กล่องข้าวน้อยของพ่อ - กล่องข้าวน้อยของพ่อ นิยาย กล่องข้าวน้อยของพ่อ : Dek-D.com - Writer

    กล่องข้าวน้อยของพ่อ

    อาหารมื้อสุดท้าย -ด้วยความรัก และความรู้สึกสำนึกผิดในใจ

    ผู้เข้าชมรวม

    1,480

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    1.48K

    ความคิดเห็น


    18

    คนติดตาม


    3
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ธ.ค. 49 / 23:17 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      กล่องข้าวน้อยของพ่อ

      By เจ้าชายหัวหมากฝรั่ง

                  มันเป็นเวลาก่อนรุ่งสาง  ผมบิดกายไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยล้า และอาการปวดหลังซึ่งเกิดขึ้นจากการนั่งรถโดยสารมานานร่วม 8 ชม. เพิ่งจะรู้ว่าเครื่องปรับอากาศทำหน้าที่ได้ดีก็ช่วงนี้ล่ะ

                  ความเย็นก่อตัวขึ้นจนผมต้องรวมรวบความกล้า      ฝืนใจหยิบผ้าห่มขนาดเล็กสีหม่น     ขึ้นมาคลุมหน้าอก  

      ดูเหมือนผู้หญิงที่นั่งข้างผมเธอจะหลับฝันดีและไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างตั้งแต่หลังเที่ยงคืน  อาจเพราะอาการคุยโทรศัพท์นานเกินหตุ  หรือไม่ก็เบื่อกับการเดินทางนาน   เธอจึงอยู่ในอาการสงบและคลุมทั่วร่างด้วยผ้าห่มราคาถูก   มากด้วยกลิ่นอับชื้น

                  แสงสว่างของวันใหม่เริ่มลอดผ่านเข้ามาในรถทีละน้อย  แฝงความสดชื่นตอนเช้าเข้ามาแทนความเหงาและอากาศหม่นหมองภายในใจผม  เสียงผู้หญิงวัยกลางคนดุเด็กวัย 2-3ขวบไม่ให้เสียงดังและงอแงกับอาการตื่นนอนใหม่ 

                  ตอนนี้เสียงคุยกันเริ่มดังแข่งกันทุกพื้นที่ภายในรถ  มีผู้โดยสารบางกลุ่มทยอยลงจุดหมายและมีผู้คนกลุ่มใหม่กลับขึ้นมาแทน   จนบางครั้งความพลุกพล่านและวุ่นวายเหล่านั้นทำให้ผมหงุดหงิด

                  "อะไรกันหนักหนา"

                  อยากสบถออกไปแรงๆ แต่นี้คือวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น  ความเอื้ออาทรต่อคนต่างถิ่นคือการทักทายกัน ตัวผมเองมองเห็นเป็นความเปิ่นและน่าขายหน้าตลอดมา   ภาษาท้องถิ่นและการคุยดังอื้ออึง  ทั้งแบบตัวต่อตัวและผ่านเครื่องมือสื่อสาร บ้างนัดแนะให้มารับจุดนั้นจุดนี้  ฟังแล้วหนวกหู น่ารำคาญเป็นที่สุด หญิงสาวผู้นั่งข้างผมเธองัวเงียและลุกขึ้นทำตัวเป็นนกขุนทองคุยเจี้ยวแจ้วไทยคำฝรั่งคำบวกภาษาท้องถิ่น      ผมสีทองบนหัวเธอตัดกับผิวสีเข้มอย่างน่าขัน     ไม่บอกก็รู้ว่า

       "คุณนายฝรั่ง"

