                คนที่มาถึงแล้วแต่ไม่กลับยอมเข้าไปทักยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มไม่หุบยามที่ได้แอบมองคนที่นึกรักหนักหนา ใบหน้าหวานๆ ดวงตากลมโตเป็นประกาย จมูกโด่งได้รูป กับริมฝีปากที่แสนจะเย้ายวน ทุกส่วนของใบหน้าที่ดูน่ามองไปเสียหมด คยูฮยอนไม่แปลกใจเลยที่ใครๆต่างบอกว่าซองมินน่ารัก ยิ่งให้เจ้าตัวแต่งองค์ทรงเครื่องเข้าหน่อยก็มีคนเรียงหน้าเข้าหาเป็นขบวนจนเขาเกิดอาการหึงต้องยอมสารภาพความในใจออกมาแบบนี้

                สายลมเย็นโบกพักพาเอาสายน้ำจากน้ำพุสาดกระเซ็นมาโดนหนังสือทำให้ซองมินต้องรีบปิดมันและยกเอามือขึ้นมาบังหน้าเอาไว้ ในจังหวะเดียวกันหน้าหวานๆ ก็หันหนีสายน้ำที่ลมพัดเอามาอีกระลอกจนหันไปเห็นใครบางคนที่กำลังแอบมองอยู่เข้า

                “คยูฮยอน” ซองมินตะโกนเรียกชื่อคนรักที่เหมือนจะยืนเหม่ออยู่ ก่อนจะรีบลุกขึ้นหอบหนังสือเดินตรงเข้าไปหา

                ด้านคนที่เพิ่งได้สติกลับคืนมายิ้มรับบางๆ ไม่นึกเลยว่าอยู่ด้วยกัน นอนห้องเดียวกันทุกคืนแบบนี้ ยังเผลอใจให้ยืนแอบมองได้นานสองนาน แต่เวลาได้แอบมองคนที่รักแบบนี้มันก็ทำให้รู้สึกดีไม่น้อยเหมือนกัน

                “รอนานมั้ย” เมื่อซองมินเดินเข้ามาถึงตัวคยูฮยอนจึงเอ่ยถาม พร้อมกับแย่งหนังสือเล่มโตที่เจ้าตัวถืออยู่มาถือเสียเอง

                “ไม่หรอก” ตอบกลับแล้วยิ้มหวานก่อนทั้งคู่จะเริ่มออกเดินไปด้วยกัน

                วันนี้ซองมินกับคยูฮยอนนัดกันไปทานไอศกรีมร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ใกล้ๆมหาวิทยาลัย เนื่องจากมีเพื่อนๆหลายคนที่ได้ไปลิ้มลองรสชาติความอร่อยมาแล้วเล่าให้ฟัง ซองมินจึงชวนคยูฮยอนไปทานด้วยกันบ้าง และนี่ก็คงถือเป็นเดทแรกของทั้งคู่ตั้งแต่ตกลงปลงใจคบกันเป็นแฟน

                 “การ์ตูนเล่มใหม่ออกแล้วนี่นา” ซองมินพูดขึ้นมาเหมือนกับนึกอะไรออกระหว่างที่พวกเขากำลังเดินผ่านหน้าแผงขายหนังสือ ก่อนเขาจะหันไปสนใจหนังสือการ์ตูนมากมายที่ถูกจัดเรียงไว้บนชั้น

                และแล้วซองมินก็เริ่มไล่สายตาไปตามรายชื่อหนังสือการ์ตูน ปล่อยให้คนที่มาด้วยอย่างคยูฮยอนยืนขมวดคิ้วอย่างนึกสงสัย อยู่ด้วยกันมาก็นานหลายเดือนแต่เขาไม่เคยเห็นซองมินอ่านหรือซื้อหนังสือการ์ตูนกลับไปที่หอ แล้วทำไมวันนี้ถึงมาแวะร้านหนังสือการ์ตูนนี่ได้

                “อ่านหนังสือการ์ตูนด้วยเหรอ” เพราะไม่อยากเก็บความสงสัยให้มันค้างคาใจคยูฮยอนจึงเอ่ยปากถามพร้อมกับก้มลงไปมองหน้าซองมินที่ยังจดจ่อกับการหาการ์ตูน

                “เปล่าหรอก ใกล้วันเกิดเพื่อนในคณะน่ะ เห็นชอบอ่านการ์ตูนเลยกะจะซื้อให้เป็นของขวัญ” ซองมินตอบโดยไม่ได้หันหน้าไปมองคยูฮยอน เพราะยังคงมุ่งมั่นกับการหาหนังสืออยู่

                “แล้วจะซื้อเรื่องอะไรล่ะ”

                “เรื่อง อ่ะ! เจอแล้ว” ยังไม่ทันได้ตอบคำถามซองมินก็เจอหนังสือที่หา คนน่ารักหยิบหนังสือออกมาจากชั้นก่อนหันไปยิ้มให้คยูฮยอนที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ข้างๆ

                “ไปจ่ายเงินก่อนนะ” พูดจบก็เดินไปหาเจ้าของร้านยื่นหนังสือเล่มนั้นให้และหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาเพื่อจะจ่ายเงิน

