ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ก่อนอาทิตย์ลับเหลี่ยมยุคนธร

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 49


    ปฐมบท

    สุริยาทิตย์สาดแสงแรงกล้า ดังจะแผดเผาทุกสิ่งให้กลายเป็นภัสมะธุลีในพริบตา เบื้องหน้า เปลวอากาศเต้นระริกเป็นเส้นสาย เพราะรังสีอันร้อนแรง กุบกับของการโหมวิ่งโดยเร็วของอาชาพ่วงพีดังมาในระยะไกล ทว่าดังและชัดเจนยิ่งนัก

    “เร็วอีก...เร็วเข้า...เร่งอีก...เจ้าลมกรด..เร่งอีก..เร่งอีก”

    คนที่ขับขี่อาชา “เจ้าลมกรด” เกาะคออาชาแน่น แม้ร่างบางเล็ก โปร่ง จะโยนไหวเยือกทุกคราว อีกทั้งจะปลิดปลิว จะตกมิตกแหล่ ทว่าปากกลับยังเร่งให้อาชาสีขาวดังไกรลาสคีรีและหรือทะเลน้ำนมบริสุทธิ์เร่งฝีเกือกขึ้นไปอีก อาชา “ลมกรด” ลักษณาการการวิ่งนั้นมิใช่ธรรมดาสามัญ หากแต่ “คล้าย” พุ่งลอยเหนือยอดหญ้าเสียมากกว่า ดังนั้นที่บอกให้เร่งอีก ก็คงเพื่อฝึกการวิ่งให้เหมือนลมพัดยอดหญ้าและไร้สรรพสำเนียงใดๆทั้งสิ้นนั่นเอง หากเป็นไปดังนั้นได้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของและเป็นสิ่งน่ากลัวสำหรับศัตรูเลยทีเดียว

    เมื่อยามพุ่งผ่านที่ใด ต้นหญ้าที่ขึ้นเป็นแผงหรือต้นไม้ต้นเล็กต้นน้อยเบื้องล่างจะลู่ไปตามแรงลมดันก่อเกิดจากการพุ่งตัวแหวกอากาศโดยเร็วนั่นเอง

    ร่างๆหนึ่งโผล่ออกมาจากชายป่าด้านหนึ่ง โดยอาการเร่งรีบจึงเข้ามาขวางเส้นทางแห่งอาชา ดังนั้น เวลาต่อมาบังเหียนจึงถูกดึงจนสุดแรง อาชาสีขาวนวลยกสองขาหน้าขี้นสูงพร้อมส่งเสียงร้องแหลมปรี๊ด... มันคงตกใจที่จู่ๆ อะไรไม่รู้มาขวางไว้...พลัน ส่งผลให้ร่างบนหลังอาชาพลัดตกลงมา...กระแทกกับพื้นอย่างแรง แต่โชคดีเป็นพื้นหญ้าขึ้นหนา จึงนุ่ม คงไม่เจ็บมากนักนะ

    ทว่าคนตกจากหลังม้าก็ร้องเสียจนเสียงหลง พร้อมผรุสวาทตามมาหลายคำ

    “ใครกัน” ตะเบ็งเสียงแปดหลอด “อยากโดนม้าเหยียบตายหรือไง...เข้ามาขวางได้ นี่ถ้าหากโดนม้าเหยียบแล้วไม่ตาย เราจะสั่งตัดหัวมัน แล้วเสียบประจานอีก โทษฐานที่ทำให้เราเจ็บตัวและก็เข้ามาขัดขวางการฝึกซ้อมของเรา!”

