คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : Chapter16 : ไม่ได้สงสารแต่เป็นห่วง
Chapter16 : ไม่ได้สงสารแต่เป็นห่วง
ในช่วงเวลานี้คงเป็นช่วงเวลาที่สงบที่สุด ซองมินกลับมาที่บ้านตอนเช้าตรู่เพราะคิดว่าคงยังไม่มีใครตื่นเป็นแน่ แต่แล้วความคิดนี้มันกลับผิด เมื่อเพียงก้าวแรกที่เดินเข้ามาในบ้านซองมินก็พบกับฮีชอลนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก เหมือนกับว่ากำลังรอเขากลับมา
“ทำไมกลับมาป่านนี้ คยูฮยอนพานายไปไหน” ฮีชอลเอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ สายตาไหล่ไปตามร่างกายของซองมินตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า หายไปทั้งคืนแบบนี้ เขาเดาไม่ถูกเลยว่าทั้งสองคนไปไหนกัน แล้วไปทำอะไรกันมาบ้าง ท่าทางของคยูฮยอนตอนลากซองมินนั้นดูโกรธจัด แต่พอกลับมาเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับซองมินเลย
คนถูกถามนิ่งเงียบปลายตามองพี่ชายเล็กน้อยก่อนจะเดินเลี่ยงไปที่บันได และหยุดอยู่ตรงนั้น
“เราต้องทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กันครับ” ถามออกมาเสียงเรียบ สีหน้านั้นดูนิ่งเฉย แต่ภายในสมองนั้นกลับมีเรื่องต่างๆให้คิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อไหร่การแก้แค้นนี้มันจะจบลงเสียที
“นายหมายถึงอะไรซองมิน” ฮีชอลตีหน้าซื่อ แต่เขาเพียงแกล้งถามออกไปอย่างนั้น เขารู้อยู่แล้วว่าซองมินหมายถึงอะไร สงสัยคงจะโดนคยูฮยอนพูดเป่าหูมาแน่ๆ
“เราต้องฆ่าคนไปอีกนานเท่าไหร่ครับพี่ฮีชอล” ซองมินยังคงหันหลังพูดให้ฮีชอลเหมือนเดิม ใบหน้าเริ่มดูเหม่อลอยขึ้นมาเมื่อนึกถึงสิ่งที่คยูฮยอนพูดกับเขาเมื่อคืนนี้
“ทำไมซองมิน นายไม่อยากแก้แค้นให้พ่อนายแล้วหรือไง” ฮีชอลเริ่มใส่อารมณ์ในการพูด เขาไม่อยากให้ซองมินโอนอ่อนไปตามฝั่งศัตรู เขาคงจะคิดผิดที่ให้ซองมินเข้าไปตีสนิทกับคยูฮยอนแบบนั้น ยิ่งใกล้กันมาก ภัยมันก็ยิ่งมากจริงๆ
ซองมินเงียบไปไม่พูดหรือเถียงอะไรออกมาอีกก่อนจะเดินขึ้นบันได ฮีชอลมองตามน้องชายแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เรียวอุกก็ดูเหมือนจะโอนอ่อนไปตามเยซองคนหนึ่งแล้ว อย่าบอกนะว่าซองมินจะเป็นรายต่อไป
เมื่อก้าวขึ้นบันไดก้าวสุดท้ายมาซองมินมองตรงไปยังห้องที่อีทึกถูกขังไว้เป็นอันดับแรก ยืนนิ่งอยู่ซักพักก่อนจะออกเดินไปยังห้องของตัวเอง แต่แล้วกลับหยุดเดินและหันหลังกลับ บางทีเขาควรจะไปดูไปเยี่ยมอีทึกซักนิด เพราะอีทึกอาจจะอยากรู้ความเป็นไปของโจกรุ๊ปบ้างก็เป็นได้
ประตูถูกเคาะเบาๆสองสามทีไม่นานก็มีคนออกมาเปิด คังอินยิ้มบางๆให้กับน้องชายก่อนจะเปิดประตูอ้าไว้ซองมินเข้าไปในห้องจากนั้นจึงปิดประตูและตามเข้ามา
บนเตียงสีขาวสะอาดมีร่างบอบบางของชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนหลับอยู่ ซองมินหันไปมองหน้าคังอินด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก หน้าตาของคังอินที่ดูเหมือนคนไม่ได้นอนแบบนี้ อย่าบอกนะว่าเอาเวลาไปดูแลอีทึกหมด
