ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] อลวนรัก หอพักสุดเพี้ยน (Super Junior Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #42 : Chapter 36 : Get Away

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.12K
      6
      27 ต.ค. 54

    Chapter 36�:�Get Away
    ��������������� ระหว่างทางที่ขับรถกลับมาหอทั้งฮีชอลและซีวอนไม่มีใครยอมพูดอะไรออกมาอีกหลังจากการลงโทษและคาดโทษไว้ที่โรงแรมจนกระทั่งถึงหน้าประตูหอพัก ซีวอนหันไปมองฮีชอลที่เอาแต่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างไม่แม้แต่จะหันมามองหรือพูดอะไรซักนิดทั้งที่ถึงที่หมายแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นซีวอนก็ไม่ได้ใส่ใจเปิดประตูลงจากรถเดินตรงไปหาลุงยามที่หน้าประตูเข้าหอ

    ����������� “เปิดประตูให้ผมหน่อยครับ” ซีวอนเอ่ยบอกกับลุงยามที่เปิดประตูเล็กออกมาคุย เพราะที่หอเขาไม่เคยเห็นมีใครเอารถยนต์เข้าจึงไม่มั่นใจว่าจะเอารถเข้าไปจอดได้หรือเปล่า เลยต้องลองคุยกับลุงยามดูก่อน
    ����������� ฮีชอลที่นั่งเหม่อมานานเห็นซีวอนลงไปคุยกับลุงยามได้นานสองนานสมองมันก็นึกอะไรดีๆออก ว่าแล้วก็ทำการย้ายร่างตัวเองจากฝั่งที่นั่งข้างคนขับมานั่งที่นั่งคนขับโดยที่ซีวอนก็มัวแต่คุยกับลุงยามไม่ได้สนใจหันมามอง เมื่อได้โอกาสฮีชอลจึงถอยรถแล้วหักเลี้ยวขับหนีไป นี่แหละคือวิธีหนีที่เพิ่งนึกออกสดๆร้อนๆ ถึงอาจจะหนีได้แค่ชั่วคราว แต่ขอแค่หลบหน้าจากซีวอนไปได้สักพักก็ยังดี
    ����������� “ฮีชอล! ทำอะไรน่ะ!!” ซีวอนที่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์กับเห็นแสงไฟของรถเปลี่ยนทิศทางไปจึงรีบหันกลับไปมอง และพบว่าฮีชอลกำลังจะขับรถเขาหนีไป
    ����������� ซีวอนโวยวายยกใหญ่แต่มันก็เท่านั้นเมื่อรถคันหรูกำลังเคลื่อนตัวออกห่างไปเรื่อยๆ ร่างสูงก้าวขาวิ่งตามไปแต่ความเร็วของรถก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
    ����������� “ฮีชอล!! ทำอะไรของนาย! กลับมาเดี๋ยวนี้!!”
    ����������� วิ่งตามมาถึงหน้าถนนใหญ่ซีวอนจึงต้องหยุดฝีเท้าลง รถคันหรูแล่นออกสู่ถนนใหญ่ปะปนไปกับรถคันอื่น ซีวอนยืนหอบตัวโยนสีหน้าบ่งบอกถึงความโมโหอย่างเห็นได้ชัดที่ฮีชอลหนีไปแบบนี้ มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงถูกล้วงออกมากดโทรออกย้ำๆหาฮีชอลอยู่หลายรอบแต่ปลายสายกลับกดตัดสายทิ้งแล้วปิดเครื่องหนีไป จนซีวอนนึกอยากจะปาโทรศัพท์ที่อยู่ในมือทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดเพื่อระบายอารมณ์
    ซีวอนยืนนิ่งมองบนเส้นทางที่ฮีชอลขับรถหนีไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความโมโห ถึงจะหนีไปก็เท่านั้น ยังไงซะฮีชอลก็หนีไม่รอดอยู่แล้ว และเขาเองก็ไม่ยอมให้เรื่องนี้มันจบง่ายๆเหมือนกัน
    ����������� “คิดว่าจะหนีไปแล้วเรื่องมันจะจบหรือไง”