    ทำให้คนที่เพิ่งมาถึงรีบเข้าไปประคองให้ลุกนั่งในท่าที่เหมาะสม คนทำทีว่าเจ็บกำลังจะ “พ่น” ต่อ ทว่าต้องหลุดปากออกมาเสียงดังเมื่อเห็นใบหน้าคนที่กำลังพยุงตน

    “ทุษยันต์! เป็นเจ้าเอง”

    “ใช่ เกล้าเอง” มันพูดพร้อมกับตรวจหาบาดแผลว่าองค์ชายของมันเจ็บตรงไหนบ้าง แต่ก็ไม่วายพูดประชดประชันจนได้ “หลังจากตรวจดูอาการพระองค์แล้ว ถ้าไม่ทรงเป็นอะไรก็ทรงนำหม่อมฉันไปตัดหัวได้ แต่ถ้าทรงเป็น หม่อมฉันก็ขอรักษาก่อน จากนั้นจะตัดหัวหรือหั่นตัวก็แล้วแต่พระทัย”

    “เกือบไปแล้วไหมล่ะ” ทรงหายตกใจและโกรธเคืองในเมื่อครู่

    “ใช่...เกือบจะโดนตัดหัวหั่นตัว เกือบจะตายอยุ่ใต้เกือกทองบางเบาดุจปุยเมฆของเจ้าลมกรด” ทุษยันต์พระสหายคนสนิทของโอรสวสุนธรากระทบกระเทียบเปรียบเปรย พร้อมกับพยุงวรองค์บาง เล็กให้ลุกขึ้นยืน คนเป็น “โอรส” นั้น วรองค์ บาง เล็ก พระฉวีวรรณผ่องใสดังจันทร์เพ็ญ ทุษยันต์เคยชมเจ้านายตนเองว่า “อรชรอ้อนแอ้นประหนึ่งเหลา ผมสลวยสวยขำดำเป็นเงา” ทั้งที่เป็น “พระโอรส” ทว่าคนมองทุกคนกลับมองผิดเป็น “ พระธิดา”

    เมื่อเกิดการต่อปากต่อคำของโอรสวสุนธรากับทุษยันต์ ฝ่ายจะต้องยอมแพ้ก็คือ โอรสวสุนธรา เพราะทุษยันต์หาคำพูดมาประชดเก่ง ทะเลาะกันคราใด คนตัวเล็กผอม บาง ไม่เคยชนะสักครั้ง

    “มีอะไร?”ทรงตรัสถามเมื่อลุกขึ้นยืน แล้วใช้พระหัตถ์ปัดฝุ่นผงตามตัว
    คนเป็นพระสหายยืนขึ้นเช่นเดียวกัน ทว่าค้อมตัวเล็กน้อย.....เพียงเล็กน้อย....เพื่อแสดงความเคารพ แล้วกราบทูล...เป็นงานเป็นการ

    “หม่อมแม่รับสั่งหา” ทุษยันต์เป็นเด็กกำพร้า..เมื่อตอนโรหิณีมเหสีออกประพาสนอกพระราชวัง ทรงได้พบเด็กทารกน้อยคนหนึ่งอยู่ในห่อผ้าเก่าคร่ำ ขะมุกขะมอม ดวงตาสีดำนิลสนิท ใส จ้องตรง กลมโต มองพระนางนิ่ง

    “ทารกนี่....ไม่ปริปากร้องสักแอะ...เติบใหญ่จักเป็นคนกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว.....”
    เนื่องด้วยเหตุนี้ “ทารกน้อยในห่อผ้า” จึงถูกนำตัวเข้าไปเลี้ยงดูในวัง โดยอยู่ในความคุ้มครองของโรหิณีมเหสี ขณะนั้นพระนางทรงครรภ์แก่ ใกล้มีประสูติกาล และเมื่อมีพระประสูติกาล “ทารกน้อยในห่อผ้า” ก็จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระสหายและพระพี่เลี้ยงของพระราชบุตรหรือราชบุตรีที่จะประสูตินั้นทันที