     

                อีกด้านหนึ่งห่างไปไม่กี่เมตรมีเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งท่าทางไม่น่าไว้ใจยืนมองเป้าหมายของเขาในวันนี้อย่างใจจดใจจ่อ ผู้ชายหน้าหวานๆที่ดูไม่มีพิษมีภัยอะไรกำลังยืนเลือกซื้อหนังสือโดยมีผู้ชายอีกคนยืนอยู่ข้างๆ ในจังหวะนั้นเองที่เหยื่อที่หมายตาเดินแยกตัวออกไปเพื่อจ่ายเงินค่าหนังสือ กระเป๋าสตางค์ที่เจ้าตัวหยิบออกมาก่อนจะหยิบธนบัตรเพื่อยื่นให้เจ้าของร้าน สายตาที่แสนเฉียบคมจ้องมองสิ่งที่อยู่ภายในกระเป๋าก่อนจะกระตุกยิ้มร้าย เงินที่อยู่ในนั้นไม่ใช่น้อยๆเลย

                ในเสี้ยววินาทีเด็กชายพุ่งตัวตรงเข้าไปหาเหยื่อ คว้าเอากระเป๋าสตางค์สีชมพูหวานจ๋อยไปได้ในพริบตา โดยที่เป้าหมายยังคงมีอาการมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่

                “กระเป๋าฉัน!” ซองมินร้องออกมาเสียงดังเมื่อจู่ๆกระเป๋าสตางค์ก็ถูกฉกไปต่อหน้าต่อหน้า และด้วยสัญชาตญาณความหวงของสมองก็สั่งการให้ขาทั้งสองข้างวิ่งตามโจรนิสัยเสียคนนั้นไปทันที

                “ซองมิน!” คยูฮยอนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยกันเมื่อประมวลผลได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสักครู่จึงรีบวิ่งตามซองมินไปทันที

                โจรหนุ่มวิ่งห่างออกมาจากแหล่งชุมชนเรื่อยๆ จนเข้าสู่ซอกซอยตึกที่ไม่ค่อยมีคนมากนัก แต่เป้าหมายที่อุตส่าห์ฉกกระเป๋ามาได้กลับวิ่งตามมาไม่หยุด ถึงแม้เขาจะวิ่งหนีมาไกลมากแล้วก็ตาม แถมเสียงโวยวายที่ดังไม่หยุดหย่อนนั้นมันช่างน่ารำคาญเสียจริง

                “หยุดนะไอ้โจรบ้า! เอากระเป๋าตังค์สุดที่รักของฉันคืนมานะ!” วิ่งไปซองมินก็ตะโกนไปด้วยโดยไม่รู้จักเหนื่อย ทั้งที่การทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ร่างกายเหนื่อยเพิ่มขึ้นหลายเท่า แต่เจ้าตัวก็ยังคงตะโกนอยู่แบบนั้น

                “ไอ้โจนกระจอก! ฉันบอกให้หยุดไงเล่า!

                คยูฮยอนที่วิ่งตามมาติดๆ เพิ่มความเร็วก่อนจะแซงหน้าซองมินไปเพื่อตามหัวขโมยคนนั้นให้ทัน แต่คนที่วิ่งหนีพอรู้ว่าจะโดนตามทันก็เพิ่มความเร็วขึ้นเช่นกัน ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ามีโจรหนุ่มวิ่งนำ คยูฮยอนวิ่งตามไปอย่างติดๆ และมีซองมินรั้งท้ายโดยวิ่งไปโวยวายไปด้วย

                วิ่งไล่กันมาก็หลายนาที ต่างฝ่ายต่างเหนื่อยจนแทบจะหมดแรงแต่ก็ยังฝืนวิ่งกันต่อ โจรหนุ่มรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายหวังตีห่างในโค้งข้างหน้า หันไปมองสองคนที่วิ่งตามมาก่อนจะกดยิ้มอย่างมั่นใจว่ายังไงก็คงสลัดตัวปัญหาหลุดแน่ๆ จนมาถึงมุมตึก โจรหนุ่มเลี้ยวเข้าไปในซอกนั้นทันทีพร้อมกับออกแรงวิ่งเต็มที่ แต่ทว่าที่นี่มัน....ซอยตัน

                “คิดว่าจะหนีพ้นงั้นเหรอ” คยูฮยอนสบถขึ้นเบาๆ เมื่อโดนตีห่างออกไปเรื่อยๆ จนมาถึงมุมตึกจึงรีบเลี้ยวตามเข้าไป

                แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือกำแพงสูงกับหัวขโมยที่ยืนหอบตัวโยนอย่างไร้หนทางหนี คยูฮยอนจ้องหัวขโมยเขม็งโดยที่ตัวเขาเองก็ยืนหอบหนักเช่นเดียวกัน ไม่นานนักซองมินก็วิ่งตามเข้ามาก่อนจะหยุดหอบโดยใช้มือทั้งสองข้างค้ำหัวเข่าเอาไว้ รู้สึกว่าขามันหมดแรงและพร้อมที่จะล้มลงได้ทุกเมื่อ

