ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ก่อนอาทิตย์ลับเหลี่ยมยุคนธร

    ลำดับตอนที่ #2 : เริ่มบทที่สอง

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 49


    เริ่มบทที่สอง

    ชั้นแรกหยดน้ำเหล่านั้นโอบล้อมร่างกายที่กำลังร่ายพระเวทย์อย่างตั้งใจ และชั้นต่อมาสะท้อนแสงอาทิตย์ร้อนแรง กำเนิดแสงสีทั้งเจ็ดทาทาบทั่วบริเวณ เมื่อร่างของคนโดยรอบพุ่งเข้ามาฉับพลัน คนกำลังร่ายพระเวทย์สลัดมือทั้งสองข้างออก พราวแห่งหยดน้ำเหล่านั้นก็พุ่งฉวัดเฉวียนปะทะเข้ากับร่างคนเหล่านั้นอย่างแรง ผล...ต่างปลิวร่างละลิ่วไปไกล แล้วลงไปกองอยู่กับพื้นจนสิ้นท่า

    คนผู้เพลี่ยงพล้ำทั้งหลายลุกขึ้นยืนคล่องแคล่ว ตั้งท่าเตรียมรับการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญพระเวทย์มนตรา แต่เพราะร่างบางเบาที่ปลิวผ่านเหนือศีรษะ ทุกผู้จึงเปลี่ยนท่าเป็นยอบกายลงนั่ง คุกเข่าทำความเคารพผู้มาใหม่

    "ทูลหม่อม" คนพูดน้ำเสียงตกอกตกใจ "ทรงพรวดพราดเข้ามาแบบนี้ เกลือกว่าโดนลูกหลงเข้าไปจะว่ายังไงล่ะ?"

    "จะว่าไง..ก็เจ็บซิ"

    "หากทูลหม่อมเจ็บพระองค์เดียวก็ดีซิ แต่นี่ทั้งเกล้าและมหาดเล็กพวกนี้ก็จะโดนโทษทัณฑ์ไปด้วยนะ"

    "ทุษยันต์ ขี้ขลาดจริง จะเป็นไรไป ชายชาตรี ทำผิดยอมรับผิด ถึงจะสมเป็นชาย"

    "แต่คนผิดเป็นทูลหม่อมนี่นา หากว่าเกล้าเป็นคนจับทูลหม่อมฟาดจนพระที่นั่ง(ก้น) ช้ำก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ทูลหม่อมทรงพรวดพราดเข้ามาเอง แล้วโดนลูกหลง.."

    "พอๆ" ทรงโบกหัตถ์คว้างเพราะทรงรู้ดีว่า พระพี่เลี้ยงจะต้อง "ร่าย" ยาวต่อไปอีกแน่ "เรื่องมันยังไม่เกิดตีโพยตีพายไปได้"

    พระพี่เลี้ยงโบกมือในอากาศ ทหารชั้นผู้น้อยเหล่านั้นจึงพลิ้วร่างกระโจนออกจากบริเวณนั้นในทันทีทันใด คนซึ่งเพิ่งทำลายการฝึกซ้อมแต่เจ้าตัวไม่รู้สึก ทำสีพระพักตร์ฉงน โอษฐ์อ้าน้อยๆ

    "ไปไหนกันน่ะ กำลังอยากออกกำลังกายอยู่ทีเดียว"

    "ทหารพวกนี้เป็นชั้นข้า ไม่ควรใกล้ชิดทูลหม่อม" คนเป็นพระพี่เลี้ยงทูลเสียงเรียบ "ทูลหม่อมสูงส่งเกินไป ขืนสู้กันเดี๋ยวเกิดเรื่องจะแก้ไขไม่ได้"

    คนเป็น "เจ้าฟ้า" แย้มสรวลกริ่ม แฝงแววเจ้าเล่ห์ "ห่วงเราใช่ไหมล่ะ?"