                  อาการห่างบ้านและความกลัวต่างๆลุกล้ำเข้ามาในความรู้สึกผมอย่างต่อเนื่อง นานมาแล้ว ผมไม่ได้ติดต่อกลับบ้าน คนที่ไม่เอาถ่านอย่างผม  อ่อนแอต่อสังคมเมืองและมักแอบซ่อนตัวในเมืองใหญ่ ยิ่งเวลากลับมาถึงบ้านเกิด  ผมก็รู้สึกละอายเสียทุกครั้ง เหมือนเด็กไม่รู้จักโตและทำอะไรไม่เคยสำเร็จเหมือนลูกชายบ้านอื่นมีหน้าที่การงานดี ส่งเสียให้ทางบ้านให้พ่อแม่คุยโอ้อวดได้ทั้งหมู่บ้าน มีรถกระบะคันใหญ่ขับมาเยี่ยมบ้าน มีเงินทองซื้ออาหารเลี้ยงกันสามวันสามคืน จนบางครั้งพ่อแม่ผมก็คงแอบน้อยใจที่มีลูกอย่างผม      คนอย่างผมมีแต่ก้าวไปข้างหน้าแล้วอ้างว่า เพื่อการค้นหาตัวเองเปลี่ยนงานนับครั้งไม่ถ้วนและก็ได้แต่    โทษความโหดร้ายของสังคมและจิตใมนุษย์ ซึ่งแท้จริงแล้วอาจเป็นตัวผมเองที่อ่อนแอและขี้ขลาดเสียเอง

                  ………………………………..

      ตลาดยามเช้าของปลี่ยนไปมากความเจริญและวัตถุนิยมเข้ามาแทนที่สังคมแบบเดิมๆร้านสะดวกซื้อมีผู้คนเข้าออกตลอดผิดกับร้านชำฝั้งตรงข้าม  เหมือนทุกอย่างจะเป็นไปในแนวทางสังคมยุคใหม่ ภาพการขายอาหารตอนเช้าเปลี่ยนไป แม่ค้าสมัยก่อน เคยหาบขนมจีนและของหวานด้วยไม้คานไม่มีให้ผมเห็น กาแฟชงเป็นถุงที่คุ้นตาก็หายไป แม่ค้าขายน้ำเต้าหู้เจ้าเดิมสมัยเป็นเด็กที่เคยซื้อกินตอนนี้ไม่อยู่แล้ว   ภาพที่ผมเห็นคือ เด็กหญิงชาย สองพี่น้องช่วยกันขาย  เห็นแล้วตอนนี้ท้องก็ร้องหิวขึ้นมาทันที  เมื่อได้กลิ่นคุ้นเคยเข้าจมูก

      ................................................

                  เจ้าหมาตัวโตกระโจนทั้งตัวมันเข้าหาผม อาการแสดงความดีใจเมื่อเห็นเจ้าของเหมือนคนห่างไกล

       รอวันพบหน้า  ความรักซื่อสัตย์ที่ไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนใดๆ หลายปีแล้วผมซื้อมันมาจากร้านขายสุนัข ในช่วงนั้นใครก็เห่อสัตว์เลี้ยง แต่พอนานวันเข้าก็เลี้ยงไม่ไหวด้วยขนาดตัวที่โตของมัน การดูแลค่ารักษาและความจำเป็นต้องมีที่วิ่งเล่นซุกซนทำให้บ้านเช่าแคบๆของผมไม่อาจขังมันไว้ได้  จำเป็นต้องคืนชีวิตอิสระ ความสดใสให้มัน

      วันนี้ทำให้ผมหวนคิดถึงคืนวันเก่าๆ และมิตรภาพ ระหว่างผมและเจ้าสี่ขา  ผมคิดในใจคงไม่มีใครจับมันอาบเลย เท่าเพราะกินตุๆ      โชยตามลมทำให้ผมรู้สึกเอือมเล็กน้อย