“เมื่อคืนพี่ไม่ได้นอนกับพี่ฮีชอลใช้มั้ย” เอ่ยถามออกมาเรียบๆ พักนี้เขาเริ่มรู้สึกตงิดๆเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพี่ชายทั้งสองที่มันเริ่มห่างเหินกันเข้าไปทุกที
“อืม” พยักหน้าตอบกลับมาเรียบๆโดยไม่คิดจะแก้ตัวอะไร คังอินเดินไปนั่งข้างเตียงอีทึก จ้องมองใบหน้าที่ดูซีดเซียวนั่นด้วยแววตาที่ซองมินไม่เห็นคังอินทำกับใครมาก่อน แม้กระทั่งฮีชอล
“ทำแบบนี้พี่จะนอกใจพี่ผมหรือไง พักนี้ไม่เห็นอยู่ด้วยกันเลย” ซองมินถามขึ้นมาเหมือนเป็นการแซวเล่นแต่น้ำเสียงกลับดูจริงจัง
“สถานการณ์แบบนี้พี่คงไม่มีเวลาไปสวีทกับฮีชอลหรอก เมื่อคืนนายคงไม่รู้สินะว่าหลังจากคยูฮยอนพานายออกไปไม่นานฮยอนจินก็บุกมา” คังอินว่าสีหน้าเครียด ก่อนจะลุกเดินไปยังโซฟาที่อยู่มุมห้องและเรียกซองมินให้เดินตามไป เพราะไม่อยากรบกวนอีทึกที่กำลังหลับอยู่ เมื่อคืนกว่าอีทึกจะยอมหลับก็เกือบจะเช้าแล้ว เขาเลยต้องอยู่ต่อปากต่อคำกับคนๆนี้จนไม่ได้นอน
“พี่ช่วยเล่าให้ผมฟังได้มั้ยครับว่าเรื่องมันเป็นยังไง เกิดอะไรขึ้นบ้าง” ซองมินนั่งลงข้างๆคังอิน คิ้วเรียวสวยตอนนี้ขมวดเข้าหากันอย่างคนกำลังคิดหนัก
“เมื่อคืนฮยอนจินกับลูกน้องหลายคนบุกมาที่นี่เพื่อมาขอตัวอีทึกคืนไป แต่ทางเราไม่ยอม เลยเกิดการปะทะกัน โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร ตอนนั้นรู้สึกว่าจะเป็นอึนฮยอกกับทงแฮล่ะมั้งที่มาช่วยพาฮยอนจินหนีออกไป” คังอินเล่าเรื่องออกมาคร่าวๆ นาทีนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเท่าไหร่นัก ว่าใครจะมาจะไป เพราะชีวิตของคนในครอบครัวลีกับชีวิตของคนที่เขาต้องดูแลนั้นสำคัญกว่า
“อึนฮยอก หมอนั่นกลับมาแล้วเหรอ” พึมพำออกมาเบาๆ เพราะเขารู้มาว่าอึนฮยอกโดนพวกของซึง ฮยอนตามล่าและหายตัวไปตั้งแต่วันนั้น ไม่นึกว่าจะรอดกลับมาได้
“ว่าแต่นายเถอะหายไปไหนกับคยูฮยอนทั้งคืน” เมื่อเจอย้อนถามมาแบบนี้ซองมินเลยเงียบไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับพี่เขยบางๆ
“มันก็ไม่มีอะไรหรอกครับ หมอนั่นแค่โมโหที่เราทำกับอีทึกแบบนั้น เขามาขอร้องให้หยุด”
“แล้วมันทำอะไรนายหรือเปล่า” คังอินเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เปล่าหรอกครับ เขาไม่ได้ทำอะไรผม” ส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ สายตามองเลยไปยังอีทึกที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาที่บวมช้ำจ้องมองมาที่เขา ใบหน้าที่ดูโทรมไร้ความมีชีวิตชีวานิ่งสนิท ซองมินหันกลับมามองหน้าคังอินอีกครั้งก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางเตียงที่อีทึกนอนอยู่ เขาไม่รู้ว่าอีทึกตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือบางทีอาจจะตื่นตั้งแต่ที่เขาเข้ามาเลยด้วยซ้ำ