                ทั้งสามคนที่วิ่งจนมาถึงทางตันพากันยืนหอบหนัก เสียงลมหายใจดังอื้ออึงไปหมด ต่างฝ่ายต่างก็พยายามสูดอากาศเพื่อล่อเลี้ยงหัวใจให้ได้มากที่สุด โดยที่สายตาก็ยังจับจ้องกันตลอดเวลา

                “นี่กะจะให้น้ำหนักฉันลดจนผอมเลยใช่มั้ยเนี่ย” หอบไปซองมินก็บ่นไป วิ่งมาไกลขนาดนี้ตอนไปชั่งน้ำหลัก คงลดได้ไปหลายกิโลฯ แน่ๆ

                อีกสองคนที่เหลือไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของซองมินมากนักเพราะมัวแต่ใช้สายตาเขม่นกันอยู่ ฝ่ายหัวขโมยมีท่าทีเลิกลั่กเพราะไม่รู้จะหนีไปทางไหน หอบจนไหล่กระเพื่อมแต่ก็ยังหันซ้ายแลขวาหาทางหนี ส่วนคยูฮยอนนั้นยืนขวางไว้เต็มทางเตรียมท่าตั้งรับไว้เต็มที่ มาเจอทางตันแบบนี้ไม่มีทางปล่อยให้หนีไปได้อยู่แล้ว

                ซองมินที่เริ่มหายเหนื่อยเดินเข้าไปหาคยูฮยอนแต่ขามันกลับหมดแรงจนเกือบล้มเลยคว้าชายเสื้อคยูฮยอนเอาไว้ ด้วยความเป็นห่วงคยูฮยอนจึงหันไปหาซองมินกลายเป็นช่องโหว่ให้หัวขโมยคิดหาทางหนี

                เมื่อมีทางที่พอจะให้หนีได้โจรหนุ่มจึงรวบรวมกำลังและออกตัววิ่งหนีทันที แต่ก็ยังช้ากว่าคยูฮยอนที่พอเห็นอีกฝ่ายขยับตัวปุ๊บก็รีบดันให้ซองมินออกห่างและมาดักหน้าหัวขโมยเอาไว้ได้ทัน โจรตัวดีทำหน้าเหลอหลาเมื่อโดนดักหน้าเอาไว้พลางมองหาทางหนีอีกทางที่พอจะเอาตัวรอดได้

                คยูฮยอนกระตุกยิ้มร้ายเมื่อหัวขโมยที่ตามล่าหมดทางหนี วันนี้คงต้องสั่งสอนให้ได้รู้สำนึกกันเสียบ้างว่าทำความเลวแล้วจะได้รับผลกรรมยังไง โดยเฉพาะมาฉกกระเป๋าสตางค์ของคนรักเขาแบบนี้

                ใบหน้าหล่อเหลาบัดนี้เต็มไปด้วยความร้ายกาจเหมือนอสูรที่หลับใหลได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา คยูฮยอนสาวเท้าเข้าไปใกล้หัวขโมยโดยที่อีกฝ่ายก็ขยับถอยหลังหนี ภายในเวลาไม่กี่วินาทีคยูฮยอนก็เข้าไปประชิดตัว ริมฝีปากกดยิ้มอีกครั้งก่อนจะเอื้อนเอ่ยประโยคนึงออกมา

                “โชริวเคน!” กำปั้นหนักๆต่อยเสยคางคู่ต่อสู้ที่จนมุมในระยะประชิดจนร่างของหัวขโมยลอยละลิ่วไปกระแทกกำแพง สร้างความเจ็บปวดให้คนที่ถูกโจมตีได้เป็นอย่างมาก

                คยูฮยอนยิ้มอย่างพอใจกับผลงานเมื่อท่า โชริวเคนจากเกม Street Fighter ที่เขาเคยเล่นบ่อยๆมันใช้ได้ผล ถึงแม้มันจะดูโหดร้ายไปสักนิดและสร้างความเจ็บปวดที่มือให้เขานิดหน่อยแต่ก็ถือว่ามันโอเคทีเดียว

                “คยู...ฮยอน” ซองมินที่ยืนมองอยู่ถึงทรุดลงนั่งกับพื้นเพราะขาหมดแรง ปากครางชื่อคนรักออกมาเบาๆอย่างไม่เชื่อในสายตาว่าคยูฮยอนจะสามารถทำแบบนี้ได้ เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นคยูฮยอนในมาดบู๊แบบนี้มาก่อน

                นั่งมึนไปสักพักหัวขโมยที่คยูฮยอนคิดว่าน่าจะสลบไปแล้วกลับยันตัวเองลุกขึ้นมา สายตาของมันเต็มไปด้วยความโกรธที่ถูกเล่นงานเอา และถ้าจะให้สู้กันในสถานการณ์และสภาพแบบนี้คงไม่ต้องเดาให้ยากว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ แต่เพราะความโกรธมันครอบงำ ความฉลาดและสตินึกคิดที่เคยมีมันกลับหายไปหมด เหลือเพียงความอยากเอาชนะและหนทางเพื่อให้ตัวเองหนีรอดได้เท่านั้น