                  บ้านหลังใหญ่ซึ่งผมเคยอยู่ในวัยเด็กตอนนี้ดูทรุดโทรมลงไปถนัดตา หญ้ารกขึ้นเต็มหน้าประตูรั้วต้นไม้ คงไม่ได้รับการดูแลเหมือนสมัยที่ผมและพ่อช่วยกันดูแล หลายสิ่งดูเหมือนมีความแห้งแล้งเข้ามาแทน ผมเอื้อมมือหยิบลูกเทนนิสในกระเป๋าออกมา แค่ชูขึ้นสูง เพื่อนรักสี่ขาผมก็กระโดดคอยท่า แทบจะล้มด้วยแรงของมัน จากการพยายามแย่งลูกเทนนิสในมือ   และเมื่อขว้างออกไป เจ้าเพื่อนยากก็กระโจนตามไปเก็บด้วยความเร็ว "นี่คงเป็นความรู้สึกโหยหามานานสินะ"

      ตอนนี้ผมรู้สึกเป็นคนพิเศษขึ้นมาอีกครั้ง

      .................................................

                  ผมยืนนิ่งอยู่หน้าห้องนอนพ่อ เวลานี้หัวใจเหมือนสลายและรับไม่ได้กับภาพที่เห็น ผมจำได้แต่ว่าเขาคือชายผู้ยิ่งใหญ่และแข็งแรง   เวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ผมไม่รู้ว่าไปใช้เวลาทำอะไรถึงไม่สามารถกลับมาบ้านเกิดได้

                  "ตา. ตา .........ลูกกลับมาแล้ว"

                  ผู้หญิงอันเป็นคนรักของผมที่สุด    พูดกับผู้ชายซึ่งเป็นคู่ชีวิตของเธอตลอดระยะเวลา30

      กว่าปี ที่ผ่านมา

                  "......................................................"

                  ไม่ได้มีเสียงตอบกับมาใจผมเต้นแรง อธิบายความรู้สึกนั้นไม่ได้เหมือนมีก้อนอะไรจุกเหนียวอยู่ข้างในและแทบหายใจไม่ออก

                  "พ่อ.................."

                  ผมนั่งลงกับพื้นห้องเอื้อมมือไปสัมผัสมือหนึ่งที่เคยอุ้มผมสูงได้เหนือบ่า บัดนี้ไร้เรี่ยวแรงและมีรอยเขียวช้ำขึ้นหลายจุด ผมทำใจไม่ได้จริงๆ โรคร้ายทำให้ผู้ชายคนสำคัญที่สุดในชีวิตผมทุกข์ทรมาน พ่อเป็นคนเข้มแข็งออกกำลังกายทุกวันหลังพ้นวัย60 พอว่างจากการดูแลกิจการทุกอย่างพ่อก็ไม่เคยหยุดทำงาน ยังออกไปดูแลสวนและเลี้ยงสัตว์ จนทุกคนลืมเอาใจใส่ในสุขภาพและโรคร้ายที่แฝงอยู่ของพ่อ ผมหวนคิดถึงผมดกสีดอกเลาของพ่อ ซึ่งเวลาไม่เหลือแล้ว การบำบัดทำให้ศีรษะโล้นและมีรอยไหม้หลายจุดจากการฉายแสง

                  "เวลาคงเหลือน้อยแล้ว"

                  หมอเคยอธิบายให้ทุกคนรับรู้แต่แม่ก็ดูแลพ่อมาตลอดระยะเวลา 1 ปี เวลาผ่านไปนผมนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ พ่อคงอยู่ได้ด้วยความรัก - - ลมหายใจที่เปี่ยมไปด้วยความรัก

                  เวลานี้บ้านที่ผมเคยอาศัยอยู่ ทรุดโทรมลงตามกาลเวลา เปรียบแล้วก็เหมือนผู้ให้ชีวิตผมทั้งสองคน ท่านคงเหนื่อยกับเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาเช่นกัน แต่แม่ยังยิ้มสู้เหมือนเคย ผมมองดูแม่ซึ่งพยายามป้อนโจ๊กให้พ่อกิน   ดูเหมือนจะไม่เป็นผลนัก   นี่คงเป็นผลทำให้พ่อดูผอมลงไปมากอย่างนี้

