ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    E - Villain คนประลัยสายพันธุ์อี

    ลำดับตอนที่ #4 : 04 ตัวจริงของเลดี้ คิลเลอร์

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ย. 65


                   “โอ้ย”

                   “ห้ะ เสียงนี้มัน...”

                   ตำรวจหญิงรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นั้นเอาเป็นอย่างมาก เธอจึงหันไปดูเพื่อความแน่ใจว่ามันจะใช่อย่างที่เธอคิดจริง ๆ หรือเปล่า แต่พอได้เห็นใบหน้าแค่เฉพาะในส่วนที่ไม่ได้ถูกปกปิดของอีกฝ่ายเท่านั้นนั่นแหละมันก็ทำให้เธอได้รู้แล้วว่าตัวจริงของคนที่จับตัวเธอเอาไว้จริง ๆ แล้วเป็นใครกันแน่ ยิ่งเฉพาะนัยน์ตาภายใต้หน้ากากใบนั้นด้วยแล้วมันก็ยิ่งทำให้เธอมั่นใจเป็นร้อยเท่า พันเท่า หรือมากขึ้นกว่าเดิมเสียยิ่งกว่าอะไรดี

                   “ห้ะ เกียรติ คุณนี่เอง” ตำรวจหญิงอุทานขึ้น เธอเผยท่าทีชัดเจนว่าเคยรู้จักมักคุ้นกับเขามาก่อนแน่ ๆ “เกียรตินั่นคุณใช่มั้ย”

                   “หุบปากซะ คุณไม่มีสิทธิ์มาเรียกชื่อผมแบบนั้น”

                   “ใช่คุณจริง ๆ ด้วย ฉันคิดถึงคุณจังเลย” ตำรวจหญิงว่าต่อด้วยความดีใจ เธอเผลอแสดงท่าทีว่าตนยังคงมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับเขาอยู่เหมือนในวันวานอย่างไรอย่างนั้น

                   “บอกให้หุบปากไง”

                   และแล้วคำพูดคำนั้นก็ถึงกับทำให้คนคุ้นเคยอย่างรัตนารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอเปลี่ยนไปกระทืบที่เท้าของเขาพร้อมทั้งสะบัดตัวเผื่อว่าจะหลุดออกไปได้อีกครั้งหนึ่ง แต่พอเห็นว่ามันไม่สำเร็จเหมือนเดิมก็เลยยอมแพ้ไปอีกครั้งจนได้

                   “หึ้ย จะเอายังไง ว่ามา” เธอว่าอย่างอารมณ์เสีย เพราะนอกจากเขาจะไม่ยอมเล่นด้วยแล้วเธอก็ยังไม่สามารถที่จะทำอะไรกับอีกฝ่ายได้เลย

                   “ครั้งนี้ผมจะปล่อยคุณไปก่อน แต่ขืนคุณเรียกชื่อผมแบบนั้นอีกล่ะก็ผมไม่เอาคุณไว้แน่”

                   “ทำให้ได้อย่างว่าก็แล้วกัน”

                   แต่ทันทีที่ตำรวจหญิงพูดจบจู่ ๆ ไหล่ซ้ายของชายที่จับตัวเธอไว้ก็ถูกเฉี่ยวด้วยกระสุนที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ส่วนชายชุดเกราะที่โดนเข้าไปแบบนั้นก็ตัดสินใจทันควันด้วยการเหวี่ยงตำรวจหญิงในมือให้ไปยังทางที่ลูกกระสุนลอยมา จากนั้นตัวเองก็หายไปที่หลังกองไม้อีกรอบแล้วคอยสังเกตสถานการณ์อีกตามเคย

                   ที่ตรงทางเข้าของโกดังเก็บไม้ปรากฏร่างของตำรวจหนุ่มอย่างอ้นที่ตามเข้ามาภายในทีหลัง เขากำปืนเอาไว้แน่นพร้อมกับมองหาตัวคนร้ายด้วยความว่องไว ขณะเดียวกันก็เดินไปช่วยเพื่อนร่วมงานอย่างรัตนาแล้วยื่นปืนกระบอกใหม่ที่ได้จากศพของเจ้าหน้าที่ที่ตายไปแล้วไปให้กับเธอ