    ����������� เสียงเรียกเข้าของเจ้าของเครื่องมือสื่อสารร้องระงมอยู่หลายรอบทั้งที่ตัดทิ้งไปไม่รู้กี่สายจนฮีชอลต้องปิดเครื่องหนีไป เท้าข้างขวาเหยียบคันเร่งจนแทบมิดเพราะอยากไปให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด ภายในใจนึกหวั่นอยู่ไม่น้อยที่ตัดสินใจหนีมาแบบนี้ เพราะแน่นอนว่ามันอาจจะทำให้เรื่องยิ่งปลายกว่าเดิมที่ตัดสินใจหนีปัญหา แต่เพราะยังไม่อยากอยู่เผชิญจึงต้องหนี
    ����������� ใช้เวลาเกือบชั่วโมงฮีชอลก็ขับรถมาถึงบ้านของเขา นารากับอีวานเมื่อได้ยินเสียงรถจึงออกมาดู ฮีชอลลงมาจากรถด้วยสภาพที่ค่อนข้างโทรมเนื่องจากร้องไห้อย่างหนักเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมากับสภาพจิตใจที่ค่อนข้างย่ำแย่ ทำเอานารากับอีวานต้องรีบวิ่งเข้ามาดูอาการ
    ����������� “ฮีชอลเป็นอะไรมาลูก” นาราถามอย่างเป็นห่วง ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของลูกชายที่ดูไม่สดใสเอาเสียเลย
    ����������� “แล้วนั่นมันรถของซีวอนไม่ใช่เหรอ ทำไมลูกถึงขับกลับมาล่ะ” อีวานถามต่อ
    ����������� แต่ไม่ว่านารากับอีวานจะถามอะไรออกมาฮีชอลกลับไม่ยอมตอบแม้แต่คำเดียว ใบหน้าสวยนิ่งสนิท ริมฝีปากเม้มแน่นเอาแต่ส่ายหน้าไปมา
    ����������� “ผมขอเข้าบ้านก่อนนะครับ” ฮีชอลบอกเพียงเท่านี้ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปแล้วตรงขึ้นห้องนอนของตัวเองทันที
    ����������� นารากับอีวานหันไปมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจและเป็นห่วง เพราะไม่รู้ว่าที่หายไปกับซีวอนจะโดนคุณชายนั่นทำอะไรมาบ้างถึงได้มีสภาพแบบนี้กลับมาจึงได้รีบเดินตามขึ้นไปบนห้องแต่เคาะเรียกเท่าไหร่ฮีชอลกลับไม่ยอมตอบออกมาเลย
    �����������
    ����������� หลังจากหนีเข้ามาในห้องนอนที่ไม่ได้กลับมาเสียนานฮีชอลก็หยิบผ้าขนหนูตรงเข้าห้องน้ำหวังจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันรู้สึกสบายกายและใจมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูกับเสียงเรียกของพ่อแม่ยังคงดังมาเป็นระยะผสมผสานกับเสียงน้ำจากฝักบัวแต่ฮีชอลก็ไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่นัก
    ����������� เมื่อเปลี่ยนมาอยู่ในชุดนอนแบบสบายตัวฮีชอลก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างรู้สึกหมดแรง ตอนนี้เสียงเคาะประตูกับเสียงเรียกของพ่อแม่เงียบลงไปแล้ว แต่กลับมีเสียงก๊อกๆแก๊กๆดังขึ้นแทน ฮีชอลหันหน้าไปมองก็พอจะเดาออกว่าคนที่อยู่ข้างนอกกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ก็เล่นเคาะตั้งนานสองนานลูกชายคนเดียวกลับไม่ยอมเปิดประตูให้ งานนี้เลยต้องใช้กุญแจสำรองไขเข้ามา
    ����������� “ฮีชอล!” เมื่อเปิดประตูเข้ามาได้นาราก็รีบวิ่งตรงมาหาฮีชอลที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง ที่ผ่านมาเคยให้ลูกชายหลอกใครต่อใครมานักต่อนัก ถึงแม้จะรู้ว่าลูกไม่เคยเต็มใจ แต่เธอก็ไม่เคยเห็นฮีชอลมีอาการหนักขนาดนี้มาก่อน