คังอินหันไปหาอีทึกตามที่ซองมินบอก เลขาคนสวยของโจกรุ๊ปยังคงนอนนิ่งจ้องมองบุคคลทั้งสองที่พูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ซองมินตัดสินใจยืนขึ้นเดินไปที่เตียงก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ บางทีอีทึกอาจจะอยากรู้เรื่องที่เขากำลังจะพูดตอนนี้ก็เป็นได้
“ตอนนี้คยูฮยอนสบายดีครับ ยังปลอดภัยดี และเขาก็เป็นห่วงคุณมากๆ” เอ่ยขึ้นเบาๆกับอีทึก แต่คนฟังยังคงนิ่งไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบโต้เหมือนเดิม อย่างกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกไปอย่างนั้น
“ผมขอตัว” หันไปบอกคังอินก่อนที่ซองมินจะเดินออกมาจากห้อง เพื่อกลับไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง
คังอินยิ้มตามหลังน้องไปบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังเตียงที่อีทึกนอนอยู่ แต่แทนที่เลขาคนสวยจะนอนนิ่งเหมือนเดิมกลับหันหน้าหนีเขาพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเอาไว้ คังอินเลยได้แต่ถอนหายใจ
“นอนให้ได้ทั้งวันนะคุณ ผมจะได้พักผ่อนบ้าง” พูดจบก็เดินไปล็อกประตูห้องไว้ก่อนจะเดินไปเดินที่โซฟา พักกันบ้างก็ดี หลังจากจบเรื่องบนเตียงก็ต่อด้วยการปะทะคารมกันตลอดเวลา ไม่ก็สงครามประสาท ก็อย่างว่าชาตินี้เขากับอีทึกคงไม่มีวันคุยกันดีๆเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกได้แล้ว
กลายเป็นหน้าที่ไปเสียแล้วกับการเอาน้ำเอาข้าวมาให้บุคคลที่ถูกจับมาขังไว้ที่นี่ แต่ไม่ว่าจะทำดีเท่าไหร่คนๆนั้นกลับไม่มีความสนใจเลยแม้แต่น้อย กลับมีแต่อคติเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น
ในตอนเช้าของวันก่อนจะไปเรียนเรียวอุกเข้ามาในห้องเก็บของที่ขังเยซองเอาไว้เพื่อเอาน้ำเอาข้าวมาให้ สายตาเรียวเล็กจ้องมองไปยังเยซองที่นอนหมดสภาพอยู่ที่พื้น อาหารของเมื่อวานไม่พร่องไปเลยซักนิด เสียงของชามข้าวที่เรียวอุกวางลงบนพื้นทำให้คนที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ
เยซองเบือนหน้าหนีบุคคลตรงหน้าที่ยังคงตีหน้าใสซื่อเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่เขาเคยเจอในวันก่อนๆ ทั้งที่เรื่องที่ผ่านมามันเป็นเรื่องโกหก ไม่มีความจริงที่เขารู้เกี่ยวกับคนตัวเล็กนี่เลยแม้แต่น้อย
“กินหน่อยนะครับพี่เยซอง” เรียวอุกออกปากขอร้องเบาๆ เมื่อเห็นสภาพร่างกายของเยซองเริ่มดูแย่ลงทุกวัน
“ออกไป!” ออกปากไล่เสียงแข็งโดยไม่หันไปมอง เยซองกำหมัดแน่นอย่างคนที่กำลังระงับอารมณ์เอาไว้อยู่
“กินหน่อยเถอะครับพี่เยซอง ถ้าพี่ไม่กินอะไรแบบนี้จะแย่เอานะครับ” บอกด้วยน้ำเสียงเชิงขอร้องอีกครั้ง แต่มันไร้ประโยชน์อยู่ดี
“ฉันบอกให้ออกไปไงเล่า!อย่ามาตีหน้าซื่อทำดีใส่ฉันอีก!” เยซองหันมาตะคอกกลับด้วยความโมโห เขาไม่เข้าใจเด็กคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ แค่หลอกเขาได้สำเร็จก็น่าจะพอแล้ว ยังจะมาวุ่นวายอะไรกับเขาอีก
