เรื่องของแม่กับลูกทรพีทั้ง 3 - เรื่องของแม่กับลูกทรพีทั้ง 3 นิยาย เรื่องของแม่กับลูกทรพีทั้ง 3 : Dek-D.com - Writer

    เรื่องของแม่กับลูกทรพีทั้ง 3

    โดย Ka[$U]mI_kA

    เรื่องนี้ซึ้งมาก ไปอ่านเจอมา ไม่นึกว่าลูกจะทำถึงขนาดนี้ แต่กระทู้นี้ไม่ค่อยมีคนไปดู เลยอยากให้ทุกคนอ่านกัน อาจจะ copy เก็บไว้หรือส่งเป็น FW เมลล์ให้คนอ่านเยอะๆ ก็ไม่ว่ากันนะคะ

    ผู้เข้าชมรวม

    1,775

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    1.77K

    ความคิดเห็น


    7

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 ต.ค. 47 / 18:48 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เรื่องราวของแม่เฒ่า และ ทรพีทั้ง 3 เจ้าของกระทู้

      ก่อนลมหายใจจะสิ้น

      > >บ้านพักคนชราที่ผมไปเยี่ยมเยืยนมาหลังวันเกิดในเดือนที่แล้ว

      > > เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวไม่ใหญ่โตนัก ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของวัดเล็ก ๆ

      > > ที่สมภารเจ้าอาวาสอดีตนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผม

      > > ท่านเอาเงินที่ญาติโยมศรัทธา

      > > ถวายท่าน

      > > มาปลูกสร้างเพื่อให้ผู้เฒ่าผู้ชราได้มาพักอาศัยยามเมื่อขาดที่พึ่งพิง

      > > มีโยมผู้หญิงวัยกลางคนไร้ญาติและสิ่งเกาะเกี่ยวทางโลกมา

      > > บำเพ็ญธรรมโดยไม่บวชชี

      > > ท่วงท่าเจรจาพาทีดูสำรวมราบเรียบ

      > >พร้อมเด็กวัดลูกชาวบ้านแถบนั้นแวะเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้ดูแลผู้ชราทั้งหญิงชายที่ถูกทอดทิ้งรวม

      > > 13 ชีวิต ค่าจ้างคนดูแล น้ำไฟ เสื้อผ้ายารักษาโรค ข้าวปลาอาหาร

      > > สมภารใจดีอดีตนักเรียนช่างกลที่รอดตายมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

      > > เหมาจ่ายคนเดียว โดยไม่เคยพิมพ์ฎีกาเรี่ยไรใคร

      > >พูดคุยกับท่านหลายเรื่องจนตอนจะลากลับผมควักเงิน500 บาท

      > > ใส่ซองถวายท่านเป็นค่าใช้จ่าย ท่านจึงนึกอะไรขึ้นมาได้

      > >ชวนผมเดินลงจากศาลาไปที่บ้านพักคนชราแห่งนั้นเปิดนรกบนดินอีกขุมหนึ่ง

      ให้คนบาปอย่างผมมีดวงตาเห็นธรรมโดยไม่ต้องฟังเทศน์เทียบชาดกบทใด ๆ

      > หญิงชรารูปร่างเล็กผิวสองสีบอบบาง

      > > ทอดกายเหยียดตรงบนเตียงเล็กๆ แต่สะอาด มีผ้าห่มผืนบาง ๆ ห่มปิดทรวงอกที่ยังกระเพื่อมเบา ๆ

      > > ราวเครื่องยนต์ใกล้ดับอย่างเหนื่อยหน่าย

      > >แม่เฒ่าพยายามยกขึ้นประนมไหว้

      > > เมื่อท่านสมภารพาผมมานั่งอยู่ข้างขอบเตียง

      > > กังวานน้ำเสียงแห่งพุทธบุตรผู้เมตตาเปล่งวาจาถามไถ่อาการ

      > > และให้ศีลให้พรเบา ๆ

      > > แต่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์หยาดน้ำตาแห่งความปิติ

      > >ท่วมท้นดวงตาสีขาวขุ่น

      > > แล้วค่อย ๆ

      > >ซึมเซาะรินไหลไปตามร่องขอบตาที่เ่ยวย่นบนใบหน้าเวทนาบังเกิดจนผมต้องเบือนหน้าหนี

      > > ผู้เฒ่าอายุ 91 ปี อาวุโสสูงสุดในจำนวน 13 คนชราของที่นี่

      > >เรื่องราวทั้งหลายในอดีตยังเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน....
      >
      >แม่เฒ่ามีลูกชายสองคนและหญิงหนึ่งคน 60 ปีที่ผ่านมาครอบครัวแม่เฒ่าจัดอยู่ในระดับผู้มีอันจะกินของจังหวัด

