กล่องข้าวน้อยของพ่อ
อาหารมื้อสุดท้าย -ด้วยความรัก และความรู้สึกสำนึกผิดในใจ
ผู้เข้าชมรวม
1,480
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
กล่องข้าวน้อยของพ่อ
By เจ้าชายหัวหมากฝรั่ง
มันเป็นเวลาก่อนรุ่งสาง ผมบิดกายไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยล้า และอาการปวดหลังซึ่งเกิดขึ้นจากการนั่งรถโดยสารมานานร่วม 8 ชม. เพิ่งจะรู้ว่าเครื่องปรับอากาศทำหน้าที่ได้ดีก็ช่วงนี้ล่ะ
ความเย็นก่อตัวขึ้นจนผมต้องรวมรวบความกล้า ฝืนใจหยิบผ้าห่มขนาดเล็กสีหม่น ขึ้นมาคลุมหน้าอก
ดูเหมือนผู้หญิงที่นั่งข้างผมเธอจะหลับฝันดีและไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างตั้งแต่หลังเที่ยงคืน อาจเพราะอาการคุยโทรศัพท์นานเกินหตุ หรือไม่ก็เบื่อกับการเดินทางนาน เธอจึงอยู่ในอาการสงบและคลุมทั่วร่างด้วยผ้าห่มราคาถูก มากด้วยกลิ่นอับชื้น
แสงสว่างของวันใหม่เริ่มลอดผ่านเข้ามาในรถทีละน้อย แฝงความสดชื่นตอนเช้าเข้ามาแทนความเหงาและอากาศหม่นหมองภายในใจผม เสียงผู้หญิงวัยกลางคนดุเด็กวัย 2-3ขวบไม่ให้เสียงดังและงอแงกับอาการตื่นนอนใหม่
ตอนนี้เสียงคุยกันเริ่มดังแข่งกันทุกพื้นที่ภายในรถ มีผู้โดยสารบางกลุ่มทยอยลงจุดหมายและมีผู้คนกลุ่มใหม่กลับขึ้นมาแทน จนบางครั้งความพลุกพล่านและวุ่นวายเหล่านั้นทำให้ผมหงุดหงิด
"อะไรกันหนักหนา"
อยากสบถออกไปแรงๆ แต่นี้คือวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ความเอื้ออาทรต่อคนต่างถิ่นคือการทักทายกัน ตัวผมเองมองเห็นเป็นความเปิ่นและน่าขายหน้าตลอดมา ภาษาท้องถิ่นและการคุยดังอื้ออึง ทั้งแบบตัวต่อตัวและผ่านเครื่องมือสื่อสาร บ้างนัดแนะให้มารับจุดนั้นจุดนี้ ฟังแล้วหนวกหู น่ารำคาญเป็นที่สุด หญิงสาวผู้นั่งข้างผมเธองัวเงียและลุกขึ้นทำตัวเป็นนกขุนทองคุยเจี้ยวแจ้วไทยคำฝรั่งคำบวกภาษาท้องถิ่น ผมสีทองบนหัวเธอตัดกับผิวสีเข้มอย่างน่าขัน ไม่บอกก็รู้ว่า
"คุณนายฝรั่ง"
อาการห่างบ้านและความกลัวต่างๆลุกล้ำเข้ามาในความรู้สึกผมอย่างต่อเนื่อง นานมาแล้ว ผมไม่ได้ติดต่อกลับบ้าน คนที่ไม่เอาถ่านอย่างผม อ่อนแอต่อสังคมเมืองและมักแอบซ่อนตัวในเมืองใหญ่ ยิ่งเวลากลับมาถึงบ้านเกิด ผมก็รู้สึกละอายเสียทุกครั้ง เหมือนเด็กไม่รู้จักโตและทำอะไรไม่เคยสำเร็จเหมือนลูกชายบ้านอื่นมีหน้าที่การงานดี ส่งเสียให้ทางบ้านให้พ่อแม่คุยโอ้อวดได้ทั้งหมู่บ้าน มีรถกระบะคันใหญ่ขับมาเยี่ยมบ้าน มีเงินทองซื้ออาหารเลี้ยงกันสามวันสามคืน จนบางครั้งพ่อแม่ผมก็คงแอบน้อยใจที่มีลูกอย่างผม คนอย่างผมมีแต่ก้าวไปข้างหน้าแล้วอ้างว่า เพื่อการค้นหาตัวเองเปลี่ยนงานนับครั้งไม่ถ้วนและก็ได้แต่ โทษความโหดร้ายของสังคมและจิตใมนุษย์ ซึ่งแท้จริงแล้วอาจเป็นตัวผมเองที่อ่อนแอและขี้ขลาดเสียเอง
..