       ท่อให้อากาศหายใจส่งเสียงพอให้ห้องนี้ไม่เงียบจนเกินไปนัก ว่ากันว่าคนป่วยระยะสุดท้าย บ้านเป็นที่อบอุ่นและมีความหมายมากกว่าโรงพยาบาล ทุกคนเมื่อมีชีวิตอยู่จึงโหยหาที่พักพิงที่ว่านี้ โดยเฉพาะผม แต่ด้วยภาระและหลายสิ่งในการดำรงชีพเราจำเป็นต้องเดินทางห่างไกลจาก บ้านเกิด

                 

      …………………………………………………

                  ในห้องครัวของบ้านทุกอย่างยังดูไม่ค่อยเป็นระเบียบเหมือนเดิม เนื่องจากบ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่และมีคนฝากท้องไว้เยอะ ทำให้มีการเข้าออกและบริโภคอาหารมากว่าปกติ จำได้ว่าตอนเด็กๆเมื่อถูกเพื่อนๆแกล้งและเข้าไปเล่นกับใครๆไม่ได้ ก็ได้ห้องครัวนี่ล่ะ เป็นเหมือนเพื่อน พี่-และ ครู     มี ช้อน- ส้อม- จาน- ชามและผักเป็นตัวละคร ตัวพ่อคือหัวผักกาด มีแม่เป็นฟักทอง และลูกๆเป็นมะเขือเปราะ บางครั้งก็เล่นเป็นตำรวจ-ผู้ร้าย กระทั่งแม่มดพริกหยวกก็ลองมาแล้ว

       ไม่มีใครสอนการทำอาหารให้ผม ผมยืนยันอย่างนั้น แต่วิธีการทำหรือเทคนิคต่างๆผมสังเกตเวลาแม่-พี่สาวทำ และจดจำมาประยุกต์ใช้เอง

                  แรกเริ่มก็ทำกินคนเดียวแต่ด้วยความช่างคิดและความประหลาดในตัวผมนี้ล่ะอาหารที่ทำออกมาจึงมีกลิ่นชวนลิ้มลอง  บวกกับรูปแบบที่ผมชอบใช้หลักการของศิลปะเข้ามาช่วย ทำให้มันดูแปลก แต่หลายครั้งก็ไม่อร่อยและก็เป็นแค่อาหารตาเท่านั้นเอง  "มันคือเปลือกนอก"

                  จนวันหนึ่งผมเรียนรู้ได้ว่า "การทำอาหารคือการรับรู้ความรู้สึกของคนอื่น"อาหารคือความผูกผันถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งหรือหลายคน ยิ่งหากรับรู้ถึงกันได้มากการทำก็จะออกมาด้วยใจ และตั้งแต่นั้นมาผมก็ขยับจากมือท้ายๆในครัวมาเป็นมือ 2 ของบ้านซึ่งขอยอมให้แม่เป็นแม่ครัวอันดับหนึ่งของบ้านคนเดียวเท่านั้น

                  คราวนี้นิทานในครัวคือเรื่องจริง  ผมเลือกผักหลายชนิดมารวมไว้ตรงหน้า เตรียมเนื้อปลาสำหรับการทำน้ำซุบ และผักสำหรับทำน้ำซุบอีกสองสามอย่าง น้ำเริ่มเดือดผมเริ่มมีความสุขกับการอยู่ในครัวอีกครั้ง เหมือนได้ปลดบ่อยตัวเองจากภาระหน้าที่ในเมืองใหญ่     เวลานี้ผมต้องทำให้ดีที่สุดคือการเข้าถึงรสชาติอาหารและสื่อออกไปถึงผู้คน