    ����������� ฮีชอลเมื่อเห็นว่าใครเข้ามาก็ดึงผ่าห่มขึ้นมาคลุมโปงหนีเพราะไม่อยากจะคุยหรือพูดเรื่องอะไรตอนนี้ แน่นอนว่าที่เขากลับมาในสภาพแบบนี้คงต้องโดนสอบสวนกันยาว แต่สุดท้ายอีวานก็ดึงผ้าห่มออกเพื่อต้องการจะคุยกับลูกชายให้รู้เรื่องและเข้าใจ
    ����������� “เป็นอะไรลูกบอกแม่มาซิ ดูสิทำไมตาบวมแบบนี้” นาราลูบไล้ใบหน้าของฮีชอลเบาๆ สายตาแสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด
    ����������� “แม่ครับ” ฮีชอลเอ่ยบอกไปเสียงเบาหวิว สายตาจ้องมองผู้เป็นแม่นิ่ง
    ����������� “มีอะไรก็พูดมาเถอะลูก” บอกกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน คราวนี้นาราคิดว่าฮีชอลคงต้องเจอเรื่องหนักหนามาจริงๆ ไม่งั้นคงไม่หนีกลับบ้านมาในสภาพแบบนี้ ถึงแม้เธอจะไม่ได้เห็นน้ำตาแต่ก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ฮีชอลคงร้องไห้มาอย่างหนัก
    ����������� “ถ้าสมมติว่าครอบครัวของซีวอนรู้ความจริงขึ้นมา พ่อกับแม่จะทำยังไง” เอ่ยถามออกมาเสียงเบาหวิวเช่นเดิม คำถามที่ทำเอาคนเป็นพ่อแม่ถึงกับนิ่งอึ้งไป
    ����������� รู้ความจริงอย่างนั้นเหรอ? หรือว่าที่ฮีชอลกลับมาในสภาพแบบนี้เพราะความลับแตกเสียแล้ว
    ����������� “ว่ายังไงล่ะครับ” ฮีชอลถามย้ำอีกครั้งเมื่อนารากับอีวานเอาแต่นิ่งเงียบ ถึงแม้เขาเองจะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่าถ้าเกิดความแตกขึ้นมาจะเป็นยังไง
    ����������� “เราก็ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น” นาราตอบเสียงเรียบ อารมณ์ของเธอตอนนี้ชักอยู่ในสภาวะไม่ปกติ เธอไม่อยากจะคิดว่าฮีชอลทำความลับแตกตั้งแต่เนิ่นๆ โดยที่ยังไม่ได้อะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่อุตส่าห์ลงแรงเสียเวลากันมาตั้งหลายเดือน แต่อย่างน้อยคำที่ฮีชอลใช้ก็เป็นเพียงคำว่า ‘สมมติ’ เธอจึงไม่อยากตีตนไปก่อนไข้ ถามอะไรออกไปให้มันทำร้ายจิตใจลูกชายของเธอมากไปกว่านี้
    ����������� �“แต่ผมไม่อยากย้ายไปไหนอีกแล้วครับแม่ ผมอยากอยู่ที่นี่ อยากเรียนที่นี่ อยู่กับเพื่อนๆที่มหาลัย ตอนนี้ชีวิตของผมกำลังมีความสุขผมไม่อยากทิ้งมันไปอีกแล้ว ไม่อยากย้ายไปไหนอีกแล้ว” ฮีชอลลุกขึ้นนั่งร่ายความในใจยาวเยียดออกมาอย่างสุดกลั้น ชีวิตของเขาตอนนี้กำลังมีความสุข ทั้งเรื่องการเรียนและเรื่องเพื่อน เขาไม่อยากต้องเริ่มต้นใหม่อีกทั้งที่ทุกอย่างกำลังเข้าร่องเข้ารอย สำหรับการเริ่มต้นใหม่นั้นมันยากแค่ไหนเขารู้ดี และใช่ว่าพอเริ่มต้นใหม่แล้วมันจะต้องดีเสมอไป เมื่อได้เจอสิ่งที่ดีแล้วใครอยากจะทิ้งมันไปกันล่ะ
    ����������� “ลูกพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” ได้ฟังแบบนี้นารายิ่งใจไม่ดีเข้าไปใหญ่ แบบนี้มันก็เหมือนกับการสารภาพทางอ้อมว่าแผนการครั้งนี้มันคงใกล้จะแตกหรืออาจจะแตกไปแล้วก็เป็นได้ ทั้งที่มันกำลังจะไปได้สวยอย่างนั้นเหรอ �
    �“แม่บอกความจริงเขาไปเถอะนะ บอกตอนนี้เขาอาจจะให้อภัยเราก็ได้” ฮีชอลเอ่ยอีกประโยคออกมาที่ทำเอาอารมณ์ของนาราพุ่งปี๊ด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอกำลังอยู่ในอารมณ์ของความเป็นห่วงแต่พอได้ฟังเรื่องที่ฮีชอลพูดออกมามันกลับทำให้เธอรู้สึกโกรธขึ้นมาเสียอย่างนั้น
    พูดจบฮีชอลก็นั่งก้มหน้านิ่ง นาราเองก็พยายามระงับอารมณ์เต็มที่ เพราะเธอรู้ดีว่าฮีชอลไม่ได้เต็มใจจะทำเรื่องแบบนี้ อีกอย่างเธอก็ไม่อยากตวาดฮีชอลที่อยู่ในสภาพแบบนี้ด้วย ส่วนอีวานเองก็ได้แต่ยืนนิ่งฟังสองแม่ลูกพูดคุยกันเงียบๆ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกหวั่นๆกับเรื่องที่ฮีชอลพูดออกมาแต่ก็เลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า
    “ลูกพูดอะไรออกมาน่ะฮีชอล” นาราเอ่ยถามเสียงต่ำ
    “บอกความจริงเขาไปเถอะนะครับ” ฮีชอลพูดประโยคเดิมออกมา และนี่คือสิ่งที่เขาอยากให้ครอบครัวทำเพื่อเขามากที่สุด เขาไม่อยากเสียเพื่อน เสียการเรียน ถ้าเกิดยอมสารภาพผิดออกไปตอนนี้เขาคิดว่าความเป็นเพื่อนคงจะทำให้ซีวอนให้อภัยครอบครัวของเขาได้บ้าง
    “หมายความว่ายังไงฮีชอล บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะ!” เพราะความสบสันมึนงงกับคำที่ฮีชอลเอ่ยออกมาทำให้นาราอดตวาดออกไปไม่ได้ มือคว้าเอาแขนของลูกชายกระชากขึ้นมาหวังจะให้หันมาคุยกันให้รู้เรื่อง
    “ใจเย็นๆน่ะนารา” อีวานที่เห็นภรรยาเริ่มใช้อารมณ์จึงเข้ามาห้าม จับมือนาราให้ปล่อยแขนฮีชอลออก
    “หมายความว่าไงบอกแม่มาสิ!” นารายังคงเสียงดังไม่เลิกเมื่อฮีชอลไม่ยอมตอบคำถามเอาแต่นั่งก้มหน้าอย่างเดียว เธอเพียงแค่อยากรู้เท่านั้นว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง ที่หายไปกับซีวอนแล้วขับรถเขากลับมาแบบนี้เพราะซีวอนรู้ความจริงแล้วอย่างนั้นเหรอ
    แต่ถามไปเท่าไหร่ก็เท่านั้นเมื่อฮีชอลไม่คิดจะปริปากตอบคำถามแต่อย่างใด ร่างบางเอนตัวลงนอนอีกครั้งพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงจนมิด นอนตะแคงหันหลังให้นาราที่ทำท่าจะวีนใส่อีกระลอก ตอนนี้เลยมีแต่อีวานเท่านั้นที่คอยช่วยห้ามทัพได้
    “ฮีชอล!! บอกแม่มานะ!!”
    “ใจเย็นๆสิคุณ�ลูกเป็นแบบนี้แล้วยังจะตวาดใส่ลูกทำไม” อีวานจับตัวนาราที่ทำท่าจะเข้าไปดึงฮีชอลให้ลุกขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่อง คนเป็นพ่อได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ ทั้งที่ฮีชอลก็กลับมาในสภาพที่ย่ำแย่ยังไม่ทันถามได้ความว่าลูกเป็นอะไรก็หาเรื่องทะเลาะกันเสียแล้ว ส่วนตัวฮีชอลเองก็ได้นิสัยนาราไปเต็มๆ ดื้อด้าน ปากดี เสียงดังขี้โวยวายไม่มีใครเกิน