    ทว่าผิดคาด อีกฝ่าย"เปล่า เกล้าเกรงว่าครอบครัวของทหารพวกนั้นจะต้องระทมทุกข์ เพราะบารมีของทูลหม่อม"

    "ทำไม?" คนเป็นเจ้าฟ้ายังสงสัยอีก

    "ก็เดี๋ยวถ้ามหาดเล็กทำทูลหม่อมเจ็บพระวรกาย เดี๋ยวทูลหม่อมก็จะสั่งประหารพวกเขาน่ะสิ" คนเป็นพระพี่เลี้ยงยักคิ้ว

    หากอีกฝ่ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

    "เจ้า"

    "เกล้ากล่าวตามจริง แล้วนี่ทูลหม่อมเด็จมามีอะไรล่ะ?"

    "เรื่องอะไรจะบอกง่ายๆ อยากรุ้ก็ต้องเอาชนะเราให้ได้ก่อน" คนพูดยกมือกำหมัดเตรียมพุ่งเข้าใส่พระสหาย ทว่าดูเหมือนความเร็วของเจ้าชายจะมีน้อยเต็มที...ก็แค่พริบตาเดียวเท่านั้นแหละ คนตัวบางๆก็โดนคนตัวหนาๆ พลิกกายผันล็อคแขนไว้ คนโดนล็อคโวยวายฮึดฮัด

    "ขี้โกง"

    คนเป็นพระสหายหัวเราะ หึหึ

    "การจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้..ความเร็วมาเป็นอันดับแรก ..ทูลหม่อมยังขาดข้อนี้ และอีกอย่าง ทูลหม่อมก็ยังไม่ได้ตั้งกติกาอะไรเลย แล้วจะเรียกว่าขี้โกงได้เรอะ"

    "คนขี้โกง พูดยังไงก็ยังขี้โกง" คนพูดไปข้างๆคูๆ ทว่ายังไงคนตัวเล็กก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า "ความเร็ว" ของทุษยันต์...เหนือคาด จริงๆ

    "ทีนี้ ทูลหม่อมจะบอกเกล้าได้ยัง ว่ามากวนเวลาซ้อมของเกล้าทำไม?"

    คนวรองค์เล็ก ดิ้นขลุกดิ้นขลัก

    "นี่เจ้ากำลังว่าเราเป็นเด็กทำตัวยุ่งไปทั่วงั้นรึ?"

    "เปล๊า"

    "ก็เจ้าบอกว่าเรามากวน"

    "ก็มันจริง"

    คนตัวโตคงลืมตัวจึงเผลอบีบลำพระกรของคนวรองค์เล็ก...อย่างแรง จนพระฉวีวรรณขาว ราวหิมะ ...แดงเป็นปื้น

    "เจ็บ..ปล่อย" คนตัวเล็กตวาดแหว

    อีกฝ่ายรีบปล่อยทันที พร้อมคุกเข่าก้มหน้าต่ำ

    "เกล้าสมควรตาย"

    คนตัวเล็กหัวเราะเริงร่า "เสร็จเรา" คนตัวโตนิ่งดั่งโดนสาปเป็นหิน ความจริง คนตัวโตก็โดนสาปเป็นหิน...มีเพียงดวงตาที่ขยับล็อกแล็ก

    คนตัวเล็กยิ้มร่าเริงระรื่น กอด อก มองดูคนตัวโตที่คุกเข่านิ่งไม่ติงไหว

    คนตัวเล็กเล่นหูเล่นตา ยิ้มสะใจ คงเพราะอ่านสายตาทุษยันต์ออก ก็ตอนนี้สายตาทุษยันต์ อ่านได้ประมาณว่า "ขี้โกง" ..คนตัวเล็กตรัสเสียงมีชัย

    "เจ้าขี้โกงมา..เราก็ขี้โกงตอบ...เหอ..เหอ...สะใจ"

    คราวนี้คนเป็นทั้งพระสหายและพระพี่เลี้ยงทำสายตาระอา อ่านได้ประมาณว่า "หมดเวลาสนุกแล้วซี" จากนั้นดวงตาของคนโดนสาปกลายเป็นสีแดงเลือด..แล้วมนตร์ใดก็ตามที่โอรสวสุนธราใช้..มลายหายไปทันที