    เจ้านายเจ้าลมกรดเคยตรัส “ที่บอกว่าจะเป็นคนกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว คงเป็นเพราะตอนนั้นเป็นแม่เข้าไปอุ้ม จงหยุดร้อง แต่ก่อนนั้น ตอนอยู่คนเดียวจะต้องแหกปากงอแงแน่ๆ” แต่อันที่จริง ดวงตาตะหากที่บ่งบอกว่า กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ดวงตาที่จ้องมองนิ่ง ปราศจากแววเกรงกลัว คนเป็นเด็กกำพร้า ตอบราวไม่สนใจต่อคำตรัสอีกฝ่าย

    “ความจริงตกใจ คนสวยๆมาอุ้ม เลยร้องไม่ออกตะหาก”

    ฉะนั้น คนทั้งวังเป็นที่รู้กัน “ทุษยันต์” จะเรียกพระนางโรหิณีว่า “หม่อมแม่”
    ส่วนโอรสวสุนธราจะตรัสเรียกพระมารดาคำเดียวว่า “เด็จแม่” ทุษยันต์จึงเป็นที่กริ่งเกรงของหลายๆคน โดยเฉพาะข้าราชการชั้นผุ้น้อยทั้งหลาย

    “ด้วยเรื่องอะไร ?” ขมวดพระขนงนิ่ว อีกคนสั่นหัวโดยเร็ว

    “เกล้าไม่ทราบ..อยากรู้ก็รีบไปสิ”
    คนมีศักดิ์เป็นเจ้าชายกลับไม่สนใจฟัง เข้าไปกอดคอ “เจ้าลมกรด” เฉย พลางตรัส “ ยังอยากฝึกฝีเท้าเจ้านี่ให้แข็งแกร่งขึ้นอีก”

    ผู้เป็นทั้งพระสหายและพระพี่เลี้ยงส่ายศรีษะ บอกว่า “เอาไว้คราวหน้าเถอะ ทูลหม่อม”

    “ไม่เอา”

    “อย่าทรงดื้อสิ....เร็ว....เดี๋ยวหม่อมแม่จะรอนานนะ”

    “โธ่..กำลังสนุกเชียว” ทุษยันต์เข้ามาลาก....เจ้าชาย ตัวเล็ก บาง โปร่ง ทว่าคนตัวเล็กออกแรงขัดขืน

    “ไม่ไป ไม่ไป” แต่คิดเรอะ จะสู้พระสหายได้ จึงถูก ลาก ไปเฝ้า “ หม่อมแม่” จนได้

    เจ้าลมกรดยืนนิ่ง มองดู “ คนตัวใหญ่” ลากคนตัวเล็กกว่าอย่างทุลักทุเล แล้ว “หันกาย” กลับ ทะยานออกจากที่แห่งนั้น เห็นเพียงว่า ต้นหญ้าเบื้องล่างพลิ้ว แหวกเป็นทางไป มุ่งสู่เนินเขาฟากโน้น ซึ่งหญ้าสีเขียวสดจะขึ้นเต็มไปหมด สำหรับสัตว์เลี้ยงกินไม่หวาดไม่ไหว
    เจ้าลมกรดวิ่งเร็วดุจสายลม ม้าหลงทาง มีเพียงโอรสวสุนธรากับทุษยันต์เท่านั้นที่ขี่ได้ มันอาจจะมาจาก “อัสดร” แดนแห่งอาชา หรือ หุบเขามรณะ หรือ บางที.....ป่ามายา แต่อย่างไรเสีย..ก็ไม่มีใครรู้...ไม่มีใครอยากรู้

    กำลังที่พระมเหสีโรหิณีเทวีประทับบนพระแท่นทองคำวิจิตร พร้อมกับทรงพระสำราญกับการกรองมาลัยอยู่นั่นเอง เสียงเอะอะก็ดังขึ้นที่หน้าทวารห้องบรรทม ดังนั้นผุ้ทรงตรัสถามก็คือ อุษา นางพระกำนัลคนสนิท ผู้นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ข้างพระแทนประทับ

    “อะไร ?”