      > > สามีของแม่เฒ่ามีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง

      > > ก่อสร้างสร้างตัวจากกรรมกรกินค่าแรงรายวัน

      > > โดยแม่เฒ่ารับจ้างทอผ้าอยู่ในโรงงงานแห่งหนึ่ง

      > >อดออมสะสมจนฐานะดีขึ้น

      > > สามารถสร้างหลักฐานจนมีที่ดินบ้านช่องสมฐานะ

      > > แต่สามีก็ยังทำงานหนักไม่ยอมพักหวังจะฟูมฟักลูก 3 คน

      > > ให้อยู่อุ่นกินอิ่มโดยไม่ต้องลำบาก

      > > ช่วงนั้นแม่เฒ่าเลิกทอผ้าแล้วอยู่บ้านเลี้ยงลูก 3 คนที่อยู่ในวัยซนไล่เรียงตามลำดับ

      > >เช้าวันหนึ่งเมื่อลูกชายคนโตอายุได้ 6 ขวบ

      > > สามีของแม่เฒ่าก็หลับไปไม่ตื่นมาร่ำลา

      > > หมอที่โรงพยาบาลบอกว่าสามีตับแข็งตายทั้ง ๆ

      > >ที่ไม่เคยแตะเหล้าซักหยด

      > >แม่เฒ่าเปลี่ยนสภาพบ้านพักเปิดเป็นร้านค้าโชห่วยขายของสารพัดชนิดอดทนอดออมเลี้ยงลูกทั้ง3 คน
      ให้ร่ำเรียนจนจบปริญญา ครอบครัวอบอุ่นพี่น้องรักใคร่กันดี

      > > ไม่มีเค้าลางว่าจะแตกหัก ดั่งหนึ่งคนละสายเลือด

      > >ลูกชายคนโตแต่งงานไปกับลูกสาวเจ้าของร้านขายทองในตลาด

      > >ในชีวิตของแม่เฒ่าไม่เคยมีความสุขครั้งไหนเหมือนวันที่ลูกชายแต่งงาน

      > >สมบัติที่มีแม่เฒ่าจัดแบ่งเป็นสามส่วนให้ลูกชายคนโตเปิดร้านขายทองตามที่สะใภ้ต้องการ

      > > ปีต่อมาลูกคนที่สองแต่งสาวเข้าบ้านอีกคน

      > > แม่เฒ่ายกบ้านและที่ดินที่เปิดร้านขายของสองคูหาสามชั้น

      > >ให้เป็นสมบัติของลูกด้วยความยินดีโดยที่แม่เฒ่าขอสิทธิ์แค่อยู่อาศัย

      > >สองปีถัดมาลูกสาวคนสุดท้องแต่งกับข้าราชการระดับหัวหน้ากองในจังหวัด

      > > แม่เฒ่ายกที่ดินและเงินสดก้อนสุดท้ายของแม่เฒ่า

      > > รับขวัญลูกเขยด้วยความปรีดา

      > สัตว์โลกทั้งหลายล้วนเวียนว่ายก่อเกิดเพื่อมาชดใช้กรรมเก่า

      > > สะใภ้คนที่สองเริ่มจุดประกายแห่งการแตกหัก

      > > ตั้งแต่แต่งเข้าบ้านไม่เคยแม้แต่เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว

      > > แม่เฒ่ากลายเป็นทาสในเรือนซักผ้าทำกับข้าว

      > > จัดสำรับคับค้อนตั้งโต๊ะคอยท่าสองผัวเมียกินก่อนจนอิ่ม

      > > แม่เฒ่าจึงมีโอกาสได้กินของเหลือก่อนจะเก็บกวาดถ้วยชามไปล้าง

      > >กวาดเช็ดบ้านช่องเรียบร้อยแล้วจึงได้พักผ่อนด้วยการเดินออกไปคุยกับเพื่อนบ้านในวัยไล่เลี่ยกัน

      > >สะใภ้สองเข้มงวดแม้แต่ของสดทุกชนิดที่ซื้อมาทำกับข้าวต้องถามราคาแล้วยกไปชั่งน้ำหนัก