                “ยังยืนไหวอีกเหรอเนี่ย” คยูฮยอนพูดด้วยความประหลาดใจ โดนต่อยเสยคางเข้าไปเต็มๆแบบนั้นไม่น่าจะมีสติอยู่ได้ สงสัยหมอนี่คงอึดไม่ใช่เล่นหรือไม่ก็เคยเรียนศิลปะต่อสู้มาบ้าง ไม่งั้นคงไม่คิดจะมาเป็นโจรและก็วิ่งหนีพวกเขามาได้ไกลขนาดนี้

                ถึงแม้จะยังพอมีสติอยู่บ้างแต่ท่าโชริวเคนของคยูฮยอนก็สร้างบาดแผลให้โจรหนุ่มได้พอสมควร เลือดสีแดงในซึมออกมาจากในปากจนมันต้องยกมือขึ้นเช็ดออกอยู่หลายรอบ คยูฮยอนมองแล้วยังนึกสงสารแต่จะให้ปล่อยไปคงเป็นพวกเขาเองที่จะโดนเล่นงาน ยังไงคงต้องจัดการให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป

                “ย๊ากกกก!” โจรหนุ่มที่ไม่รู้จักเจียมสังขารตัวเองรวบรวมกำลังและพุ่งตรงเข้ามาหาคยูฮยอน

                “คยูฮยอนระวังนะ!” ซองมินร้องออกมาอย่างหวดเสียวเมื่อเห็นคนรักของเขายังคงยืนนิ่ง มือทั้งสองข้างกำแน่นอย่างลุ้นระทึกกับผลที่จะออกมา

                “เจอนี่หน่อยเป็นไง สปินนิ่ง คิ๊ก” พูดจบคยูฮยอนก็กระโดดขึ้นเหนือพื้นพร้อมกับหมุนตัวส่งลูกเตะงามๆเข้าก้านคอของเจ้าหัวขโมยตัวแสบไปเต็มๆ

                ร่างที่ไร้สติลอยเคว้งกลางอากาศก่อนจะล่วงลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งเสียงใดๆเมื่อทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบ ซองมินอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นทวงท่าที่แสนงดงามของแฟนหนุ่ม ความแปลกประหลาดใจวิ่งแล่นไปทั่วสมองเพราะไม่คิดว่าคยูฮยอนจะมีความสามารถในการต่อสู้ถึงเพียงนี้ ฝ่ายคนที่ได้โชว์พาวต่อหน้าแฟนนั้นกลับมายืนเก็กท่าด้วยความมั่นใจที่สามารถล้มคู่ต่อสู้ได้อย่างสวยงาม

                “ตาย...หรือยัง” เพราะเห็นคนที่โดนท่าไม้ตายของคยูฮยอนไม่ยอมฟื้นเสียทีซองมินเลยถามขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ พลางลุกขึ้นเดินเข้าไปเกาะแขนคยูฮยอนไว้ ถ้าเกิดเป็นเขาที่โดนแบบนี้ล่ะก็คงน็อคตั้งแต่หมัดแรก

                “ยังหรอก แค่สลบน่ะ” คยูฮยอนเดินเข้าไปนั่งยองๆ ข้างร่างที่นอนหมดสติอยู่ ก่อนใช้มือพลิกนั้นให้กลับมานอนหงาย

                เพียงแค่เห็นสภาพของเจ้าหัวขโมยตัวแสบซองมินก็รู้สึกผวา ใบหน้านั้นมีเลือดติดอยู่เต็มไปหมดและยังมีที่ไหลออกมาจากปากอีก คิดว่าถ้าทิ้งไว้แบบนี้และไม่มีคนมาช่วยอาจจะตายเอาก็ได้

                “ไปกันเถอะ” คยูฮยอนไม่ได้มีท่าทีสนใจหัวขโมยที่โดนเล่นงานจนเดี้ยงเลยแม้แต่นิด เมื่อเห็นว่ามันยังหายใจเข้าออกปกติจึงลุกเดินออกมาหยิบกระเป๋าสตางค์ของซองมินและออกปากชวนให้ออกไปจากที่นี่

                ซองมินลุกขึ้นไปรับกระเป๋าสตางค์จากคยูฮยอนก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไปจากที่ตรงนี้ เหลือเพียงคนที่นอนไร้สติกับสภาพยับเยินที่ดูแทบไม่ได้

                แต่เมื่อเดินออกมาจากมุมตึกทั้งคยูฮยอนและซองมินกลับหยุดเดินเอาเสียดื้อๆ คิ้วเรียวขมวดเข้าหาจนแทบชนกัน สายตากวาดมองไปรอบพื้นที่ที่มีแต่อาคารสูงและซอยแคบๆ

                “ที่นี่มันที่ไหนล่ะเนี่ย” ซองมินพึมพำขึ้นมาเบาๆ

                “ฉันก็กะจะถามแบบนั้นเหมือนกัน” คยูฮยอนตอบกลับมาแล้วทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ นี่พวกเขาวิ่งตามโจรมาโดยไม่ได้รู้เรื่องเลยว่ามันพาวิ่งมาทางไหนจนจำทางกลับไม่ได้ ที่สำคัญวิ่งกันมาไกลซะด้วยสิ