                   ตำรวจหญิงรับปืนจากอีกฝ่ายมาไว้ด้วยความไม่เกรงใจ ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นด้วยว่ามีคราบน้ำสีแดงกำลังเปรอะอยู่ที่ตรงขมับของเขา

                   “ไปโดนอะไรมา” เธอถามพร้อมทั้งรีบตรวจสอบลูกกระสุนทั้งหมดที่อยู่ในปืนของตน ก่อนที่เธอจะรีบเดินนำเพื่อเร่งค้นหาคนร้ายโดยไม่คิดรีรอ

                   “นิดหน่อยครับ” เขาตอบไปเพียงแค่นั้นพร้อมทั้งเดินตามแทบจะไม่ห่างจากกัน

                   “ถ้าไม่ไหวก็จับตายได้เลย”

                   “รับทราบครับสารวัตร”

                   แต่เดินไปได้เพียงไม่ทันไรตำรวจหนุ่มก็สังเกตเห็นตัวคนร้ายแล้วรีบยิงใส่ไปที่ตัวเขาทันที แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่โดนเป้าหมายจนต้องรีบวิ่งตามกันอย่างไม่ลดละ

                   และแล้วก็มาถึงจุดจุดหนึ่งที่ตัวของตำรวจหนุ่มมองเห็นว่ามีลำแสงสีแดงชี้ตรงไปที่ตัวของสารวัตรหญิงที่อยู่ไม่ไกลกัน แล้วเพียงชั่ววินาทีนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะเข้าไปผลักเธอเพื่อให้ล้มลงไป

                   “โอ้ย บ้าเอ้ย อะไรกันล่ะเนี่ย” ตำรวจหญิงล้มลงกับพื้นอย่างแรงพร้อมทั้งถูกทับด้วยร่างกำยำของเจ้าตำรวจหนุ่ม ขณะเดียวกันพวกเขาทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวคนร้ายกำลังวิ่งออกห่างไปอีกเรื่อย ๆ

                   “ขอโทษครับสารวัตร” ตำรวจหนุ่มรีบกล่าวเร็วจี๋พร้อมทั้งยันตัวเองให้ลุกขึ้นไป “ผมต้องรีบตามคนร้ายไปก่อน”

                   ว่าแล้วตำรวจหนุ่มก็รีบตามคนร้ายภายในครั้งนี้ไปอย่างที่พูดจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จำเป็นต้องยอมทิ้งเธอให้อยู่คนเดียวอย่างนี้ไปก่อน เมื่อเป็นอย่างนั้นตำรวจหญิงจึงค่อย ๆ ประคองตัวเองขึ้นมาทีละช้า ๆ อย่างไม่รีบร้อน ถึงแม้เมื่อครู่จะไม่ได้ล้มลงพื้นจนถึงขั้นสลบหรือทำอะไรไม่ได้ก็ตามแต่เพราะว่าศีรษะถูกกระแทกเข้ากับพื้นอย่างจังมันจึงทำให้เธอถึงกับต้องมึนหัวอยู่ไม่น้อยกันเลยทีเดียว

                   แต่เพียงไม่กี่อึดใจตำรวจหนุ่มที่ตามตัวคนร้ายไปก็ย้อนกลับมาได้ในที่สุด แต่การที่เขากลับมาเพียงตัวเปล่า ๆ แบบนั้นมันก็ทำให้เธอรู้แล้วว่าผลลัพธ์ของการไล่จับคนร้ายนั้นเป็นอย่างไร

                   “คนร้ายหนีไปได้แล้วครับ” ตำรวจหนุ่มรายงานทันทีที่วิ่งมาถึง แต่หลังจากนั้นก็ยื่นอุปกรณ์บางอย่างของตัวคนร้ายที่เก็บมาได้ไปให้เธอดู

                   “มันใช้เลเซอร์ซื้อเวลาหนีไป”

                   “ไม่เป็นไร เรารู้ตัวจริงของตัวคนร้ายแล้ว” เธอว่าก่อนจะพยุงตัวเองขึ้นยืนให้ได้ ขณะเดียวกันตำรวจหนุ่มที่เป็นคนผลักเธอก็เข้ามาช่วยพยุงเธอเธออีกแรง