“ผมไม่ได้ตีหน้าซื่อ” เถียงกลับเสียงอ่อน รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่คอจนพูดไม่ออก
“โกหก! คำพูดของนายมันเชื่อไม่ได้ซักคำ! ฉันบอกให้ออกไป!” เยซองโวยวายเสียงดัง จนเรียวอุกต้องก้มหน้านิ่งเพราะไม่อยากเห็นหน้าที่โหดร้ายของเยซองตอนนี้
“พอเถอะครับ พี่จะด่าจะว่ายังไงผมก็ได้ แต่พี่ช่วยดูแลตัวเองหน่อยเถอะครับผมขอร้อง” เรียวอุกเข้าไปกอดเยซองที่กำลังโวยวายไว้แน่น ทำให้เจ้าตัวหยุดพฤติกรรมนั้นในทันที
เยซองนิ่งไป ทุกการเคลื่อนไหวหยุดอยู่ตรงนั้น เรียวอุกกระชับกอดให้แน่นยิ่งขึ้น ซุกหน้าลงกับบ่ากว้างที่ตอนนี้เสื้อเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผง
“สงสารฉันหรือไง” เยซองเอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ ไม่เข้าในสิ่งที่คนตัวเล็กทำจริงๆ
“ไม่ครับ ผมเป็นห่วงพี่” เรียวอุกผละออกมา บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ให้พูดซักกี่พันครั้งเยซองก็คงไม่มีวันเชื่อเขาอยู่ดี
“ทำไม! แค่นี้ฉันยังหน้าโง่ไม่พอใช่มั้ย นายต้องการอะไรจากฉัน จะหลอกฉันไปถึงไหนห๊ะ! แฮง...ไม่ใช่สิ เรียวอุก” ทำหน้านิ่งบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา ที่อีกคนฟังแล้วเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ
เรียวอุกกัดริมฝีปากไว้แน่น พยายามกลั้นน้ำตาที่จะไหลออกมาอยู่รอมร่อ เพราะถ้าขืนปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาคงโดนด่าว่าโกหก ตอแหล หลอกลวงอีกเป็นแน่
“ออกไปซะ!” ออกปากไล่อีกครั้งแต่อีกคนกลับยังนั่งนิ่งไม่ไหวติงไปไหน
เยซองจ้องเขม็งไปยังเรียวอุกนั่งก้มหน้านิ่งอยู่ ชามข้าวที่คนตัวเล็กเพิ่งเอามาให้ใหม่ถูกเยซองใช้เท้าแตะจนมันกระเด็นออกไป เสียงชามกระแทกกับพื้นเสียงดังก้องไปทั่วห้อง ทำให้เรียวอุกเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจ
“พี่เยซอง” เอ่ยชื่อออกมาเสียงเบาหวิว มองตามชามข้าวที่กระเด็นไปอยู่ตรงประตูก่อนจะหันกลับมามองคนที่เตะมันไปแบบนั้น
“ไม่ต้องเรียกชื่อฉัน! ออกไป!” เยซองโวยวายหนักยิ่งกว่าเดิม มือหยิบแก้วน้ำกับชามอันเก่าขึ้นมาทำท่าจะปาใส่คนตัวเล็กทำให้เรียวอุกรีบลุกขึ้นยืนทันที เมื่อเรียวอุกถอยห่างออกไปจึงปาลงไปที่บริเวณใกล้กับเท้าของคนตัวเล็ก
เรียวอุกตกใจมากกับสิ่งที่เยซองทำ ขาทั้งสองข้างถอยกรูไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว จนเมื่อเยซองปาแก้วอีกใบมาจนแตกกระจายอยู่ตรงปลายเท้าทำให้เรียวอุกต้องออกจากห้องไป
เสียงประตูปิดลงอย่างแรงด้วยความตกใจของคนที่ถูกไล่ตะเพิดออกไปด้วยการปาข้าวของใส่ เยซองหอบหายใจถี่ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ เมื่อไหร่เขาถึงจะหลุดออกไปจากที่นี่ได้เสียที
ในช่วงเย็นของวันที่ห้องทำงานใหญ่ของครอบครัวลีบัดนี้เต็มไปด้วยเหล่าสมาชิกภายในครอบครัว ไม่ว่าจะสายเลือดเดียวกันหรือไม่ คิบอมรีบกลับมาจากมหาวิทยาลัยหลังเลิกเรียนเช่นเดียวกับเรียวอุก ส่วนซองมินนั้นไม่ได้ไปเรียนวันนี้ ฮีชอลกับคังอินก็อยู่ที่บ้านเช่นเดียวกัน