                “เอาไงดี ซ้ายหรือขวา” ซองมินถามพลางหันมองทางแยกด้านหน้า

                “ขวา” ตอบออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักแต่ก็พอจำได้ลางๆ

    คยูฮยอนคว้ามือซองมินมากุมไว้ก่อนจะเดินไปด้วยกัน เดาผิดบ้างถูกบ้างแต่ก็สามารถหาทางออกมาจากซอกซอยที่แสนลึกลับนั่นได้ ถึงแม้จะใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมงก็ตาม แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงกลับทำให้ทั้งสองคนต้องขมวดคิ้วอีกรอบ ถนนเส้นใหญ่ที่มีรถวิ่งผ่านไปมา แต่พวกเขากลับไม่คุ้นเลยว่ามันคือถนนเส้นอะไร

    “เดินไปป้ายรถเมล์ดีกว่ามั้ย เผื่อจะมีรถที่มันผ่านมหาลัยเรา” ซองมินเสนอ

    เมื่อไม่มีทางออกที่มันดีกว่านี้คยูฮยอนจึงพยักหน้ารับและเดินไปที่ป้ายรถเมล์

    หลังจากเสียเวลากับการหาทางออกอยู่นานร็ตักอีกทีตะวันก็เกือบลับขอบฟ้าเสียแล้ว ถึงเวลาเลิกงานของใครหลายๆคนทำให้ที่ป้ายรถเมล์มีคนอยู่ข้างค่อนเยอะ เมื่อเดินไปถึงป้ายซองมินจึงเดินเข้าไปถามคุณป้าคนหนึ่งและได้รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนและมีรถเมล์สายไหนบ้างที่จะสามารถนั่งกลับไปที่มหาวิทยาลัยได้ แต่ที่แย่คือพวกเขาต้องข้ามไปขึ้นอีกฝั่งหนึ่ง เพราะป้ายที่ยืนอยู่นั้นรถเมล์จะวนออกนอกเมือง

     “เราต้องข้ามขึ้นป้ายฝั่งนู้นล่ะ” เมื่อถามจนได้เรื่องได้ราวแล้วซองมินจึงมารายงาน ก่อนยกมือขึ้นชี้ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม

    คยูฮยอนพยักหน้ารับแล้วเงียบไป หันไปมองป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามก่อนจะหันกลับมามองซองมิน

    “นายยังอยากกินไอศกรีมอยู่หรือเปล่า” เอ่ยถามออกมาเมื่อหลังจากเงียบไปสักพัก จุดมุ่งหมายแรกของพวกเขาคือการไปกินไอศกรีมร้ายที่เปิดใหม่ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนและเขาก็มีแผนการดีๆเพื่อไม่ให้การหลงทางในวันนี้เสียเที่ยวด้วย แต่ต้องถามผู้ร่วมทางด้วยว่าสมัครใจจะไปด้วยกันหรือเปล่า

    “ก็...” ลากเสียงยาวเหมือนกำลังใช้ความคิด ถามว่าอยากกินไหมก็อยากกิน แต่ดูสถานการณ์มันไม่ให้เท่าไหร่และก็ไม่รู้ว่าคยูฮยอนยังจะอยากไปกินด้วยกันหรือเปล่า

    “แล้วถ้าฉันอยากจะชวนไปนั่งรถเมล์รอบเมืองด้วยกันซักรอบ นายอยากจะไปมั้ย” คยูฮยอนไม่รอให้ซองมินตอบก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน พร้อมกับใบหน้าที่รอลุ้นคำตอบ

    “ก็....เข้าท่าดีนะ” ลากเสียงยาวให้อีกคนลุ้นก่อนตอบคำถามแล้วยิ้มกว้าง ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำมันก็น่าสนุกดีเหมือนกัน เพราะเขากับคยูฮยอนยังไม่เคยนั่งรถเมล์ด้วยกันมาก่อนเลย

    “รถมาแล้ว” พอตกลงกันได้ในจังหวะเดียวกันรถเมล์สายที่ผ่านมหาวิทยาลัยก็มาจอดเทียบป้ายพอดิบพอดี ซองมินร้องบอกก่อนคว้ามือคยูฮยอนให้เดินตามขึ้นรถไปด้วยกัน

    โชคดีที่รถคันนี้มีที่ว่างเหลืออยู่ประปรายไม่ต้องไปยืนเบียดกับคนวัยทำงานที่เพิ่งเลิกงานกันพอดี ความจริงคยูฮยอนก็ลืมนึกถึงข้อนี้ไป เพราะถ้าหากรถไม่มีที่ว่าง แผนการที่คิดว่าจะนั่งรถเมล์ชมวิวรอบเมืองก็เป็นอันต้องล้มไม่เป็นท่า แถมจะพาให้อารมณ์กันอีกเปล่าๆ