                   “โอ้ย ผลักซะเต็มแรงเลยนะนั่น”

                   “ข ขอโทษครับ ผมคิดว่าคนร้ายจะยิงสารวัตรจริง ๆ”

                   “ห่วงคนอื่นให้น้อยลงแล้วตั้งใจจัดการกับคนร้ายจะดีกว่านะ”

                   “อะ ครับ”

                   “เจอของใหญ่เลยนะคืนนี้” เธอว่าอย่างไม่สบอารมณ์ที่จัดการกับคนร้ายภายในครั้งนี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ก่อนจะเดินไปดูเพื่อนร่วมงานคนอื่นเผื่อว่ายังมีคนที่ดวงแข็งอยู่บ้าง

                   “ตรวจดูซิว่ามีใครรอดอีกมั้ย”

     

                   ที่ท้ายหมู่บ้านแห่งหนึ่งในยามค่ำคืนที่อากาศปลอดโปร่ง บรรยากาศช่างดูเงียบงันไร้ซึ่งซุ่มเสียงที่จะมารบกวน บนถนนที่ตัดผ่านหมู่บ้านไร้ซึ่งแสงสว่างจากพวกเสาไฟ ไม่นานก็มีรถ 2 ล้อคันหนึ่งวิ่งตรงมาตามถนนด้วยความรวดเร็ว

                   ชายคนหนึ่งขับรถบิ๊กไบก์ที่ใช้ป้ายทะเบียนปลอมมาจนถึงท้ายหมู่บ้านดังกล่าว เขามองผ่านหน้ากากหมวกกันน็อกไปมาก่อนเลี้ยวเข้าซอยที่เป็นเส้นทางไปสู่ไร่นาทั้งหมดทั้งมวลของพวกชาวบ้าน เมื่อเข้าไปแล้วก็ยังต้องขี่เข้าไปให้ไกลอีกหน่อยโดยผ่านเส้นทางที่สุดจะขรุขระ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังต้องไปเพราะที่ที่เขาจะต้องใช้พักอาศัยก็ดันอยู่ในนั้นอย่างช่วยไม่ได้

                   เมื่อเข้าไปยังจุดที่ลึกและลับสายตาผู้คนประมาณหนึ่งก็กลายเป็นป่าไม้ข้างทางขนาดย่อม ๆ ที่ไม่ค่อยจะมีชาวบ้านเข้าไปใช้สอยจากมันมากนัก และภายในนั้นก็มีบ้านปูนสองชั้นถูกปลูกเอาไว้อย่างน่าค้นหา ชายคนเดิมขับรถมุ่งตรงไปยังที่นั่นโดยผ่านสวนดอกไม้ที่จัดสรรเอาไว้ได้ค่อนข้างจะสวยงาม และตลอดเส้นทางก็ถูกรายล้อมไปด้วยผีเสื้อราตรีหลากหลายสายพันธุ์ที่ออกหากินในยามค่ำคืน

                   ไม่นานชายชุดเกราะอย่าง “เกียรติศักดิ์” ก็ขับมาถึงโรงจอดแล้วดับเครื่องลงไป จากนั้นก็ถอดหมวกกันน็อกเอาไว้แล้วมองไปที่บิ๊กไบก์อีกคันด้วยความโล่งใจอย่างถึงที่สุด แต่พอผ่านไปเพียงไม่ถึงนาทีเขาก็เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นพร้อมกับปลดสัมภาระในการก่อเหตุร้ายออกจากตัวจนหมด จากนั้นก็ทิ้งตัวเองลงไปที่ตรงโซฟาอย่างคนหมดแรง

                   “อึ๊บ อ่า...”