    "เฮ้ย.." คนตัวเล็กอุทาน กระโจนหนี

    เงาร่างวูบไหว..แล้วทุษยันต์ก็ยืนจังก้าค้ำร่างโอรสตัวเก่งไว้มิด

    พระหัตถ์ถูกยกขึ้นสูง...ทุษยันต์หยุดอยุ่กับที่ คอยดูว่าคนเจ้าเล่ห์จะเล่นอะไรอีก

    "เรายอมรับผิด" คำตรัสรวดเร็ซ...ก็บอกแล้วไงว่า หากมีการทะเลาะวิวาท ฝ่ายต้องยอมแพ้ก็คือฝ่ายโอรสตัวกวน

    ทุษยันต์แย้มยิ้มที่ปากอย่างพึงใจ

    "ก็แค่นั้น" แล้วเจ้าตัว ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นหญ้า ถอนหายใจ ..."ทูลหม่อม มีเรื่องใดให้เกล้าช่วยก็บอกมา เกล้ามีูธุระสำคัญอื่นต้องทำอีกมาก"

    เมื่อคนตัวเล็กนั่งลงข้างๆ ทุกๆสิ่ง แม้กระทั่งกาลเวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง

    ทุษยันต์หันไปมองจึงเห็นพระพักตร์เศร้าหมอง ของคน "ซนเป็นลิง" ดุจว่าทรงแบกความทุกข์ของคนทั้งโลกไว้

    "พระองค์...." ทุษยันต์ครางพระนามออกมา แม้บางครั้งจะซนเป็นลิง บางครั้งจะคอยกลั่นแกล้งเอาเปรียบตน ทว่า ทุษยันต์รู้ ตนเองเป็นที่พึ่งของโอรสองค์เล็ก....ตนเองเป็นเหมือนพี่ชาย ตนเองเป็นเพื่อนเล่นกับคนสูงศักด์มาแต่เล็กแต่น้อย

    เหมือนพี่เหมือนน้องกัีน

    ยามคนตัวเล็กสุข พระพี่เีลี้ยงจะยิ้มร่า คอยมอง

    ยามคนตัวเล็กทุกข์ มีหรือ อีกฝ่ายจะทนไหว...เห็นคนเป็นเ้จ้าชายทำสีพระพักตร์เช่นนัั้น ใจแทบจะแหลกละเอียดเป็นผง

    "ทรงทุกข์ใจเรื่องใด?" มือที่เอื้อมจะโอบรอบวรกายกลับหดกลับด้วยรู้ว่า....ตนอยู่ระดับใด อย่าให้ต้องถาม คนตัวใหญ่ก็ต้องรู้ว่า "พระโอรส" ของตนกังวลพระทัยเรื่องใด..ก็คนมันอยู่ด้วยกันมาแต่เล็กแล้วนี่นา...

    คนตัวใหญ่รู้....องค์ชายของตนรักอิสระ...ชอบเที่ยวเล่นกับไม่อยากให้ตนเองโดนบังคับทำอะไร....การบังคับ...ก็คล้ายกับการจับขังไว้ใรกรงทอง...ยังไงซะ หากโดนจับขัง...โอรสวสุนธราก็คงหาทางหนีออกมาจนได้ล่ะ....ก็ทรงชอบอยู่นิ่งเสียเมื่อไหร่ล่ะ

    อีกอย่าง....ทุษยันต์รู้ "การ" คราวนี้ ที่ทั้งสองนครตกลงกันนั้น มัน..ไม่เข้าท่า... ทุษยันต์แน่ใจว่า เรื่องวุ่นวายจักต้องตามมาอีกไม่นาน ก็ ฝ่ายนี้เจ้าเล่ห์ เอาแต่ใจ ส่วนฝ่ายนั้น ทุษยันต์เคยได้ยิน...ทรงเจ้าเล่ห์ไม่แพ้กัน..แถมยังเก่งในการยุทธเป็นหนึ่ง

    "ทูลหม่อม..เกล้ารู้ว่า ทูลหม่อมทรงรู้สึกเช่นไร..เกล้าก็ไม่คิดว่า หม่อมแม่ทรงทำถูกต้องนัก...ควรปล่อยให้ทูลหม่อมตัดสินใจเอง...."

    คนตัวเล็กเงียบ....

    "ตอนที่เกล้ารู้..." คนตัวใหญ่ยังไม่ทันกล่าวจบ คนตัวเล็กก็เอ่ยขึ้นก่อน

    "เจ้าไม่บอกเรา"

    "เกล้า..."