ตลาดยามเช้าของปลี่ยนไปมากความเจริญและวัตถุนิยมเข้ามาแทนที่สังคมแบบเดิมๆร้านสะดวกซื้อมีผู้คนเข้าออกตลอดผิดกับร้านชำฝั้งตรงข้าม เหมือนทุกอย่างจะเป็นไปในแนวทางสังคมยุคใหม่ ภาพการขายอาหารตอนเช้าเปลี่ยนไป แม่ค้าสมัยก่อน เคยหาบขนมจีนและของหวานด้วยไม้คานไม่มีให้ผมเห็น กาแฟชงเป็นถุงที่คุ้นตาก็หายไป แม่ค้าขายน้ำเต้าหู้เจ้าเดิมสมัยเป็นเด็กที่เคยซื้อกินตอนนี้ไม่อยู่แล้ว ภาพที่ผมเห็นคือ เด็กหญิงชาย สองพี่น้องช่วยกันขาย เห็นแล้วตอนนี้ท้องก็ร้องหิวขึ้นมาทันที เมื่อได้กลิ่นคุ้นเคยเข้าจมูก
................................................
เจ้าหมาตัวโตกระโจนทั้งตัวมันเข้าหาผม อาการแสดงความดีใจเมื่อเห็นเจ้าของเหมือนคนห่างไกล
รอวันพบหน้า ความรักซื่อสัตย์ที่ไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนใดๆ หลายปีแล้วผมซื้อมันมาจากร้านขายสุนัข ในช่วงนั้นใครก็เห่อสัตว์เลี้ยง แต่พอนานวันเข้าก็เลี้ยงไม่ไหวด้วยขนาดตัวที่โตของมัน การดูแลค่ารักษาและความจำเป็นต้องมีที่วิ่งเล่นซุกซนทำให้บ้านเช่าแคบๆของผมไม่อาจขังมันไว้ได้ จำเป็นต้องคืนชีวิตอิสระ ความสดใสให้มัน
วันนี้ทำให้ผมหวนคิดถึงคืนวันเก่าๆ และมิตรภาพ ระหว่างผมและเจ้าสี่ขา ผมคิดในใจคงไม่มีใครจับมันอาบเลย เท่าเพราะกินตุๆ โชยตามลมทำให้ผมรู้สึกเอือมเล็กน้อย
บ้านหลังใหญ่ซึ่งผมเคยอยู่ในวัยเด็กตอนนี้ดูทรุดโทรมลงไปถนัดตา หญ้ารกขึ้นเต็มหน้าประตูรั้วต้นไม้ คงไม่ได้รับการดูแลเหมือนสมัยที่ผมและพ่อช่วยกันดูแล หลายสิ่งดูเหมือนมีความแห้งแล้งเข้ามาแทน ผมเอื้อมมือหยิบลูกเทนนิสในกระเป๋าออกมา แค่ชูขึ้นสูง เพื่อนรักสี่ขาผมก็กระโดดคอยท่า แทบจะล้มด้วยแรงของมัน จากการพยายามแย่งลูกเทนนิสในมือ และเมื่อขว้างออกไป เจ้าเพื่อนยากก็กระโจนตามไปเก็บด้วยความเร็ว "นี่คงเป็นความรู้สึกโหยหามานานสินะ"
ตอนนี้ผมรู้สึกเป็นคนพิเศษขึ้นมาอีกครั้ง
.................................................
ผมยืนนิ่งอยู่หน้าห้องนอนพ่อ เวลานี้หัวใจเหมือนสลายและรับไม่ได้กับภาพที่เห็น ผมจำได้แต่ว่าเขาคือชายผู้ยิ่งใหญ่และแข็งแรง เวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ผมไม่รู้ว่าไปใช้เวลาทำอะไรถึงไม่สามารถกลับมาบ้านเกิดได้
"ตา. ตา .........ลูกกลับมาแล้ว"
ผู้หญิงอันเป็นคนรักของผมที่สุด พูดกับผู้ชายซึ่งเป็นคู่ชีวิตของเธอตลอดระยะเวลา30
กว่าปี ที่ผ่านมา
"......................................................"
ไม่ได้มีเสียงตอบกับมาใจผมเต้นแรง อธิบายความรู้สึกนั้นไม่ได้เหมือนมีก้อนอะไรจุกเหนียวอยู่ข้างในและแทบหายใจไม่ออก
"พ่อ.................."