                   เหมือนว่าแผลที่ไหล่จะค่อนข้างส่งผลกับตัวของเขาอยู่ เพราะเพียงแค่ขยับแขนไปมามันก็เจ็บแปล๊บ ๆ ที่ตรงหัวไหล่จนแทบจะทุกครั้งแล้ว เขาพยายามใช้มือนวดมันแต่ก็กลายเป็นแค่การทำให้ตัวเองต้องมาเจ็บหนักมากขึ้นกว่าที่เคย เลยได้แต่คิดว่าคงจะต้องทำแผลจริง ๆ จัง ๆ กับเขาสักทีแล้วล่ะ

                   แต่แล้วจู่ ๆ ภาพความทรงจำของหญิงคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเกียรติศักดิ์ มันทำเอาเขาอดคิดถึงเธอคนนั้นไม่ได้จนต้องเดินไปดูที่ตู้เลี้ยงผีเสื้อแทน ภายในนั้นมีผีเสื้ออยู่เพียงแค่ตัวเดียวและขยับตัวเชื่องช้างอย่างใกล้จะตายอยู่แล้วเต็มที ส่วนตัวเขาที่ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่เศร้าไปตามชะตากรรมของมัน

                   ไม่นานเกียรติศักดิ์ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขาเท่าไหร่นัก เมื่อเป็นอย่างนั้นเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าคนที่อยู่ในการดูแลของตนหรือสาวน้อยที่ออกไปช่วยกันก่อเหตุได้ออกมาต้อนรับตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                   “เป็นไงบ้าง ปลอดภัยดีหรือเปล่า” เขาเอ่ยถามคนที่เพิ่งจะเดินออกมาต้อนรับตน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หันไปมองแล้วให้ความสำคัญกับผีเสื้อตัวนั้นที่ใกล้จะตายอยู่แล้วเหมือนเดิม

                   “...กระสุนเฉี่ยวที่แขนซ้ายนิดหน่อยน่ะค่ะ” คนที่ออกมาต้อนรับตอบคำถามของเขากลับไป และคำตอบคำนั้นกับน้ำเสียงที่ได้ยินมันก็ดูจริงจังเสียจนอีกฝ่ายทำเป็นไม่สนใจแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

                   เกียรติศักดิ์ถึงกับใจหายใจคว่ำที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดคำคำนั้นออกมา เขารู้ดีว่าคนที่ตัวเองดูแลอยู่คนนี้ไม่มีทางที่จะพูดโกหกหรือปิดบังความจริงกับตนไปได้ เมื่อได้ยินอย่างนั้นเขาก็ถึงกับต้องหันควับไปดูก่อนจะเห็นว่ามี “น้ำ” เด็กสาวที่ออกไปช่วยเขาก่อเหตุในตัวเมืองเมื่อครู่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล มิหนำซ้ำเธอยังแสดงทั้งสีหน้าและท่าทางที่บ่งบอกว่าที่พูดไปเมื่อครู่ไม่ได้ล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว

                   ชายชุดเกราะถึงกับตาเบิกโพล่งไปยังเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าเธอใช้มือกุมแขนข้างซ้ายข้างนั้นเอาไว้มาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว มิหนำซ้ำเธอยังใส่เสื้อฮู้ดตัวโปรดทับเอาไว้อีก และที่เธอออกมาต้อนรับช้าจนผิดปกติก็คงจะเป็นเพราะมัวแต่ทำแผลและไม่กล้าสู้หน้าจนถึงเมื่อครู่นั่นเอง

                   เมื่อนึกขึ้นได้เกียรติศักดิ์จึงรีบบึ่งเข้าไปหาเด็กสาวที่อยู่ในการดูแลของตน เอาแต่มองไปยังจุดที่ถูกกุมเอาไว้พร้อมทั้งยื่นมือเข้าไปคล้ายจะสัมผัส คิดโทษตัวเองในใจที่สุดท้ายก็พาเธอไปเสี่ยงอันตรายจนได้รับบาดเจ็บแบบนี้กลับมาจนได้ เขารู้สึกผิดเอาเป็นอย่างมากจนแทบไม่กล้าเปิดดูหรือว่าสัมผัสแผลเธอได้เลย

                   “ฉ ฉัน... ฉ...”

                   ชายชุดเกราะพูดตะกุกตะกักฟังดูไม่เป็นภาษา ปากของเขาสั่นสะท้านไม่ต่างจากมือของตัวเองภายในตอนนี้ อยากจะพูดขอโทษกับคนตรงหน้าแทบตายแต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว หรือแค่เพียงจะสบตากับเธอเขาก็ไม่อาจจะทำได้แล้วภายในตอนนี้

                    “ฉัน...”