      > >ราคาสินค้ากับเงินทอนที่เหลือต้องตรงกับเงินที่ให้ไปตลาด

      > > แต่แม่เฒ่าก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์

      > >แล้ววันหนึ่งสะใภ้สองก็จัดระเบียบการกินใหม่หล่อนไปสั่งผูกปิ่นโตเพื่อนกินกันแค่สองผัวเมียแล้วสั่งให้ผัวจ่ายเงินให้แม่เฒ่าแค่วันล่ะยี่สิบบาท

      > > ไปหากินเอาเองด้วยเหตุผลโง่ ๆ คือต้องการประหยัด แต่ลึก ๆ

      > > ในใจไม่ต้องการให้แม่ผัวเม้นส่วนเกิน

      > > แม่เฒ่าคิดเอาเองว่าลูก ๆ คงไม่อยากให้แม่เหนื่อย

      > > จึงน้อมรับประกาศิตลูกสะใภ้ด้วยดุษฏี

      > > สองสามวันต่อมาแม่เฒ่าก็ลืมสิ้นเพราะความรักลูก

      > หลายครั้งที่แม่เฒ่าคิดถึงลูกชายคนโตที่เปิดร้านขายทองในตลาด

      > > แม่เฒ่าจะเจียดเงินที่เก็บออมไว้ ซื้อผลไม้ที่ลูกชอบติดมือไปด้วย

      > > แต่ทุกครั้งที่แม่เฒ่าเดินเข้าไปในบ้านสะใภ้ใหญ่จะมองอย่างเหยียดๆ

      > > แล้วเดินหนีเข้าห้องแอร์ปิดประตูนอนดูโทรทัศน์

      > > สั่งคนใช้ให้คอยสอดส่องเดินตามแม่เฒ่า เธอกลัวแม่ผัวขโมยของในบ้าน

      > >จะคุยกับลูกชายนายนั่นก็ออกอาการไม่ว่างถามคำตอบคำเหมือนหนามตำโดนโคนลิ้นจนอ้าปากลำบากลำบน

      > > อึดอัดแม่เกรงใจเมีย แกล้งถอดสร้อยคอทองคำเส้นโต

      > >ที่ห้อยแขวนพระเครื่องราคาแพงในกรอบทองฝังเพชรพวงใหญ่ขึ้นมาส่องทีละองค์ด้วยความเลื่อมใส

      > >และไม่แม้แต่จะชายตามองแม่เฒ่าที่นั่งซึมอยู่ข้างตู้ทองอย่างเดียวดาย

      > > เก้ ๆ กัง ๆ อยู่พักใหญ่ก็เดินออกจากบ้านลูกชายคนโตอย่างเหงา ๆ

      > > โดยมีคนใช้ของลูกหิ้วถุงผลไม้ตามมายัดคืนใส่มือ

      > > ระหว่างทางก็แวะทักทายคนรู้จักเพื่อรักษามารยาท

      > >แต่ในใจของแม่เฒ่ามันวังเวงจนจำไม่ได้ว่าพูดคุยกับใครไปบ้างระหว่างทาง

      > >ลูกสาวคนเล็กที่แม่เฒ่าทั้งรักทั้งหวงนั่นแทบไม่ต้องพูดถึง

      > > เธอยื่นคำขาดกับแม่เฒ่าตั้งแต้ครั้งแรกที่ไปเยี่ยม

      > >ว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปหาเพราะบ้านเธอมีแขกที่เป็นลูกน้องของผัวและพ่อค้าวานิช

      > > เข้าพบผัวของเธอเพื่อขออำนวยความสะดวกในทางธุรกิจบ่อย ๆ
      >
      > > และผัวของหล่อนก็ค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง
      >
      > > ถ้าแม่เฒ่ารักลูกก็ควรจะต้องรักษาเกียรติรักษาหน้าตาของผัวลูกด้วย
      >
      > > แม่เฒ่าไม่เข้าใจว่าการรักษาหน้าตาของลูกเขยนั้นต้องทำอย่างไร
      >
      > > แม่เฒ่ายังเคยปลื้มกับคำชมของเพื่อนบ้าน
      >
      > > เขาว่าแม่เฒ่าวาสนาดีลูกเขยเป็นเจ้าคนนายคน
      >
      > > แม่เฒ่าก็ได้แต่แอบปลื้มทั้ง ๆ
      >
      > > ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมการเป็นเจ้าคนนายคน
      >
      > >จึงเหมือนกำแพงชนชั้นปิดกั้นระหว่างความเป็นแม่ลูกจนหนักหนาสาหัสขนาดนั้น