    “พ่อครับ ผมฝากให้คนขับรถไปคืนซีวอนด้วยแล้วกัน ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก อยากพักผ่อน” พูดแทรกขึ้นมาจากใต้ผ้าห่มผืนหนา ฮีชอลหลับตาลง ไม่อยากจะนึกถึงเรื่องอะไรอีก ถึงเวลานี้แล้วสิ่งที่ทำได้คือหนีให้ได้นานที่สุดเท่านั้น
    “ฮีชอล!!” ดูเหมือนนาราจะไม่ยอมเลิกลาง่ายๆ อีวานเลยต้องรีบลากภรรยาของตนออกไปจากห้องโดยเร็วก่อนจะเกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้นเสียก่อน
    สงสัยต้องรอให้ฟ้าฝนลมสงบถึงจะคุยกันรู้เรื่อง
    ผ่านมาแล้วหนึ่งวันเต็มๆ แต่ก็ยังไรวี่แววของรูมเมทขี้โวยวายที่มักจะส่งเสียงแสบเก้าหูให้ได้รำคาญกันทุกวัน ซีวอนนั่งท้าวคางมองพวกเพื่อนๆในคณะเล่นกีฬาหลังเลิกเรียนด้วยอาการเซ็งๆ เพราะตั้งแต่ที่ฮีชอลขับรถของเขาหนีไปก็ติดต่อยัยขี้โวยวายนั่นไม่ได้อีกเลย จนเมื่อตอนสายของวันนี้แม่เขาโทรมาบอกว่าพ่อของฮีชอลให้คนขับรถของเขามาคืนที่บ้านเลยเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมานิดหน่อย แต่เขาก็แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆว่า ที่หอไม่ให้เอารถเข้าเลยเอารถไว้ที่บ้านฮีชอลแทน ซึ่งแม่ของเขาก็ไม่ติดใจถามมากเรื่องอะไร
    และที่ซีวอนเลือกที่จะไม่บอกความจริงกับพ่อแม่ไปเพราะอยากจะรอดูเหตุการณ์ไปก่อนว่าฮีชอลคิดจะทำอะไรกับครอบครัวของเขาบ้าง เขายังไม่อยากทำตัวเผด็จการตัดเพื่อนฝูงเพียงแค่ความผิดครั้งเดียวที่มันดูค่อนข้างมีเหตุผลหลักมาจากครอบครัว ไม่ใช่ว่าตั้งใจหรือจงใจทำเพื่อตัวเองเพียงคนเดียว ยังไงซะเขากับฮีชอลก็รู้จักสนิทสนมกันมาหลายเดือน คงต้องรอดูอะไรหลายๆอย่างประกอบกันถึงจะสามารถตัดสินใครสักคนได้
    “ยังไม่ยอมเปิดเครื่องอีกเหรอเนี่ย” บ่นกะปอดกระแปดเมื่อลองโทรไปหาฮีชอลอีกครั้งแต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม ไม่รู้คิดจะหลบหน้ากันไปซักกี่วัน ถ้ากลับมาเมื่อไหร่คงได้สอบสวนกันยาว
    �เมื่อเห็นว่านั่งดูเพื่อนๆเล่นกีฬากันไปมันก็ไม่ทำให้หายเซ็งขึ้นมาซีวอนจึงเลือกที่จะกลับหอพักแทน เอาเวลาคิดเรื่องปวดหัวไปนั่งทำรายงานให้เสร็จทันกำหนดส่งเสียยังดีกว่า
    “แหวนของนายเหรอฮยอกแจ” ซองมินถามขึ้นเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอะไรแวบๆที่คอฮยอกแจ และเมื่อมองดูดีๆก็พบว่ามันเป็นแหวนเงินคล้องอยู่กับสร้อยเงินแลดูสวยงามมากทีเดียว
    ซึ่งคำถามของซองมินก็เรียกความสนใจจากหมู่เพื่อนที่นัดกันลงมาทานมื้อเย็นกันได้มากทีเดียวเมื่อคนทั้งโต๊ะหันไปมองฮยอกแจกันเป็นตาเดียว รวมถึงฮันคยองที่มองแล้วเอาแต่อมยิ้มเพราะเป็นคนเดียวที่รู้ที่มาที่ไปของแหวนวงนั้น และไม่คิดว่าฮยอกแจจะเอามันออกมาใส่เสียด้วย
    “อืม” พยักหน้าตอบอ้อมแอ้ม เพราะถ้าจะให้ตอบว่าไม่ใช่ของตัวเองมันก็ไม่เชิง และถ้าจะให้บอกว่าอาม่าฮันคยองให้มาเดี๋ยวเรื่องมันจะยาวจนยุ่งเยิงเพราะคงโดนสอบสวนกันไม่หยุดหย่อน ยังโชคดีที่อีกวงซึ่งเขายัดเยียดให้ฮันคยองไป พ่อรูมเมทไม่เอามาใส่ด้วย ไม่งั้นคงโดนสงสัยหนักกว่านี้แน่