                   “ไม่เป็นไรค่ะอาจารย์ ...ไม่เป็นไร” เด็กสาวพูดตัดหน้าออกไป รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการจะพูดอะไรและเธอก็ไม่อยากจะให้อีกฝ่ายต้องมารู้สึกผิดไปมากกว่านี้อีกแล้ว ขณะเดียวกันก็กุมมือทั้งสองของคนตรงหน้าเอาไว้เพื่อให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้นกว่าเดิม “ไม่ใช่ความผิดของอาจารย์เลยนะคะ”

                   เมื่อได้ยินดังนั้นและถูกอีกฝ่ายกุมมือเอาไว้คนที่ถูกเด็กสาวเรียกว่าอาจารย์ก็ค่อย ๆ ฟื้นคืนจากความรู้สึกผิดอันมากมายมหาศาลที่มันเกิดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว และแม้จะยังทำอะไรไม่ได้เหมือนเดิมอยู่ดีแต่อย่างน้อย ๆ เขาก็เริ่มจะใจชื้นมากพอจนกล้าที่จะสบตากับเด็กสาวได้บ้างแล้ว

                   “น้ำจะไม่ประมาทอีกแล้ว น้ำให้สัญญา ฉะนั้นอาจารย์อย่าโทษตัวเองอีกเลยนะคะ น้ำขอร้องล่ะ”

                   และแล้วชายที่ถูกเรียกว่าอาจารย์ค่อย ๆ รู้สึกดีขึ้นอีกตามคำพูดเหล่านั้นของเธอ มันเป็นอะไรที่ช่วยได้มากสำหรับคนที่รู้สึกผิดจนจิตใจแทบจะแตกสลายอยู่แล้ว เขารู้สึกขอบคุณเอาเป็นอย่างมากที่อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีเธอที่เข้าใจเขา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถลบเลือนความรู้สึกผิดที่มีภายในครั้งนี้ไปได้ทั้งหมด จึงได้แต่ให้สัญญากับตัวเองในใจว่าจะไม่ทำให้เธอต้องเข้าไปเสี่ยงอันตรายเหมือนอย่างที่เจอในครั้งนี้อีกแล้ว พร้อมกันนั้นก็เข้าไปโอบกอดอีกฝ่ายด้วยความขอบคุณและก็ห่วงใยในเวลาเดียวกัน

                   “อ อาจารย์ !” เด็กสาวถึงกับตกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายโอบกอดเอาไว้แบบนั้น แต่เธอก็เข้าใจถึงความรู้สึกของคนตรงหน้าดีจึงไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจต่อเขาแต่อย่างใด ในทางกลับกันเธอก็อยากให้เขาทำอะไรแบบนั้นกับตนอยู่แล้วเพราะมันคือทางเดียวที่จะเยียวยาหัวใจของเขาได้ดีที่สุด ขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ ซบหน้าและโอบกอดกลับไปด้วยเพราะตัวเธอเองก็เป็นห่วงเขาแทบจะไม่แพ้กัน

                   “แค่เฉี่ยวนิดเดียวเองนะคะ” คราวนี้เด็กสาวเริ่มใช้เสียงเบา คลุกเคล้ากับบรรยากาศเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจกว่าเดิม

                   แต่เพียงไม่นานเด็กสาวก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าชายวัยกลางคนที่กำลังกอดตนอยู่นั้นจู่ ๆ ก็มีกลิ่นของเลือดล่องลอยออกมาจากตัวของเขา จึงแอบมองตามเสื้อกันกระสุนที่เต็มไปด้วยรอยกระสุนนับสิบ ๆ นัดอย่างน่าใจหาย จนกระทั่งไปสะดุดตาอยู่ตรงไหล่ซ้ายที่เป็นหนึ่งในจุดบอดที่ไม่สามารถจะกันอะไรเอาไว้ได้ และตรงจุดนั้นก็มีรอยเสื้อฉีกขาดที่น่าจะเกิดจากการถูกยิงอยู่ 1 รอยพอดี

                   เด็กสาวถึงกับใจหายวูบก่อนจะรีบเงยหน้ามองไปที่เขา “อ อาจารย์ถูกยิง !” ส่วนชายวัยกลางคนที่ได้ยินอย่างนั้นก็ค่อย ๆ คลายกอดออกไปก่อนมองไปยังที่ไหล่ซ้ายของตน