                  ภาพครอบครัวร้องเรียกกันวุ่นวาย ให้มาร่วมวงกินข้าวเย็นยังเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขในชีวิตเสมอ ทุกครั้งคนที่จะมารอเป็นคนแรกสุดก็คือพ่อ  จุดรวมพลคือโต๊ะกินข้าวม้าหินอ่อน ข่าวภาคค่ำถูกเปิด ส่วนมากเป็นเรื่องการเมืองและเหมือนเป็นคำสั่งให้ดูเฉพาะข่าวการเมืองก่อนเสมอ ตอนผมเป็นเด็กๆก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่พอนานเข้าเหมือนซึมซับ กินข้าวไปเมื่อมีรูปนักการเมืองโผล่หน้ามาบนจอทีวี ก็เล่นทายชื่อกับพี่สาวว่าชื่ออะไร พรรคการเมืองไหนและเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล มันเหมือนความผูกผันของครอบครัวเราทุกเย็น และช่วงเวลานั้นก็ยาวนาวไปจนถึงละครภาคดึกจบ มีทั้งเสียงหัวเราะและคำดุ     เมื่อผมเอาการบ้านมานั่งทำหน้าจอทีวีเพราะมัวแต่ดูหน้าจอ  การบ้านไม่เสร็จเสียที  ภาพงดงามนั้นยังอยู่ในใจผมเสมอ

                  น้ำซุบเสร็จแล้ว ผมเริ่มการสับไก่ให้ละเอียดและเอาลงไปคั่วให้สุก  ด้วยการใช้น้ำซุบแทนน้ำมัน ปรุงรสอ่อนๆด้วยน้ำปลา น้ำตาลทราย แล้วตามด้วยต้นหอมและผักชี เป็นอันเสร็จหนึ่งอย่าง ต่อไปผมเลือกทำข้าวต้มผัก พอน้ำเดือดก็ตักข้าวสวยใส่  ต้มให้เม็ดข้าวแตกแล้วตามผักสองสามอย่างน่ากินจริงๆ ( แอบชมตัวเองเล็กน้อย )

        

                  อาหารธรรมดาไม่แปลกเหมือนทุกครั้งที่ผมทำมา แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญกับอาหารของผมครั้งนี้คือจิตใจ จำได้ว่าพ่อชอบบ่นเรื่องเข้าครัวของผมและการทำอาหารที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวประหลาดของผมอยู่เสมอ และการเข้าครัว พ่อบอกว่าเป็นเรื่องของผู้หญิง แต่นานวันเข้าฝีมือการทำอาหารของผมก็ล้ำหน้าไปมาก พ่อจึงยอมให้ผมเป็นพ่อครัวประจำบ้าน จนบางครั้งแม่บ่นน้อยใจว่าเวลาแม่ทำกับข้าวให้กินพ่อชอบบอกว่าเค็ม แต่เวลาผมทำให้กินไม่ค่อยบ่น  เวลาพ่อไปไร่กับหลานๆผมก็จะมีปิ่นโตสำหรับอาหารเด็กด้วย  ส่วนมากก็ไข่เจียว ไก่ทอด ผัดวุ้นเส้น ส่วนของพ่อผมจะทำใส่กล่องข้าวให้ต่างหากแถมด้วยพวก พริกน้ำปลา   หรือไม่ก็น้ำพริกรสจัดๆและผักลวกแก้เลี่ยน พ่อชอบกินปลาผมก็ทอดบ้างปลาย่างเกลือก็มี แต่ถ้าให้อร่อยสุดไม่ต้มยำก็จะเป็นปลานึ่งสมุนไพรไทย

                  "คนอื่นทำให้กินไม่ถูกใจเหมือนลูกรักเขาหรอก"

                  หลายครั้งที่พี่สาวของผม   บ่นน้อยใจเรื่องการทำอาหารให้พ่อกินซึ่งไม่ต่างจากแม่สักเท่าไหร่

                  ตอนนี้เป็นช่วงเที่ยงแล้วอาหารถูกแบ่งมาใส่ถ้วยเล็กๆ ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่พ่อแข็งแรงดี ผมต้องเตรียมจานพิเศษต่างหาก มีช้อน-ส้อม ถ้วยเล็กๆ หากมีอาหารเป็นน้ำ และห้ามลืมพวกน้ำพริกและผักแก้เลี่ยน บางทีพ่อกินข้าวสวยแล้วต้องตามด้วยข้าวเหนียวอีกนิดหน่อย แต่ภาพตอนนี้ไม่ใช่แล้ว