    “ไม่ทราบเกล้าเหมือนกันเพคะ แต่” คนทูลก้มลงกราบ “หม่อมฉันไปดูให้เองเพคะ” ทูลจบก็ลุกขึ้นโดยเร็ว ตรงไปที่ทวารห้องบรรทม แต่นางก็ต้องตกกะใจเมื่อบานทวารเปิดออกโดยแรง พร้อมๆกับที่คนตัวใหญ่แบกคนตัวเล็กไว้บนบ่า.. คนบนบ่า แทนที่จะทรงนิ่งกลับดิ้นกระแด่วๆไม่หยุด แล้วยังแหกปากอีก ตำหนักคงจะเปิดเลยมั้ง เพราะไม่ใช่ตะโกน คือ ยิ่งกว่าตะโกนอีก

    “ปล่อยเราลงเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นเราจะเอาเจ้าไปโยนลงบ่อปลิง ให้ปลิงดูดเลือดเจ้า”
    คนกำลังแบกไม่สนใจกลับตอบเฉยๆ “ ทูลหม่อมกลัวปลิงจะตาย จะกล้าแบกเกล้าไปบ่อปลิงเร้อ ? กลัวแต่จะแบกเกล้าไปแค่ปากบ่อ พอทรงทอดเนตรเห็นเจ้าที่อยู่ข้างล่างนั่น แข้งขาสั่นตกไปพร้อมเกล้า จะทำไง?”

    “เราจะใช้เจ้าเป็นฐานกระโดดขึ้นมา”

    “กว่าทูลหม่อมจะกระโดดขึ้นมา กว่าทูลหม่อมจะขึ้นเหยียบเกล้าได้ ทั้งเลือดในกายเกล้าและวรกายทูลหม่อมก็คงแห้งเหือดไปก่อนแล้วล่ะ ทูลหม่อมจะเอาแรงที่ไหนกระโดดขึ้นมาล่ะ?”

    “เราจะตัดขาเจ้า” แม้จะตรัสเช่นนี้ แต่ก็ไม่เคยเห็นทรงกระทำจริงสักที

    “ได้” คนพูดไม่ยี่หระ “แต่ต้องหลังจากเกล้าพาทูลหม่อมไปพบหม่อมแม่ก่อนแล้วนะ”

    “ปล่อย เราจะลง เราเดินเองได้ มีขา ไม่ได้พิการ”

    “ได้” พอถึงหน้าพระแทน กระปะทะคารมกันก็สิ้นสุดลงพอดี “ตามพระทัยเถอะ”
    พอปล่อยคนแหกปากโวยวายลงจากบ่าแล้ว ทุษยันต์ก็คุกเข่าพนมมือ ทำความเคารพ ส่วนอีกคนยืนตรงพนมหัตถ์ทำความเคารพ แล้วขึ้นไปประทับร่วมพระแท่นกับพระมารดา

    “เสร็จตามบัญชา เกล้าขอตัวไปทำธุระต่อ”

    “ไปเถอะ” สุรเสียงที่ตรัสตอบ นุ่มนวล อ่อนหวานยิ่ง ฟังแล้วรื่นหู “เดี๋ยวเราจะบอกเรื่องนั้นกับวสุนธราเอง” ทุษยันต์ถวายบังคมแล้วลุกขึ้น หันกายกลับ ก้าวเดินออกไป

    พอทุษยันต์พ้นจากสายพระเนตร คนร่างบางเล็ก ซึ่ง “อรชรอ้อนแอ้นประหนึ่งเหลา ผมสลวยสวยขำดำเป็นเงา” จนละม้ายเจ้าหญิงกว่าเจ้าชายก็โอบกอดพระมารดาแน่น พร้อมทรงหอมพระปรางอิ่ม..ทำเสียงสูดลมหายพระทัยลึก ดุจเด็กน้อย ความจริงไม่ว่าต่อหน้าทุษยันต์หรือเฉพาะสองพระองค์ โอรสวสุนธราก็จะทำกิริยาเช่นนี้เสมอ แต่วันนี้ทรงกริ้วคนตัวใหญ่ จึงคนตัวใหญ่ไปพ้นๆก่อน ค่อยทำ คือแสดงกิริยารักพระมารดามากมาย ผล...พระมารดาคงจะทรง “จั๊กจี๋” จึงฟาดพระหัตถ์นุ่มกับพระพาหา ผอม เล็ก