    “ขอดูหน่อยนะ” พูดไม่ทันขาดคำซองมินก็คว้าเอาแหวนของฮยอกแจมาดูอย่างรวดเร็วทั้งที่เจ้าของไม่ได้เอ่ยปากอนุญาต ฮยอกแจเลยได้แต่นั่งนิ่งให้ซองมินก้มหน้าเข้ามาดูแหวนที่คอใกล้ๆ
    “นี่ๆ มันมีภาษาจีนเขียนอยู่ด้วยล่ะ อ่านว่าไรเหรอ” พลิกดูไปมาซองมินก็เจอเข้ากับอักษรภาษาจีนที่สลักอยู่ในวงแหวนจึงไม่รอช้าถามออกมาทันที
    “ไม่รู้สิ” ฮยอกแจส่ายหน้าถี่ๆเพราะเขาเองก็ไม่รู้ความหมายเหมือนกัน ส่วนที่คิดไว้ว่าจะหาดูความหมายในเน็ตก็ยังไม่ได้ทำเสียที เพื่อนในคณะก็ไม่มีใครรู้ภาษาจีนเสียด้วย
    “แล้วทำไมไม่ถามฮันคยองล่ะ” ซองมินถามต่ออย่างสงสัย
    “ถามไปแล้วแต่ไม่ตอบ” พูดถึงแล้วสายตาเหลือบมองฮันคยองที่นั่งยิ้มอย่างชอบอกชอบใจ เห็นแบบนี้แล้วฮยอกแจก็อดเกิดอาการเคืองไม่ได้ ก็ไอ้คนที่รู้กลับไม่ยอมบอกเสียทีว่าแปลว่าอะไร
    “แล้วทำไมไม่ตอบล่ะฮันคยอง” ซองมินหันไปถามแทน
    “หรือว่ามันมีความลับอะไรอยู่ในแหวนวงนี้ เอ๊ะ!หรือว่านายเป็นคนให้แหวนฮยอกแจกันนะ” เรียวอุกที่เงียบฟังอยู่นานเสริมบทต่อจากซองมินทันทีเมื่อสมองประมวลผลแล้วนึกอะไรดีๆขึ้นมาได้ เลยอยากจะแซวเพื่อนเสียหน่อย
    เจอถามแบบเจาะตรงประเด็นแบบนี้ต่างคนเลยต่างเงียบ ฮยอกแจเบือนหน้าหนีซองมินไปอีกทางส่วนฮันคยองก็นั่งยิ้มอย่างเคย ส่วนพวกชอบแกล้งก็ไม่ได้คิดจะถามไล้จี้จนได้คำตอบ เมื่อเจ้าตัวเขาตอบได้แค่นี้ก็ต้องปล่อยไป ความจริงเป็นยังไงสักวันวันคงปรากฏออกมาเอง
    “ซองมิน อ่ะ” พอซองมินหยุดสนใจเรื่องของฮยอกแจ คยูฮยอนก็สะกิดแฟนตัวเองให้หันมาหา โดยที่ในมือถือช้อนที่บรรจุฝักทองเครื่องใส่ในน้ำแข็งใสของโปรดของซองมินไว้อยู่
    เห็นของโปรดอยู่ตรงหน้าซองมินก็รีบอ้าปากงับช้อนโดยไม่รอช้า กินเสร็จก็ยิ้มหวานน่ารักให้แฟนหนุ่มซักทีโดยที่คยูฮยอนก็ยิ้มบางๆตอบกลับมา ทำเอาเพื่อนรอบโต๊ะออกอาการอิจฉากันเป็นแทบๆ เพราะคู่นี้ตั้งแต่เปิดเผยว่าคบกันอย่างเป็นทางการก็แสดงฉากหวานออกนอกหน้าเสียเหลือเกิน
    “เห็นแบบนี้แล้วอยากมีแฟนบ้างจัง คังอินกับอีทึกก็หวานกันใช่ย่อยเลย” เรียวอุกนั่งบ่นอุบอิบเมื่อเห็นฉากหวานๆของคู่รักสองคู่ที่มักจะผลัดกันป้อนของโปรดให้กันไปมา
    “ก็นั่งอยู่ข้างๆนี่แล้วไงครับ เรียวอุกกินนี่นะ อ้ำๆ” เห็นคู่อื่นทำเยซองเลยอยากจะเนียนทำกับคนอื่นเขาบ้าง
    “จะบ้าเหรอ เล่นอะไรเนี่ย” หันไปตวาดใส่เบาๆพอแค่ให้ได้ยินกันสองคนก่อนเรียวอุกจะสะบัดหน้าหนีหันไปสนใจจานอาหารที่อยู่ตรงหน้าตัวเองแทน
    เยซองหัวเราะออกมาบาๆเมื่อเห็นท่าทางเขินอายของเรียวอุก เมื่อไหร่นะเขาจะได้มีความสุขแบบคนอื่นเขาบ้าง
    “เออ จริงสิซีวอน แล้วฮีชอลหายไปไหนล่ะ” ชินดงเอ่ยถามเมื่อมองสำรวจจำนวนของเพื่อนๆแล้วไม่เห็นฮีชอลนั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วย