      >ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมารายรอบร้านค้าของลูกชายคนที่สอง
      >
      > > กระทบธุรกิจของสองผัวเมียจนทรวดเซ ของขายไม่ได้มากเหมือนเก่า
      >
      > > ที่เอาอะไรมาวางก็ขายหมด
      >
      > >ปัญหาและวิกฤติการเงินในบ้านส่งสัญญาณถึงขาลงสองผัวเมียเริ่มมีงกันบ่อยครั้ง
      >
      > >และแทบทุกครั้งลูกสะใภ้ก็จะฉวยโอกาสด่ากระทบแม่ผัวเป็นของแถมโดยไม่มีเหตุผล
      >
      > > โดยที่ลูกชายก็ไม่ออกอาการปกป้องแม่เฒ่าแต่อย่างใด...
      >
      > > 12 มิถุนายน 2530 ประมาณ 3 ทุ่มของคืนโลกาวินาศ
      >
      > > ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยพยับเมฆสลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะ ๆ
      >
      > > ครู่ใหญ่ ๆ ต่อมาสายฝนจึงโปรยปรายชุ่มฉ่ำน้ำนองไปทั่วเมือง
      >
      > >ลูกชายลูกสะใภ้ออกไปกินข้าวนอกบ้านยังไม่กลับปล่อยแม่เฒ่าเฝ้าร้านค้าคนเดียว
      >
      > >แม่เฒ่าจำได้ว่าวัยรุ่นสองคนขี่รถเครื่องฝ่าสายฝนมาจอดหน้าร้านขอซื้อเบียร์หนึ่งขวด
      >
      > > แม่เฒ่ารับเงินแล้วเดินเข้าไปเก็บในลิ้นชักโดยไม่ระแวงว่า
      >
      > > สองวัยรุ่นแอบยกลังใส่บุหรี่ที่ลูกชายสั่งมายังไม่แกะกล่อง
      >
      > > ช่วยกันแบกขึ้นรถขี่หายไปกับความมืด
      >
      > > ก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อยสองผัวเมียจึงขับรถกลับเข้าถึงบ้าน
      >
      > > ช่วยกันเก็บของเข้าร้าน วางของทุกชิ้นเข้าที่ ๆ เคยวาง
      >
      > > เมื่อไม่เห็นลังบุหรี่จึงหันไปตะโกนถามแม่เฒ่า
      >
      > > ที่กำลังจุดธูปไหว้รูปสามีบนหิ้ง
      >
      > >เพียงคำตอบที่แม่เฒ่าตอบว่าไม่เห็นก่อนปักธูปลงกระถางเสียงสบถด้วยคำหยาบของลูกชายก็ดังสวนสนั่นบ้าน
      >
      > > ครู่เดียวทั้งลูกสะใภ้กับลูกชาย ก็สลับปากจิกหัวด่าแม่
      >
      > > กึกก้องประสานเสียงกับสายลมนอกบ้าน
      >
      > > ก่อนที่ทั้งคู่จะขับรถไปโรงพักแจ้งจับแม่ลักทรัพย์

      > ตำรวจพาแม่เฒ่าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะร้อยเวร
      >
      > > แม่เฒ่าให้การไม่รู้ด้วยซื่อบริสุทธิ์
      >
      > > โดยไม่ตัดพ้อต่อว่าลูกชายแม้แต่คำเดียว
      >
      > > กว่าชั่วโมงในห้องแอร์เย็นเฉียบ
      >
      > > แต่ในอกในใจของร้อยเวรหนุ่มร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟนรกแผดเผา
      >
      > > ที่ต้องวิงวอนสองผัวเมียให้เห็นบาปบุญคุณโทษ
      >
      > > แต่สองผัวเมียกลับโยนภาระตอกย้ำให้ตำรวจอบรมแม่เฒ่า
      >
      > > ก่อนที่จะสะบัดก้นกลับไปบ้าน
      >
      > > โดยไม่ใส่ใจแม่เฒ่าที่เปียกฝนนั่งสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ
      >
      > > สายฝนยังสาดซัดกระหน่ำหนักเหมือนฟ้าแตก
      >
      > >ตำรวจยศนายดาบขับรถร้อยเวรมาส่งแม่เฒ่าที่บ้านบ้านซึ่งประตูเหล็กถูกปิดสนิท
      >
      > > แม่เฒ่าลงจากรถเดินฝ่าฝนถึงหน้าบ้าน
      >
      > > แล้วแม่เฒ่าก็ตกใจสุดขีดกับภาพเบื้องหน้าที่พื้นหน้าบ้าน
      >
      > > เสื้อผ้าเก่า ๆ ยัดแน่นอยู่ในถุง
      >
      > > ถูกโยนออกมากองเรี่ยราดเหมือนขยะ บนกองเสื้อผ้าของแม่เฒ่า
      >
      > > กระถางธูปและรูปถ่ายของสามีแตกกระจายเกลื่อนกราด
      >
      > > หยาดฝนสาดซัดรูปถ่ายขาวดำของสามีจนเปียกปอนขาดวิ่น
      >
      > > แม่เฒ่าก้มลงหยิบรูปของสามีมากอดแนบอก
      >
      > > น้ำตาแห่งความรันทดทะลักล้นปนน้ำฝน
      >
      > > ปวดร้าวเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ

      > >แม่เฒ่ากอดรูปนั้นไว้เหมือนจะปกป้องจากสายฝนสุดชีวิต

      > > สองเท้าออกก้าวช้า ๆ

      > >เหมือนร่างไร้วิญญาณเข้าตลาดไปหยุดนิ่งอยู่หน้าร้านขายทองของลูกชายคนโตเหมือนเป็นการบอกลาแล้วลัด

      > > เลาะฝ่าความมืดและสายฝน

      > >ไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกสาวคนเล็กเก็บภาพแห่งความรักความทรงจำสุดท้ายเป็นครู่ใหญ่

      > > จึงเดินจากไปท่ามกลางเสียงกึกก้องของฟ้าร้องระงม

      > > สลับกับเสียงฟ้าผ่าแน่นหนักเป็นระยะ

      > ดั่งเจ้ากรรมนายเวรกำลังเร่งรีบกรีดนิ้วกัปนาทบรรเลงเพลงกรรมในอดีตชาติ

      > > ติดตามมาทวงคืนให้แม่เฒ่าต้องชดใช้อย่างบอบช้ำยับเยิน

      รถกระบะเก่า ๆ คันนั้น

      > >วิ่งฝ่าสายฝนมาจอดสงบนิ่งอยู่หน้ากุฏิพระของสมภารเจ้าวัดตอนตีสามเศษ ๆ

      > > คนขับรถพบแม่เฒ่าเดินโซซัดโซเซอยู่ข้างถนนเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย

      > > ด้วยใจเมตตา

      > > เมื่อแม่เฒ่าต้องการมาที่นี่

      > >จึงขับรถมาส่งด้วยความสังเวชแม่เฒ่ามักคุ้นกับสมภารวัดนี้มานานแล้วตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์เก่ายังอยู่นาทีสุดท้ายของการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิต

      > > จึงไม่มีที่ไหนอบอุ่นให้พึ่งพิง

      > > เหมือนร่มเงาฉัตรแก้วกงธรรมแห้งรัตนทั้งสาม

      > > ฟ้าเริ่มขมุกมัวใกล้ค่ำลงทุกขณะ

      > > ผมจำเป็นต้องบอกลาท่านสมภารและแม่เฒ่าเจ้าของเรื่องราวน่าสลด

      > > นับแต่นาทีแรกที่แม่เฒ่ามาถึงที่นี่จนวันนี้

      > > แม่เฒ่าไม่เคยออกไปนอกวัดเหมือน ๆ

      > > กับที่ทรพีทั้งสามคนก็ไม่เคยออกติดตามถามหา

      > > จะรู้หรือไม่ก็แล้วแต่ว่าแม่ซมซานมาอยู่วัด

      > > แต่ก็ไม่เคยปรากฏแม้แต่เงาของสามเนรคุณ

      > > ผมจากลาออกมาทั้งที่น้ำตาเปื้อนหน้า

      > ประโยคสุดท้ายของแม่เฒ่าที่ฝากมา..

      > > “แม่จำลูกได้ทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนโต จะทุกข์จะสุขก็คือลูกของแม่

      > >แม่ให้โดยไม่เคยวาดหวังจะได้จากลูกทุกคนเป็นการตอบแทนลูกเอ๋ย...เมื่อลูกยังเป็นทารกทุกครั้งที่แนบอกดูดดื่มน้ำนมจากเต้า

      > > สองมือน้อย ๆ ของเจ้าไขว่คว้าอยู่ไหว ๆ

      > > วันนี้แม่สิ้นแรงแทบสิ้นใจจะมีมือของลูกคนไหน

      > > เอื้อมมาปิดตาให้แม่ก่อนสิ้นลม.....”

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×