ผมนั่งลงกับพื้นห้องเอื้อมมือไปสัมผัสมือหนึ่งที่เคยอุ้มผมสูงได้เหนือบ่า บัดนี้ไร้เรี่ยวแรงและมีรอยเขียวช้ำขึ้นหลายจุด ผมทำใจไม่ได้จริงๆ โรคร้ายทำให้ผู้ชายคนสำคัญที่สุดในชีวิตผมทุกข์ทรมาน พ่อเป็นคนเข้มแข็งออกกำลังกายทุกวันหลังพ้นวัย60 พอว่างจากการดูแลกิจการทุกอย่างพ่อก็ไม่เคยหยุดทำงาน ยังออกไปดูแลสวนและเลี้ยงสัตว์ จนทุกคนลืมเอาใจใส่ในสุขภาพและโรคร้ายที่แฝงอยู่ของพ่อ ผมหวนคิดถึงผมดกสีดอกเลาของพ่อ ซึ่งเวลาไม่เหลือแล้ว การบำบัดทำให้ศีรษะโล้นและมีรอยไหม้หลายจุดจากการฉายแสง
"เวลาคงเหลือน้อยแล้ว"
หมอเคยอธิบายให้ทุกคนรับรู้แต่แม่ก็ดูแลพ่อมาตลอดระยะเวลา 1 ปี เวลาผ่านไปนผมนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ พ่อคงอยู่ได้ด้วยความรัก - - ลมหายใจที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
เวลานี้บ้านที่ผมเคยอาศัยอยู่ ทรุดโทรมลงตามกาลเวลา เปรียบแล้วก็เหมือนผู้ให้ชีวิตผมทั้งสองคน ท่านคงเหนื่อยกับเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาเช่นกัน แต่แม่ยังยิ้มสู้เหมือนเคย ผมมองดูแม่ซึ่งพยายามป้อนโจ๊กให้พ่อกิน ดูเหมือนจะไม่เป็นผลนัก นี่คงเป็นผลทำให้พ่อดูผอมลงไปมากอย่างนี้
ท่อให้อากาศหายใจส่งเสียงพอให้ห้องนี้ไม่เงียบจนเกินไปนัก ว่ากันว่าคนป่วยระยะสุดท้าย บ้านเป็นที่อบอุ่นและมีความหมายมากกว่าโรงพยาบาล ทุกคนเมื่อมีชีวิตอยู่จึงโหยหาที่พักพิงที่ว่านี้ โดยเฉพาะผม แต่ด้วยภาระและหลายสิ่งในการดำรงชีพเราจำเป็นต้องเดินทางห่างไกลจาก บ้านเกิด
ในห้องครัวของบ้านทุกอย่างยังดูไม่ค่อยเป็นระเบียบเหมือนเดิม เนื่องจากบ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่และมีคนฝากท้องไว้เยอะ ทำให้มีการเข้าออกและบริโภคอาหารมากว่าปกติ จำได้ว่าตอนเด็กๆเมื่อถูกเพื่อนๆแกล้งและเข้าไปเล่นกับใครๆไม่ได้ ก็ได้ห้องครัวนี่ล่ะ เป็นเหมือนเพื่อน พี่-และ ครู มี ช้อน- ส้อม- จาน- ชามและผักเป็นตัวละคร ตัวพ่อคือหัวผักกาด มีแม่เป็นฟักทอง และลูกๆเป็นมะเขือเปราะ บางครั้งก็เล่นเป็นตำรวจ-ผู้ร้าย กระทั่งแม่มดพริกหยวกก็ลองมาแล้ว
ไม่มีใครสอนการทำอาหารให้ผม ผมยืนยันอย่างนั้น แต่วิธีการทำหรือเทคนิคต่างๆผมสังเกตเวลาแม่-พี่สาวทำ และจดจำมาประยุกต์ใช้เอง
แรกเริ่มก็ทำกินคนเดียวแต่ด้วยความช่างคิดและความประหลาดในตัวผมนี้ล่ะอาหารที่ทำออกมาจึงมีกลิ่นชวนลิ้มลอง บวกกับรูปแบบที่ผมชอบใช้หลักการของศิลปะเข้ามาช่วย ทำให้มันดูแปลก แต่หลายครั้งก็ไม่อร่อยและก็เป็นแค่อาหารตาเท่านั้นเอง "มันคือเปลือกนอก"
จนวันหนึ่งผมเรียนรู้ได้ว่า "การทำอาหารคือการรับรู้ความรู้สึกของคนอื่น"อาหารคือความผูกผันถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งหรือหลายคน ยิ่งหากรับรู้ถึงกันได้มากการทำก็จะออกมาด้วยใจ และตั้งแต่นั้นมาผมก็ขยับจากมือท้ายๆในครัวมาเป็นมือ 2 ของบ้านซึ่งขอยอมให้แม่เป็นแม่ครัวอันดับหนึ่งของบ้านคนเดียวเท่านั้น