    เนื่องจากที่นั่งมีให้เลือกไม่มากนักซองมินจึงรีบดึงมือคยูฮยอนให้ไปนั่งเก้าอี้สองตัวเกือบหลังสุดก่อนจะโดนแย่งไปเสียก่อน พอนั่งลงได้ก็หันไปยิ้มให้กัน เมื่อรถเริ่มวิ่งซองมินจึงหันออกไปมองนอกหน้าต่าง ได้พักหลังจากออกแรงวิ่งกับเดินหาทางออกมาเหนื่อยๆ มันทำให้รู้สึกดีไม่น้อยเลย

    “นี่คยูฮยอน เล่าให้ฟังหน่อยสิ ตอนเจอฉันครั้งแรกนายรู้สึกยังไงเหรอ” ปล่อยให้ความเงียบเข้าแทรกแซงได้ไม่นานคนช่างพูดก็เริ่มชวนคุย ซองมินหันหน้ากลับมาหาคยูฮยอนก่อนจะซบไหล่กว้างช้าๆ อย่างที่อยากทำ ได้นั่งอยู่ข้างกันนั่งพิงอิงแอบกัน ก็เป็นอย่างหนึ่งที่อยากลองทำกับคนที่รักดูสักครั้ง

    “ครั้งแรกเหรอ อืม...” คยูฮยอนอมยิ้มยกใหญ่เมื่อหัวทุยๆเอนมาซบแถมยังยิ่งคำถามที่ชวนให้นึกถึงความหลังแบบนี้ เสียงนุ่มทุ้มครางอยู่ในลำคอทำสีหน้าเหมือนกำลังรวบรวมความคิดก่อนจะตอบมันออกมา

    “ฉันคิดว่าจะเข้ากับนายได้หรือเปล่า เพราะนายน่ะพูดไม่หยุดเลย แต่ฉันจะพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่”

    “งั้นเหรอ ฉันพูดมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ถามกลับปากก็อมยิ้มไปด้วย ได้รู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายแล้วก็อดนึกขำตัวเองไม่ได้เหมือนกันเมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่เจอกันครั้งแรก เพราะเขาเอาแต่พูดอย่างเดียวไม่ยอมเปิดช่องว่างให้คยูฮยอนได้พูดบ้างเลย

    “มันก็ดีแล้วล่ะ ถ้านายเป็นฝ่ายพูดฉันจะเป็นฝ่ายรับฟัง เพราะถ้าฉันพูดมากอีกคนทีนี้ก็จะไม่มีใครฟังใคร” คยูฮยอนพูดต่อ ก้มหน้าลงไปมองซองมินที่เงยหน้ามองเขาอยู่เช่นกัน

    “ฉันก็จะรับฟังเรื่องของนายเหมือนกันคยูฮยอน ต่อไปนี้มีอะไรต้องเล่าให้ฉันฟังด้วยนะ”

    “ครับผม” ตอบรับเสร็จก็ส่งยิ้มหวานให้กัน คยูฮยอนเลื่อนมือไปกอบกุมมือของซองมินเอาไว้พลางเอนหัวพิงอีกฝ่ายกลับไปบ้าง

    “แล้วนายรู้สึกยังไงบ้างตอนที่เจอฉันครั้งแรก” เป็นฝ่ายโดนถามฝ่ายเดียวมันไม่ยุติธรรมคราวนี้คยูฮยอนเลยถามคำถามเดียวกันกลับไปบ้าง

    “ฉันคิดว่านายหล่อดีนะ” พูดจบซองมินก็หัวเราะออกมาเบาๆ พูดเองก็ชักรู้สึกเขินเอง แต่ตอนเจอกันครั้งแรกเขาคิดว่าคยูฮยอนเป็นผู้ชายที่ดูดีมาก

    “เพราะฉันเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียวเลยเหมือนกลายเป็นว่าเราไม่ได้คุยกันเลย ฉันก็เอาแต่พูดเรื่องของฉัน ส่วนนายก็เงียบ ฉันเลยคิดว่านายคงเป็นคนนิ่งๆ ดูสุขุมอะไรประมาณนั้น”

    “แล้วตอนนี้ล่ะ ฉันเป็นคนยังไงในสายตานาย” พอซองมินพูดจบคยูฮยอนก็ถามต่อทันที ทำเอาใบหน้าหวานที่นึกคำตอบขึ้นมาในใจเกิดอาการเลือดสูบฉีดมากกว่าปกติ แก้มขาวๆเลยแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

    “นายเป็นคนที่ฉัน...รักไง” พูดจบก็เบือนหน้าหนีไปมองวิวด้านนอกทิ้งพวงแก้มแดงๆให้อีกฝ่ายได้มองแล้วยิ้มไม่ยอมหุบ

    “ฉันก็รักนาย” คยูฮยอนก้มลงไปใกล้ก่อนกระซิบที่ข้างหู ทำเอาริมฝีปากบางฉีกยิ้มกว้างออกมาไม่แพ้กันอีกทั้งแก้มนิ่มๆที่ไม่ยอมหายแดงเสียที