    “พอแล้ว”

    “ไม่พอ” คราวนี้คนเป็นลูกทรงไซร้ใหญ่ “รักมาก ต้องหอมมากๆ”

    “บอกว่าพอ” พระมารดาจับพระเศียรคนตัวเล็กไว้ “เล่นเป็นเด็กไปได้”
    โอรสวสุนธราเงยพระพักตร์ขึ้นมาตรัสถามเบาๆ “แม่มีเรื่องไรถึงตามลูกมา ใช่เรื่องสำคัญไหม ถ้าไม่ ลูกโกรธนะ กำลังฝึกเจ้าลมกรดได้ที่อยุ่เชียว”

    “สำคัญสิ สำคัญมากด้วย เกี่ยวกับตัวลูกเอง” องค์เทวีตรัสพลาง สรวลเบาๆ หากคนได้ฟังผละออกโดยเร็ว คำถามหลากใจ

    “เกี่ยวกับลูก ?” พระขนงขมวดเข้าหากันมุ่น แล้วดวงเนตรมีประกายหนึ่ง ทรงร้องว่า “ หรือเรื่องนี้ เมื่อครู่ ทุษยันต์ก็ทราบเรื่องแล้ว?”

    “ถูกต้อง ตอนนี้ทุกคนในวังรู้เรื่องหมด แม้แต่ทาสที่ใช้งานมันยังรู้ มีแต่ลูกที่ยังไม่ได้รุ้เรื่องอะไรกับเขา”

    คนตัวเล็กทำท่าเสียดายสุดชีวิต ก็เรื่องอะไรล่ะที่ทุษยันต์จะต้องมารุ้อะไรก่อนตัว โดยเฉพาะเรื่องนี้ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระองค์โดยตรงเลย

    “แล้วตกลงมันเรื่องอันใดกันเพคะ เด็จแม่” แม้จะทรงฉุนนิดๆ แต่ก็ยังอยากรู้แหละ และอีกอย่าง เวลามีดำรัสอันใดกับพระมารดา คนพระองค์บางเล็ก จะตรัสด้วยคำ เพคะ เสมอ ก็เจ้าตัวให้เหตุผลว่า “พูดกับคนสวย ต้องพูดเพราะๆ”

    พระมารดานิ่งเป็นครู่ ราวกับจะทรงชั่งพระทัย ว่าจะกล่าวเรื่องที่ว่านี้ดีหรือไม่ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องดีเสียจนเกรงว่าโอรสวสุนธราจะดีพระทัยสุดขีด สิ้นพระชนม์ไป หรืออาจเป็นเรื่องร้ายที่คนตัวเล็กได้ฟังแล้ว อาจจะอยากสิ้นพระชนม์ไปอีกทางก็ได้ หากเมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นดวงเนตรอันเปี่ยมแววใคร่รู้ของโอรสตนแล้ว ทำให้พระนางต้องตรัสออกมาจนได้ แต่ก็มิได้ตรงตัวเสียทีเดียว คงจะค่อยๆอ้อมเข้าหาตัวเรื่องแหละ

    “ลูกอายุเท่าไหร่แล้ว?”
    ยิ่งทำให้คนตัวเล็กแปลกพระทัย สงสัยยิ่งขึ้นจนจะกล่าวประโยค “อายุเกี่ยวอะไรด้วย?” ทว่าก็ทรงยั้งโอษฐ์ไว้ทัน คำตรัสที่ออกมาจึงเป็น “ อายุสิบหกปีเพคะ”

    “สิบหกปี” พระมารดาทรงทวนคำเบาๆ “มีคู่ครองได้แล้วสินะ?”
    คนตัวเล็กถึงกับสะดุ้งโหยง ตรัสคำ “เด็จแม่” ออกมาสุดเสียง แล้วตรัสต่อด้วยเสียงซึ่งยังคงสูง “ทรงตรัสอะไรออกมา ลูกได้ยินมิผิดไปใช่ฤาไม่ ทรงหมายความว่ากระไร?”