    “หมอนั่นไปพักผ่อนกับครอบครัวน่ะ อาจจะซักสองสามวัน หรืออาจจะเป็นอาทิตย์ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซีวอนหันไปหาชินดง บอกคำตอบที่คิดว่าเข้าท่าที่สุดออกไป เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าฮีชอลจะกลับมาเมื่อไหร่เหมือนกัน คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็อดกลุ้มใจไม่ได้ โกรธก็โกรธที่โดนหลอก จะบอกว่าเป็นห่วงก็อาจจะได้เพราะเล่นหายตัวไปติดต่อไม่ได้แบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
    ชินดงกับเพื่อนคนอื่นๆก็ไม่ได้คิดติดใจหรือสงสัยอะไรกับคำตอบของซีวอน พากันสรรหาเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาคุยกันได้ไม่หยุดหย่อนจนผ่านไปเกือบเป็นชั่วโมงมื้อเย็นก็ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงเสียที
    ด้านดงแฮกับคิบอมถึงแม้จะไม่ได้คบกันหากแต่การกระทำของทั้งคู่นั้นชวนให้เชื่อมากไปกว่าครึ่งว่าเบื้องลึกเบื้องหลังมันมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่าคำว่าเพื่อน ดงแฮจอมขี้อ้อนก็ยังอ้อนได้อยู่ทุกวี่ทุกวันเพราะมีคิบอมคอยตามเอาอกเอาใจอยู่ไม่เคยห่าง จนกลุ่มเพื่อนที่เคยล้อเคยแซวกันอยู่บ่อยๆชักเกิดอาการเบื่อ ชินกับภาพของดงแฮกับคิบอมที่ทำตัวติดกันทุกวันเลยหยุดล้อกันไปเอง
    เรื่องเล่าของชินดงนั้นสร้างความหรรษาบนโต๊ะอาหารไม่น้อย หากแต่เสียงหัวเราะของดงแฮกลับต้องหยุดชะงักลงเมื่อโดนแทรกด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดงแฮหันไปมองคิบอมที่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าก่อนจะทำทีเป็นไม่สนใจหันกลับไปฟังเรื่องของชินดงต่อ แต่หูมันกลับสนใจเสียงของคิบอมที่กรอกเสียงตามสายไปเสียมากกว่า
    คุยอยู่ได้สองสามประโยคคิบอมก็ทำท่าว่าจะลุกออกไปจากโต๊ะ ดงแฮหันกลับมามองด้วยความสงสัย สายตาจ้องมองใบหน้าของคิบอมที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
    อยากรู้จริง กำลังคุยกับใครกันนะ
    “เดี๋ยวมานะ” เหมือนคิบอมจะอ่านสายตาของดงแฮออกเลยเอ่ยบอกก่อนที่จะลุกออกไปโดยที่ไม่ได้ไขข้อสงสัยให้ดงแฮมากนัก แต่ก็ยังดีกว่าการไม่บอกอะไรเลย เพราะไม่อย่างนั้นคนขี้งอนพ่วงอารมณ์ขี้งอนจะเกิดอาการเคืองจนต้องลำบากตามง้อเอาได้
    ดงแฮมองตามคิบอมที่เดินคุยโทรศัพท์ออกไปแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมวางตา เรื่องของชินดงที่ว่าสนุกก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีกต่อไปแล้ว อยากจะรู้จริงๆเลยว่าคุยกับใครถึงได้ยิ้มกว้างแบบนั้น เพราะปกติแล้วคิบอมไม่เคยคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางแบบนี้มาก่อนหรือจะบอกว่าแทบจะไม่เคยเห็นคิบอมคุยโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ
    นั่งคุยเรื่อยเปื่อยผ่านไปอีกกว่าครึ่งชั่วโมงทุกคนจึงตกลงกันว่าสมควรได้เวลาแยกย้ายกันกลับขึ้นห้อง ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีโต๊ะที่ถูกล้อมด้วยคนกว่าสิบคนบัดนี้กลับเหลือเพียงคนๆเดียวที่ยังคงนั่งอยู่