ไม่นานนักบุคคลสำคัญที่สุดของบ้านก็เดินเข้ามาภายในห้อง และเมื่อลีฮโยรินั่งลงที่หัวโต๊ะการประชุมใหญ่ครั้งแรกก็ได้เริ่มขึ้น
“ตอนนี้พวกโจกรุ๊ปรู้ตัวแล้ว เราคงทำงานได้ยากกว่าเมื่อก่อนเพราะพวกมันคงคุ้มกันฮยอนจินเป็นอย่างดีแน่” ฮโยริเกริ่นนำเล็กน้อยเพื่อรอให้สมาชิกที่เหลือได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมา
“ผมว่าเราน่าจะรีบจัดการมันซะแล้วย้ายไปอยู่เมืองนอกถาวร ที่จริงเมื่อวานพวกเราน่าจะฆ่ามันได้ ทั้งที่โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว” ฮีชอลเสนอความคิดของตัวเอง ก่อนจะบอกประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเสียดาย
ห้าปีที่หายไปนั้นครอบครัวลีได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองนอก และได้พบกับคิบอมซึ่งเป็นเพื่อนที่โรงเรียนของซองมินที่นั่น ส่วนคังอินเป็นลูกชายของเพื่อนฮโยริที่ดูจะคุยกันถูกคอทั้งสองครอบครัวเลยจับหมั้นหมายกันไว้ และเรียวอุกที่พ่อแม่แยกทางกันกลายเป็นเด็กมีปัญหาครอบครัวลีเลยรับมาอุปการะไว้
ระหว่างที่พวกผู้ใหญ่กำลังปรึกษากันเรื่องแผนที่จะให้จัดการกับโจกรุ๊ป ซองมินกับเรียวอุกดูจะไม่ค่อยมีสมาธินัก ซองมินนั่งท้าวคางหันมองไปทางอื่น เรียวอุกก็เอาแต่นั่งก้มหน้า ในสมองตอนนี้ไม่ได้มีเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่เลยซักนิด
“ตอนนี้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องทงแฮแล้วนะครับ ผมจัดการหมอนั่นเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนว่าหมอนั่นจะยังรู้เรื่องของพวกเราไม่มากด้วย” คิบอมพูดขึ้น หลังจากที่กลับจากมกโพเขากับทงแฮก็ติดต่อกันตลอด และดูเหมือนทงแฮจะไม่สงสัยอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย
“ซีวอนเองก็ดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องของครอบครัวเลยเหมือนกัน ถามอะไรไปไม่รู้ซักอย่าง” ฮีชอลพูดต่อ เมื่อได้ยินฮโยริก็พยักหน้าพร้อมกับกระตุกยิ้มน้อยๆ คนอย่างซีวอนน่ะชอบเรื่องแบบนี้ที่ไหน ไม่งั้นคงไม่ให้น้องชายอย่างคยูฮยอนที่เพิ่งขึ้นมหาวิทยาลัยมาช่วยบริหารแทน เรื่องนี้น่ะเธอรู้ดีอยู่แล้ว
“ถ้างั้นเรานัดวันลงมือเลยมั้ยครับ” คังอินเสนอ
“เรียวอุกเช็คให้ทีว่าวันไหนที่เหมาะจะลงมือ” ฮโยริหันไปบอกเรียวอุกที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา พอได้ยินคนเรียกชื่อตัวเองเลยรีบเงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับสีหน้าที่ดูตื่นๆเล็กน้อย
“ครับ” รับคำเบาๆ ก่อนจะค้นหาข้อมูลในโน้ตบุ๊กตัวเก่งของตนเอง ไม่นานนักเรียวอุกก็เงยหน้าขึ้นมา
“อีกสองวันฮยอนจินจะเข้าบริษัทครับ เพราะมีการประชุมของหุ้นส่วนรายใหญ่”
“งั้นวันนั้นให้คังอินคอยกันอึนฮยอกให้อยู่ห่างจากฮยอนจิน ส่วนคนอื่นๆ...”