คราวนี้นิทานในครัวคือเรื่องจริง ผมเลือกผักหลายชนิดมารวมไว้ตรงหน้า เตรียมเนื้อปลาสำหรับการทำน้ำซุบ และผักสำหรับทำน้ำซุบอีกสองสามอย่าง น้ำเริ่มเดือดผมเริ่มมีความสุขกับการอยู่ในครัวอีกครั้ง เหมือนได้ปลดบ่อยตัวเองจากภาระหน้าที่ในเมืองใหญ่ เวลานี้ผมต้องทำให้ดีที่สุดคือการเข้าถึงรสชาติอาหารและสื่อออกไปถึงผู้คน
ภาพครอบครัวร้องเรียกกันวุ่นวาย ให้มาร่วมวงกินข้าวเย็นยังเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขในชีวิตเสมอ ทุกครั้งคนที่จะมารอเป็นคนแรกสุดก็คือพ่อ จุดรวมพลคือโต๊ะกินข้าวม้าหินอ่อน ข่าวภาคค่ำถูกเปิด ส่วนมากเป็นเรื่องการเมืองและเหมือนเป็นคำสั่งให้ดูเฉพาะข่าวการเมืองก่อนเสมอ ตอนผมเป็นเด็กๆก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่พอนานเข้าเหมือนซึมซับ กินข้าวไปเมื่อมีรูปนักการเมืองโผล่หน้ามาบนจอทีวี ก็เล่นทายชื่อกับพี่สาวว่าชื่ออะไร พรรคการเมืองไหนและเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล มันเหมือนความผูกผันของครอบครัวเราทุกเย็น และช่วงเวลานั้นก็ยาวนาวไปจนถึงละครภาคดึกจบ มีทั้งเสียงหัวเราะและคำดุ เมื่อผมเอาการบ้านมานั่งทำหน้าจอทีวีเพราะมัวแต่ดูหน้าจอ การบ้านไม่เสร็จเสียที ภาพงดงามนั้นยังอยู่ในใจผมเสมอ
น้ำซุบเสร็จแล้ว ผมเริ่มการสับไก่ให้ละเอียดและเอาลงไปคั่วให้สุก ด้วยการใช้น้ำซุบแทนน้ำมัน ปรุงรสอ่อนๆด้วยน้ำปลา น้ำตาลทราย แล้วตามด้วยต้นหอมและผักชี เป็นอันเสร็จหนึ่งอย่าง ต่อไปผมเลือกทำข้าวต้มผัก พอน้ำเดือดก็ตักข้าวสวยใส่ ต้มให้เม็ดข้าวแตกแล้วตามผักสองสามอย่างน่ากินจริงๆ ( แอบชมตัวเองเล็กน้อย )
อาหารธรรมดาไม่แปลกเหมือนทุกครั้งที่ผมทำมา แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญกับอาหารของผมครั้งนี้คือจิตใจ จำได้ว่าพ่อชอบบ่นเรื่องเข้าครัวของผมและการทำอาหารที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวประหลาดของผมอยู่เสมอ และการเข้าครัว พ่อบอกว่าเป็นเรื่องของผู้หญิง แต่นานวันเข้าฝีมือการทำอาหารของผมก็ล้ำหน้าไปมาก พ่อจึงยอมให้ผมเป็นพ่อครัวประจำบ้าน จนบางครั้งแม่บ่นน้อยใจว่าเวลาแม่ทำกับข้าวให้กินพ่อชอบบอกว่าเค็ม แต่เวลาผมทำให้กินไม่ค่อยบ่น เวลาพ่อไปไร่กับหลานๆผมก็จะมีปิ่นโตสำหรับอาหารเด็กด้วย ส่วนมากก็ไข่เจียว ไก่ทอด ผัดวุ้นเส้น ส่วนของพ่อผมจะทำใส่กล่องข้าวให้ต่างหากแถมด้วยพวก พริกน้ำปลา หรือไม่ก็น้ำพริกรสจัดๆและผักลวกแก้เลี่ยน พ่อชอบกินปลาผมก็ทอดบ้างปลาย่างเกลือก็มี แต่ถ้าให้อร่อยสุดไม่ต้มยำก็จะเป็นปลานึ่งสมุนไพรไทย
"คนอื่นทำให้กินไม่ถูกใจเหมือนลูกรักเขาหรอก"
หลายครั้งที่พี่สาวของผม บ่นน้อยใจเรื่องการทำอาหารให้พ่อกินซึ่งไม่ต่างจากแม่สักเท่าไหร่
ตอนนี้เป็นช่วงเที่ยงแล้วอาหารถูกแบ่งมาใส่ถ้วยเล็กๆ ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่พ่อแข็งแรงดี ผมต้องเตรียมจานพิเศษต่างหาก มีช้อน-ส้อม ถ้วยเล็กๆ หากมีอาหารเป็นน้ำ และห้ามลืมพวกน้ำพริกและผักแก้เลี่ยน บางทีพ่อกินข้าวสวยแล้วต้องตามด้วยข้าวเหนียวอีกนิดหน่อย แต่ภาพตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