    พระนางพยักพระพักตร์นวลผ่องน้นเบาๆ ตรัสว่า “ลูกได้ยินมิผิดแปลกไปดอก แม่บอกว่าเจาน่ะสมควรแล้วที่จะมีคู่ครองเสียที เพื่อเป็นปิ่นปกเกศเหล่าประชาราษฏ์ร์”

    พระนางยังไม่ทันได้บอกว่าจะต้องอภิเษกกับใครเลย โอรสวสุนธราก็บอกปัดไปเสียก่อนว่า “ไม่.. ลูกจะไม่แต่งกับใครทั้งนั้น ใครหน้าไหนก็ช่าง ลูกไม่แต่งด้วย ต่อไปหากเด็จพ่อ หรือเด็จแม่ตรัสอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลูกจะให้คำตอบเดียวคือ ไม่”

    ว่าแล้วทรงผันวรกายไปอีกทาง กอดอุระ พักตร์มุ่ย ส่วนพระนางโรหิณีมเหสี ก็ตรัสอย่างอ่อนพระทัย “ โธ่ ลูก วสุนธรา ลูกจะดื้อดึงไปไย ในเมื่ออายุลูกก็เหมาะควรแล้วกับการมีคู่ครอง อีกทั้งหน้าที่ของลูกในอนาคตอีก อย่างไรสักวันหนึ่ง ลูกก็ต้องเข้าพิธีอภิเษกกับใครสักคนอยู่ดี”

    เมื่อพระมารดาตรัสเช่นนี้ โอรสวสุนธราจึงตรัสถามเสียงอ่อยๆว่า

    “แม่ก็รู้นี่ว่าลูกเป็นยังไง ถ้าจะให้แต่งกับเจ้าหญิงเมืองไหนๆ ก็คงไม่ได้หรอก”

    “ได้สิ” สุรเสียงตรัสแน่พระทัยยิ่ง “เพราะไม่ใช่เจ้าหญิงเมืองไหนหรอก หากแต่เป็นราชโอรสของเมืองพี่น้องเรานี่เอง”

    คำตอบที่ได้ทำให้โอรสวสุนธรา หันขวับมามองและขมวดพระขนงยุ่ง คงจะแปลกประทัยเอามากๆ เสียงรำพึงเบาๆกับพระองค์เอง “เมืองพี่เมืองน้องของเรา เมืองอะไร?”

    เมื่อสักครู่ยังตรัสเสียงแข็งว่า “ไม่” ทว่าคราวนี้กลับทำเป็นครุ่นคิดตาม ท่าทางจะทรงโอนอ่อนด้วยแล้วแน่ พระนางโรหิณีจึงตรัสยิ้มๆ “ก็เมืองเด็จลุงเด็จป้า”

    คนอ่อนวัยกว่า หันพักตร์มาโดยแรง และก็คงจะตรัสออกมาด้วยอารามตกพระทัยมากกว่าที่จระตรัสออกมาด้วยสติคงมั่น “อุตรปัญจาละนคร”

    “ใช่จ๊ะ”คนเป็นพระมารดาตอบพร้อมแย้มรอยสรวล แฝงแววเจ้าเล่ห์ หน่อยๆ ใครๆในวังต่างรุ้กันหมดแหละว่า คนร่างบางเล็กได้ความเจ้าเล่ห์มาจากใคร ก็จาก “เด็จแม่”