“ฉันไม่ทำ” ยังไม่ทันที่ฮีชอลจะพูดจบคังอินก็แทรกขึ้นเสียงแข็ง เหมือนกับว่าไม่ชอบใจที่ฮีชอลพูดออกมาอย่างนั้น
ได้ยินคังอินพูดออกมาแบบนี้ฮีชอลก็ตวัดสายตากลับไปมองทันที เพราะปกติคังอินไม่เคยขัดคำสั่งใครโดยเฉพาะเขา แต่วันนี้กลับทำ
“ทำไม” ถามกลับไปสั้นๆด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจนัก
“ฉันจะอยู่ดูแลอีทึก” ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาคนฟังถึงกับฉุนขาดที่ได้ยินเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นแบบนี้ และไม่ใช่เฉพาะฮีชอลคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เข้าใจกับเหตุผลของคังอินทุกคนที่อยู่ในที่นี่ต่างมีสีหน้าสงสัย แต่ไม่มีใครกล้าพูดหรือถามอะไรออกมา ยกเว้นซองมินคนเดียวเท่านั้นที่พอจะเข้าใจความรู้สึกของพี่เขยตัวเอง
“คังอิน!” ฮีชอลลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโมโห มันจะอะไรกันนักกันหนาแค่ดูแลคนๆเดียว อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ปล่อยให้อีทึกลำบากลำบนอะไร ออกจะอยู่สบายซะด้วยซ้ำ
“อย่ามาขึ้นเสียงกับชั้นฮีชอล ฉันตามใจนายมามากแล้ว” คังอินลุกขึ้นเถียงกลับอย่างไม่ยอม
“ห่วงมันมากหรือไงห๊ะ! ถึงได้อยากดูแลมันนัก!” และแล้วการประชุมเรื่องแผนกลับกลายเป็นการชวนทะเลาะไปเสียแล้ว ดูเหมือนทุกคนจะทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาฮีชอลกับคังอินยังไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้ง
“หึ! แล้วทีนายกับซีวอนนัดไปเจอกันทุกวันคิดว่าฉันไม่รู้หรือไง เสียตัวให้มันกี่ครั้งแล้วล่ะ!” การปะทะอารมณ์ดูเหมือนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อคังอินไม่ยอมให้ฮีชอลรุกอยู่ฝ่ายเดียว
“คังอิน! นาย!”
“หยุด!” ในที่สุดฮโยริก็ทนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ไหว เพียงแค่คำๆเดียวทำให้ฮีชอลกับคังอินเงียบไปในทันทีก่อนจะนั่งลงที่เดิมด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก
“โตแล้วซะเปล่า ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ งานก็คืองาน เรื่องส่วนตัวคือเรื่องส่วนตัวแยกกันให้ออก” ฮโยริว่าเสียงดุ จนคนที่ทำหน้าไม่พอใจต้องเปลี่ยนสีหน้าทันที ฮีชอลจิ๊ปากเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น ส่วนคังอินยังคงนั่งนิ่งไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา
“เอาเป็นว่าให้ซองมินคอยกันอึนฮยอกออกจากฮยอนจินจะด้วยวิธีไหนก็ได้ ฮีชอลจับตาดูคยูฮยอนให้ดีอย่าให้เข้าไปยุ่งวุ่นวายเด็ดขาด คิบอมนายก็พาทงแฮออกไปจากเหตุการณ์ในวันนั้นซะ จะพาไปไหนก็ได้ ส่วนคังอินถ้าอยากอยู่กับอีทึกก็อยู่ไป เรียวอุกก็อยู่บ้านกับพี่เขาแล้วกัน” สุดท้ายฮโยริจำต้องเป็นคนสั่งการเองในเมื่อคนที่ไว้ใจกลับใช้ไม่ได้เรื่องตอนนี้
ฮีชอลยังคงมีอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่บ้างเล็กน้อยเช่นเดียวกับคังอินแต่การแสดงออกของทั้งสองคนนั้นต่างกัน ฮโยริมองคนคู่นี้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่ใช่เวลาที่คบกันมากว่าสี่ห้าปีจะมาแตกหักเพราะเรื่องนี้งั้นเหรอ
“แล้วเราจะจัดการฮยอนจินตอนไหน” ฮีชอลถามขึ้นเสียงเรียบ หางเสียงไม่มีให้ได้ยินถึงแม้จะพูดกับผู้ใหญ่ก็ตาม ข้อนี้คนในครอบครัวลีต่างรู้ดี เพราะถ้าคนอย่างฮีชอลมีอารมณ์ขึ้นมาแล้วมักจะพาลใส่ไปหมดทุกคน
“ถ้ามีโอกาสก็จัดการได้เลย และให้หนีออกมาให้เร็วที่สุด” เมื่อได้คำตอบทุกคนก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
และการประชุมในวันนี้ก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อฮโยริก้าวออกจากห้องคังอินก็รีบขึ้นไปหาอีทึกที่ห้องทันทีโดยมีสายตาของฮีชอลจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ซองมินกับเรียวอุกเดินออกไปส่งคิบอมที่หน้าบ้านก่อนจะขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง เพื่อเตรียมตัวสำหรับแผนการที่จะเริ่มขึ้นในอีกสองวันข้างหน้านี้
“ท่านครับ พวกของซึงฮยอนมาขอพบครับ” ลูกน้องที่ยืนเฝ้าหน้าประตูวิ่งเข้ามาแจ้งเรื่องให้กับฮยอนจินทราบ ซึ่งเป็นบุคคลที่เขากำลังรอคอยอยู่พอดี
“ให้เข้ามา” รับคำสั่งเจ้านายก่อนจะวิ่งออกไปด้านนอกอีกครั้ง ไม่นานนักพวงของซึงฮยอนราวสี่ห้าคนก็เดินเข้ามาภายใน อึนฮยอกที่นั่งอยู่ข้างๆฮยอนจินหันไปมองหน้าผู้เป็นนายด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ในสมองกลับกำลังประมวลผลอย่างหนัก เพราะยังไม่เข้าใจว่าทำไมพวกของซึงฮยอนถึงต้องมาพบฮยอนจิน และไม่รู้ว่าเจ้านายของตนกับลูกหนี้ได้ตกลงอะไรกันไว้
“กลับมาแบบนี้แสดงว่าปลอดภัยดีสินะ” เอ่ยถามออกไปเป็นเชิงทั้งที่รู้ความจริงดีอยู่แล้ว คนอย่างฮยอนจินมีหรือที่จะไม่ให้ลูกน้องไปตามความเรื่องนี้ เพราะเขาคงไม่เสี่ยงที่จะโดนโกง
“นี่เงินตามที่ตกลงกันไว้” กระเป๋าเงินยกยื่นมาตรงหน้า ฮยอนจินเพยิดหน้าให้ลูกน้องเข้าไปรับมาก่อนจะเผยยิ้มอย่างชอบใจ
“ฉันดีใจที่พวกแกทำตามข้อตกลง”
“ก็ถือว่าเราหายกัน เพราะยังไงซะไอ้หมอนั่นโดนยิง” ลูกน้องของซึงฮยอนเพยิดหน้าไปทางอึนฮยอกที่นั่งอยู่โซฟาข้างๆฮยอนจิน ดูท่าว่าแผลที่พวกเขาทิ้งไว้ให้จะอาการดีมากขึ้นแล้ว