                   “ไม่เป็นไร ฉันล้างแผลแล้วล่ะ”

                   “ไม่เป็นไรได้ไง ถูกยิงตรงไหน น้ำขอดูหน่อย” เด็กสาวรีบเข้าไปดูบาดแผลที่ว่าของเขาทันทีเพราะแม้แต่เธอเองก็คาดไม่ถึงมาก่อนว่าเขาจะพลาดท่าบาดเจ็บกลับมาเหมือนกัน และแทบจะลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านั้นก็เป็นตัวเองนั่นล่ะที่ทำให้เขาเป็นห่วงเสียก่อน

                   เด็กสาวพยายามจะถอดชุดเกราะเพื่อดูบาดแผลของเขาให้ได้ ส่วนชายวัยกลางคนที่เห็นอย่างนั้นก็พยายามจะห้ามเธอกลับไปบ้างเหมือนกัน

                   “ฉันไม่เป็นไร แค่เฉี่ยวนิดเดียวเอง”

                   “นิดเดียวก็ไม่ได้ อย่าดื้อกับน้ำได้มั้ย”

                   ดูเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมใคร เด็กสาวก็ดูจะเป็นห่วงเขาเอาเสียมาก ๆ ส่วนชายวัยกลางคนก็ไม่อยากจะให้เธอต้องมาเป็นห่วงตนเองจนมากกว่าที่ควร และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องในครั้งนี้มันจะไปจบที่ตรงไหนกัน

                   แต่แล้วจู่ ๆ เกียรติศักดิ์ก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ตนไม่อาจเข้าใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ นั่นทำให้ท่าทีของเขามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด เขาวางมือของเด็กสาวลงไปก่อนจะบึ่งไปยังตู้เลี้ยงผีเสื้อของตนทันที ก่อนจะพบว่าเจ้าผีเสื้อเพียงหนึ่งเดียวตัวนั้นมันได้นอนแน่นิ่งไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวไปแล้วอย่างน่าเห็นใจ

                   และเมื่อเห็นอย่างนั้นความรู้สึกของชายวัยกลางคนมันก็ยิ่งทวีคูณความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นเขาไม่อาจรับรู้ว่าความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นกับตนอยู่นั้นมันคืออะไรกันแน่ เขารู้สึกสับสนและคิดวนเวียนถึงสิ่งต่าง ๆ จนสายตาไม่อาจเพ่งมองไปที่สิ่งใดได้ ทำเอาเด็กสาวที่อยู่ไม่ไกลที่เห็นอาการแบบนั้นของเขาก็เกิดเป็นห่วงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

                   “อ อาจารย์เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ?” เธอลองถามดูหลังจากที่เห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนั้นมาได้สักพัก แต่เพียงไม่นานชายผู้นั้นก็เหมือนจะนึกอะไรได้แล้วเปลี่ยนเป็นเดินกลับมาหาเธออีกที

                   “ฉันจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”

                   “อ อะไรนะคะ ? อาจารย์จะไปไหน ?”

                   “ฉันไม่รู้ แต่คงต้องลองไปดูก่อน” เขาว่าก่อนจะเปลี่ยนเป็นเดินไปยังทางห้องของตน ทำเอาเด็กสาวที่เห็นอย่างนั้นต้องรีบตามไปด้วยความไม่เข้าใจ

                   “ไม่รู้ได้ไง แล้วตำรวจล่ะคะอาจารย์”

                   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันโทรกลับมา”

     

                   หลังจากที่สะสางความวุ่นวายที่เกิดขึ้นได้บ้างแล้วบางส่วนรัตนากับอ้นจึงกลับมาที่สถานีตำรวจภายในทันที ก่อนจะเดินลงมาจากรถแล้วมุ่งไปยังตัวสำนักงานโดยไว

                   “ถ้านับครั้งนี้เข้าไปด้วยก็ก่อเหตุมาแล้วห้าครั้ง แต่ละครั้งมีการ์ดแบบนี้วางอยู่บนศพของเหยื่อที่เป็นผู้หญิงทุกราย” รัตนาว่าพร้อมทั้งยื่นซองหลักฐานที่ใส่การ์ดสีดำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคนร้ายไปให้กับอ้นดู ส่วนอ้นที่รับมาแล้วก็มองไปยังตัวอักษร “LK” สีแดงที่อยู่ตรงกลางของการ์ดใบนั้นพอดี

                   “เพื่ออะไรเหรอครับ ?”