    คราวนี้ต่างฝ่ายต่างนิ่งเป็นครู่ ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาครอบครองอาณาเขตโดยรอบนั้นสิ้น จนเมื่อโอรสวสุนธราคงรู้สึกพระองค์แหละ จึงได้ตรัสออกมาเชิงคำถาม “อย่าทรงบอกนะว่าเป็นเมืองของเสด็จลุงศมัทธิยะกับเสด็จป้าอนุศยินี”

    พระนางโรหิณีมเหสีทรงแย้มพระโอษฐ์แทนคำรับ โอรสวสุนธราทำสีพระพักตร์ดั่งเสวยซากช้างเน่าเข้าไป ต่อมาทรงลุกจากแท่นประทับ และดำเนินช้าๆ แล้วหยุดอยู่กับที่ ทันใด คล้ายทรงฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ จึงหันกลับมาทางด้านที่ผู้เป็นพระมารดาประทับอยู่

    “แล้วทั้งสองพระองค์ก็มีพระโอรสพระองค์หนึ่งที่ชันษาแก่กว่าลูกสี่ปี”

    “ลูกจำไม่ได้รึ ? ก็หลาน..”

    “เดี๋ยว “ คำตรัสนี้ทั้งเร็วและดังนัก นี่หากพระนางโรหิณีมิใช่สตรีสูงศักดิ์ ก็คงจะร้อง “ว้าย” ออกมาแล้วล่ะ “เด็จแม่อย่างเอ่ยชื่อเขาให้ลูกได้ยิน เด็ดขาด”

    “ทำไมล่ะลูก?” พระสุรเสียงตรัสถามแปลกพระทัย

    “ก็เขาว่าลูกเป็น...”แทนที่จะทรงตรัสให้จบประโยคกลับยั้งโอษฐ์ไว้เสียนี่

    “เป็นอะไรจ๊ะ?” ผู้เป็นพระมารดาจึงทรงรุกหนักเข้าไปอีก

    ก่อนจะตอบทรงเบือนพระพักตร์ “มอมแมม”เล็กน้อย และยังทำสีพระพักตร์ดูหงุดหงิดอีกด้วย แถมคำตรัสยังสะบัดๆ “เขาว่าลูกเป็น ...เป็นพวก..บัณเฑาะก์ สองเพศ สองจิตสองใจ”
    พระนางโรหิณีแทบกลั้นพระสรวลไว้ไม่อยู่ ฉะนั้นคำตรัสจึงเคล้า “เสียงหัวเราะ”

    “นี่ลูกยังจำได้อีกรี..ตั้งหลายปีแล้วนา”

    “ลูกไม่มีวันลืมหรอก...ดูยังไงถึงว่าลูกเป็นบัณเฑาะก์ ทั้งที่ลูกก็ออกจะเข้มแข็ง กล้าหาญ” คราวนี้พระนางโรหิณีทรงลุกจากพระแทนประทับลงมาประทับยืนเคียงกับผู้เป็นพระโอรส แล้วทรงตรัสแกมรอยสรวลว่า “ไม่ให้เขาว่าเป็นบัณเฑาะก์ได้ไง ก็ลูกทั้งแสนซนเป็นลิง กลิ้งงเป็นลูกมะนาว แถมบางคราวยังแสดงท่าทางคล้ายสตรีอีก เรียกว่ามันครึ่งๆกลางๆ จะหญิงก็ไม่ใช่ จะชายก็ไม่เชิง”

    “เด็จแม่” สีพระพักตร์คนตรัสละห้อยๆ “แม่ก็ว่าอีกคนแล้วรึ? อุตส่าห์นึกว่าแม่เป็นฝ่ายลูก นี่กลับไปเป็นฝ่ายอีตานั่นเสียนี่ น่าน้อยใจนัก”

    “แล้วมันจริงฤาไม่เล่า?”