“หึ!” อึนฮยอกหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะแค่นยิ้มให้ลูกน้องของซึงฮยอน ถึงเขาจะไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ตรงนี้แต่ก็พอเดาออกว่าทั้งสองตกลงอะไรกันไว้ ฝั่งพวกมันจะบอกว่าหายกันคงไม่ถูกเพราะยังไงฝ่ายเขาก็ได้เปรียบกว่าเยอะ ถ้าบอกว่ากลัวตายน่าจะเหมาะกว่า
“มึงคงอาการดีขึ้นเยอะนะ ได้นายตำรวจยศสูงอย่างฮันคยองช่วยไว้ทั้งคน...พวกผมขอตัว” ทิ้งระเบิดให้อึนฮยอกไว้ลูกใหญ่ก่อนพวกลูกน้องของซึงฮยอนจะขอตัวกลับไป ทำให้ฮยอนจินเพ่งความสนใจมาที่อึนฮยอกทันที
“ฮันคยองงั้นเหรอ”
“ครับ วันนั้นฮันคยองมาช่วยผมเอาไว้” อึนฮยอกพยักหน้ารับและบอกไปตามความจริง เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะต้องปิดบัง
“เรื่องมันเป็นมายังไง ทำไมเขาถึงไปช่วยนายได้ แล้วตลอดเวลาที่หายไปนายอยู่กับหมอนั่นตลอดเลยงั้นเหรอ” ฮยอนจินถามต่อ เขารู้ว่าอึนฮยอกเกลียดขี้หน้าฮันคยองอย่างกับอะไรดี แต่ทำไมถึงยอมให้ฮันคยองช่วยได้
“เขาคงบังเอิญผ่านมาเจอพอดี เลยเข้ามาช่วยไว้ ตลอดเวลาผมพักอยู่ห้องของเขา ที่สำคัญเขาเล่าเรื่องคดีเก่าคดีหนึ่งให้ผมฟัง เขาบอกว่าท่านคือผู้ต้องสงสัย แต่ผมไม่ทราบว่าเป็นคดีไหน” อึนฮยอกเล่าเรื่องออกมาคร่าวๆ เขาคงไม่จำเป็นต้องเล่าทั้งหมดว่าจริงๆแล้วเขาไปปะทะคารมอะไรกับฮันคยองมาบ้าง เพราะเรื่องคดีนี้คงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดแล้ว
“อย่างนั้นเหรอ” พยักหน้าขึ้นลงช้าๆเมื่อฟังจบ มือข้างขวาถูกยกขึ้นมาลูบที่คางเบาๆอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด
“อึนฮยอก ต่อจากนี้นายต้องคอยกันฮันคยองไม่ให้เข้ามาวุ่นวายกับฉันจนสืบคดีนั่นได้สำเร็จ” เงียบไปซักพักฮยอนจินจึงพูดออกมา ถ้าเขาเดาไม่ผิดคดีที่ว่าคงเป็นคดีผู้กำกับปาร์คเมื่อห้าปีก่อน เพราะคดีใหญ่ที่พวกตำรวจยังคงตามสืบเกี่ยวกับเขามีเพียงคดีเดียวเท่านั้น ที่สำคัญฮันคยองเป็นคนที่ฮันชางมอบหมายให้ทำคดีนี้ต่อ
“แต่ท่านครับ ผม....” จากที่จะเถียงกลับต้องหยุดไว้แค่นั้นเมื่อเห็นสายตาของผู้เป็นนาย
“นายไม่มีสิทธิ์เกี่ยงงานตอนนี้อึนฮยอก” ฮยอนจินบอกเสียงเรียบ อึนฮยอกเลยจำต้องรับงานนี้ไปโดยปริยายทั้งที่ไม่เต็มใจเลยก็ตาม ทำไมยิ่งเกลียดยิ่งหนีแต่ถึงยิ่งเจอ
--------------------------------------------
kr...Talk
อันยองจ้าเพื่อนๆ เค้าขอโทษที่มาอัพช้า
ติดสอบมิดเทอมอ่ะ ไรเตอร์เลยเอาแต่หน้าทิ่มหนังสือทุกวัน
แต่ไม่ได้อะไรเลย ทำไม่ได้ ฮือๆๆ
เม้นที่554 แอบจริงใจมาก ใส่อารมณ์กับพี่หมีเราสุดๆ
แต่ก็ขอบคุณค่ะที่รับที่เป็นคังทึกได้
ตอนนี้ดูพี่คังจะทะนุถนอมดีจนน่าแปลกใจ
บางทีความรักก็เกิดขึ้นง่ายๆ
วันนี้สัญญาว่าจะให้โหวตหน้าปกฟิค
พร้อมอัพแล้ว ตอนต่อไปเลย
ขอโทษที่อัพดึกนะ
ความคิดเห็น