                   “ไม่รู้เหมือนกัน แต่คดีนี้และคดีที่สามใช้เบอร์ของคนอื่นโทรมาประกาศกับทางตำรวจว่าจะทำการก่อเหตุ ส่วนที่เหลือแอบทำแบบลับ ๆ ไม่มีใครเห็น แปลกหน่อยก็คดีที่สองที่มีคนอื่นมาเกี่ยวข้องด้วยแล้วถูกฆ่าไป แต่ประเด็นมันอยู่ที่เหยื่อในคดีที่สี่นี่น่ะสิ”

                   “ยังไงเหรอครับ ?”

                   “เพราะว่าเธอดันเป็นแฟนเก่าของเขาน่ะสิ”

                   “เขา ?” ตำรวจหนุ่มชักหน้าสงสัย “สารวัตรรู้ตัวคนร้ายแล้วเหรอครับ”

                   “รู้แล้ว คนรู้จักฉันเอง”

                   “ห้ะ !” ตำรวจหนุ่มอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ นึกไม่ถึงมาก่อนว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นได้

                   สองตำรวจชายหญิงเดินมาจนถึงข้างในตัวสำนักงานภายในเวลาต่อมา จากนั้นสารวัตรหญิงก็เดินนำตำรวจหนุ่มโดยมุ่งไปยังเจ้าหน้าที่อีกคนที่รับหน้าที่ดูแลสถานีตำรวจภายในตอนนี้แต่เพียงผู้เดียว

                   “สารวัตรครับ” ตำรวจวัยกลางคนลุกขึ้นทักตำรวจหญิงที่เดินตรงมา

                   “ เกียรติศักดิ์ พรมณีรีบหาข้อมูลของคนคนนี้เร็ว” สารวัตรหญิงออกคำสั่งทั้ง ๆ ที่ยังเดินไปไม่ถึงเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ทำเอาตำรวจวัยกลางคนคนนั้นถึงกับทำอะไรไม่ถูกแล้วรีบทำตามคำสั่งอย่างช่วยไม่ได้

                   “ค ครับ”

                   ตำรวจวัยกลางคนรีบวางความสงสัยและงานทั้งหมดของตนลงไป รีบค้นหาข้อมูลในคอมพิวเทอร์ตามที่สารวัตรหญิงสั่งพร้อมทั้งตั้งคำถามในใจว่าจะหาข้อมูลของคนคนนั้นไปเพื่ออะไรกันแน่ ส่วนรัตนากับอ้นก็เดินอ้อมมายังหลังโต๊ะเพื่อดูให้แน่ใจว่ามันจะใช่อย่างที่ตนคิดหรือเปล่า

                   “เจอแล้วครับสารวัตร”

                   ใช้เวลาไปเพียงแค่ครู่เดียวหน้าจอสี่เหลี่ยมก็ปรากฏรูปภาพของใครคนหนึ่งและข้อมูลบางส่วนของเขาให้ทั้งสามได้เห็น สารวัตรหญิงที่เห็นอย่างนั้นจึงชี้นิ้วยืนยันไปยังคนในรูปนั้นทันที

                   “นั่นแหละเขา เลดี้ คิลเลอร์

                   ตำรวจอีก 2 นายมองตามด้วยความสนใจ แม้จะไม่รู้ว่าเธอไปรู้มาได้อย่างไรแต่ก็ไม่ได้คิดว่าเธอจะมาล้อเล่นอะไรในเวลาแบบนี้แน่ ๆ

                   “ฝากจัดการเรื่องเปิดประชุมด่วนด้วยนะจ่า” เธอบอกกับตำรวจวัยกลางคนโดยไม่คิดจะอธิบายอะไรให้มากความ ก่อนผละตัวเดินไปยังห้องสำนักงานของตนราวกับว่ามีธุระเร่งด่วนจนแทบจะยอมเสียเวลาไปไม่ได้เลย