    “ดงแฮไม่ขึ้นห้องเหรอ” อีทึกที่ลุกเป็นคนสุดท้ายหันมาถาม
    “นายขึ้นไปก่อนเลย ฉันรอคิบอมน่ะ” ตอบแล้วยิ้มกลับไปให้บางๆ อีทึกมองตามสายตาของดงแฮไปก็เห็นคิบอมนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่ม้านั่งนอกตัวตึก อีทึกก็พยักหน้ารับทราบก่อนจะโดนคังอินลากตัวไป
    คนที่คุยโทรศัพท์อยู่หันมาเห็นเพื่อนๆสลายตัวกันไปหมดแล้วจะเหลือก็แต่รูมเมทขี้อ้อนคนเดียวที่นั่งท้าวคางมองฟ้ามองอากาศด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่าเซ็งเต็มแก่อมยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะตัดบทกับคนในสายแล้วลุกเดินเข้ามาหา ท่าทางแบบนี้ไม่รู้จะว่าโดนงอนอะไรหรือเปล่า
    “คุยเสร็จแล้วเหรอ คุยกับใครทำไมนานจัง” พอคิบอมเดินมาถึงตัวดงแฮก็ยิงคำถามใส่ทันที
    “คนที่ไม่ได้คุยกันมานานน่ะเลยมีเรื่องคุยกันเยอะหน่อย” คิบอมตอบแบบไม่เปิดเผยมากนักแต่ก็ไม่ได้โกหก
    ดงแฮยู่หน้าใส่อย่างนึกหมั่นไส้กับคำตอบกำกวมนั่นแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ ยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินนำหน้าคิบอมไปยังลิฟต์ทันที อยากจะนึกงอนอยู่หรอกแต่ก็ดูมันจะไร้เหตุผลกับแค่การคุยโทรศัพท์นาน แต่แค่นี้ก็ทำให้ดงแฮคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วว่าคิบอมให้ความสนใจกับอย่างอื่นมากกว่าตัวเอง เพียงแค่ไม่อยากแสดงอาการออกมาให้มันดูงี่เง่าก็เท่านั้น
    ส่วนคนที่โดนเมินใส่ส่ายหน้าน้อยๆด้วยใบหน้าที่แต้มรอยยิ้มจางๆก่อนจะเดินตามคนขี้อ้อนไป งานนี้ถ้าดงแฮไม่ถามจี้คิบอมเองก็คงไม่คิดจะตอบ เพราะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร อีกอย่างถ้าดงแฮอยากรู้ก็คงถามแต่ถ้าไม่ถามก็แสดงว่าไม่ได้อยากรู้ไม่ได้ใส่ใจ เพราะคิบอมเองก็ไม่อยากให้ดงแฮเก็บเรื่องเล็กๆน้อยๆไปคิดให้มันรกสมองเหมือนกัน

    --------------------------------------------


    kr…Talk
    กราบสวัสดีมิตรรักแฟนฟิคทุกท่านจ้า(โคตรลิเกเลย)
    เรากลับมาแล้วหลังจากหายไปเกือบเดือนพอดี พอดีประเทศไทยประสบปัญหาน้ำท่วม

    (ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับบ้านไรเตอร์แต่ประการใดหรอก ฮ่าๆๆ)(หาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง)

    ไม่รู้ว่าเพื่อนๆแฟนฟิคของไรเตอร์จะเป็นอย่างไงกันบ้าง เพราะก็อาจจะอยู่ในจังหวัดที่ประสบอุทกภัย ก็ขอให้ปลอดภัยกันทุกคนนะจ๊ะ รวมทั้งคนไทยทุกคนและตัวไรเตอร์ด้วย
    ^^ ใครที่มีปัญหาน้ำท่วมตอนนี้แล้วไม่ได้อ่านฟิคของเราไม่ต้องเสียใจนะ เพราะมันก็ยังคงอยู่ในนี้ไม่มีทางลบอย่างแน่นอนจ้า
    ตอนนี้วอนชอลเรื่องราวเริ่มดราม่าแถมยังมีความดราม่ามาให้คู่คิเฮด้วย ไรเตอร์ชอบสร้างความแตกแยก ฮ่าๆๆ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×