    "ไม่ต้องมาแก้ตัว"

    "เกล้าไม่มีิสิทธิ์มีเสียงที่จะยื่นมือช่วยทูลหม่อม"

    คนฟังตาขึงขึ้นมา ดุจว่ามีเปลวไฟลุกไหม้ "เรารู้ทางออกของเรื่องนี้แล้ว"

    ทุษยันต์กระพริบตา...ฉงน " ทางออก?"

    "แล้วใครก็จะมาขวางเราไม่ได้...จะไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้น..จะไม่มีการบีบบังคับใดๆ...การรวมสองมงกุฏจะไม่อาจทำได้...เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อยู่..."

    "พระองค์จะทำอะไร?"

    ทุษยันต์มองเข้าไปในดวงตาของวสุนธรา และคล้ายจะรู้ว่า องค์ชายวรกายบางเล็ก คิดจะทำอะไร...

    "อย่าขวางเรา" คำตรัสสั่งเฉียบขาด

    "เกล้าจำเป็น" คนพูดไม่ยอม..อย่างน้อย หากในฐานะพระพี่เลี้ยงกับพระสหาย แล้วไม่มีสิทธิ์ห้าม ทว่า ด้วยฐานะ "พี่ชาย" ทุษยันต์จำเป็นต้องห้าม...

    "หม่อมแม่กับหม่อมพ่อทรงรักทูลหม่อมดุจดวงหทัยพระองค์เอง"

    "ถ้ารัีกจริง.คงไม่ทำอย่างนี้" คนตัวเล็กคิดแล้วรู้สึกเจ็บแปลบที่อก ความขุ่นเคืองผุดขึ้นมาดุจน้ำเดือด....และ้ด้วยความไว คนตัวเล็กจับมือทุษยันต์ และนั่นทำให้ร่างคนตัวใหญ่โดนสาบกลายเป็นหินอีกครั้ง...ดวงตาทุษยันต์เบิกกว้าง...หวั่นเกรงกับสิ่งที่ "โอรสสุดรัก" ของตนจะทำ

    คนร่างบางเล็ก กระโจนออกไปกลางสนาม เป่าปากวี๊ดสูง แล้วไม่นานเกินชั่วระยะหายใจ ร่างสีขาวสว่างเรืองภายใต้แสงอาทิตย์ก็โจนมาหยุดลงตรงหน้าเจ้านาย อาชาพ่วงพีส่งเสียงทักเจ้านายด้วยอาการเริงร่า

    โอรสวสุนธรายกหัตถ์ลูบคอสีขาว เป็นแผงขนของมัีน

    "พร้อมจะไปกับเราฤาไม่?"

    ร่างเล็กๆกระโดดขึ้นขี่หลังร่างขาวๆ...ไม่ชั่วอึดใจ เจ้าลมกรดกระโจนพรวดออกจากที่แห่งนั้นด้วยความเร็วราวสายลม วรองค์บางเล็กคร่อมอยู่บนหลังอาชา....ละม้ายจอมนักรบ จอมกษัตริย์ในอดีตซึ่งยิ่งใหญ่เตรียมพร้อมออกศึก คนบนหลังม้าหันกลับมามองร่างซึ่งนั่งนิ่งราวหิน...แล้วอาชาสีขาวก็พาโอรสวสุนธราหายไปจากราชวัง

    ในวินาทีที่ร่างพ่วงพีกระโจนหายลับ มนตร์ที่ถูกสาปก็กลับคลาคลาย ทุษยันต์ยืนขึ้นอย่างสิ้นหวัง...สายตามองไปทิศที่คนมันรักเพิ่งหายไป

    เมื่อยังเด็ก คนตัวใหญ่เคยสัญญากับคนตัวเล็ก...จะไม่ยอมพรากจาก ที่ใดมีคนตัวเล็ก คนตัวใหญ่ ย่อมไปอยู่ด้วย

    และเมื่อห้ามมิได้

    สิ่งเดียวที่คนตัวใหญ่...จะต้องทำ คือ...ตามไปดูแล

    คนตัวใหญ่จะต้องทำตามที่สัญญาไว้

    ร่างสูงใหญ่เร่งก้าวตามไปด้วยใจลุกไหม้ดังไฟเผา.....
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×