    จบคำบอกที่พาให้หัวใจได้สูบฉีดเลือดบรรยากาศก็ถูกความเงียบเข้ามาปกคลุมหากแต่ไร้ความอึดอัดใดๆ มีเพียงความอบอุ่นที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้แต่กันผ่านสัมผัสทางร่างกายและความรู้สึกที่มีให้กันอยู่เสมอ

    แต่ดูท่าปล่อยให้บรรยากาศเงียบนานๆคงไม่เป็นการดี เพราะสมองมักจะชอบฉายภาพที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่นาทีให้ได้นึกถึงแล้วเกิดอาการร้อนๆที่ใบหน้าได้ไม่หยุดหย่อน ซองมินทำสีหน้าขบคิดถึงเรื่องที่จะชวนคุยซึ่งมีเป็นสิบเป็นร้อยเรื่องที่เขาอยากรู้เกี่ยวกับคยูฮยอน แต่คำถามที่พุ่งแซงความคิดอื่นขึ้นคงหนีไม่พ้นเรื่องที่ทำให้ประหลาดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้

    “จริงสิคยูฮยอน ไอ้ท่าต่อสู้ตอนที่สู้กับโจรน่ะ นายไปเรียนมาจากไหนเหรอ ฉันได้ยินชื่อท่าที่นายบอกตอนกำลังสู้ด้วย ตอนนั้นตกใจมากเลย” เพราะหลังจากจัดการกับหัวขโมยเสร็จก็พากันเดินหาทางออกให้ปวดหัวไปหมดจนไม่มีเวลาถาม เรื่องที่ทำให้ประหลาดใจเลยโดนเรื่องที่กำลังกังวลใจแทนที่ไปเสียหมด

    “ท่าพวกนั้นน่ะเหรอ” ได้ฟังคำถามนี่คยูฮยอนยังนึกขำตัวเองออกมา ถ้าตอบไปแล้วจะหาว่าเขาบ้าเกมหรือเปล่านะ

    “นั่นแหละๆ ท่าเป็นฉันโดนคงน็อคตั้งแต่ท่าแรก”

    “มันเป็นท่าในเกม Street Fighter ฉันชอบเล่นบ่อยๆตอนอยู่มัธยม ตอนนั้นน่ะบ้าเกมมาก นึกขึ้นได้เลยลองเอามาใช้ดู เคยลองฝึกเล่นกับเพื่อนแต่ก็ไม่เคยเอามาลองใช้จริงหรอกนะ ครั้งนี้ครั้งแรก” พูดไปก็ยิ้มไปเมื่อดูท่าทางของซองมินฟังอย่างตั้งอกตั้งใจพร้อมกับพยักหน้าไปด้วย มันยิ่งทำให้รู้สึกดีมากเมื่อซองมินอยากรู้เรื่องของเขา

    “ฉันก็นึกว่านายไปเรียนศิลปะการต่อสู้มากจากไหนเสียอีก” พูดไปตามที่ตัวเองคิดแล้วก็ได้รอยยิ้มกลับคืนมา

    และแล้วเรื่องราวต่างๆมากมายก็ถูกบอกเล่าให้กันฟังสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะหรือแม้แต่เรื่องราวที่น่าประหลาดที่ไม่คิดว่าอีกคนจะเคยมีประสบการณ์แปลกๆแบบนั้นเกิดขึ้น เป็นช่วงเวลาที่ได้ทำความรู้จักกัน ได้เข้าถึงอีกฝ่ายได้กว่าที่เคย ได้เข้าใจ ได้รับรู้ และได้ปรับตัวเข้าหากันมากยิ่งขึ้น

    ผ่านมากว่าครึ่งชั่วโมงรถคันเดิมยังคงแล่นต่อไปเรื่อยๆ คนที่เคยบางตาบัดนี้เริ่มมีมากขึ้นแต่ดูเหมือนทั้งซองมินและคยูฮยอนจะไม่ได้ใส่ใจมากนัก ยังคงพูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้กันอย่างสนุกสนานโดยไม่มีท่าทีเบื่อหน่ายเลยสักนิด

    “นายน่ะชอบสีชมพูใช่มั้ย” พูดถึงเรื่องประสบการณ์ของกันและกันได้พักใหญ่สุดท้ายก็วกกลับมาเรื่องส่วนตัวอีกครั้งเมื่อคยูฮยอนยิ่งคำถามที่เจ้าตัวรู้อยู่แล้วอยากจะถามไปอย่างนั้นเอง

    “ส่วนนายก็ชอบสีเขียว” ซองมินไม่ได้ตอบคำถามแต่กลับบอกสีที่คยูฮยอนชอบออกไปแทนเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าคยูฮยอนรู้ว่าคำตอบมันคืออะไร

    “แล้วชุดนอนสีชมพูมันก็ดูเฉิ่มสุดๆ” และแล้วคยูฮยอนก็เริ่มสร้างสงครามย่อมๆ

    “อะไรนะ! สีเขียวของนายก็เฉิ่มเหมือนกันนั่นแหละน่า” โดนว่ามาแบบนี้ซองมินยอมไม่ได้เลยตอกกลับไปเหมือนกันทุกประการ เพราะคยูฮยอนก็ชอบใส่ชุดนอนสีเขียวนอนแล้วจะมาว่าชุดนอนสีชมพูของเขาเฉิ่มได้ยังไง