"กินข้าวนะ ........จะได้กินยา"
แม่กระซิบข้างหูพ่อ ผมไม่รู้จะทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหน ผมประคองพ่อขึ้นเพื่อให้การป้อนอาหารง่าย เป็นตัวผมเองที่ทั้งสั่นและกลัว จนเก้ๆ กังๆ แม่คอยเช็ดปากเมื่ออาหารไม่ถูกกลืน ผมรู้ว่าใจของพ่อไม่ได้ปฏิเสธอาหารของผม แต่เป็นร่างกายเสียมากกว่า ที่ไม่สามารถรับได้ ผมน้ำตาซึมในใจ
..
ผมง่วนกับงานที่โรงงาน รับโทรศัพท์และต่อรองกับลูกค้าด้วยถ้อยคำสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้
" ไม่ / เรารอไม่ได้ / บ.คุณต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย/ เคลมในการส่งLOTนี้"
จากนั้นตามด้วยคำแรง ๆ ในภาษาพ่อขุนราม
"ขอบคุณครับ แล้วเราจะแก้ไขให้ดีขึ้น"
นั้นคือคำตอบและน้ำเสียงที่ราบเรียบของผม ผมพักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ และนั่งมองนับเวลาที่เหลืออยู่ในการทำงานเดือนนี้ จากนั้นก็ทอดสายตาผ่านออกไปจากตัวอาคาร ใจก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแล้วเสียงนั่นก็ปลุกผมให้ต้องเจอกับความจริง
"....กริ่งๆๆๆๆ...................."
เสียงเรียกเข้าของเจ้าเครื่องมือสื่อสารของผมดังขึ้น
".............................................................."
เสียงผู้คนมากมายผ่านเข้ามาในสายจนผมใจไม่ดี
".................พ่อเสียแล้วนะ"
พี่สาวผมพูดเสียงเรียบๆด้วยข้อความง่ายแต่ผมเจ็บปวดจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาอีก
"อืมม์........................."
ผมนิ่งทั้งที่เคยเตรียมใจ ไว้ก่อนหน้านี้เป็นปี แต่ตอนนี้รู้สึกทำอะไรไม่ถูก
"รีบกลับบ้านนะ....................แม่ให้กลับด่วน"
"รู้แล้ว .............."
น้ำตาผมไม่ไหลแต่ภายในท้องมันปั่นป่วนจนรู้สึกว่าอยากจะขย้อนออกมา
ผมนั่งรถโดยสารปรับอากาศกลับบ้านเกิดอีกครั้ง คืนนั้นผมฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่ง อุ้มผมขึ้นขี่คอส่วนตัวผมยังเป็นเด็กเล็กร้องงอแง อยากเอาลูกอม
"ไม่ดี ฟันผุ..............."
เสียงคุ้นเคยดังก้องในหู ชายผู้นั้นยกตัวผมลอยขึ้นสูง จากนั้นตามด้วยการจับผมวางไว้บนแขนทั้งสองข้าง ตอนนี้ผมอยู่ในท่าเตรียมบิน เป็นซุปเปอร์แมน เขาโยกแขนไปมาลมที่ปะทะหน้าทำให้คล้ายกำลังลอยด้วยความเร็วสูง ผมมีความสุขในอ้อมแขนที่รักและห่วงใยนั้น ฮึกเหิมเพราะรู้สึกเป็นมนุษย์วิเศษมีพลังมากมาย และที่สำคัญอยู่ในสองมือซึ่งประครองตัวผมไว้ตลอดเวลา ผมอยากให้ช่วงเวลานั้นยาวนานมากกว่านี้......... "พ่อ"
ผลงานอื่นๆ ของ เขมปัณณ์ / MR.Sweet ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ เขมปัณณ์ / MR.Sweet
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น