    “มันจริงก็จริง แต่” โอรสวสุนธรา “ถอนหายใจ” เฮือกหนึ่งอย่างเหนื่อยล้า

    “ไม่รู้ล่ะ จะอย่างไรก็ตาม ลูกก็ไม่แต่งกับใครหน้าไหนทั้งนั้น ไม่ว่าเจ้าชายหรือเจ้าหญิง โดยเฉพาะกับรัชทายาทแห่งอุตรปัญจาละนคร ไม่มีทาง”

    พระนางโรหิณีมเหสีทรงโคลงพระเศียรไปมาตรัสว่า “หน้าที่ของกษัตริย์ต้องธำรงไว้ซึ่งเอกราชและเหล่าราษฏา ในเมื่อพระมหาพรหมาเจ้าเท่านลิขิตมาเยี่ยงนี้แล้ว แม้ลูกจักเพียรขัดขืนเท่าใดก็คงไม่อาจฝืนได้ ศาสตร์และวิทยาที่ลูกได้ร่ำเรียนมาทั้งหมด หากนำมาปรับใช้จริงๆ แล้วก็ไม่สามารถแสดงผลได้ดั่งผู้มีหน้าที่โดยตรงดอก ลูกจำเป็นนักที่ต้องเข้าพิธีวิวาหะมงคลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากลูกได้อภิเษกสมรสกับรัชทายาทของอุตรปัญจาละนคร สองแผ่นดินจักรวมเป็นหนึ่ง สองมงกุฏจักเคียงคู่ อริราชภายนอกล้วนคร้ามเกรง”

    “แม้จะต้องครองแผ่นดินเพียงลำพัง ลูกก็จะทำให้ดีที่สุด จะแสดงให้เด็จพ่อกับเด็จแม่และเหล่าทวยราษฏ์ร์ทั้งหลายได้แจ้งใจ จงเชื่อมั่นเถอะว่าลูกทำได้” คนตัวเล็กบอบบางก็มีเวลาที่ตรัสจริงจังเหมือนกันนะ “แม่อย่าพยายามเกลี้ยกล่อมลูกเลย ไม่ได้ผลหรอก ถ้าหากลูกอย่างจะแต่งงานจริงๆ ต่อให้ทั้งสองพระองค์มาห้าม ลูกคงไม่ฟัง คงฝืนแต่งจนได้”

    คนตัวเล็ก “คิด”....จะเกิดอะไรขึ้น หากทวยราษฏ์ร์ทั้งสองแผ่นดินล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ คนตัวเล็กไม่รู้ว่า เด็จพ่อเด็จแม่ กับเด็จลุงเด็จป้ากำลังดำริการใหญ่อันใด ทว่าเรื่องนี้...เรื่องการจับ “โอรส” ของทั้งสองเมืองเข้าพิธีวิวาหะมงคล ....มัน.....

    ฟังไม่เข้าท่า.......

    “เฮ้อ” คนแก่วัยกว่าระอานัก “ทำไมลูกไม่เคยฟังที่แม่พูดเลยนะ เห็นทีคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเสด็จพ่อเจ้าแล้ว”

    “ต่อให้เด็จพ่อมาพูดเอง ผลก็คงไม่ต่างกัน”

    “วสุนธรา”

    “เบื่อแล้ว..ป่านนี้เจ้าลมกรดคงคอยคอหักแล้วมั้ง...ลูกไปแล้วนะ ทูลลา”

    ว่าแล้ว ก็ผลุนผลันออกไปเลย พระนางโรหิณีทรงตรัสคำ “เดี๋ยว” แทบไม่ทัน ที่พระนางเคยตรัสว่าคนตัวเล็ก “ซนเป็นลิง” เห็นจะเป็นความสัจจริง พระนางทรงผ่อนพระปัสสาสะ (ลมหายใจ) อย่างอ่อนแรง คำตรัส...ค่อย...แทบเป็นกระซิบ พรู จากโอษฐ์เรียวงาม

    “รู้สึกใจไม่ดีเลย สังหรณ์ใจอย่างไรมิรู้...”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×