                   “อ้นนายมากับฉัน เรื่องหลักฐานของคนร้ายให้เขาจัดการแทน” เธอว่าต่อ ช่วยเพิ่มภาระให้กับตำรวจวัยกลางคนคนนั้นหนักเข้าไปอีก

                   ตำรวจหนุ่มที่ได้ยินอย่างนั้นก็ได้แต่กล่าวขอโทษกับตำรวจวัยกลางคนคนนั้นเบา ๆ พร้อมทั้งยื่นซองหลักฐานให้กับเขาไป จากนั้นจึงรีบตามสารวัตรหญิงไปอย่างไวพร้อมกับรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับอยู่ในหัวเงียบ ๆ

                    สารวัตรหญิงเปิดห้องเข้าไปพร้อมทั้งว่าต่อ “เข้ามาทำแผลกับดื่มกาแฟกันก่อน จากนั้นเราจะทำงานกันต่อ”

                   “ตอนนี้เหรอครับ” ตำรวจหนุ่มถามเพื่อเป็นการยืนยัน ตำรวจหญิงที่เดินเข้าห้องไปได้สักพักจึงหันกลับมาแล้วสบตากับเขา

                   “คิดว่าฉันจะยอมให้นอนหรือไง”

                   แต่แล้วจู่ ๆ สาวสวยรุ่นใหญ่ผู้เป็นเจ้าของห้องก็ตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ดูเปลี่ยนไป จากที่หยุดเดินก็เปลี่ยนเป็นเดินเข้าใกล้แล้วจับเสื้อของเขาเอาไว้ด้วยท่าทียั่วยวนไม่ต่างจากคราวที่แล้วไปสักเท่าไหร่นัก ก่อนที่เธอจะยื่นใบหน้าอันงดงามของตนนั้นเข้าไปใกล้จนทำให้ใครบางคนที่อยู่ตรงหน้าถึงกับขยับตัวไม่ได้และเหงื่อซึมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้กันเลยทีเดียว

                   “...นายต้องทำทั้งคืนเลยล่ะพ่อหนุ่มหน้าละอ่อน” ริมฝีปากของหญิงสาวกระซิบกับใบหูของเขาอย่างแผ่วเบา ทำเอาหนุ่มหน้ามนเพียงหนึ่งเดียวคนนี้ถึงกับรู้สึกเสียววาบกับคำพูดเมื่อครู่ไปแทบจะทั่วทั้งกาย

     

                   ตัวจริงของเลดี้ คิลเลอร์

                   E – Villain: Lady Killer คนประลัยสายพันธุ์อี: เพชฌฆาตแค้นสวาท

     

      ..................................................................................................................................................................

     

                   แก๊กท้ายตอน

                   รัตน์: เข้ามาทำแผลกับดื่มกาแฟกันก่อน จากนั้นเราจะทำงานต่อ

                   อ้น: ตอนนี้เหรอครับ

                   รัตน์: คิดว่าฉันจะยอมให้นอนหรือไง นายต้องทำทั้งคืนเลยล่ะ

                   นักเขียน: ทำอะไรกันวะ

                   รัตน์: ของแบบนี้บอกก่อนได้ไง ตามอ่านต่อไปสิคะ

     

                   ช่วงนี้มีสาระ (มั้ง)

                   ผีเสื้อถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ นั่นก็คือ ผีเสื้อกลางวัน (Butterfly) และผีเสื้อกลางคืน (Moth) ซึ่งผีเสื้อที่เราพบเห็นกันได้บ่อย ๆ มักจะเป็นผีเสื้อกลางวันซะมากกว่าแม้ว่ามันจะมีเพียงแค่ราว ๆ 10 เปอร์เซ็นต์จากผีเสื้อกว่าแสนชนิดก็ตาม ส่วนอีกราว ๆ 90 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็จะเป็นผีเสื้อกลางคืนซึ่งจะพบเห็นได้ยากกว่าเพราะว่าส่วนใหญ่เราจะอยู่ในบ้านและเข้านอนกันหมดแล้ว

                   เอ... มีเยอะกว่าแต่พบเห็นได้ยากกว่าเนี่ยนะ

                   หาข้อมูลเพิ่มเติมเองเน่อ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×