    “สีชมพูมันหวานเกินไป” คยูฮยอนเริ่มต่อปากต่อคำและดูเหมือนไม่อยากจะจบสงครามที่ตัวเองก่อขึ้นมาง่ายๆ เขาเห็นซองมินใส่สีชมพูนอนแทบทุกวัน แถมยังมีหลายเฉดสีทั้งอ่อนทั้งเข้ม ไม่ได้เบื่อหรือรำคาญอะไรแต่ใส่สีหวานๆแบบนี้ก็อยากให้ลองเปลี่ยนดูบ้างเท่านั้นเอง

    “สีเขียวของนายมันก็ดูสดใสเกินไป” ดูเหมือนข้ออ้างที่ถูกยกขึ้นมาจะเป็นเหมือนข้อดีมากกว่าข้อเสีย ซองมินว่าอย่างไม่ยอมแพ้แล้วจ้องตากับคยูฮยอนเขม็ง ถึงแม้ชุดนอนที่คยูฮยอนใส่จะมีหลายเฉดสีเหมือนกันก็เถอะ บางวันก็มาซะเขียวแสบตา บางวันก็มาแบบเขียวมืดมน เขาเองก็อยากให้ลองเปลี่ยนดูบ้าง

    “ฉันอยากให้นายเลิกใส่สีชมพู”

    “ฉันก็อยากให้นายเลิกใส่สีเขียวเหมือนกัน” เมื่อคยูฮยอนบอกมาซองมินเลยบอกกลับไปบ้าง

    “ได้...เอาเป็นว่ากลับไปคืนนี้เราห้ามใส่ชุดนอนสีที่ชอบ”

    “ตกลง” ต่างฝ่ายต่างรับปากอย่างมั่นเหมาะแล้วก็อดกลับมาหวนคิดไม่ได้ ก็ชุดนอนของพวกเขามีแต่สีที่ชอบแล้วจะให้เอาชุดที่ไหนมาใส่กันล่ะ

    เมื่อเวลาผ่านไปภายในรถเมล์ก็เริ่มมีคนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรถเมล์จอดรับผู้โดยสารป้ายล่าสุดซึ่งเป็นโรงเรียนประถม ในเวลาที่ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยความมืดแบบนี้แต่กลับมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินเบียดเสียดขึ้นรถมาเพื่อเข้ามายืนด้านในซึ่งในเวลาแบบนี้ที่นั่งนั้นไม่มีเหลืออยู่แล้ว คยูฮยอนที่ละสายตาจากซองมินหันไปมองข้างตัวก็พบว่าเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนจับที่นั่งของเขาอยู่ จึงหันไปสะกิดบอกซองมินก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วสละที่นั่งให้เด็กผู้หญิงคนนี้ไป

    เด็กหญิงยิ้มกว้างแล้วโค้งขอบคุณก่อนจะหย่อนตัวลงนั่ง ซองมินยิ้มให้กับเด็กหญิงก่อนจะหันไปยิ้มให้คยูฮยอนที่วันนี้ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษให้เขาเห็นถึงสองครั้ง

    หลังจากสละที่นั่งให้เด็กผู้หญิงผ่านไปราวสิบห้านาทีรถก็วนมาบริเวณตลาดแถวๆมหาวิทยาลัยที่เปิดเฉพาะช่วงเย็นจนถึงตอนกลางดึกเท่านั้น และที่สำคัญคือพวกเขายังไม่เคยมาเดินเที่ยวกันเลย ผ่านมาทั้งที่จะนั่งรถผ่านไปเฉยๆก็คงไม่ได้การ ยังไงก็ต้องลงไปเดินเที่ยวกันเสียหน่อย


    -----------------------------------------------------

    Talk

    สวัสดีปีใหม่รีดเดอร์ที่น่ารักทุกคน วันนี้วันดีเลยถือโอกาสมาอัพฟิครับปีใหม่
    ก่อนอื่นเลยขออวยพรให้ทุกคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรงๆ ร่ำรวยเงินทองนะจ๊ะ

    สำหรับตอนที่แล้วที่อัพ SF ไป มีหลายคนถามถึงฮงกีกับจงฮุนที่งงกันว่ามาได้ไง
    ตอนแรกบทของทงเฮกับคิบอมวางไว้เป็นฮงกีกับจงฮุน แล้วมาเปลี่ยนทีหลัง
    เลยต้องมาแก้ใหม่ แต่ก็แก้ไม่หมด = = ต้องขอโทษด้วยนะคะ

    เรื่องราวของตอนนี้พักเรื่องเครียดๆ ของวอนซิน มาดูเรื่องหวานๆ ของคยูมินกันบ้าง
    งานนี้คยูได้โชว์แมนต่อหน้ามินแบบเต็มที่ไปเลย
    การเดทของทั้งคู่ยังไม่จบต้องรอต่อตอนหน้านะจ๊ะ

    ขอให้สนุกกับการอ่านจ้า



    HBD LEE SUNGMIN

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×