                  "กินข้าวนะ ........จะได้กินยา"

                  แม่กระซิบข้างหูพ่อ ผมไม่รู้จะทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหน ผมประคองพ่อขึ้นเพื่อให้การป้อนอาหารง่าย เป็นตัวผมเองที่ทั้งสั่นและกลัว จนเก้ๆ กังๆ  แม่คอยเช็ดปากเมื่ออาหารไม่ถูกกลืน ผมรู้ว่าใจของพ่อไม่ได้ปฏิเสธอาหารของผม แต่เป็นร่างกายเสียมากกว่า      ที่ไม่สามารถรับได้ ผมน้ำตาซึมในใจ

      …………………………………………………………..

                  ผมง่วนกับงานที่โรงงาน รับโทรศัพท์และต่อรองกับลูกค้าด้วยถ้อยคำสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้

                  " ไม่ / เรารอไม่ได้ / .คุณต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย/ เคลมในการส่งLOTนี้"

                  จากนั้นตามด้วยคำแรง ๆ  ในภาษาพ่อขุนราม  

                  "ขอบคุณครับ แล้วเราจะแก้ไขให้ดีขึ้น"

                  นั้นคือคำตอบและน้ำเสียงที่ราบเรียบของผม ผมพักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ และนั่งมองนับเวลาที่เหลืออยู่ในการทำงานเดือนนี้      จากนั้นก็ทอดสายตาผ่านออกไปจากตัวอาคาร ใจก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแล้วเสียงนั่นก็ปลุกผมให้ต้องเจอกับความจริง

                  "....กริ่งๆๆๆๆ...................."

                  เสียงเรียกเข้าของเจ้าเครื่องมือสื่อสารของผมดังขึ้น

                  ".............................................................."

                  เสียงผู้คนมากมายผ่านเข้ามาในสายจนผมใจไม่ดี

                  ".................พ่อเสียแล้วนะ"

                  พี่สาวผมพูดเสียงเรียบๆด้วยข้อความง่ายแต่ผมเจ็บปวดจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาอีก

                  "อืมม์........................."

                  ผมนิ่งทั้งที่เคยเตรียมใจ ไว้ก่อนหน้านี้เป็นปี แต่ตอนนี้รู้สึกทำอะไรไม่ถูก

                  "รีบกลับบ้านนะ....................แม่ให้กลับด่วน"

                "รู้แล้ว .............."

                  น้ำตาผมไม่ไหลแต่ภายในท้องมันปั่นป่วนจนรู้สึกว่าอยากจะขย้อนออกมา

      ………………………………………………………

                  ผมนั่งรถโดยสารปรับอากาศกลับบ้านเกิดอีกครั้ง คืนนั้นผมฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่ง อุ้มผมขึ้นขี่คอส่วนตัวผมยังเป็นเด็กเล็กร้องงอแง อยากเอาลูกอม

                  "ไม่ดี ฟันผุ..............."

                  เสียงคุ้นเคยดังก้องในหู ชายผู้นั้นยกตัวผมลอยขึ้นสูง จากนั้นตามด้วยการจับผมวางไว้บนแขนทั้งสองข้าง  ตอนนี้ผมอยู่ในท่าเตรียมบิน เป็นซุปเปอร์แมน เขาโยกแขนไปมาลมที่ปะทะหน้าทำให้คล้ายกำลังลอยด้วยความเร็วสูง ผมมีความสุขในอ้อมแขนที่รักและห่วงใยนั้น ฮึกเหิมเพราะรู้สึกเป็นมนุษย์วิเศษมีพลังมากมาย และที่สำคัญอยู่ในสองมือซึ่งประครองตัวผมไว้ตลอดเวลา   ผมอยากให้ช่วงเวลานั้นยาวนานมากกว่านี้.........    "พ่อ"

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×